Aishiteru
|
Summary
เมื่อเทตซึโอมิ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่เกินกว่าความเป็นพี่น้องให้กับลูกชายของพ่อใหม่ และสู้ทนเก็บความรู้สึกดังกล่าวไว้มานาน จวบจนกระทั่งเจซซี่ได้ยื่นข้อเสนอบางอย่างให้กับเขาเมื่อมารดาล้มป่วย
'กลับบ้าน แล้วฉันจะทำทุกอย่างที่นายต้องการ'
ทุกอย่างที่นายต้องการ อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าคำคำนี้ทรมานความรู้สึกเขามากแค่ไหน ความต้องการที่จะครอบครองเป็นเจ้าของนั้นทนเก็บไม่ได้อีกต่อไป แต่เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองได้สร้างความใกล้ชิดผูกพันธ์ให้ และทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายไปพร้อม ๆ กันด้วยเช่นกัน
Preview
"เธอเป็นอะไร ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ล่ะ?"
เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบ ตาสีฟ้าสดใส ผมสีทองยาวปรกต้นคอ ทำให้ยากที่จะแยกแยะออกว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง ยืนเอามือจับเข่าก้มมองเด็กตัวเล็กกว่าที่มาหลบนั่งร้องไห้อยู่ในสวนหลังบ้าน มือเล็ก ๆ ลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเป็นการปลอบประโลม ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากมือผอม ๆ นั่นทำให้เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมาดูทั้ง ๆ ที่ดวงตาสีน้ำตาลยังนองน้ำตา เด็กผมทองฉุดมือที่เล็กกว่าให้ลุกขึ้นยืนพร้อมจูงเข้าบ้าน
"ไม่ต้องกลัวนะ ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเป็นพี่ชายของเธอ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ"
"เธอชื่ออะไร?"
เด็กตัวเล็กที่ดูเหมือนจะหายตื่นกลัวแล้วถามขึ้นด้วยภาษาอังกฤษเพี้ยน ๆ ทำให้คนตัวสูงกว่ายิ้มออกที่น้องชายคนใหม่กับเขาดูท่าทางจะเข้ากันได้ดี
"ฉันชื่อเจซซี่ แล้วเธอล่ะ?"
"เทตซึโอมิ"++++++
เสียงเพลงจังหวะฮิพฮอพดังกระหึ่มไปทั่วบ้านหลังใหญ่ โคมระย้าที่ห้อยอยู่บนเพดานไม่มีความหมายเมื่อไปดิสโก้ถูกใช้แทนที่ ดีเจหนุ่มผิวหมึกยืนเปลือยท่อนบนพลางขยับโยกกายไปตามจังหวะเพลงอย่างเมามัน เด็กในวัยเดียวกันนับสิบกำลังมีความสุขอย่างสุดเหวี่ยง บ้างก็แหกปาก หรือเต้นรำตามจังหวะเพลงที่เล่นอยู่ บ้างก็พูดคุยหัวร่อต่อกระซิก บ้างก็พลอดรักกันอย่างไม่อายฟ้าดิน ทั้งหมดนี้เป็นบรรยายกาศที่เห็นได้ในงานปาร์ตี้วัยรุ่นทั่วไป
เด็กสาวคนหนึ่งถอดเสื้อนอกออกเผยให็เห็นเนินเนื้อใหญ่โตที่แทบจะทะลักออกมาจากยกทรงตัวจิ๋ว หล่อนขยับกาย พริ้วไหวไปตามเสียงดนตรีก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟา ส่งผลให้หนุ่ม ๆ หลายคนที่รายล้อมกระโดดตามขึ้นไปเป็นพรวน
"ยัยเคธี่นั่นไร้ยางอายตามเคย"
เสียงขึ้นจมูกดังลอดริมฝีปากอิ่มออกมาอย่างดูถูกแกมอิจฉาคู่อรินิด ๆ แต่คนที่นั่งข้าง ๆ หาได้สนใจฟังไม่
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบางได้รูปเมื่อนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ในอดีต ตอนที่เขาตามแม่ซึ่งแต่งงานใหม่มาอยู่ที่อินเดียน่าช่วงแรก ๆ ตอนนั้นเขาทั้งตัวเล็ก อ่อนแอ ใคร ๆ ก็ชอบแกล้งด้วยเหตุที่เป็นลูกครึ่งประการหนึ่ง แม้แต่แม่ของตัวเองก็ไม่สนใจไยดีนักเพราะเทตซึไม่เหมือนหล่อนแม้แต่น้อย กลับไปเหมือนผู้ชายที่หล่อนเกลียดที่สุด ทำให้เขาขาดความอบอุ่นตั้งแต่เล็ก ๆ แต่เมื่อมาที่อเมริกา กลับมีคนคนหนึ่งที่เติมเต็มความรักให้เขาอย่างล้นหลาม
"นี่ นั่งคิดอะไรน่ะ ยิ้มคนเดียวอยู่ได้ ถ้าคิดถึงผู้หญิงคนอื่นน่ะ ฉันไม่ยอมจริง ๆ นะ"
สาวน้อยผมแดงหยิกพูดขึ้นอย่างมีจริตเมื่อเห็นคู่เดทเงียบไปนาน พลางกระแซะเบียดอกอันอวบอิ่มที่หล่อนแสนจะภูมิใจในเสื้อคอกว้างเข้ากับต้นแขนแกร่ง
"อยู่กับคนสวยขนาดเธอ ฉันจะไปคิดถึงคนอื่นได้ยังไง" เด็กหนุ่มพูดอย่างเบื่อหน่ายพอ ๆ กับสีหน้าที่แสดงออก
พวกผู้หญิงนี่เหมือนกันหมดจริง ๆ ทำเป็นรู้ดีทั้ง ๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย ที่รู้กลับแกล้งเซ่อทำเป็นไม่รู้
"ปากหวานจัง บอกตรง ๆ นะ ฉันยังไม่เคยเห็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกันหน้าตาดีขนาดเธอมาก่อนเลย นี่เท็ด ชื่อญี่ปุ่นของเธอน่ะ เทตซึใช่ม้า? ขอฉันเรียกชื่อนี้ได้มั้ย?"
