ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Another Seasons

(Rain : Rain)

by...nongrata


เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแถวนี้จะมีที่แบบนี้ด้วย…

ชายหนุ่มคิดขณะวิ่งเข้ามาหลบฝนในตึกเก่าๆซึ่งได้รู้ต่อมาว่าเป็นห้องสมุดเอาก็ตอนที่ก้าวเข้าไปข้างในแล้ว เขาห่อไหล่ นึกสบถในใจที่อยู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก่อนมองสำรวจสถานที่ ตัวอาคารดูเก่าแก่ทรุดโทรมด้วยกาลเวลาอย่างไม่อาจปิดบัง บรรยากาศทึมทึบภายในทำให้เขาออกจะไม่อยากเข้าไปสักเท่าไรนัก แต่เมื่อดูสภาพดินฟ้าอากาศแล้วก็เห็นท่าจะดีกว่าการนั่งดูสายฝนเพียงลำพังแน่นอน

ชายหนุ่มรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่พบว่ามีคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ก่อนแล้ว เขาเองไม่ใช่คนที่ถึงกับเรียกได้ว่ามีมนุษย์สัมพันธ์เป็นเลิศ แต่การอยู่คนเดียวในที่ๆมีบรรยากาศน่าหดหู่อย่างนี้ก็ทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมาได้ คนที่อยู่ตรงนั้นเป็นเด็กหนุ่ม ตอนแรกที่เห็นเขาเกือบคิดว่าเป็นภาพลวงตา ค่าที่เจ้าตัวดูบอบบางจนเหมือนว่าแค่เพียงเป่าลมหายใจเบาๆก็อาจทำให้เลือนหายไปได้ ลักษณะของเพื่อนร่วมสถานที่ของเขาคนนี้ดูอ่อนแอและซีดเซียวจนน่าสงสารและชวนหดหู่ใจไปพร้อมกัน

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเหมือนรู้ตัวว่าถูกมอง ดวงหน้าซูบซีดดูสะสวยอย่างผิดความคาดหมายไปไกลลิบ นัยน์ตาสีเทาสว่างฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยก่อนก้มศีรษะลงเป็นเชิงทักทาย ชายหนุ่มรู้สึกเขินขึ้นมานิดหน่อยจึงเสหยิบหนังสือที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาเล่มหนึ่ง เปิดออกดูผ่านๆเห็นเป็นบทกวีสั้นๆที่มีเนื้อหาออกสะเทือนใจ การใช้ภาษาละเอียดอ่อนแต่ยังดูเป็นเด็ก

"คุณสนใจบทกวีหรือครับ?" เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน น่าแปลกที่น้ำเสียงนั้นแจ่มใสผิดกับท่าทางขี้โรคของเจ้าของ

"ผม.." เขาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรจึงเดินมานั่งข้างๆคนถาม "ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรพวกนี้เท่าไร หวังว่าคงไม่โกรธนะครับ"

เด็กหนุ่มยิ้มนิดๆ "ใครจะโกรธอะไรได้ ข้างนอกฝนตกหนักมากใช่ไหมครับ? ที่นี่ไม่ค่อยมีใครอยากมานักหรอก แต่ถ้าหลบฝนล่ะก็มีบ่อยทีเดียว"

ชายหนุ่มชักรู้สึกสนใจคนตรงหน้าขึ้นมา ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร จะด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตร หรือเพราะไม่มีอะไรทำก็ไม่แน่ใจ "คุณท่าทางจะมาที่นี่บ่อย"

"ก็เกือบทุกวันล่ะครับ ห้องสมุดนี้ทั้งมืดทั้งเก่าแต่ก็เงียบสงบดี ผมจะมีสมาธิสำหรับเขียนหนังสือเสมอถ้าอยู่ที่นี่"

