ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Another Seasons

(Winter : Lucien)

by...nongrata

ชื่อของเธอคือ 'ลูเซียง' หรือถ้าจะเรียกเต็มๆก็คือ 'ลูเซียง เดอ ชาติญอง' เป็นชื่อที่แม้จะออกโบราณไปสักนิด แต่ก็ไพเราะเหมาะสมกับผู้เป็นเจ้าของนามเป็นที่สุด..

วันที่ข้าพเจ้าได้พบกับลูเซียงคือวันคริสต์มาส ข้าพเจ้าสามารถจดจำทุกสิ่งทุกอย่างในวันนั้นได้แม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่โดยปกติแล้วข้าพเจ้ามักจะถูกตำหนิอยู่เสมอมาในเรื่องการไม่เอาใจใส่ใครต่อใคร แต่ทุกคนก็ยังยินดีที่จะสมาคมกับข้าพเจ้าต่อไปตราบใดที่เขายังคิดว่าการคบหากับมหาเศรษฐีผู้ประพฤติตนเป็น 'คนเสเพล' เช่นนี้ยังคงอำนวยประโยชน์ให้แก่เขาได้ ซึ่งนั่นก็แล้วแต่ข้าพเจ้าหรอก หาใช่พวกเขาเองไม่!

คริสต์มาสปีนั้นเริ่มต้นด้วยความน่าเบื่อหน่ายหากจบลงด้วยความประทับใจอย่างสุดแสน ความเหม็นเบื่อของข้าพเจ้านั้นเนื่องมาจากการต้องมาปรากฏตัวอยู่ในงานปาร์ตี้แฟนซีที่แสนน่าชัง และด้วยนิสัยอันไม่เคยเกรงใจใคร ข้าพเจ้าจึงไม่คิดจะปิดบังอาการเหนื่อยหน่ายอย่างสุดแสนให้พ้นจากสายตาแขกเหรื่อด้วยการเต้นรำกับหญิงหรือชายใดที่แต่งเป็นหญิงซึ่งมีอยู่เกลื่อนกลาดหากไม่น่าสนใจเลยซักคน ก็จะให้สนใจได้อย่างไรเล่า? ในเมื่อสาวคนสวยที่สุดนั้นเคยเป็น 'คู่รัก' ของข้าพเจ้าอยู่พักหนึ่งเช่นเดียวกับอีกหลายๆคนที่อยู่ในที่นี้ แต่ก็ไม่แน่ดอก เมื่อเสร็จงานแล้วข้าพเจ้าอาจชวนหล่อนก็ได้ เพราะอย่างไรการอยู่คนเดียวในคืนคริสต์มาสก็ออกจะไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย

ดังที่ได้กล่าวมา ข้าพเจ้าจึงสมัครที่จะนั่งเงียบๆตรงมุมห้องพร้อมไวน์เลิศรสคลอกับเสียงเพลงวอลซ์อมตะของโยฮัน สเตราส์ที่ชื่อ The Blue Danube ไปเรื่อยๆ เผอิญสายตาของข้าพเจ้าไปเผลอจับอยู่ที่ประตูห้องโถง แล้ว ณ เวลานั้นเอง ลูเซียงก็เข้ามา

เมื่อแรกข้าพเจ้าออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่มีคนมาเอายามเวลาล่วงไปแล้วถึงขนาดนี้ แล้วความรู้สึกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตาตื่นใจในรูปโฉมซึ่งงามประหลาด เหตุว่าข้าพเจ้ามิได้มีสันดานอันละเอียดอ่อน ดังนั้นสิ่งที่ข้าพเจ้ามองเห็นและสนใจในอาคันตุกะคนใหม่จึงมีเพียงหน้าและร่างอันงามเท่านั้น

วันนั้นลูเซียงแต่งชุดกระโปรงราวศตวรรษที่ 18 สีทองแห่งอาภรณ์นั้นจับดวงหน้าอันผุดผ่องให้เนียนระเรื่อ เรือนผมดำขลับบรรจงเกล้าขึ้นอย่างหรูหราเช่นดียวกับที่ลำคอระหงนั้นมีสร้อยเพชรร่วมสมัยกับเครื่องแต่งกายประดับอยู่ ร่างเล็กแบบบางทำให้คะเนอายุได้ประมาณ 16 - 17 ปีเท่านั้น

ข้าพเจ้าออกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่จำได้ว่าไม่เคยพบเห็นเธอที่ไหนมาก่อนเลย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เพราะอย่างไรข้าพเจ้าก็ต้องได้รู้จักกับคนงามอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน!