สาวสวยออดอ้อนสุดชีวิตพลางส่งสายตาหยาดเยิ้มยั่วยวนในที แต่แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาที่กร้าวขึ้นของคนตรงหน้า
"ไม่ได้ ห้ามเรียกเด็ดขาด"
"ทะ ทำไมล่ะ? ฉันเห็นพี่ชายเธอยังเรียกอยู่บ่อย ๆ"
"ก็นั่นพี่ชายฉันนี่"
เทตซึพูดอย่างเฉยชาพลางลุกขึ้นยืนและเดินออกไป สร้างความงุนงงให้คู่ควงคนล่าสุดอย่างมาก แต่ไม่กล้าถามเซ้าซี้เพราะได้ยินกิตติศัพท์ทางด้านนิสัยอีกฝ่ายมามากพอ ถ้าอยากจะเลิกกับใครก็เลิกง่าย ๆ แต่กระนั้นด้วยหน้าตาและรูปร่างที่โดดเด่นนั่น ก็ทำให้ยังมีผู้หญิงอยากคบด้วยอีกเป็นพรวน
"เฮ้! เท็ด ไหนว่าจะอยู่ถึงเช้าไง"
จอช เพื่อนที่สนิทที่สุดและเจ้าของงานเงยหน้าขึ้นจากกกหูแฟนสาวขณะที่ตระกองกอดเจ้าหล่อนเต้นรำอย่างเนิบนาบแต่ทว่าแฝงไปด้วยความร้อนแรงของเพลงจังหวะสโลว แล้วร้องถามเมื่อเห็นร่างสูงเดินออกจากประตูไป เพราะกว่าจะลากเพื่อนคนนี้มางานปาร์ตี้ได้แต่ละทีก็แทบจะรากเลือด เพราะเจ้าตัวชอบอ้างว่าเกลียดที่ที่คนเยอะ ๆ
"ไม่ล่ะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว ไม่ได้กลับซะนาน"
"เฮ้ย! ไหนนายบอกว่าไม่อยากอยู่บ้านไงวะ?"
จอชเปลี่ยนเป้าหมายในการรั้งเพื่อนให้ร่วมงานทันที เพราะเทตซึเคยบ่นให้ฟังบ่อยเหลือเกินว่าไม่ชอบกลับบ้านเพราะเบื่อแม่และมีปัญหากับพี่ชายถึงขนาดพยายามหลบหน้าที่โรงเรียน ก็เลยทำตัวระเหเร่ร่อนไปอยู่ตามบ้านเพื่อนหรือไม่ก็ผู้หญิงที่กำลังคั่วอยู่ด้วย
"ก็ทำนองนั้น" เทตซึโอมิตอบพลางยักไหล่ "แต่ตอนนี้เกิดอยากกลับขึ้นมานี่หว่า ช่วยไม่ได้"++++++
ร่างโปร่งบางเดินฝ่าความมืดสลัวไปตามถนนที่มีเพียงดวงไฟข้างทางให้แสงสว่างอย่างไม่รีบร้อน พลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนจนลมหายใจพวยพุ่งออกมาเป็นควันสีขาว วันนี้งานพิเศษที่ประจำที่ทำอยู่มีปัญหาขาดคนเลยเลิกเสียดึก ยังดีที่บอกเบตตี้ เพื่อนบ้านหญิงวัยกลางคนที่ทำงานพิเศษดูแลแม่เลี้ยงเขาไว้แล้ว
เจซซี่รีบสาวเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเห็นว่าข้างหน้าเป็นสุสานรถเก่า ความเป็นคนชอบดูหนังสยองขวัญมากเกินทำให้เขาชอบเก็บมาคิดเพ้อเจ้อได้เสมอในบรรยากาศเช่นนี้
"ไง เจซ นายยังจำฉันได้รึเปล่า?"
