ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Another Seasons (Summer : White Distance) by...nongrata ขณะนั้นเป็นปลายฤดูร้อน ดอกกุหลาบสีขาวซึ่งปลูกเอาไว้ทั่วโรงพยาบาลพากันออกดอกชูช่อไสว ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบอบอวลแม้ว่าตอนนั้นมันจวนจะร่วงโรยอยู่เต็มที แล้วเมื่อกลีบสีขาวนุ่มละมุนนั้นปลิดปลิวไป เรื่องของ 'เลอ นัวร์' ก็กลายเป็นตำนานที่ไม่มีใครลืมเลือนลงของโรงพยาบาลแซงต์ มาร์แตง ++++++ ตามสถานที่เก่าแก่มักมีเรื่องราวอันลี้ลับซึ่งพิสูจน์ไม่ได้อยู่สักเรื่องสองเรื่องเสมอ
โดยเฉพาะที่ที่มีเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับความเป็นและความตายอยู่เป็นประจำอย่างลานประหารนักโทษ
หรือตามโรงพยาบาลต่างๆ เรื่องลึกลับนี้เริ่มขึ้นเมื่อฤดูร้อนปี ค.ศ.1938 คนไข้ที่อยู่ในวอร์ดผู้ป่วยโรคหืดหอบหลายคนต่างก็ได้พบกับคนๆหนึ่งซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้เลย แต่ผู้ที่ได้เจอกับเขาหรือเธอต่างก็พูดตรงกันว่าเป็นเขาคนร่างสูงระหง ดูบอบบางเหมือนผู้หญิงแต่ก็มีบางอย่างที่คล้ายผู้ชาย แต่งตัวด้วยชุดยาวสีดำที่คล้ายกับชุดบาทหลวง ซึ่งนี่เองเป็นที่มาของชื่อ 'เลอ นัวร์' (Le noir) ไม่มีข้อมูลอื่นใดมากไปกว่านี้ แต่ที่แน่ๆคือบุคคลนี้ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำความตายมาสู่ทุกคนที่ตนได้พบ ข้อกล่าวหานี้เท็จจริงอย่างไรไม่เคยมีการพิสูจน์ หรือถ้าจะพูดจริงๆแล้วควรจะบอกว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้มากกว่า ชาร์ลส์ กิลเเบรต์ คือคนแรกที่ได้พบกับ
'เลอ นัวร์' ในช่วงบ่ายของวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1938 เขาเป็นผู้ป่วยที่อาการของโรคดีขึ้นตามลำดับ
ในวันนั้นชาร์ลส์แข็งแรงขนาดออกไปเดินเล่นในสวนหน้าโรงพยาบาลได้อยู่นานสองนาน
และเมื่อกลับมาเขาก็เล่าให้นางพยาบาลที่ชื่อนอร่า กาเปต์ฟังว่าวันนี้เขาได้พบ
'บาทหลวง'คนหนึ่งที่มีหน้าสวยมากและยังใจดีมากๆอีกด้วย มาดมัวแซลล์กาเปต์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องที่ได้ยินเพราะจำไม่ได้ว่าวันนี้มีบาทหลวงมาที่โรงพยาบาลด้วย
แต่เธอก็เพียงแต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเท่านั้น และเพียงไม่กี่นาทีต่อมาก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท
แม้เมื่อกิลแบรต์เสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมาก็ยังไม่มีใครนึกสะกิดใจ กระทั่งเริ่มมีคนที่
2 และต่อไปเรื่อยๆอีกจนเกือบ 10 คน คำร่ำลือเกี่ยวกับ 'บาทหลวงผู้แสนใจดีในชุดดำ'
ก็เริ่มหนาหูขึ้นทุกทีก่อนที่เรื่องนี้จะจบลงอย่างกะทันหันในปลายฤดูร้อนของปี
ค.ศ. 1938 ++++++ ในตอนกลางของฤดูร้อน นายแพทย์หนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า เจอราร์ด เลอเรต ได้ย้ายเข้ามาประจำที่โรงพยาบาลแซงต์ มาร์แตง เขาเองไม่เคยเชื่อถือเรื่องที่กำลังโจษจันกันอยู่ทั่วไปจึงรู้สึกหัวเสียมากทีเดียวที่ใครๆก็ต่างพากันพูดถึงเรื่องนี้ นายแพทย์เลอเรตเริ่มงานในเช้าวันที่ 27 กรกฎาคม คนไข้คนแรกของเขาคือ เรอเน่ จูร์แดง ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่เพิ่งเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เรื่องราวของเด็กคนนี้ค่อนข้างจะสลับซับซ้อนและเป็นที่โจษจันกันมาก