นัยน์ตาสีม่วงงดงามของลูเซียงกำลังจับจ้องอยู่ที่ใครคนหนึ่ง เป็นครู่กว่าข้าพเจ้าจะรู้ว่าเธอมองมาที่ตัวเอง ประกายตาอันเร้นลับนั้นแน่วแน่จนข้าพเจ้าอดนึกชื่นชมไม่ได้ และนั่นเป็นครั้งแรกทีเดียว.. ที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอยากรู้จักใครสักคนให้ลึกซึ้งกว่าเพียงชื่อเสียงเรียงนาม

ด้วยเหตุดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลูเซียงคนงามผู้ยกเอาพัดลูกไม้สีทองขึ้นมาบดบังดวงหน้าของตนให้พ้นเสียจากสายตาของใครต่อใครที่กำลังมองมาเป็นทางเดียว เหลือไว้เพียงดวงตาที่ราวกับจะหัวเราะได้คู่นั้นเพื่อใช้พินิจพิเคราะห์ข้าพเจ้า ตอนนี้เองที่ข้าพเจ้าเพิ่งจะพบว่านัยน์ตาทั้ง 2 ข้างของลูเซียงไม่เหมือนกัน โดยข้างหนึ่งนั้นเป็นสีเทาอ่อนแกมม่วงน้อยๆ ซึ่งหากไม่สังเกตก็จะไม่พบความแตกต่างอย่างชัดเจน ดวงหน้าอันงามของลูเซียงก็ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความลังเลใจเช่นกัน เมื่อแรกข้าพเจ้าคิดว่าเธอเป็นผู้หญิง แต่ตอนนี้เธอทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าความจริงเป็นเช่นไร ลูเซียงดูเหมือนทั้งผู้ชายและผู้หญิงในเวลาเดียวกัน ความจริงแล้ว เธอเหมือนคนไร้เพศเสียด้วยซ้ำ…

เหตุว่าลูเซียงไม่ใช่คนที่ใช้สีหน้าในการบอกอารมณ์ ซ้ำบุคลิกลักษณะยังดูเย็นชาห่างเหินตามแบบผู้ดีโบราณ ดังนั้นเมื่อมองเผินๆจึงรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระราชินีผู้ทรงศักดิ์ในสมัยศักดินา มีเพียงดวงตาสีม่วงเท่านั้นที่ใช้บอกทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะยิ้ม หัวเราะ เศร้าโศก กราดเกรี้ยว หรือแม้กระทั่งความปั่นป่วนรัญจวนใจก็ตาม และจากดวงตาคู่นี้เอง ข้าพเจ้าได้พบว่าเธอมีความชอบพอในตัวข้าพเจ้าอยู่ไม่น้อยเลย ประกายวิบวับแพรวพราวในนัยน์ตาต่างสีบอกถึงความเป็นคนขี้เล่นซึ่งตรงกันข้ามกับกิริยาภายนอกโดยสิ้นเชิง และพร้อมกันนั้น ลูเซียงก็ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า เธอเองก็เป็นคนประเภทเดียวกับข้าพเจ้าเช่นกัน!

ข้าพเจ้าไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากขอเธอเต้นรำตามมารยาทโดยแสร้งวางท่าเหมือนตนเป็นอัศวินยุคโบราณกำลังพยายามเอื้อมมือจะเด็ดดอกฟ้าผู้เป็นเจ้าหญิงแห่งราชตระกูลก็ไม่ปาน ลูเซียงตอบรับในทันทีทันใด เธอส่งมือมาให้ข้าพเจ้ารับไปจุมพิต มือนั้นเรียวยาว บอบบางเหมือนมือผู้สูงศักดิ์ เส้นเลือดอันปรากฏให้เห็นจางๆบนข้อมือเล็กเหมือนเด็กเป็นสีน้ำเงินเหมือนกับคำกล่าวว่า 'เลือดสีน้ำเงิน' เป็นที่สุด

การเต้นรำของเราในคืนนั้นนับเป็นการวาดลวดลายที่งดงามที่สุด ลูเซียงเป็นนักเต้นรำชั้นเลิศจนข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่าเธอคงจะมีความ 'เป็นเลิศ' ในด้านอื่นที่ข้าพเจ้าประสงค์จะให้เป็นด้วย ริมฝีปากอิ่มได้รูปสีแดงระเรื่อเหมือนดอกกุหลาบแย้มออกน้อยๆจนข้าพเจ้าต้องยิ้มตอบอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จะไม่ให้ทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า? ในเมื่อรอยยิ้มของเธอช่างงามน่ารักเสียนี่กระไร ลูเซียง!