เสียงที่อยู่ ๆ ก็ดังขึ้นขณะเดินผ่านสุสานรถเก่า ทำให้เจ้าของชื่อซึ่งกำลังคิดถึงฆาตกรโรคจิตซึ่งอาจโผล่มาจากมุมใดมุมหนึ่งถึงกับสะดุ้งเฮือก เขาหันไปมองแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น คราวนี้ไม่ใช่ฆาตกรในหนังสยองขวัญแต่ก็ร้ายแรงพอกัน
เด็กหนุ่มแกล้งทำใจดีสู้เสือด้วยการคลี่ยิ้มเยาะ ๆ ในขณะที่พยายามสอดส่ายสายตาไปรอบกายเพื่อหาทางป้องกันตัวเอง
แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเขาเพราะรอบตัวมีแต่ความเงียบวังเวง แถมทางนี้ยังเป็นทางลัดที่ไม่ค่อยมีคนใช้นัก ถ้าจะร้องให้ใครช่วยคนต้องแหกปากจนคอแห้ง
เขาคงจะไม่หนักใจเท่านี้ถ้าหมอนี่ไม่เป็นอันธพาล หรือไม่อย่างน้อยก็ขอให้ขนาดร่างกายไล่เลี่ยกันมากกว่านี้ก็ยังดี เพราะเจ้าแอรอนทั้งสูงทั้งหนากว่าเขาเยอะนัก
บางทีเขาใช้คำว่า 'หนา' คงยังไม่พอ แต่ถ้าจะให้คงความสุภาพไว้ก็ต้องใช้คำว่า 'เจ้าเนื้อ' เพราะร่างกายของแอรอนเต็มไปด้วยไขมันสะสมพอกพูนตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะพุงกลม ๆ นั่น ซึ่งถือว่ามากเกินไปสำหรับคนหนุ่มวัยขนาดนี้ เจซซี่หัวเราะกับตัวเองอย่างลืมกลัวไปชั่วขณะ ถ้าเขาพกเข็มหรืออะไรแหลม ๆ มาล่ะก็ เขาคงจะใช้เวลามีเรื่องกับหมอนี่ละ จะได้จิ้มพุงมันให้แตกไปเลย
"นึกว่าใคร นายเองเหรอแอรอน บอกไว้ก่อนนะถ้าจะมาทวงมีดนั่น ฉันไม่คืนหรอก"
ใช่ เขายึดมีดที่หมอนี่พกมาโรงเรียนไปด้วยสิทธิ์ของประธานนักเรียน ท่าทางมันคงจะแค้นน่าดู
แต่ช่วยไม่ได้ คราวก่อนใครใช้ให้มันมีเรื่องกับคนอื่นแล้วใช้มีดไล่แทงชาวบ้านกันล่ะ? ตอนที่เขาเห็นว่าแอรอนพกมีดมาโรงเรียนอีกก็เลยจัดการยึดซะ ตอนนั้นมันก็ให้แต่โดยดีคงเพราะกลัวทัณฑ์บนตำรวจอยู่ เพราะเรื่องคราวก่อนคู่กรณีเอาความจนต้องขึ้นโรงพักทีเดียว
"ก็ไม่ได้จะมาขอคืนหรอก" มันยิ้มยวนตอบจนลูกตาหยี "แค่จะขอค่ามีดน่ะ"
พอขาดคำ ก็มีมือ ๆ หนึ่งมาล็อคแขนเขาไว้แน่นพลางลากเข้าไปในสุสานรถเก่านั่น เจซซี่พยายามเหลือบมองเจ้าของมือที่ล็อคเขาอยู่ แต่มันมืดเสียจนเขามองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
"รู้มั้ยว่าท่านประธานนักเรียนสุดสวยต้องจ่ายค่ามีดยังไง?"
ร่างบางถูกเหวี่ยงลงกับพื้นพร้อมกับที่แอรอนย่างสามขุมเข้ามาหา เขาสปริงตัวขึ้นพลางยกขาหมายจะเตะกล่องดวงใจศัตรู แต่ถูกหมัดหนัก ๆ ของเจ้าคนที่เขาไม่เห็นหน้าต่อยเข้าที่ท้องน้อยส่งผลให้จุกจนตัวงอ เจ้าแอรอนยิ้มเยาะขณะที่ปลดกระดุมกางเกงของตน
"เอาน่า นายจ่ายค่ามีดให้ฉันด้วยร่างกายก็ถือว่าหายกันแล้วกัน"
มันพูดด้วยแววตาหื่นกระหายในขณะที่ก้มตัวลงมาจัดการกับเสื้อผ้าของร่างที่นอนจุกอยู่ ทำให้เจซซี่มองด้วยแววตาขยะแขยงแต่จุกเจ็บเกินกว่าที่จะขยับได้
"ที่จริงฉันก็ไม่ได้มีรสนิยมอย่างนี้หรอกนะ แต่นายมันสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก ใครจะอดใจอยู่ บอกตามตรงว่าอยากลองว่ะ มาสนุกด้วยกันหน่อยเป็นไง"
มือหยาบเทอะทะทำท่าจะลูบไล้แผ่นอกขาวเนียนหลังจากที่เสื้อสเว็ตเตอร์สีดำถูกถอดออก ตามด้วยเสื้อยืดตัวในซึ่งบัดนี้ใช้แทนเชือกรัดข้อมือบาง ๆ อย่างแน่นหนา
"ท่าทางน่าสนุกดีนี่"
เสียงที่อยู่ ๆ ก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้การเคลื่อนไหวทุกอย่างหยุดชะงักแทบจะทันที
แอรอนหันไปมองทางต้นเสียงอย่างตื่นตระหนกก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจเมื่อเห็นหน้าคนที่กำลังเดินเข้ามา
"นายอยากร่วมด้วยมั้ยละเท็ด? ได้ข่าวว่าไม่ค่อยถูกกับคุณพี่ชายไม่ใช่เหรอ ว่าไง?"
