Down
And Dirty...He's Drop Dead Forgeous
|
Summary
เขาอยากรวย พอกันทีกับการเป็นลูกจ้างคนอื่นเขาไปชั่วชีวิต ประโยคนี้อยู่ในหัวกิลเบิร์ตตลอดเวลาที่เขาเดินทางเข้ามาในเท็กซัส แต่แล้วชายหนุ่มก็ประจักษ์ความจริงว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่เขาคิดไว้ โดยเฉพาะเมื่อซิลเลียน นักโบกรถกระจอก กลายเป็นเซบาสเตียน เวร็นนา นักธุรกิจมหาเศรษฐี เมื่อพบกันอีกครั้งในงานปาร์ตี้ที่คฤหาสน์หรูซึ่งเป็นของเบร็ท ฮอฟฟ์แมน ชายคนรักของหมอนั่น และโฮเซฟา หญิงสาวที่เขาคิดจะใช้เป็นบ่อทองชักจะเจ้ากี้เจ้าการกับเขามากขึ้นทุกขณะ ในที่สุดกิลเบิร์ตคิดจะตีตัวออกห่างหล่อน พร้อมกับที่รับข้อเสนอของงานที่ซิลเลียนหยิบยื่นให้อย่างไม่รู้ตัว แล้วพบว่ามันแทบจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต
Preview
ลมร้อนระอุของรัฐทางใต้หอบเอาหญ้าแห้งก้อนโตกลิ้งหลุน ๆ อย่างไร้ทิศทางไปบนพื้นที่ปกคลุมด้วยดินทรายสีน้ำตาลแดงที่มีถนนเส้นยาวพาดผ่านตรงกลาง มันคดเคี้ยวเวียนวนไปตามลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเหมือนเนินเขาเตี้ย ๆ ติดกันหลายลูก แน่นอนว่ามันแค่ 'หลายลูก' ไม่ใช่ 'ร้อย ๆ ลูก' แต่สำหรับเขาแล้ว ถนนสายนี้เหมือนจะทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด บางทีความรู้สึกนี้อาจเกิดจากความซ้ำซากของทัศนียภาพรอบด้านที่มีแต่ความแห้งแล้ง และรถบรรทุกที่นาน ๆ ทีจะผ่านมาสักคัน นอกจากนั้นยังมีวิทยุในรถที่รับคลื่นได้ดีมากจนเขาต้องปิดมันเสียด้วยความรำคาญ ดังนั้น ในยามนี้ชายหนุ่มจึงมีเพียงความเงียบและความเว้งว้างไม่มีที่สิ้นสุดของเส้นทางอยู่เป็นเพื่อน
แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่หรือ?
กิลเบิร์ตรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ตอนที่ตัดสินใจปุบปับยื่นใบลาออกให้กับเจ้านาย แต่ตอนนี้เขากลับประจักษ์ว่าตัวเองคิดผิด หลังจากที่ใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยหนึ่งอาทิตย์จากนี้ เขาคงต้องหางานใหม่อีกครั้ง
ชายหนุ่มเปลี่ยนงานมาเกือบสิบครั้งในระยะเวลาหกปีหลังจากที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีความสามารถในการทำงาน ทุกครั้งเขาจะยื่นใบลาออกด้วยตัวเองโดยที่เจ้านายพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทำงานต่อ แต่สิ่งที่กิลเบิร์ตไม่พอใจความก้าวหน้าทางการงานที่ไม่เร็วพอสำหรับเขา
เขาเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบปลาย ๆ ที่ต้องการขยับฐานะตัวเองให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกับชายหนุ่มในวัยเดียวกันอีกหลาย ๆ คน แต่ละงานที่เขาทำให้ค่าตอบแทนไม่น้อย ทว่ามันก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มเปลี่ยนงานทุกครั้งที่พบว่างานเก่าไม่มีช่องว่างที่เขาพอจะเติบโตได้ เช่น การชวดตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายของงานครั้งล่าสุด
และเขาก็เริ่มเบื่อ เบื่อที่จะต้องตื่นขึ้นเพื่อทำงานหาเงินงก ๆ อยู่ทั้งวัน เขาอยากรวยทางลัด ต้องการที่จะนั่งบริหารธุรกิจของตัวเองในห้องทำงานสุดหรูที่อยู่ชั้นบนสุดของตึกระฟ้าสักแห่งที่มีเจ้าของชื่อ กิลเบิร์ต แคมพ์เบล แต่นั่นก็เป็นแค่ความฝัน เพราะเศรษฐกิจในยุคนี้ทำให้หนทางรอบด้านก็มืดมนเสียจนไร้ทางเดิน
เมื่อวานเขาจับเครื่องบินจากแคลิฟอร์เนียเพื่อบินตรงมาเท็กซัส ชายหนุ่มไม่ได้มีความหลังฝังใจกับรัฐนี้เท่าใด เพียงแต่ขนาดของมันสร้างความหวังให้เขาได้มาก กิลเบิร์ตตั้งใจจะมาพักผ่อนสักอาทิตย์แล้วค่อยหาลู่ทางทำเงินก้อนใหญ่สักก้อน บางทีเขาอาจจะเจอหญิงสาวที่ร่ำรวย แม้มันจะเป็นความคิดใหม่ที่ดูไม่น่าภูมิใจนัก แต่ช่างปะไร! เขามั่นใจว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะทำให้เจ้าหล่อนยอมร่วมธุรกิจกับเขาสักอย่างโดยที่ไม่เอาเปรียบหล่อนมากเกินไปก็แล้วกัน
แคลิฟอร์เนียเคยเป็นแหล่งขุมทองในยุคโกลด์รัช แต่สำหรับกิลเบิร์ต เท็กซัสคือดินแดนแห่งความหวังที่จรัสแสงเรืองรอง
ดินแดนแห่งความหวัง?