ข้าพเจ้าออกแปลกใจอยู่บ้างที่รู้สึกว่ามือน้อยๆที่แสนนุ่มนิ่มของลูเซียงนั้นเย็นเยียบ ซ้ำแผ่นหลังบอบบางที่ข้าพเจ้ากำลังโอบอยู่นั้นก็เย็นเฉียบราวกับน้ำเเข็ง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าพิศวงสงสัยอะไร ลูเซียงเป็นคนร่างเล็กบาง ซ้ำวันนี้หิมะก็ตกหนักทีเดียว ข้าพเจ้าจึงจงใจเบียดร่างเข้าให้แนบชิดคู่เต้นยิ่งกว่าเดิมด้วยหวังว่าเธอจะรู้สึกอบอุ่นขึ้น

ดนตรีจบลงแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังไม่ต้องการให้มันจบ ข้าพเจ้ายังอยากอยู่ใกล้ๆลูเซียง เพราะเธอได้ทำให้ความรู้สึกถึงเรื่องซาบซึ้งรัญจวนจิตของข้าพเจ้าฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่มันได้ตายไปนานแล้ว ชะรอยเธอคงจะล่วงรู้ว่าข้าพเจ้าคิดอย่างไร ลูเซียงเอื้อมมือมาแตะข้าพเจ้าเบาหวิวราวกับปีกผีเสื้อโบย

"ในนี้ออกจะน่าเบื่อ ออกไปข้างนอกกันดีไหม?"

ข้าพเจ้าตกปากรับคำในทันใด ในราวอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา เราทั้งคู่ก็อยู่บนรถซึ่งจอดอยู่ข้างๆแม่น้ำสายสั้นๆซึ่งกลายเป็นน้ำแข็งไปด้วยความหนาว หิมะภายนอกยังโปรยปรายจนรอบด้านกลายเป็นสีขาวโพลน ดูสวย.. แต่ก็เยียบเย็น

"ได้โปรดบอกชื่อของคุณหน่อยได้ไหม?"

เธอหันมามองหน้าข้าพเจ้า แต่ก็ตอบโดยไม่แสดงท่าทีอะไร "ลูเซียง เดอ ชาติญอง"

"ผมจำไม่ได้ว่าเคยพบคุณมาก่อน"

"แล้วแปลกอะไรหรือ? ก็เราเพิ่งรู้จักกัน"

ข้าพเจ้ากุมมือของลูเซียงเอาไว้ คงจะเพราะความบอบบางของเธอล่ะกระมัง นิ้วยาวเรียวจึงได้เย็นเฉียบเหมือนกับหิมะไม่มีผิด "แต่ผมรู้สึกเหมือนเคยรู้จักคุณมาก่อน"

ลูเซียงเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้แสดงว่าแปลกใจอะไร "ฉันเองก็เคยพบเธอ" ตอนนี้เองที่ดวงตาต่างสีคู่นั้นฉายประกายพราวอย่างคนขี้เล่น ข้าพเจ้าจึงฉวยโอกาสนี้รั้งร่างเธอเข้ามาสู่อ้อมกอดพลางรอดูท่าทีว่าเธอจะทำอย่างไร

ลูเซียงหัวเราะคิก ไม่ได้โกรธ แต่กลับใช้สองมือเย็นๆนั่นจับมือข้าพเจ้าไว้แน่น "แต่เธอ.. ไม่สิ คนที่หน้าตาคล้ายเธอน่ะ แค่ได้จับมือฉันอย่างนี้ก็เห็นจะประทับใจจนวันตายเชียว"

"เขาหลงรักคุณข้างเดียวหรือ?"

"ถ้าหากชีวิตเขาจะยืนยาวกว่านั้นสักหน่อยก็เห็นจะไม่ ฉันอาจจะหลงรักเขาตอบบ้างก็ได้ เขาเป็นคนมีเสน่ห์นี่นะ!" พูดพลางยิ้มอีก "ฉันรู้ดีว่าเธอต้องการอะไร พ่อหนุ่ม แต่ออกจะเร็วปรูดปราดไปสักหน่อย เธอคงคิดว่าฉันอาจจะยอมเธอ แต่ไม่ล่ะ ยัง 'ไม่' แน่ๆเชียว"