"พวกนายกลับไปได้แล้ว"
ร่างสูงเอ่ยเรียบ ๆ ขณะลงนั่งยอง ๆ มองดูพี่ชายตนเองที่ถูกมัดอยู่ด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก
"ว่าไงนะ!? อย่าพูดเล่นสิ นายจะจัดการคนเดียวน่ะพวกฉันไม่ยอมแน่! จะเอาให้มันรู้สำนึกเสียหน่อย อยากรู้นักว่าถ้าคนในโรงเรียนรู้ว่าคุณประธานนักเรียนที่แสนจะเป็นที่รักถูกเรียงคิวจะทำหน้ากันยังไง"
แอรอนพูดพลางไล้มือไปมาบนแผ่นอกขาวเนียนนั่น แล้วต้องร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อมีมีดคม ๆ มาจ่อคอหอยอย่างไม่รู้ตัว
มันค่อย ๆ เหลือบตามองต่ำด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดแล้วนึกแค้นในใจเมื่อเห็นว่ามีดสปริงที่อีกฝ่ายถืออยู่เป็นของใคร!
"อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำอีก ห้ามแตะต้องหมอนี่เด็ดขาด!"
มีดของตนเองที่จ่ออยู่ถูกกดน้ำหนักเพิ่มจนเลือดเริ่มไหลซิบ แอรอนกลืนน้ำลายลงคอ เหงื่อกาฬพาลจะไหลโชกราวกับเพิ่งวิ่งมาเป็นไมล์ ๆ ทั้งที่อากาศยามค่ำคืนหนาวเยือก ก่อนจะละล่ำละลักพูด
"กลับก็ได้ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลยนี่นา ยังไงนายก็เป็นลูกพี่ของพวกเราอยู่แล้ว เฮ้ย! กลับ"
มันลุกขึ้นพร้อมตะโกนบอกเพื่อนข้างๆ ก่อนที่จะรีบพากันหายหัวไปอย่างรวดเร็วเพราะรู้ว่าเทตซึเป็นคนที่พูดจริงทำจริงแค่ไหน
ร่างสูงถอนหายใจอย่างหน่าย ๆ ก่อนที่มองมีดในมือที่เขาแอบขโมยมาจากลิ้นชักในห้องนอนเจซซี่ในคราวก่อนที่กลับบ้าน ที่เขารู้ก็เพราะตอนที่ฝ่ายนั้นยึดมีดเจ้าแอรอนถึงกับกลายเป็นข่าวพูดกันให้แซ่ดทั้งโรงเรียนในความกล้าหาญชาญชัยของประธานนักเรียนที่ยึดมีดจอมอันธพาลอย่างเจ้าแอรอนมาได้
มีดสปริงแพง ๆ อย่างนี้เรื่องอะไรจะปล่อยให้เจซซี่เก็บไว้ให้สนิมขึ้นเสียเปล่า ๆ สู้เขาเอามาทำประโยชน์เองยังดีกว่า เด็กหนุ่มรีบพับมันเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิมโดยที่พี่ชายไม่ทันเห็น อันที่จริงเจซซี่อาจจะเห็นตอนที่เขาหยิบมันขึ้นมาขู่แอรอนแต่ในสถานการณ์แบบนั้นใครจะมาตั้งหน้าตั้งตาสังเกตกัน
เด็กหนุ่มหันมาแก้มัดให้พี่ชายตัวเอง แล้วลูบข้อมือที่เป็นรอยแดงจากการถูกมัดนั่นแผ่วเบา ก่อนที่จะประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่งเพื่อที่จะสวมเสื้อให้
"ฉันทำเองได้" เสียงเล็กสะบัดขึ้นพร้อมเอี้ยวตัวหนีจากมือใหญ่ยังผลให้ต้องนิ่วหน้าอีกครั้งเพราะความจุกเสียดยังไม่หายไป
"ไงล่ะ? ทำเก่ง โดนต่อยจนจุกไม่ใช่หรือไง"
ร่างสูงยิ้มเยาะ ๆ ทำเอาคนฟังหน้ามุ่ยพลางก้มหน้าลงจัดการกับเสื้อผ้าตนเองแล้วสบถด่าเจ้าวายร้ายสองคนนั่นอย่างแค้นเคือง จึงทำให้ไม่ทันเห็นแววตาที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยนของอีกฝ่าย
"ที่จริงไม่น่าเดินมาทางเปลี่ยว ๆ เลยน้า ถึงจะเป็นทางลัดก็เถอะ หน้าตาอย่างนี้เดี๋ยวก็ถูกลากไปหรอก สมัยนี้ใครจะสนว่าเป็นผู้หญิงรึเปล่า พวกอยากลองของเยอะจะตาย" เทตซึพูดต่อไปเรื่อยทำให้ผู้มีศักดิ์เป็นพี่เริ่มเลือดขึ้นหน้า
"นี่! นายเห็นตั้งแต่ก่อนที่มันจะอัดฉันแล้วทำไมไม่เข้ามาตั้งแต่ตอนนั้นวะ?"
"เดี๋ยวพอมาช่วยนายก็หาว่าฉันดูถูกฝีมือนายอีก เอ้า! ขึ้นมาได้แล้ว" พูดพลางย่อตัวหันหลังให้ ในขณะที่อีกฝ่ายรู้สึกงุนงงกับการกระทำนั้น
"จะทำอะไร?"