ชายหนุ่มเบือนหน้าออกไปนอกกระจก ดินแดนแห่งความหวังที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้มีเพียงผืนดินทรายสีแดงที่เวิ้งว้างเท่านั้นเอง ภาพตรงหน้าทำให้เขากลับสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง พอกันทีกับความหวังบ้า ๆ อะไรนั่น ภายหลังจากการพักผ่อนจนหนำใจเขาควรจะกลับไปตรากตรำทำงานแบบคนทั่ว ๆ ไปจะดีกว่า
ooo
ความน่าเบื่อของภูมิประเทศสิ้นสุดลงหรืออย่างน้อยก็ลดน้อยลงเมื่อดวงตาสีฟ้าจับภาพร่างสูงโปร่งที่ยืนโบกรถอยู่ในระยะสามร้อยเมตรข้างหน้า ความจริงมันไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่านักถ้าจะรับใครสักคนขึ้นรถ โดยเฉพาะในที่แปลกถิ่นเช่นนี้ แต่เขาคิดว่าจากสภาพที่ไม่ต่างไปจากเศษเหล็กของเจ้าฟอร์ดกระป๋องที่ถูกเช่ามาจากอู่ใกล้สนามบิน คงจะไม่มีใครคิดดักปล้นหรือฆ่าเขาเท่าใดนัก
กิลเบิร์ตรู้สึกคึกคักขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นว่าร่างข้างคือหญิงสาวผิวแทนในชุดเสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงสี่ส่วนสีน้ำตาลมอซอ บางที อะไรต่อมิอะไรอาจจะไม่เลวร้ายเกินอย่างที่เขาคิดเอาไว้ก็ได้
แต่ทันทีที่เหยียบเบรค เขาก็พบว่าตนเองคิดผิดเมื่อคนที่เปิดประตูเข้ามานั่งเป็นผู้ชาย บางทีเรียกว่าเด็กหนุ่มคงจะถูกต้องกว่า ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งค่อนไปทางผอม ผมที่รวบเป็นหางม้าสั้น ๆ ตรงท้ายทอย หมวกแก๊ป และแว่นตาดำที่สวมอยู่ ประกอบกับระยะห่างเมื่อครู่จึงทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงไป ถึงกระนั้น ชายหนุ่มพยายามมองโงกในแง่ดีว่าอย่างน้อยเขาก็ยังมีเพื่อนร่วมทางจนกว่าจะเข้าเมือง
ผู้โดยสารกล่าวขอบคุณเบา ๆ ขณะถอดแว่นตาและหมวกออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียวสดและผมสีน้ำตาลเข้ม จากนั้นก็นั่งเงียบ ฝ่ายเจ้าของรถจึงเริ่มบทสนทนาขึ้นมาก่อนเพื่อไม่ให้จุดประสงค์ที่รับอีกฝ่ายขึ้นมาเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาต้องเสียไป
"จะไปไหน?"
"เข้าเมือง"
"กิลเบิร์ต มาจากซาน ฟรานซิสโก" ชายหนุ่มเจ้าของรถเช่าแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
เงียบ ไม่มีคำตอบ ผู้โดยสารของเขายังนั่งทิ้งตัวยวบลงกับเบาะและมองออกไปข้างทางราวกับว่ามันน่าสนใจหนักหนา กิลเบิร์ตยักไหล่แต่รู้สึกฉุนนิด ๆ แล้วลงความเห็นกับตัวเองว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ไม่น่าคบหาแม้แต่น้อย เพราะไอ้การที่ได้ยินว่าคนคนหนึ่งซึ่งกำลังควบมัสแตงปีหกแปดข้ามเนินเขาอยู่กลางรัฐเท็กซัสนั้นมาจากแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นรัฐที่อยู่กันคนละฝั่ง สามารถทำให้เกิดบทสนทนาได้ยืดยาวทีเดียว
และแล้ว หลังจากที่ปล่อยให้เครื่องยนต์ครางหึ่ง ๆ อยู่ฝ่ายเดียวมาได้พักใหญ่ นักโบกรถก็เปิดบทสนทนาขึ้น
"ผมเล่นเทปได้มั้ย?"
