ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

ภาพแผ่นหลังของพ่อ --- BEIYING

(แปลจากต้นฉบับภาษาจีนซึ่งใช้ชื่อว่า 'เป้ยอิ่ง')

ผู้แต่ง: Zhu Ziqing

ผู้แปล: เฟื่อง

จากผู้แปล : ที่จริงแปลเรื่องนี้เก็บไว้นานแล้วค่ะ กะจะเอามาลงช่วงอัพวันพ่อ แต่พอถึงเวลามาหาดูอีกทีก็ปรากฏว่าดันเผลอลบทิ้งไปแล้ว T-T อีกอย่างอัพคราวนั้นก็ไม่ได้ตรงวันพ่อเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่พอดีเห็นมีคนไปโพสต์ในบอร์ดว่าชอบอ่านเรื่องแปล (ถึงแม้จะมีไม่กี่คนก็ตาม) ดังนั้นก็เลยฮึดแปลอีกรอบ เรื่องนี้ไม่ได้เนื้อหาสะท้อนสังคมอะไรมากหรอกนะคะ แต่ก็กินใจดีนะ อยากจะบอกว่าอ่านครั้งแรกร้องไห้นิด ๆ เลยอ่ะ อาจจะแปลได้ไม่ดีหรือถึงแก่นอารมณ์เท่าที่ควร ยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ

ฉันไม่ได้เจอกับพ่อมาสองปีแล้ว สิ่งที่ไม่เคยลืมเลยก็คือภาพแผ่นหลังของท่าน

ในฤดูหนาวปีนั้น ย่าฉันเสีย พ่อเองก็ตกงาน ช่างเป็นช่วงที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเสียจริง ฉันเดินทางจากปักกิ่งกลับสวูโจวเพื่อช่วยพ่อจัดการงานศพ แต่พอกลับไปแล้วเห็นพ่อ เห็นข้าวของในบ้านวางระเกะระกะ ก็อดจะนึกถึงย่าแล้วน้ำตาไหลไม่ได้ พ่อปลอบฉันว่า "เรื่องมันเป็นอย่างนี้แล้วก็อย่าเสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทางเสียหน่อย"

ถึงแม้จะเอาข้าวของออกมาขาย เราก็ยังมีเงินไม่พอ พ่อต้องยืมเงินมาจัดการงานศพ ในช่วงเวลานั้น จะหันมองไปทางไหนก็ช่างมืดมนเสียจริง ทั้งเป็นเพราะงานศพของย่า ทั้งเป็นเพราะพ่อตกงาน หลังจัดการงานศพเรียบร้อยแล้ว พ่อจะไปหางานทำที่นานกิง ฉันเองก็ต้องกลับไปเรียนหนังสือที่ปักกิ่ง พวกเราจึงออกเดินทางด้วยกัน

พอถึงนานกิงก็มีเพื่อนชวนไปเที่ยว ฉันจึงพักค้างเสียคืนหนึ่ง สายวันรุ่งขึ้นจะต้องข้ามแม่น้ำไปผูโข่ว ตอนบ่ายจับรถขึ้นเหนือ เนื่องจากพ่อมีธุระยุ่ง ในตอนแรกจึงบอกว่าไปส่งฉันไม่ได้ แต่ให้คนรู้จักที่เป็นพนักงานในร้านน้ำชาเดินทางไปเป็นเพื่อนฉันแทน พ่อสั่งกำชับกำชากับพนักงานคนนั้นอย่างละเอียดอยู่หลายรอบ แต่ในที่สุดก็ยังไม่วางใจ เกรงว่าพนักงานคนนั้นจะดูแลฉันได้ไม่ดีพอ จึงได้แต่สองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ ปีนั้นฉันก็อายุยี่สิบแล้ว ไป ๆ กลับ ๆ ปักกิ่งก็ตั้งสองสามครั้ง ไม่เห็นจะมีอะไรต้องน่าเป็นห่วงอีก พ่อลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจจะไปส่งฉันด้วยตนเอง ไม่ว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ท่านก็พูดเพียงแต่ว่า "ไม่เป็นไร ให้คนอื่นไปไม่ดี!"

พวกเราข้ามแม่น้ำแล้วไปที่สถานี ในช่วงที่ฉันซื้อตั๋ว พ่อก็คอยดูแลกระเป๋าเดินทางให้ สัมภาระฉันเยอะมาก จะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อยถึงจะเดินทางได้ พ่อก็ดันไปต่อราคากับเขาอีก ฉันในตอนนั้นเป็นพวกมีความรู้ที่คิดว่าตัวเองฉลาดหนักหนา รู้สึกว่าคำพูดคำจาของพ่อไม่เหมาะสมสวยงามเท่าไหร่ จึงอดจะสอดปากขึ้นมาบ้างไม่ได้ แต่ในที่สุดพ่อก็ตกลงราคากับเขาจนได้ จากนั้นก็ส่งฉันขึ้นรถ พร้อมบอกให้ฉันเลือกนั่งเก้าอี้แถวที่อยู่ใกล้ประตู ฉันใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่พ่อให้มาปูรองเบาะ ท่านกำชับให้ฉันระวังตัวระหว่างเดินทาง ตอนกลางคืนก็อย่าหลับให้ลึกนัก ระวังไม่ให้เป็นหวัด พร้อมทั้งฝากฝังพนักงานร้านน้ำชาให้ช่วยดูแลฉันให้ดี ตอนนั้นฉันนึกขำในใจ พวกพนักงานพวกนี้ก็รู้จักแต่เงินเท่านั้นแหละ ฝากฝังไปเท่าไหร่ก็เปลืองน้ำลายเปล่า! หนำซ้ำคนอายุก็ตั้งขนาดนี้ ลำพังแค่ตัวเองยังจะดูแลไม่ไหวแล้วกระมัง? เฮ้อ ตอนนี้ฉันมาคิด ๆ ดู ตัวเองในตอนนั้นช่างอวดฉลาดเสียเหลือเกิน!