"โง่จริง ก็ให้ขี่หลังไงล่ะ หรือจะให้อุ้ม? บอกไว้ก่อนนะ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงฉันไม่อุ้มเด็ดขาด ขึ้นมาเร็ว ๆ สิ ชักช้าน่ารำคาญ"
เสียงตวาดทำให้เจซซี่นิ่งด้วยความน้อยใจพลอยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่จางไปบ้าง ก่อนจะค่อย ๆ ยันตัวเข้าขี่หลังกว้าง โดยที่ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเจ้าของแผ่นหลังนั้นกำลังหน้าแดงอยู่เนื่องด้วยไม่เคยปฏิบัติกับผู้หญิงคนไหนอย่างที่พูด
"นี่เทตซึ จำตอนที่นายอายุแปดขวบได้มั้ย ที่นายหัดเล่น สเก็ต บอร์ดแล้วล้มจนขาแพลง ฉันก็เลยให้นายขี่หลังอย่างนี้แหละ พอกลับบ้านพ่อดุใหญ่เลย หาว่าดูน้องไม่ดี"
เจซซี่พูดทำลายความเงียบขึ้นระหว่างเดินกลับบ้าน ช่วง2-3ปีหลังนี้เทตซึเปลี่ยนไปไม่ค่อยมาสนิทกับเขาเหมือนเดิม ยิ่งหลังจากพ่อตายปีที่แล้วยิ่งกลับบ้านนับครั้งได้ แถมไม่ไปโรงเรียนอีก นาน ๆ ทีจะมีโอกาสคุยกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังรักและเป็นห่วงน้องชายเหมือนเดิมแม้เจ้าตัวจะทำตัวไม่ค่อยน่าพิสมัยนักก็ตาม อะไรก็ตามที่เขาสามารถทำแล้วให้เทตซึกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้เขาก็เต็มใจทำ
"จำไม่ได้ ใครจะไปจำได้เล่า ไร้สาระแบบนั้น"
เด็กหนุ่มโกหกคำโตออกไป ทำไมเขาจะจำไม่ได้ ตอนนั้นเจซซี่ยังสูงกว่าเขาอยู่เลย แต่ด้วยอายุที่ห่างกันแค่ปีเดียวทำให้เขาไล่ทันในสองปีต่อมา และตอนนี้ก็สูงกว่าหลายนิ้ว
ร่างบนหลังหน้าหมองลงไปทันตาก่อนจะเอ่ยขึ้นมา "เหรอ? นั่นสินะ ตอนนี้นายมีเพื่อนเยอะแยะแล้ว เรื่องอะไรจะมาสนใจเรื่องตอนเด็กล่ะ"
เทตซึลอบถอนหายใจกับตัวเองเบา ๆ เมื่อได้น้ำเสียงตัดพ้อนั่น
เจซซี่ไม่มีทางรู้แน่ ๆ ว่าเขาทรมานใจขนาดไหน++++++
"เบตตี้ครับผมกลับมาแล้ว ขอโทษครับที่มาช้าพอดีมีเรื่องนิดหน่อย แม่นอนหรือยังครับ?"
เทตสึอมยิ้มขำเมื่อร่างที่แบกอยู่บนหลังพูดรัวเป็นชุดด้วยความร้อนใจเป็นห่วงสุขภาพมารดา
"ไม่เป็นไรหรอก คุณนายแพททริคยังไม่นอนตอนนี้เข้าห้องน้ำอยู่ เรากำลังคุยกันสนุกเชียว ไม่ได้เจอกันนานนะเท็ดดี้"
หญิงร่างท้วมกล่าวอย่างอารมณ์ดีพลางหันไปทักทายเด็กหนุ่มที่นาน ๆ จะเห็นที
หล่อนเองก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับเทตซึเท่าใดนัก รู้แต่ว่าเป็น 'ลูกชายนอกคอก' ของคุณนายแพททริคเท่านั้น
"ครับ" เขาตอบสั้น ๆ ขณะที่ค่อย ๆ วางร่างของเจซซี่ลงบนโซฟา
เสียงแหว ๆ ดังขึ้นมาจากข้างในพร้อมกับหญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบางบ่งบอกถึงสุขภาพที่ไม่ค่อยจะดีนักเดินออกมาจากห้องน้ำด้านใน
"นึกยังไงถึงกลับบ้านได้นะเท็ด ฉันนึกว่าแกชอบเพื่อนสั่ว ๆ ของแกมากกว่าเสียอีก แล้วนั่นอะไร! ทำไมเจซถึงได้เป็นอย่างนั้น!?"
หญิงสาวรีบกรากเข้ามาหาเด็กหนุ่มทั้งสองเมื่อเห็นลูกเลี้ยงสุดที่รักนอนหน้าซีดแล้วหันมามองลูกชายตัวเองอย่างเอาเรื่อง
"เอ่อ คุณนายแพททริค ฉันขอตัวกลับก่อน นี่ดึกมากแล้วไม่รู้หลาน ๆ จะเข้านอนหรือยัง" หญิงร่างท้วมเอ่ยขอตัวอย่างสุภาพเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัว
"ขอบคุณมากค่ะเบตตี้ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน"
"ราตรีสวัสดิ์ฮะเบตตี้" เจซซี่เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนที่จะหันมาตอบคำถามแม่เลี้ยง "พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อยฮะ คือ ."
"ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นเจซ!"
แครอลไลน์พูดปรามก่อนที่จะจ้องหน้าลูกชายแท้ ๆ อย่างฉุนจัด "เพราะแกอีกล่ะสิ? เพราะเพื่อนของแกใช่มั้ย? แกจะเกิดมาทำไม ในเมื่อเกิดมาแล้วมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายไม่หยุดอย่างนี้น่ะหา?"
หล่อนตะเบ็งปลายเสียงเต็มที่อย่างโกรธเกลียด ในขณะที่เทตซึพูดขึ้นอย่างจงใจยั่วโมโหอีกฝ่าย
"ก็เกิดมาสร้างความเดือดร้อนให้คุณน่ะสิ"
"เทตซึ พอเถอะ แม่ไม่สบายอยู่นะ เอ๊ะ! นั่นนายจะไปไหน?"
เจซซี่ปรามก่อนจะเอ่ยอย่างตกใจเมื่อร่างสูงเดินออกจากประตูไปแล้วตะโกนบอก
"ก็จะไปอยู่ที่อื่นน่ะสิ ฉันไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับผู้หญิงน่ารังเกียจอย่างนี้หรอก!"
"เดี๋ยว "
"ดี ไปเลย ไปไหนก็ไป! ฉันเกลียดแก! เกลียดแกที่สุด! ไป๊!!" แม่แท้ ๆ ตะโกนด่าไล่หลังเมื่อเห็นลูกชายเดินออกจากบ้านไป ก่อนจะกรีดร้องอย่างโกรธแค้นและหมดสติไปในที่สุด เหลือแต่เพียงเจซซี่ที่ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
"แม่!"++++++
"หมอฮะ แม่ผมเป็นไงบ้าง?" ร่างบางรีบลุกขึ้นถามอย่างร้อนรน เมื่อเห็นนายแพทย์สไตลีย์ หมอประจำของแครอลไลน์เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
"คุณนายแพททริคพ้นขีดอันตรายแล้ว "
คำตอบที่ได้ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างโล่งอกแต่ทว่าใบหน้าหวานสวยสลดลงทันทีเมื่อได้ยินประโยคที่ตามมา
"หมอหมายถึงแค่ตอนนี้เท่านั้น"
"หมายความว่าไงฮะคุณหมอ"
เสียงเล็ก ๆ ถามขึ้นอย่างร้อนรน โดยนึกกังวลอยู่เงียบ ๆ ว่าเรื่องที่กลัวมาตลอดจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา
"เธอก็รู้นี่ว่าหล่อนมีโรคแทรกซ้อนเยอะ ทั้งความดัน ทั้งหัวใจ ไม่นับโรคประสาทที่เป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว หมอเสียใจที่จะบอกว่าเธออาจจะมีเวลาเหลือไม่ถึงครึ่งปี ดังนั้นในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้เธอควรจะได้รับความสุขที่สุด และช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วย ทำตัวเป็นปกติ อย่าให้คนไข้ระแคะระคายเพราะสุขภาพจะยิ่งทรุดกว่าเดิม หมอต้องขอตัวก่อน"
นายแพทย์ร่างท้วมก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนขอตัวออกไป ปล่อยให้เจซซี่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพียงคนเดียว น้ำตามากมายไหลลงมาจากตาสีฟ้าไม่ขาดสาย ทั้ง ๆ ที่เขาเตรียมใจไว้นานแล้ว น่าแปลกที่แม่เลี้ยงจะมีความรักความผูกพันธ์ให้กับลูกเลี้ยงมากกว่าลูกแท้ ๆ ของตนเอง ถ้าแครอลไรน์ตายไป เขาคงไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ
เด็กหนุ่มนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าห้อง มารู้ตัวอีกทีเมื่อมีพยาบาลนางหนึ่งเข้ามาสะกิดเบา ๆ ที่แขน
"คุณเป็นญาติของคุณนายแพททริคใช่หรือเปล่าคะ? คุณนายแพท ทริคฟื้นให้เข้าเยี่ยมได้แล้วค่ะ แต่อย่าอยู่นานนักนะคะ เพราะคนไข้ต้องการพักผ่อน"
ว่าแล้วหล่อนก็เดินนำเขาตรงไปยังห้องผู้ป่วย ในขณะที่เจซซี่รีบยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วพยายามทำตัวสดใสเหมือนปกติเพื่อมิให้แครอลไลน์ผิดสังเกตได้ว่าเขาเพิ่งร้องไห้มา
เด็กหนุ่มรู้สึกตีบตันในลำคออีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าซูบซีดอิดโรย ของมารดา เสื้อผ้าผู้ป่วยยิ่งทำให้ร่างนั้นดูผอมแห้งมากกว่าเดิม พวงแก้มซูบเนื้อ ลำแขนก็แทบจะมีเพียงหนังหุ้ม จนถึงขนาดว่าถ้าหล่อนล้มลงแรง ๆ หรือมีใครกระชากแขน กระดูกก็คงจะหักเอาได้ง่าย ๆ