จะเรียกว่าบทสนทนาก็คงไม่ถูกนัก เพราะฝ่ายนั้นแค่ถามและยัดตลับเทปเข้าไปในช่องโดยไม่รอคำอนุญาต สักพัก มาร์ค โบแลนด์ แห่งวง T-Rex ก็แหกปากดังลั่นรถจนคนที่เช่ามันมาต้องเอื้อมมือไปหรี่เสียงลง
"จะไม่แนะนำตัวหน่อยเหรอ?" เขาถามพลางชำเลืองมองคนที่เริ่มร้องคลอตามเพลงอยู่ในคอ
"ซิลเลียน"
คำตอบสั้น ๆ ดูเหมือนจะสร้างความขบขันให้กิลเบิร์ตได้ เขาไม่เคยเห็นใครที่ชื่อซิลเลียน แล้วทำตัวคล้องจองกับคำว่า silly ได้ดีขนาดนี้มาก่อน อันที่จริงแล้วเด็กนี่คงไม่งี่เง่านัก เพียงแต่ต้องการทำตัวเรียกร้องความสนใจเหมือนวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปก็ได้
"เรียนคอลเลจอยู่?"
"ไม่ ผมจบแล้ว"
ชายหนุ่มลงความเห็นจากความอ่อนวัยของเพื่อนร่วมทางว่าคำว่า 'จบแล้ว' น่าจะเป็นแค่การจบไฮสกูลมากกว่า
เขาเหลือบตาลอบสังเกตอีกฝ่าย แล้วนึกดูถูกในใจเมื่อเห็นว่าใบหูข้างหนึ่งถูกเจาะจนพรุนโดยมีต่างหูหลายแบบสอดไว้ เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูเหมือนจะไม่มีราคามากนัก ถ้าจะพูดกันจริง ๆ ก็คงจะเป็นเสื้อผ้ามือสองราคาถูก ขัดกับแว่นกันแดดราคาแพงระยับที่แขวนอยู่ตรงคอเสื้อกล้ามที่เริ่มเปื่อยอย่างสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มหันมาทางเขาอีกครั้ง ทำให้กิลเบิร์ตเห็นว่าใบหูอีกข้างหนึ่งก็ถูกเจาะมากรูไม่แพ้กัน
"สูบบุหรี่ได้มั้ย?" เขาถาม และคราวนี้นิ่งรอฟังคำอนุญาต
ซิลเลียนควานมือลงในเป้ทหารใบเก่าแล้วหยิบบุหรี่และไลท์เตอร์
ออกมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วนึกสะดุดใจเมื่อเห็นว่ามันถูกมวนไว้อย่างไม่ประณีตนัก และลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นจริงเมื่อจมูกกระสาไหม้ของใบไม้บางชนิดเมื่ออีกฝ่ายจ่อเปลวไฟสีส้มเข้ากับปลายข้างหนึ่งของมวนกระดาษ
"เล่นเนื้อเหรอ?"
"แปลกเหรอ? ผู้ชายทุกคนก็ต้องเคยทั้งนั้น" เจ้าของดวงตาสีเขียวพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ เหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่ก็ดูอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ได้อัดกัญชาเข้าปอดลึก ๆ สองสามครั้ง
กิลเบิร์ตเออออตอบรับแต่ในใจคิดค้าน เขารู้สึกต่อต้านพวกเด็กวัยรุ่นที่สูบบุหรี่หรือเสพยากันเป็นแฟชั่นอย่างเป็นที่สุด ตัวเขาเองใช่ว่าจะไม่เคยลองของพวกนั้น เพียงแต่ไม่ชอบเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มคิดว่าตนเองคงจะแก่เกินไปที่ตามความคิดของวัยรุ่นยุคนี้ไม่ทัน แต่เขามั่นใจว่าตัวเองไม่แก่พอที่จะเป็นแฟนเพลงของวงเก่า ๆ ที่เกิดในยุค 60's และดับไปนานแล้วอย่าง T-Rex แน่นอน
ooo
อารมณ์ของผู้โดยสารดูเหมือนจะดีขึ้นเมื่อสูบบุหรี่ยัดไส้หมดไปทั้งมวน ดูได้จากการเริ่มบทสนทนาด้วยรอยยิ้มกว้างที่ทำให้เห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงกันเป็นแถวน่ามอง
"คุณมาพักผ่อน?"
"จะว่างั้นก็ได้" กิลเบิร์ตตอบพลางไหวไหล่ "แล้วคุณล่ะ? มาจากไหน?"
"ฟลอริด้า"
เป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลทีเดียวกับผิวสีแทนของฝ่ายนั้น
"มาพักผ่อนเหมือนกัน?"