ว่ากันว่าแท้จริงแล้วเรอเน่คือลูกนอกสมรสของนายจูร์แดง แต่เพราะเกรงว่าความประพฤติของตนจะถูกติฉินจึงรับเอาเด็กนั้นเป็นบุตรบุญธรรม ครั้นนายจูร์แดงเสียชีวิตลง ทรัพย์สินส่วนใหญได้ตกเป็นของเรอเน่ซึ่งทำให้บรรดาญาติโยมทั้งหลายยิ่งพากันรังเกียจเด็กคนนี้มากขึ้น ความขมขื่นนี้เองได้ทำให้เด็กที่มีหน้าตาสะสวยน่ารักราวกับเจ้าชายในเทพนิยายกลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ก้าวร้าว และค่อนข้างจะหยาบคาย เมื่อแรกที่นายแพทย์เลอเรตเริ่มงานของตน เด็กชายคนนี้ออกจะเป็นเรื่องน่าหนักใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเขาลองทำความเข้าใจกับเด็กดู เขาก็พบว่าแท้จริงแล้วเรอเน่นั้นว่าง่ายพอดูทีเดียวสำหรับคนที่ตนพอใจ ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อหนูน้อยดีขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเจ้าตัวยอมเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟัง เรอเน่มักจะพูดถึงความขมขื่นใจเกี่ยวกับพ่อ ญาติพี่น้อง และความไม่ใส่ใจของคนรอบข้างจนแม้แต่ศีลจุ่มก็ยังไม่ได้รับของตนอยู่เสมอ เรื่องหลังนี้สะกิดใจเจอราร์ดอย่างประหลาดราวกับว่าเป็นเรื่องของตัวเขาเองกระนั้น วันหนึ่ง เรอเน่ออกไปเดินเล่นตามคำแนะนำของนายแพทย์เลอเรต วันนี้เองที่เด็กชายได้พบกับ 'บาทหลวงผู้แสนสวยและแสนดี' ที่ใกล้กับพุ่มกุหลาบขาวซึ่งกำลังออกดอกสะพรั่ง เรอเน่รู้สึกถูกชะตากับบาทหลวงผู้นี้อย่างเหลือล้นจนถึงกับกลับไปเล่าให้หมอที่ตนสนิทฟัง เมื่อแรกเจอราร์ดออกจะไม่ค่อยเชื่อถือเท่าใดนักแต่เรอเน่กลับเฝ้าแต่พร่ำถึง 'เพื่อนใหม่' ที่ตนได้พบวันแล้ววันเล่า เขาไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรมากนัก จนกระทั่งเด็กชายเล่าให้เขาฟังว่า "หมอฮะ วันนี้คุณพ่อบอกผมว่าท่านกำลังตามหาเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่" "งั้นหรือ?" เขาเริ่มสนใจขึ้นมานิดหน่อย "ท่านว่ายังไงบ้างล่ะ?" "คุณพ่อบอกว่าเคยสัญญากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้รับศีลจุ่มเหมือนผมว่าท่านจะรับทำให้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ว่าเขายังไม่มาหาท่านเลย.." คืนนั้นเรอเน่มีอาการหอบจากโรคหืดรุนแรงจนเข้าขีดอันตราย ทั้งหมอและพยาบาลต่างวิ่งวุ่นกันจนดึกดื่นกว่าจะค่อยยังชั่วขึ้น เจอราร์ดออกจากห้องผู้ป่วยพิเศษเป็นคนสุดท้าย เขามองริมฝีปากเขียวซีดของเรอเน่อย่างสงสารจับใจก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นว่าจากหน้าต่างของห้องสามารถมองเห็นพุ่มกุหลาบขาวได้ถนัดตา เสียงฝีเท้าที่เดินบนระเบียงทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัย เสียงนั้นหยุดลงตรงหน้าประตู แล้วเสียงเคาะก็ดังขึ้นเบาๆ เจอราร์ดเปิดประตูออก รู้สึกเหมือนมีสัมผัสอันนุ่มละมุนผ่านร่างของตนไปอย่างแผ่วเบา เขาเหลียวมอง เหมือนจะเห็นชายผ้าสีดำที่เหมือนกับชุดของบาทหลวงพลิ้วสะบัดพร้อมกับเรือนผมสีทองกระจ่างตา น่าแปลกที่รู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน แต่เมื่อหวนดูอีกครั้งในห้องก็ไม่มีใครเลยนอกจากเขากับเรอเน่ เจอราร์ดสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงก่อนจะออกจากห้องพร้อมทั้งกลิ่นกุหลาบขาวที่ฟุ้งกระจาย รุ่งเช้า