"แม่รู้สึกยังไงบ้างครับ? เจ็บตรงไหนรึเปล่า? หมอบอกว่าแม่ไม่เป็นอะไรมาก นอนพักแป๊บเดียวก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ"
เจซซี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่บีบมือผอมแห้งของผู้มีศักดิ์เป็นมารดาเบา ๆ
"ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบใจมากจ้ะที่เป็นห่วง"
แครอลไลน์ส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มปลอบใจ ก่อนที่จะมีสีหน้าหมองลงพร้อมน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาคลอเบ้า เมื่อมองไปรอบตัวแล้วเห็นลูกเลี้ยงเพียงคนเดียว "เด็กคนนั้นคงไม่มาตามเคยสินะ ทำไมแม่กับเขาถึงไม่เคยดีกันได้เหมือนแม่ลูกคู่อื่น ๆ เลยสักครั้ง"
"เอ่อ เทตซึคงไม่รู้ว่าแม่ไม่สบายมั้งฮะ ถ้ารู้ต้องไม่ออกไปแน่ ๆ"
เจซซี่รีบพูดให้อีกฝ่ายสบายใจแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลนัก เขารู้ดีว่าหญิงสาวเป็นโรคประสาท เวลาที่ไม่ได้เห็นหน้าลูกชายตนเองจะเป็นห่วงและดูเหมือนจะรักลูกอย่างแม่ปกติทั่ว ๆ ไป แต่พอเห็นหน้าเทตซึเท่านั้นก็เปลี่ยนเป็นคนละคนทันที แต่กับเขาหล่อนกลับให้ความรักและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ไม่เคยตีสักครั้ง
ตอนแรกที่สองแม่ลูกเข้ามาอยู่ในบ้านพ่อเขาเคยบอกเรื่องอาการโรคประสาทอ่อน ๆ ของหญิงสาวให้เขาฟังเพื่อที่ว่าถ้าฝ่ายนั้นเกิดทำอะไรไม่ดีต่อเขาขึ้นมาก็ขออย่าได้ถือสา เจซซี่ยังคิดว่าพ่อทึกทักไปเอง แต่ต่อมาก็เห็นหญิงสาวดุด่าเทตซึแทบจะไม่เว้นแต่ละวัน และยิ่งออกอาการคลุ้มคลั่งสติไม่อยู่กับตัวมากขึ้นเมื่อเดวิด พ่อของเขาตาย แต่ถึงกระนั้นด้วยความที่แครอลไลน์ดีกับเขามาก เจซซี่จึงรักหล่อนเหมือนแม่แท้ ๆ
เด็กหนุ่มลอบสังเกตนัยน์ตาของแม่เลี้ยงอย่างแปลกใจเล็กน้อย วันนี้ดวงตาของอีกฝ่ายดูไม่เลื่อนลอยเหมือนอย่างที่เคยเป็นทุกที
"พอเถอะ แม่เข้าใจว่าเท็ดจะโกรธ จะเกลียดแม่มันก็สมควรอยู่หรอกนะ เพราะแม่เองก็ทำกับเขาไว้เยอะเหมือนกัน"
อดีตที่ขมขื่นเริ่มหลุดออกมาให้ลูกเลี้ยงของตนฟังเป็นฉาก ๆ ราวกับฉายหนังซ้ำ แครอลไลน์เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว พ่อแม่ และพี่ชายจึงตามใจเธอมาก ประกอบกับครอบครัวมีฐานะและความที่เป็นคนสวยถึงขั้นหาตัวจับยากคนหนึ่งทำให้หล่อนมีนิสัยเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ และหลงตัวเองเป็นพิเศษ หลังจากที่เรียนจบไฮสคูล หล่อนขอทางบ้านไปเที่ยวญี่ปุ่นครึ่งเดือน และได้เจอเทตซึยะ พ่อของเทตซึโอมิที่นั่น ทั้งสองได้เสียกันเพราะเมา ต่อเมื่อหล่อนกลับประเทศนั่นแหละถึงได้รู้ว่าท้อง แครอลไลน์จึงไปญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อให้เทตซึยะรับผิดชอบ ซึ่งชายหนุ่มก็ยินยอมแต่โดยดี ประกอบกับทางบ้านของฝ่ายชายเข้าขั้นมหาเศรษฐี หล่อนจึงไม่รังเกียจที่จะแต่งงานโดยปราศจากความรักและคิดว่าอยู่ไปนาน ๆ ก็คงจะรักชายหนุ่มเข้าสักวัน