"ไม่เชิง ผมมาทำงาน"
ร่างสูงพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มที่ต้องการเสี่ยงโชคด้วยการเดินทางข้ามรัฐและหางานทำด้วยตัวคนเดียวมีอยู่ให้เห็นทั่วไปจนเขานึกสงสัย เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีการศึกษาไม่เกินระดับไฮสกูลทั้ง ๆ ที่ฐานะทางบ้านอำนวยให้เรียนต่อระดับคอลเลจได้ แต่ทำไมถึงคิดถึงกันแค่อิสระสั้น ๆ ที่ได้ออกมาเผชิญโลกกว้างตามลำพัง ทั้ง ๆ ที่อนาคตของชีวิตทั้งชีวิตเป็นเรื่องที่สำคัญกว่ามาก
ดวงตาสีฟ้าชำเลืองมองเพื่อนร่วมทางที่ดูแล้วน่าจะอายุไม่เกินยี่สิบ แล้วถามด้วยความสงสัยในระดับการศึกษาของอีกฝ่าย
"คุณเรียนมหาวิทยาลัยอะไร?"
"ผมจบจากเพอร์ดูว์"
คำตอบนั้นยิ่งสร้างความฉงนให้กับคนฟังมากกว่าเดิมเพราะหนึ่ง คนตรงหน้าดูเด็กเกินไปที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัย และสอง สถาบันที่ฝ่ายนั้นอ้างถึงอยู่ในรัฐทางเหนือ ขัดกับที่เจ้าตัวบอกว่ามาจากทางใต้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ซักต่อให้มากความ
"แล้วคุณทำงานที่ไหน?" ซิลเลียนถามขึ้นบ้าง
เขาไหวไหล่เล็กน้อยแล้วตอบตามจริง "ที่จริงผมเพิ่งลาออกน่ะ เลยมาพักผ่อนสักอาทิตย์"
"แล้วทำงานเกี่ยวกับอะไรล่ะ?"
ผู้โดยสารถามพลางหันหน้าออกไปมองตึกอาคารที่เริ่มมีให้เห็นบ้างประปราย เป็นสัญญาณว่าเริ่มเข้าเขตเมืองแล้ว ก่อนจะเบือนหน้ากลับมารอคำตอบ
"ผมเคยทำงานเกี่ยวกับอิเล็คทรอนิค แต่ตอนนี้เป็นนักเสี่ยงโชค"
กิลเบิร์ตตอบติดตลกพลางยิ้มกว้าง แต่ดูเหมือนซิลเลียนจะไม่จะไม่คิดว่ามุขของเขาขำ เพราะหลังจากประโยคดังกล่าว ฝ่ายนั้นก็จ้องหน้าคมเข้มนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ราวกับได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ จากนั้นก็เสหลบสายตาออกไปนอกกระจกเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว
เมื่อรถผ่านเข้าไปในย่านตัวเมือง ท้องฟ้าด้านตะวันตกก็เปลี่ยนเป็นสีส้มแก่แล้ว ร้านรวงต่าง ๆ เริ่มเปิดไฟให้แสงสว่าง ชายหนุ่มหันไปหาอีกฝ่าย
อย่างมีอัธยาศัยเมื่อพาเจ้ารถมัสแตงมาจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
"ถ้าไม่รังเกียจก็กินดินเนอร์ด้วยกันก่อน ถือว่าเป็นการขอบคุณที่เป็นเพื่อนแก้เหงามาตลอดทาง"
ซิลเลียนหัวเราะในลำคอด้วยเสียงเหมือนจะเยาะในประโยคนั้น ก่อนจะออกตัว
"ขอโทษ ผมเป็นฟรุตแทเรี่ยนน่ะ"
"อะไรนะ?"
"ก็ " เจ้าของดวงตาสีเขียวขยายความ "พวกฟรุตแทเรี่ยนจะไม่กินพืชที่ยังอยู่บนต้น แต่จะกินที่ร่วงแล้วเท่านั้น"
เขาหัวเราะในคออีกครั้งเมื่อคู่สนทนาอ้าปากค้างอย่างงงงวย ก่อนจะพลิกข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วเปิดประตูรถพลางพูดทิ้งท้าย
"ขอบคุณที่ชวน แล้วก็ขอบคุณที่ให้ผมอาศัยรถมา"
กิลเบิร์ตมองตามหลังคนที่เดินจากไปแล้วส่ายหน้ากับตัวเอง มาฆ่ากันเสียดีกว่าถ้าจะให้เขาเชื่อว่าฝ่ายนั้นเป็นฟรุตแทเรี่ยนบ้าบออะไรนั่น ประการแรกไอ้ใบกัญชาที่สูบน่ะ อย่าบอกนะว่ารอให้มันร่วงก่อนแล้วค่อยเก็บมามวน
ooo