ฉันพูดขึ้นว่า "พ่อ พ่อไปเถอะ" พ่อมองออกไปนอกรถแล้วพูดว่า "พ่อจะไปซื้อส้มเสียหน่อย แกอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องลุกไปไหน" ฉันมองออกไปก็เห็นว่าด้านนอกของรั้วที่กั้นตรงชานชาลานั้นมีร้านขายของสำหรับคนรอขึ้นรถอยู่หลายร้าน ทางที่จะไปชานชาลานั้นต้องผ่านทางรถไฟ จะต้องกระโดดลงไปก่อน แล้วจึงปีนขึ้นมาอีกครั้ง พ่อฉันเป็นคนอ้วน จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องลำบากอยู่ไม่น้อย ตอนแรกฉันจะไปเอง แต่พ่อไม่ยอม พ่อสวมหมวกผ้าใบเล็ก ๆ สีดำ เสื้อกั๊กแบบจีนสีดำตัวใหญ่ ชุดเสื้อแบบจีนสีเขียวเข้ม พ่อค่อย ๆ เดินต้วมเตี้ยมไปยังทางรถไฟ ปีนลงไปช้า ๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ยากลำบากอะไร แต่เมื่อข้ามทางรถไฟได้แล้วก็ต้องปีนขึ้นชานชาลาฝั่งนั้นอีก นี่สิที่ไม่ง่ายเลย สองมือของพ่อจับขอบพื้นด้านบนไว้ สองเท้าก็ตะกายขึ้นมาด้วยการเอียงร่างฉุเนื้อไปทางขวาเล็กน้อย ดูแล้วต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียว ในเวลาที่ฉันเห็นภาพแผ่นหลังของพ่อนั้นเอง น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างรวดเร็ว ฉันรีบปาดมันออก เกรงว่าพ่อหรือคนอื่นจะเห็นเข้า เมื่อฉันมองกลับไปด้านนอกอีกครั้ง พ่อก็เดินกลับมาพร้อมกับส้มสีแดงสดในอ้อมแขนแล้ว เมื่อถึงตอนที่จะต้องข้ามทางรถไฟกลับมา พ่อวางส้มลงกับพื้น ก่อนจะค่อย ๆ ปีนลงไป แล้วจึงหันไปหยิบส้มขึ้นมาใหม่ เมื่อเดินมาถึงอีกฝั่ง ฉันก็รีบลงรถไปพยุงท่านขึ้นมา เราเดินกลับมาที่รถโดยที่ส้มทั้งหมดอยู่ในห่อผ้าในมือฉัน พ่อปัดเศษดินออกจากเสื้อผ้าด้วยอาการปลอดโปร่งใจ สักพักก็พูดขึ้นว่า "พ่อจะไปแล้ว ไปถึงเมื่อไหร่ก็เขียนจดหมายมาแล้วกัน!" ฉันมองท่านเดินจากไป เพียงไม่กี่ก้าวพ่อก็หันกลับมาแล้วพูดว่า "กลับขึ้นรถไปเถอะ ข้างบนไม่มีคน" ฉันรอจนภาพแผ่นหลังของพ่อกลืนหายไปในฝูงชนที่เดินไปมา จนกระทั่งลับตาไป จึงได้กลับขึ้นรถ ก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้ง

ไม่กี่ปีมานี้ พ่อกับฉันอยู่กันคนละทิศละทาง บรรยากาศของครอบครัวก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม พ่อจากบ้านไปหางานทำตั้งแต่ยังหนุ่ม พึ่งพาตัวเองมาโดยตลอด ทำงานใหญ่ ๆ มาไม่น้อย ใครเลยจะรู้ว่าล่วงเข้าวัยชราจะกลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวและเหงาเศร้าได้ถึงเพียงนี้ ในระยะที่ตกต่ำนั้น พ่อจะอึดอัดฮึดฮัด ทำอะไรไม่ค่อยถูกใจตัวเอง จึงโมโหตัวเองอยู่บ่อย ๆ เรื่องหยุมหยิมภายในบ้านก็มักจะทำให้พ่ออารมณ์เสียได้เสมอ และค่อย ๆ ปฏิบัติตัวกับฉันแปลกไป แต่ในระยะเวลาสองปีที่ไม่ได้เจอกัน ในที่สุดพ่อก็ลืมความประพฤติแย่ ๆ ของฉัน กลับคิดถึงฉัน คิดถึงลูกของฉัน เมื่อฉันมาทางเหนือแล้ว พ่อก็เขียนจดหมายมาหา เล่าว่า "สุขภาพของพ่อก็ปกติดี จะมีแต่หัวไหล่เท่านั้นที่ปวดเหลือเกิน จะยกตะเกียบหยิบพู่กันก็ไม่สะดวกทั้งนั้น สงสัยจะใกล้ถึงวันตายเข้าไปทุกที" เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ฉันกลับมองเห็นภาพแผ่นหลังของผู้ชายร่างอ้วน สวมเสื้อสีเขียวเข้ม เสื้อกั๊กสีดำ ผ่านหยาดน้ำตาประกายใสที่ไหลหยดลงมา เฮ้อ! ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้มีโอกาสเจอพ่ออีก!

ปักกิ่ง, ตุลาคม 1925

++++++++

:: จากผู้แปล :: ปีที่ผู้เขียนเขียนเรื่องนี้เป็นช่วงที่แผ่นดินจีนยังไม่สงบจากการเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้นำหลายครั้ง บ้านเมืองระส่ำระสาย การเดินทางจึงลำบาก

comment