แต่ชีวิตมักจะเป็นไปตามที่เราไม่ต้องการให้มันเป็นเสมอ แม่ของเทตซึยะหัวโบราณและรังเกียจชาวต่างชาติมาก โชคดีที่พ่อของชายหนุ่มให้แต่งงานเพราะเห็นแก่เด็กในท้อง แม้เด็กที่ออกมาจะเป็นผู้ชายและเหมือนผู้เป็นบิดาราวกับถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันทำให้ผู้เป็นย่ายอมรับและเห่อหลานอย่างเป็นที่สุด หญิงสาวก็ยังไม่พอใจเพราะอยากได้ลูกสาวที่สวยงามเหมือนตน นอกจากนั้นเทตสึยะต้องไปคุมงานต่างประเทศหลายครั้ง แม่ของชายหนุ่มพรากลูกของหล่อนไปเลี้ยงที่เรือนใหญ่ เทตซึโอมิจึงติดย่ามาก หญิงสาวรู้สึกเก็บกดและโกรธแค้น ไม่ใช่เพราะที่ไม่ได้อยู่กับลูก แต่เป็นเพราะอิจฉาลูกที่ได้รับการเอาอกเอาใจมากกว่าตน ความเก็บกดสะสมมากขึ้น ๆ จนหล่อนกลายเป็นโรคประสาท ทุบตีลูกตนเองเสมอเมื่อมีโอกาส ทำให้เด็กน้อยไม่อยากอยู่ใกล้แม่ ที่ร้ายที่สุดคือเมื่อสามีของหล่อนตายด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก แม่สามีต้องการเทตซึโอมิไว้ในครอบครองและขับไล่หล่อนราวกับหมูกับหมา ทำให้แครอลไลน์แค้นใจมาก จึงถือสิทธิ์ที่ความแม่อย่างถูกต้องตามกฎหมายแอบพาลูกกลับอเมริกา ฝ่ายนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ ในที่สุดก็ได้แต่งงานใหม่กับพ่อของเจซซี่ ผมสีทองและตาสีฟ้าของลูกเลี้ยงที่เหมือนกับหล่อนเป็นเหตุผลโง่ ๆ ที่หล่อนรักลูกเลี้ยงมากกว่าลูกตัวเอง
"ทุกอย่างมันเป็นความผิดของแม่ แม่รู้ตัวดีว่าแม่เองคงอยู่ต่อไม่ได้นานนัก" หญิงสาวพูดพลางก้มลงไอโขลกก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองลูกเลี้ยงอย่างอ้อนวอน "เพราะแม่ทิฐิเองเท็ดถึงได้เป็นอย่างนี้ และถ้าเขาเป็นอย่างนี้ต่อไปคงเรียนไม่จบและเป็นอันธพาลแน่ ๆ แม่อยากให้ลูกช่วยเกลี้ยกล่อมให้เขากลับมาอยู่บ้านและเรียนหนังสือเหมือนเดิมได้มั้ย ดูเหมือนเขาจะเชื่อลูกอยู่"
"ผมจะพยายามทำให้เทตซึกลับมาอยู่บ้านให้ได้ครับ รับรอง ตอนนี้แม่พักผ่อนก่อนเถอะ" เด็กหนุ่มให้สัญญาแน่วแน่ก่อนที่จะค่อย ๆ ประคองร่างที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกลงนอน++++++
กระดาษก้อนกลมที่ปาถูกศีรษะทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ตามสไตล์นักกีฬาหันมามองหาคนปาอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วก็ถอนหายใจเมื่อฝ่ายนั้นเอานิ้วจ่อปากเป็นสัญญาณให้เงียบก่อนจะกระซิบถาม
"ได้เรื่องมั้ยไอค์?"
เขาขอร้องไอแซคเพื่อนสนิทให้หาทางติดต่อน้องชายให้ เนื่องจากไอแซคเป็นนักกีฬาโรงเรียนและรู้จักพวกกลุ่มอันธพาลอยู่บ้าง เด็กหนุ่มจึงพอจะช่วยเพื่อนได้แต่ก็ลำบากพอดู
"ได้มาแต่เบอร์มือถือที่ผู้หญิงที่หมอนั่นเคยคบซื้อให้ ให้ตายเถอะรู้มั้ยว่าน้องชายนายน่ะเคยคบกับอาจารย์แฮมมิลตันเชียวนะเว้ย ร้ายไม่เบา" ไอแซคกระซิบตอบพลางส่งกระดาษแผ่นเล็กให้ ทำให้ร่างเล็กยิ้มออก
'หนอยเจ้าเทตซึ เคยคบกับยัยสุดเซ็กซี่นั่นเชียวเหรอ มิน่าละชอบกระซิบอะไรกันสองคนหลังเลิกเรียนด้วย ยัยนี่ก็ไม่มีจรรยาบรรณความเป็นครูเอาซะเล้ย' เขาบ่นหงุบหงิบพลางคลี่กระดาษดู 'แต่ก็ต้องขอบคุณล่ะนะที่หลงกันขนาดซื้อมือถือให้ ไม่งั้นคงตามเจ้าเทตซึลำบากกว่านี้'
" ทริค เจซซี่ แพททริค ออกมาแก้โจทย์ข้อนี้ซิ"
เสียงดุ ๆ ของอาจารย์คณิตศาสตร์จอมเฮี๊ยบทำให้เจซซี่ตื่นจากภวังค์ทันที เขาออกไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้ากระดานครู่ใหญ่ จนอาจารย์ส่ายหน้า
"พอเลย ๆ กลับไปนั่งที่ได้แล้ว เธอนี่เป็นประธานนักเรียนภาษาอะไร เรียนไม่ได้เรื่องเลย ดีแต่กิจกรรม ไม่น่าล่ะถึงซ้ำชั้น ได้ข่าวว่าตกแม้กระทั่งวิชาภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอ เอาล่ะกลับไปนั่นที่ไป๊"
"เออ โทษทีเหอะที่ผมมันโง่"
เจซซี่บ่นงึมงำขณะก้มหน้างุด ๆ กลับไปนั่งท่ามกลางเสียงหัวเราะและจรวดกระดาษที่ปามาแซวของเพื่อนในชั้น
++++++