แปลกที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกผิดหวังอะไรมากมายอย่างที่ควรจะเป็น และแปลกที่ข้าพเจ้าอยากรู้จักลูเซียงให้มากกว่านี้ แต่อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าเธอเองก็เป็นคนประเภทเดียวกับข้าพเจ้า ซ้ำยังไม่ค่อยรักษาคำพูดสักเท่าไร ในที่สุดลูเซียงก็ปลดเครื่องแต่งกายอันหรูหราออกหลังจากยั่วเย้าข้าพเจ้าได้พักหนึ่ง เธอเป็นคนร่างเล็กมากทีเดียวสำหรับเด็กหนุ่มอายุประมาณนี้ ผิวขาวผ่องนั้นเนียนละเอียดและอ่อนนุ่มเหมือนผ้าแพรยามได้สัมผัส ลูเซียงผละออกจากข้าพเจ้าทุกครั้งที่ข้าพเจ้ากอดรัดเธอพลางหัวเราะร่วน ข้าพเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่านี่เป็นคริสต์มาสที่ซาบซึ้งตรึงใจที่สุดในชีวิตทีเดียว!

ข้าพเจ้าขับรถไปส่งลูเซียงที่บ้านซึ่งอันที่จริงแล้วคือปราสาทโบราณ ข้าพเจ้าคิดว่าเธอคงจะเป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางสมัยก่อนจึงดูมีท่าทีวางตัวนัก เราจูบลากันอีกครั้งก่อนลูเซียงจะเดินหายลับเข้าไปในความมืดโดยทำพัดลูกไม้หล่นที่หน้าประตู ข้าพเจ้าจึงเก็บไว้โดยคิดจะใช้เป็นข้ออ้างในการมาหาเธอในวันพรุ่งนี้

วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าตัดสินใจมาหาลูเซียงอีกครั้ง แต่พอมาถึงปราสาทข้าพเจ้าก็ได้พบกับผู้คนมากมายที่มากันราวกับมีงานอะไรสักอย่าง เมื่อสอบถามดูแล้วข้าพเจ้าก็ออกจะแปลกใจที่ได้รู้ว่าปราสาทโบราณหลังนี้หรือที่มีชื่อเต็มๆว่า 'ชาโต ดู โซเลย' กำลังจะประมูลขายกันในวันนี้ เนื่องจากผู้เป็นเจ้าของคนปัจจุบันจะย้ายถิ่นฐานไปพำนักอยู่ต่างประเทศ ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายวูบ แล้วลูเซียงเล่า? ข้าพเจ้าออกจะนึกรักเธอขึ้นมาเสียแล้ว ถ้าอย่างไรข้าพเจ้าจะซื้อปราสาทนี้ไว้แล้วให้เธอมาอยู่ด้วย หรือถ้าหากว่าเธออยากอยู่ที่อื่น ข้าพเจ้าก็พร้อมจะย้ายตามเธอไป ลูเซียง!

ข้าพเจ้าเดินเข้าไปในปราสาทโดยมีนายหน้าตามมาเพื่อเตรียมตัวโฆษณาถึงประวัติหรืออะไรก็ตามของปราสาทหลังนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง เมื่อแรกนั้นข้าพเจ้าไม่ได้ใส่ใจ เพราะถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ได้ตั้งใจจะซื้อมันเอาไว้อยู่แล้ว ทุกหนทุกแห่งของปราสาทนี้ราวกับมีกลิ่นไอของลูเซียงเจือปนอยู่ทีเดียว

ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็มาหยุดยืนอยู่ที่รูปๆหนึ่ง มันเป็นรูปวาดสีน้ำมันที่ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของจิตรกรมีชื่อซึ่งถนัดในการวาดรูปสาวงามของราชสำนัก ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจศิลปะหรือรูปวาดใดๆ ..แต่คนในรูปนี้ช่างดูคล้ายกับลูเซียงเสียเหลือเกิน… ข้าพเจ้ายืนมองด้วยความตกตะลึงสลับกับความพิศวงสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบว่านี่คือลูเซียงแน่นอน ทุกรายละเอียดของดวงหน้าอันงามรวมทั้งนัยน์ตาต่างสีได้ปรากฏอยู่บนผืนผ้าใบซึ่งอยู่ในกรอบรูปโบราณอย่างชัดแจ้ง ข้าพเจ้าลองสำรวจดูรอบๆ แล้วก็ได้พบว่ามีรูปของลูเซียงประดับไว้เกือบทุกห้องทีเดียว!