"คุณเป็นนักเขียน!?" เขาอุทาน ตกใจที่อีกฝ่ายยังดูเด็กเหลือเกิน

"คุณคงคิดว่าผมเป็นเด็ก" เด็กหนุ่มหัวเราะ "ใครๆก็คิดกันแบบนั้น พวกเขามักบอกว่าผมยังเด็ก ไม่ควรเขียนอะไรที่น่าหดหู่เหมือนคนแก่อย่างนี้" คนพูดไอแห้งๆออกมา 2-3 ครั้งก่อนจะยิ้มเซียวๆ "คุณก็คงเห็นแล้วว่าผมสุขภาพผมไม่ดีเลย ยิ่งไม่กี่เดือนมานี้ผมแทบจะจับปากกาไม่ได้ แต่ผมกลับเขียนได้มากกว่าตอนสบายดีเสียอีกนะครับ"

"ต้องรีบหมุนกงล้อศิลปะให้ทันก่อนจะไม่มีเวลาสินะครับ" เมื่อเอ่ยออกไปแล้วชายหนุ่มกลับนึกเสียใจ โมโหตัวเองว่าไม่ควรพูดอะไรเป็นลางแบบนั้น แต่คนฟังกลับยิ้มรับ ดูท่าจะดีใจเสียด้วยซ้ำ

"ผมดีใจที่คุณเข้าใจ ไม่เคยมีใครพูดกับผมแบบนี้หรอกครับ คนในครอบครัวมักจะบอกให้ผมพักผ่อนมากกว่ามานั่งทำงานหักโหม แต่ผมเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว.."

ชายหนุ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไรเมื่อคู่สนทนาเอ่ยถึงความตาย เขาไม่ชอบเห็นคนอายุน้อยๆพูดอะไรที่ฟังดูน่าเศร้าอย่างนี้เลย "คุณเขียนหนังสือประเภทไหนครับ?" เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง

"มีทั้งบทกวีและเรื่องสั้นครับ ตอนนี้ผมกำลังเขียนบันทึกประจำวันอยู่ ตั้งชื่อว่า 'อนุทินชีวิต โดย ฟรันเซส แบรนดอน' ชื่อผมไงครับ อาจจะไม่ค่อยดีนักแต่ผมก็อยากให้คุณลองอ่านดู"

เขารับคำซึ่งนั่นทำให้อีกฝ่ายดีใจอย่างยิ่ง เขานั่งคุยกับเด็กหนุ่มอย่างถูกคออีกนานจนค่ำมากแล้วจึงเพิ่งรู้สึกตัว หันมองรอบๆมีแต่ความมืด เด็กหนุ่มดูนาฬิกาพลางอุทานออกมาเบาๆ

"ตายจริง ห้องสมุดปิดแล้วล่ะครับ" น้ำเสียงนั้นร้อนรน "ผมไม่ทราบว่าลุงจอร์จ ผู้ดูแลที่นี่จะปิดประตูหรือยัง เพราะผมเคยบอกแกว่าไม่ต้องมาตรวจดูก็ได้ เพราะผมมักจะมานอนค้างคืนที่นี่บ่อยๆ แกก็เลยล็อกประตูเอาไว้ทั้งอย่างนั้น พรุ่งนี้เช้าถึงจะมาเปิด"

นั่นเป็นเรื่องจริงทีเดียว เพราะเมื่อเขาเดินออกมาด้วยกันก็พบว่าประตูถูกลงกลอนเสียแล้ว เด็กหนุ่มขอโทษขอโพยเขาเสียใหญ่โต แต่น่าแปลกที่เขากลับไม่โมโหเลยแม้แต่นิดเดียว