หลังอาคารค่ำ ชายหนุ่มขับรถตะเวนรอบเมืองอยู่พักใหญ่เพื่อสำรวจหาแหล่งที่พัก เขาเช็คอินในโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง เจ้าหนุ่มพนักงานที่รับกุญแจรถเขาไปเก็บดูเหมือนจะมองเจ้าฟอร์ดกระป๋องอย่างเยาะ ๆ เพราะมันช่างขัดกับความหรูหราของสถานที่เหลือเกิน เขาตัดสินใจเช่ามันซึ่งราคาถูกกว่ารถสวย ๆ เป็นเท่าตัวเพราะต้องการที่จะเก็บเงินเอาไว้สำหรับการพักผ่อนมากกว่าที่จะมาสิ้นเปลืองกับเรื่องไร้สาระแบบนั้น แต่กระนั้น กิริยาของพนักงานดังกล่าวก็ทำให้กิลเบิร์ตนึกฉุนขาดขึ้นมาทันที วิธีการเอาคืนของเขาคือส่งทิปให้มันอย่างหนักมือ ซึ่งก็ได้ผล ฝ่ายนั้นทำตาโตแล้วโค้งให้เขาจนศีรษะแทบจะติดพื้น ร่างสูงแน่ใจว่าต่อไปนี้ รถกระป๋องของเขาคงจะเป็นเหมือนรถป้ายแดงราคาเหยียบล้านในสายตาของพนักงานคนนี้เลยทีเดียว
ห้องพักของเขาโอ่อ่าและสะดวกสบายสมกับราคามหาโหด และสามารถมองเห็นภูเขาอยู่ไม่ไกล กิลเบิร์ตตั้งใจว่าจะพักที่นี่สักคืน เพื่อให้รางวัลตัวเองจากการที่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาตลอดวัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยขับรถเข้าไปในฮูสตันซึ่งเป็นเมืองติดทะเล ที่นั่น เขาคงจะเช่าบังกะโลราคาพอสมพอควรแล้วอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ จนกว่าจะหมดอาทิตย์
ชายหนุ่มเหวี่ยงกระเป๋าลงบนเตียง เดินเข้าไปไขจากุซซี่ในห้องน้ำ กลับออกมาอีกครั้งเพื่อหยิบแชมเปญปี 69 ติดมือเข้าไป โดยไม่ลืมที่จะโทรเรียกรูมเซอร์วิซให้ขึ้นมาจัดข้าวของของเข้าเข้าตู้เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายทุกชิ้นของเขาล้วนแต่มีระดับ แน่นอนว่ากิลเบิร์ตไม่ใช่เศรษฐี แต่เขาก็ไม่เคยลังเลที่จะซื้อของใช้ดี ๆ เป็นรางวัลให้แก่ความเหนื่อยยากจากการทำงานตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย บ้าน หรือรถของเขาที่แอลเอ
ชายหนุ่มลงไปชั้นล่างของโรงแรมซึ่งพนักงานยกกระเป๋าบอกเขาว่าเป็นบาร์เล็ก ๆ กิลเบิร์ตเลือกมุมเงียบ ๆ และสั่งเครื่องดื่มมาจิบพลางฟังเสียงแซกโซโฟนที่นักดนตรีผิวหมึกกำลังเล่นอยู่ไม่ไกล
"ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ?"
เสียงหวานนุ่มดังขึ้น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองก็พบสาวบรูเน็ตยืนอยู่ข้างโต๊ะ เธอคงอยู่ในช่วงสุดท้ายของช่วงอายุเลขสอง แต่การแต่งตัวและเครื่องสำอางค์ลดอายุเธอไปได้ไม่น้อย
กิลเบิร์ตตอบรับอย่างสุภาพด้วยการลุกขึ้นยืนเพื่อให้เธอเป็นฝ่ายนั่งลงก่อนจากนั้นจึงนั่งตาม
"กิลเบิร์ต แคมพ์เบล ยินดีที่ได้รู้จัก"
"โฮเซฟาค่ะ โฮเซฟา เฟร์นันเดส"
หญิงสาวว่าพลางส่งยิ้มให้ซึ่งเขาเข้าใจได้ไม่ยากว่ายิ้มนั่นสื่อความหมายอะไร
"โฮเซฟา " ร่างสูงทวนคำพลางหรี่ตามองใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยเครื่องสำอางค์นั่นราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง "เป็นชื่อที่เพราะมาก"
เจ้าของชื่อหัวเราะอย่างถ่อมตน "ฉันเป็นสแปนิช"
"ผมนึกอยู่แล้วเชียว ผู้หญิงสเปนมักจะมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนผู้หญิงชาติอื่นเสมอ" เขามองคู่สนทนาที่หันไปส่งสัญญาณกับบริกรแล้วถามขึ้น "คุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ?"