นายหน้าผู้เห็นข้าพเจ้าคอยเอาแต่ดูรูปของลูเซียงซึ่งล้วนอยู่ในชุดของสตรีราชสำนักโบราณรีบเปิดดูรายละเอียดของรูปพลางพูดให้ข้าพเจ้าฟัง

"นี่เป็นรูปของเจ้าของปราสาทคนแรกครับ รู้สึกว่าจะเป็นพระญาติของราชวงศ์บรูบองส์ ชื่อ…" ว่าพลางรีบพลิกหาอุตลุด "อ้อ! มียศเป็นท่านดยุกครับ ชื่อลูเซียง ลูเซียง เดอ ชาติญอง"

คงไม่มีคำใดที่จะสามารถบอกเล่าถึงความรู้สึกของข้าพเจ้าในยามนั้นได้เป็นแน่แท้ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างแรงก่อนจะมีใครเอาน้ำเย็นเฉียบมาสาดเข้าที่หน้า ในความอัศจรรย์ใจนั้นผสมปนเปด้วยความงุนงงระคนสับสนไม่แน่ใจ แต่ทั้งๆที่ยืนตะลึงอยู่นั้น หูของข้าพเจ้าก็ยังได้ยินเสียงพ่อนายหน้าตัวดียืนพร่ำถึงชีวประวัติของ 'ลูเซียง เดอ ชาติญอง' อยู่ดี

"ท่านดยุกคนนี้เป็นคนขี้เล่นมากเชียวครับ ท่านชอบจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงไปตามงานลีลาศเพื่อหยอกคนที่ยังไม่รู้ให้หน้าม้านเล่น แหม.. ก็ท่านสวยออกอย่างนี้นี่ครับ! คงจะเพราะอย่างนี้ก็เลยมีแต่รูปของท่านตอนแต่งเป็นผู้หญิงประดับอยู่ ว่ากันว่าถ้าท่านดยุกคนนี้เป็นผู้หญิงจริงๆก็เห็นจะได้เป็นพระราชินีของประเทศใดประเทศหนึ่งในยุโรปสมัยนั้นแน่นอน แต่น่าเสียดายว่าอายุสั้น ตายตั้งแต่อายุแค่ 20 แน่ะครับ"

"เป็นอะไรตาย?" ข้าพเจ้าถาม ใจหายวูบทีเดียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะตายไปตั้งหลายร้อยปีก่อนข้าพเจ้าจะเกิดก็ตาม แต่เมื่อคิดว่าความสวยงามเช่นนี้จะต้องถูกฝังลงดิน ผิวกายอันผุดผ่องจะต้องเปื่อยเน่าจนเหลือแต่โครงกระดูกผุพังแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกจะสลดใจไม่น้อย

"เป็นข่าวลือกันน่ะครับ ว่าท่านถูกภรรยาตัวเองวางยาพิษ.." ประโยคหลังเขาลดเสียงลงเกือบเป็นกระซิบ ทั้งที่เรื่องที่พูดก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย "ท่านดยุกรักปราสาทแห่งนี้มาก ศพของท่านเลยถูกฝังอยู่ในบริเวณปราสาทนี้ล่ะครับ โอ๊ะ! แต่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆหรอกครับ อยู่ห่างไปมากทีเดียว" เจ้าตัวรีบพูดแก้เป็นพัลวันเมื่อรู้ตัวว่าได้พลาดไปเสียแล้ว "แต่ปราสาทนี้ยังงามมากนะครับ แถมยังดูสดชื่นสมชื่อชาโต ดู โซเลย อีกด้วย"

"ผมจะซื้อปราสาทนี้" ข้าพเจ้าตัดสินใจได้ในทันที พ่อนายหน้าตาโต พูดขอบคุณพลางกล่าวสรรเสริญเยินยอข้าพเจ้าอยู่พักใหญ่ก่อนผละจากไปจัดการเรื่องต่างๆให้

ข้าพเจ้าหยิบพัดลูกไม้สีทองที่ลูเซียงทำตกไว้ขึ้นมาลูบคลำเล่น มันเป็นอันเดียวกับที่ผู้เป็นเจ้าของปราสาทคนแรกถืออยู่ในรูปวาด ชะรอยความสนุกสนานของงานลีลาศในวันคริสต์มาสคงทำให้คนขี้เล่นอย่างเธอทนอยู่เฉยๆไม่ได้กระมัง จึงต้องออกมาหาความรื่นเริงบันเทิงใจภายนอก แปลกที่ข้าพเจ้ากลับไม่นึกกลัวเลย ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ รูปวาดของลูเซียงทำให้รู้สึกราวกับไม่ใช่คนแปลกหน้า บรรยากาศของที่นี่ดูแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ..อ่อนโยน…

ข้าพเจ้ากำพัดไว้แน่น รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวแรงเมื่อจินตนาการไปว่าข้าพเจ้าอาจจะได้พบกับเธอคืนนี้ ..ที่นี่… อีกครั้ง!

++++++

End

comment