อาการของเรอเน่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประโยคแรกที่เด็กชายทักเจอราร์ดคือ "เมื่อคืนหมอเห็นคุณพ่อบาทหลวงไหม?" เขานิ่ง รู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจไปนิดหนึ่งขณะตอบเสียงแผ่ว "ไม่เห็น.." "เมื่อคืนคุณพ่อมาหาผม" ว่าพลางชี้มือไปที่เก้าอี้ข้างเตียง "นั่งกุมมือผมเอาไว้แล้วสวดมนต์ให้ทั้งคืนเลย คุณพ่อทั้งสวยทั้งใจดีจริงๆนะฮะ" วันนั้นทั้งวันนายแพทย์เลอเรตเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องลึกลับที่ตนได้ฟังมา ตอนเย็นเขาลองค้นประวัติเก่าๆของคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคหืดหอบขึ้นมาอ่านดู แล้วต้องเเปลกใจเมื่อพบประวัติที่เหมือนกับของเรอเน่ จูร์แดงราวกับคนคนเดียวกัน เจอราร์ดรีบพลิกดูชื่อเจ้าของที่เขียนไว้ด้วยลายมือหวัดๆ 'เจอราร์ด เลอเรต' ..ชื่อของเขาเอง เจอราร์ดพยายามทบทวนความคิดอย่างหนัก แม่ของเขาเคยบอกว่าตอนเป็นเด็กเขาเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆด้วยโรคหืดหอบ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาการหนักมากจนใครๆก็คิดว่าไม่รอด แต่เขาก็รอดมาได้ น่าแปลกที่หลังจากนั้นเขากลับหายเป็นปลิดทิ้ง แข็งแรงขึ้นจนเหมือนคนละคนกันทีเดียว เจอราร์ดรู้สึกขนลุก แต่แล้วเขาก็ผลุนผันออกไปข้างนอก ความมืดโรยตัวลงมาอย่างรวดเร็วจนบรรยากาศรอบด้านมืดสนิท ชายหนุ่มหยุดยืนที่พุ่มกุหลาบขาว มองช่อดอกที่ชูสะพรั่งอย่างคลางแคลงใจ เขานึกเกลียดวันฟ้าใสขึ้นมาเสียแล้ว อยากให้ฟ้ามืด ฝนโปรย กุหลาบขาวจะได้เหี่ยวเฉาแล้วร่วงโรยลงจากต้น เขาหันหลังกลับ พบร่างโปร่งบางยืนอยู่เบื้องหลัง หน้าอันงามมีรอยยิ้มน้อยๆที่เปี่ยมด้วยเมตตา แปลกอีกเช่นกันที่เขาไม่รู้สึกกลัวเลย มือเรียวงามที่แสนอบอุ่นแตะหน้าผากของเจอราร์ดอย่างอ่อนโยนจนเขาต้องกุมเอาไว้เบาๆ เขาทรุดกายลงและทอดตัวนอนเหยียดยาวโดยมือทั้งสองของอีกฝ่ายคอยประคองศีรษะตนไว้ อย่างนุ่มนวล ++++++ ศพของนายแพทย์เจอราร์ด เลอเรตถูกพบในเช้าของวันรุ่งขึ้น เขานอนหงายเหยียดยาว ใบหน้ายังมีรอยยิ้มน้อยๆเหมือนได้รับความสุขสงบอย่างเหลือล้นในยามสิ้นใจ จากการชันสูตรพบว่าเขาจมน้ำตายทั้งที่ไม่มีร่องรอยของการเคลื่อนย้ายศพไปไหนเลย ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้กับเรอเน่ จูร์แดง ซึ่งสนิทกับเขามากเป็นพิเศษเนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความสะเทือนใจให้แก่พ่อหนูจนเหลือรับ ดังนั้นนางพยาบาลที่เป็นเวรต้องไปดูแลเรอเน่จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนักด้วยกลัวเด็กชายจะถามขึ้นมา น่าแปลกที่เรอเน่ไม่ได้พูดถึงเลย แต่เมื่อมาดมัวแซลล์เดอมัวฟ์กำลังจะรินน้ำให้ พ่อหนูก็เอ่ยขึ้นว่า "ไม่ต้องแล้วล่ะครับ ก็เมื่อกี๊คุณพ่อกับคุณหมอมานั่งคุยกับผมที่นี่ คุณพ่อกลัวผมจะคอแห้งก็เลยรินน้ำให้ผมกินไปแล้วล่ะครับ" ว่าพลางชี้ไปที่แก้วน้ำซึ่งยังมีน้ำเหลืออยู่นิดหนึ่ง มาดมัวแซลล์เดอมัวฟ์พูดอะไรไม่ออก แต่เมื่อเดินออกจากห้องเธอก็ถึงกับทรุดทีเดียว เรอเน่ จูร์แดง เสียชีวิตในวันที่
4 กันยายน ค.ศ. 1938 ทั้งที่อาการก่อนหน้านี้ดีขึ้นจนเกือบจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้วแท้ๆ
นับได้ 24 ชั่วโมงพอดีหลังจากเด็กชายได้พบกับ 'บาทหลวงผู้แสนสวยแสนดี'
++++++ End |