"จะว่างั้นก็ได้" โฮเซฟาตอบพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม "สำหรับคนปากหวานอย่างคุณฉันคงต้องพูดตรง ๆ ไม่อย่างนั้นคงจะโดนยกยอมากกว่านี้ จริง ๆ แล้วฉันเป็นหุ้นส่วนของโรงแรมนี้ค่ะ"
"อ้อ"
กิลเบิร์ตแสดงอาการรับรู้ดวยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สมองของเขากำลังทำงานอย่างหนักเมื่อคิดถึงแผนการที่อาจสามารถสานต่อได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นสายตาหวานเยิ้มที่ส่งมาให้
'เดอะพริวิเลจ' เป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่มีสาขาไม่ต่ำกว่ายี่สิบแห่งทั่วสหรัฐ ไม่ว่าเธอจะเป็นหุ้นส่วนรายย่อยแค่ไหน ส่วนแบ่งของกำไรแต่ละปีย่อมไม่น้อยทีเดียว พ่อแม่ของเขาที่อยู่ที่ชาร์ลส์ตันบอกว่าตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยวที่นั่นกำลังเติบโตในอัตราสูง บางที เขาอาจจะตีสนิทกับโฮเซฟาและเกลี้ยกล่อมให้เธอร่วมลงทุนอะไรสักอย่างด้วยกัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้กำลังคิดถึงธุรกิจโรงแรมซึ่งมีอยู่แล้วกลาดเกลื่อน แต่โครงการที่กำลังลอยอยู่ในหัวเขาคือธุรกิจจำหน่ายพาหนะและอุปกรณ์กีฬาทางน้ำทุกชนิดต่างหาก
หญิงสาวรับเครื่องดื่มจากบริกรแล้วหันมาหาคู่สนทนา "คุณมาทำธุรกิจที่นี่เหรอคะ?"
กิลเบิร์ตตอบรับด้วยรอยยิ้มที่ดูจะมีความหมายเป็นพิเศษ "ผมมาพักผ่อน"
"ล้อเล่นน่ะ!" เธอทำทีเหมือนแปลกใจ "ออสตินเป็นเมืองที่น่าเบื่อจะตาย แต่คุณเลือกที่จะพักผ่อนที่นี่"
"พรุ่งนี้ผมจะไปฮูสตันแล้ว"
ประโยคนั้นทำให้โฮเซฟายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวราวกับไข่มุกตัดกับผิวสีน้ำผึ้ง "เหมาะอะไรอย่างนี้ พรุ่งนี้ฉันก็กำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน"
เหมาะ เหมาะเพราะเธอกำลังจะอ่อยเขาน่ะสิ กิลเบิร์ตตระหนักถึงรูปลักษณ์ของตัวเองดี ผมสีทอง ตาสีฟ้า รูปร่างสมส่วนจากการออกกำลังกายเป็นประจำ ผู้หญิงน้อยกว่าน้อยที่จะไม่สนใจเขา
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ดวงตาสีท้องฟ้าต้องแสงไฟจนพราวระยับ "จะไปเที่ยวเหรอครับ?"
"ค่ะ เพื่อนของฉันคนหนึ่ง จริง ๆ แล้วก็หุ้นส่วนใหญ่ของโรงแรมนี้น่ะแหละนะ เขาเพิ่งสร้างสระว่ายน้ำเสร็จค่ะ เลยอยากจะชวนพวกเพื่อน ๆ ไปลองใช้ดู"
หญิงสาวกัดริมฝีปากนิดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามเงียบไปนาน "ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรฉันก็ขอเชิญให้ไปด้วยกัน"
"แต่ผมไม่รู้จักเพื่อนของคุณ" กิลเบิร์ตแย้ง แต่ก็คิดว่ามันเป็นแผนการที่ดีในการทำความสนิทสนมกับหญิงสาวตรงหน้าให้มากขึ้น
"เบร็ทไม่รังเกียจเพื่อนของฉันหรอกค่ะ และฉันก็คิดว่าคุณเหมาะสมที่จะเป็นแขกของเขา" เธอยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายขณะไล่สายตาสำรวจเครื่องแต่งกายมีรสนิยมของอีกฝ่าย แล้วทำหน้าเสียดาย
"นอกเสียจากว่าคุณจะนัดใครไว้แล้ว"
"ไม่" ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ "แต่ผมเกรงใจ"
"ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ คุณพักอยู่ห้องไหน เดี๋ยวสิบโมงเช้าฉันจะให้คนโทรไปตาม คุณจะขับรถตามฉันหรือจะไปด้วยกันเลยคะ?"
ชายหนุ่มเลือกประการหลังเพราะเขาคิดว่าคงจะดูไม่ดีนักถ้าต้องขับเจ้ารถเศษเหล็กนั่นเข้าไปในคฤหาสถ์ของเศรษฐีร้อยล้านเจ้าของโรงแรมห้าดาวแห่งนี้
ooo
chapter 2
'บ้านของเบร็ท' ที่โฮเซฟาบรรยายให้เขาฟังระหว่างที่อยู่ในรถ ไม่เพียงใหญ่ แต่ยัง 'โคตรใหญ่' ในสายตากิลเบิร์ต แค่มองจากภายนอกเขาก็พอจะกะได้ว่าห้องทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่าร้อย แค่เฉพาะตัวบ้านส่วนกลางที่ไม่รวมปีกมหึมาทั้งสองด้านก็กินเนื้อที่เป็นไร่แล้ว เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่าครอบครัวเจ้าของบ้านมีทั้งหมดกี่คน แต่ถึงจะมีเป็นร้อย หมอนี่ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องความเบียดเสียดของที่อยู่อาศัย
"เบร็ทชอบความโอ่อ่าค่ะ ดูจากที่โรงแรมก็น่าที่จะพอเดาได้ เขาชอบคฤหาสถ์ของพวกขุนนางยุโรปในสมัยก่อนมาก"
หญิงสาวที่พาเขามาด้วยอธิบายในขณะที่แล่นรถเข้ามาจากหน้าประตูใหญ่ ผ่านสวน เมื่อมองลึกเข้าไปจะเห็นสนามกอลฟ์ สนามเทนนิส สนามโปโล และแน่นอนว่าต้องมีคอกม้าอยู่ลิบ ๆ ทางด้านโน้น ซึ่งกว่าจะเข้าถึงตัวคฤหาสถ์ก็กินเวลาถึงห้านาที ทั้ง ๆ ที่รถก็แล่นด้วยความเร็วปานกลาง
"พระเจ้า!"