ตกดึกอากาศเริ่มหนาว ซ้ำยังชื้นด้วยฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ โชคดีที่มีเครื่องนอนพร้อมพรั่งแม้จะเป็นสำหรับคนเดียวแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย เขานึกเป็นห่วงเด็กหนุ่มที่ดูบอบบางเสียเหลือเกินจึงเดินไปหา ร่างผอมบางนอนนิ่ง หน้าซีดจนน่าตกใจ เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นอะไรแต่เขาก็ยังไม่วางใจจึงเอาผ้าห่มของตนมาห่มให้อีกผืน เมื่อแรกเด็กหนุ่มทักท้วงแต่ต่อมาก็ยอมนั่งพิงไหล่อันกว้างของเพื่อนใหม่แต่โดยดี ชายหนุ่มพินิจมองดวงหน้าสะสวย จะเป็นเพราะแสงจากเตาผิงหรืออะไรก็ไม่ทราบแน่ พวงแก้มอันซีดเซียวกลับมีสีของเลือดฝาดขึ้นมา ริมฝีปากซึ่งกลายเป็นสีแดงเหมือนกลีบกุหลาบเผยอนิดๆอย่างยั่วยวน เด็กหนุ่มดูสวยเสียจนทำให้เขาแทบลืมความทรุดโทรมแห่งสังขารที่เสื่อมลงด้วยโรคภัยเสียสิ้น เขามองภาพนั้นอย่างงุนงงระคนหลงใหล

ชั่วขณะนั้นเองที่เขานึกถึงคำว่า '..สุขคติ…'

เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับแล้วหรือแกล้งทำเป็นหลับ อะไรบางอย่างทำให้เขาก้มลงจุมพิตริมฝีปากนุ่มละมุนนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่ามือเย็นเฉียบของร่างเล็กจ้อยอบอุ่นขึ้นเช่นเดียวกับผิวหน้าที่แดงซ่าน เขายิ้มน้อยๆก่อนนอนลงอย่างรู้สึกอิ่มเอม

ชายหนุ่มตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ แต่กลับไม่พบเด็กหนุ่มคนนั้นนอนอยู่ข้างๆ ครั้นลองออกไปดูก็พบว่าประตูยังไม่เปิด เขางงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกต่อไป เขาเปิดดูหนังสือเล่มเมื่อวานที่หยิบติดมือมาจากชั้น ตัวเขาเองไม่ได้ชื่นชอบอะไรกับบทกวีเป็นพิเศษ แต่เมื่อได้คุยกับเด็กหนุ่มนักประพันธ์คนนั้นแล้วทำให้นึกอยากลองอ่านขึ้นมา หนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกมาเมื่อช่วงเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว ช่วงแรกของหนังสือเป็นบทกวี ช่วงหลังเป็นบันทึกประจำวัน เขานึกอยากลองอ่านเปรียบเทียบดูระหว่างอดีตกับปัจจุบันจึงเปิดหน้าที่ลงวันที่วันเดียวกับวันนี้ มีข้อความปรากฏว่า

'เมื่อคืนนี้ผมเจอเรื่องประหลาดมา ผมไปห้องสมุดเหมือนอย่างเคย ได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นคนใจดี คุยสนุก ผมถูกขังอยู่ในนั้นกับเขาทั้งคืน เราจูบกัน แต่พอตื่นขึ้นมาเขาก็หายไปเสียแล้ว เขาอาจจะเป็นผี น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกกลัวเลย ตรงกันข้าม ผมชอบเขามากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ผมรู้สึกไม่ดีเลย ไม่ดีเอาจริงๆ ทั้งๆที่เมื่อคืนผมออกจะอาการดีขึ้นมากแท้ๆ..'

บันทึกจบลงเท่านี้ ต่อจากข้อความมีหมายเหตุจากสำนักพิมพ์แจ้งเอาไว้

'ฟรันเซส แบรนดอน เสียชีวิตลงในวันนี้ซึ่งคือวันที่ 23 กันยายน ค.ศ.1879 ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ผู้ชายคนที่ถูกกล่าวถึงในบันทึกจึงเป็นคนสุดท้ายที่ได้พบกับเขา ทางสำนักพิมพ์ได้ลงประกาศหาตัวผู้ชายคนนี้แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อแต่อย่างใด ดังนั้นข้อมูลเกี่ยวกับเขาจึงยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้'

++++++

End

comment