แม่สาวสเปนอุทานพลางยกมือทาบอกเมื่อมองไปยังโรงรถที่เห็นอยู่ไม่ไกล ขณะส่งกุญแจให้คนรับใช้นำรถไปเก็บ
"ทำไมรึ?" กิลเบิร์ตถามด้วยความสงสัย
เธอหันมาหัวเราะเสียงแหลมแล้วชี้ไปยังรถสปอร์ตรูปร่างประเปรียวคันหนึ่งในบรรดาหลาย ๆ คันที่จอดเรียงกันอยู่
"ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ฉันแค่ตกใจที่รู้ว่าเซบาสเตียนมาที่นี่ด้วย เพราะครั้งล่าสุดที่ฉันได้ยินข่าว เขายังติดต่อธุรกิจอยู่ในไต้หวัน"
"งั้นก็แสดงว่าเขากลับมาแล้ว" ร่างสูงยิ้มบางแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงตัดพ้ออยู่กลาย ๆ "ท่าทางคุณคงสนิทกับเขามากถึงได้จำรถเขาได้"
โฮเซฟาเดินเข้ามาคล้องแขนแกร่งแล้วรีบชิงอธิบาย "ฉันก็แค่รู้จักกับเขาเท่านั้นแหละค่ะ อีกอย่างเซบมีรถเป็นสิบใครจะไปจำได้ แต่ที่ฉันรู้เพราะนั่นเป็นที่ประจำของเขาเท่านั้นแหละ" เธอหัวเราะด้วยเสียงแปร่งปร่าเป็นนัยเยาะแล้วพูดต่อ "คุณคงไม่รู้ แต่เซบเป็นแขกพิเศษของเบร็ทน่ะ เขาจะได้ที่จอดรถพิเศษเสมอ พูดแค่นี้คงจะเข้าใจนะ"
หญิงสาวหลิ่วตาให้เขาอย่างซุกซนก่อนจะลากแขนเดินนำเข้าไปในตัวคฤหาสถ์
ooo
แม้จะทำใจความโอ่อ่าของอาคารภายนอกมาแล้ว กิลเบิร์ตก็ยังต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้แสดงอาการตื่นเต้นเมื่อได้เห็นการตกแต่งภายใน เขาก็อดที่จะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความชื่นชมในกำลังทรัพย์ของเจ้าของคฤหาสถ์ เครื่องเรือนทุกชิ้นคงถูกสั่งตรงมาจากยุโรป และแน่นอนว่ามันต้องเป็นของเก่าที่เคยตั้งอยู่ในคฤหาสถ์ของขุนนางหรือตามพระราชวังเป็นแน่ เพดานในห้องโถงเปิดโล่งจนถึงหลังคาโดยมีโคมไฟระย้าขนาดมหึมาที่ทำมาจากแก้วคริสตัลห้อยอยู่ตรงกลาง มันทั้งให้แสงและล้อแสงจนเป็นประกายระยิบระยับจับตาผู้พบเห็น ผนังด้านขวาสุดวางตู้โชว์กระจกซึ่งมีเครื่องลายครามล้ำค่าของจีนบรรจุอยู่ อีกฝั่งเป็นขวดแก้วเจียรไนหลากสี นอกจากนั้นยังมีเครื่องประดับอื่น ๆ ที่บ่งบอกรสนิยมของเจ้าบ้านได้ดี แต่ถึงกระนั้นกิลเบิร์ตก็ยังคิดว่าสถานที่เช่นนี้มัน 'เกินไป' ที่จะเป็นที่อยู่อาศัย
ใช่แล้ว มันดูเหมือนพิพิธภัณฑ์ต่างหาก
"ยินดีต้อนรับครับมิสเฟร์นันเดสและคุณผู้ชาย"
ชายหนุ่มหันไปตามที่มาของเสียง และพบว่ายังมีชายวัยต้นห้าสิบที่ยืนค้อมศีรษะอยู่กลางห้อง ที่เขาไม่สังเกตเห็นตั้งแต่แรกคงเป็นเพราะใบหน้าเรียบเฉยราวรูปปั้นของอีกฝ่าย ที่ดูไม่ต่างอะไรจากรูปปั้นที่ใช้ประดับห้องอยู่เป็นแน่
"จอร์จ ดีใจที่ได้เจอคุณอีก" หญิงสาวที่ควงแขนเขาอยู่ร้องเสียงใสแล้ว
เดินนวยนาดเข้าไปหา
"ทางเราก็ดีใจที่คุณมาครับ มิสเฟร์นันเดส คุณท่านบ่นคิดถึงคุณอยู่เสมอเพราะพักนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน"
"ปากหวานน่าจอร์จ คนที่เบร็ทจะคิดถึงอยู่เสมอน่ะ มาแล้วไม่ใช่รึ?"
"มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ ตอนนี้ออกไปเดินเล่นที่ชายหาดกับคุณท่าน"
"สองคนนี้ ชอบทำโรแมนติคอยู่เรื่อย" โฮเซฟาส่ายหน้าแล้วหัวเราะซึ่งกิลเบิร์ตคิดว่ามันเป็นการเสแสร้งมากกว่า
"อ้อ" เธอหันมาเขาเหมือนจะเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้มาคนเดียว "ฉันพาเพื่อนมาด้วย คิดว่าเบร็ทคงไม่ขัดข้อง นี่กิลเบิร์ตเพื่อนใหม่ของฉัน ส่วนนี่จอร์จ พ่อบ้านอัจฉริยะของที่นี่ค่ะ"
การทักทายของจอร์จมีเพียงค้อมศีรษะเท่านั้น แล้วก็หันไปพูดกับหญิงสาวต่อ
"ผมได้สั่งให้คนจัดเตรียมห้องพักไว้ให้คุณผู้ชายแล้วครับ คุณท่านเองคงดีใจที่มีแขกเพิ่ม เพราะเท่าที่เชิญไปดูเหมือนจะมีคุณ คุณเซบาสเตียน แล้วก็มิสเพอร์รี่เท่านั้นที่ว่าง คนอื่น ๆ ต่างก็ติดธุระกันหมด"
ร่างสูงสังเกตว่าคนที่ชื่อเซบาสเตียนอะไรนั่นคงจะมาที่นี่บ่อยและมีคามสนิทสนมกับพ่อบ้านผู้นี้มากพอควร ถึงได้ถูกเรียกแค่ชื่อเช่นนี้
"ยังดีที่วินนี่ว่าง ฉันขอไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน ขับรถมาเมื่อยตัวเต็มที เจอกันตอนอาหารค่ำนะจอร์จ"
โฮเซฟากล่าวแล้วหันมาพยักหน้าให้กับร่างสูงก่อนจะเดินตามสาวใช้ขึ้นบันไดไป
ooo
ห้องพักที่โรงแรมแม้ว่าจะดูโอ่อ่าหรูหราแต่ก็เทียบกับห้องที่เขากับยืนอยู่นี่ไม่ติด ห้องทั้งห้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนสำหรับเตียงนอนซึ่งเล็กกว่า และอีกส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่ามากเป็นพื้นที่ของห้องนั่งเล่น มินิบาร์และห้องทำงานซึ่งมีเครื่องใช้ครบครัน รวมทั้งคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคอีกหนึ่งเครื่อง ทั้งสองส่วนมีประตูเลื่อนซึ่งเป็นกระจกสกรีนลายละเอียดอ่อนช้อยกั้นไว้ เพราะฉะนั้นถ้าเขาต้องการนอนดูโทรทัศน์บนเตียงก็ทำได้โดยเลื่อนประตูนี้ออกเท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็นนักเพราะหน้าโทรทัศน์ก็มีโซฟาตัวยาวตั้งไว้อยู่แล้ว
กิลเบิร์ตเดินไปผสมวิสกี้แก่ ๆ ให้ตัวเองแล้วเข้าไปสำรวจในส่วนห้องนอนซึ่งถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายผิดกับห้องโถงที่เขาเห็นเมื่อครู่ แต่เครื่องเรือนทุกชิ้นก็ยังบ่งรสนิยมของผู้เลือกและราคาของมันได้เป็นอย่างดี
หัวคิ้วคมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อเจ้าตัวพบประตูเล็ก ๆ ที่แทบจะกลืนไปกับผนัง จะมีแต่ที่จับของมันเท่านั้นที่จมลึกลงไป เขากดล็อคดันเข้าไปเบา ๆ อย่างง่ายดายแล้วพบว่ามันคือตู้เสื้อผ้าแบบวอล์คอินขนาดใหญ่ซึ่งเครื่องแต่งกายทั้งหลายของเขาถูกนำมาจัดใส่ไว้เรียบร้อยแล้ว ลึกเข้าไปยังเป็นประตูอีกบานซึ่งนำไปสู่ห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่กว่าส่วนที่เป็นห้องนอนเสียอีก พื้นหินอ่อนสีกุหลาบถูกขัดจนเงาวับเข้ากับสีของเครื่องสุขภัณฑ์ชิ้นต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะเจาะ อ่างจากุซซี่ขนาดที่คนสักสามสี่คนลงไปนอนพร้อมกันได้โดยไม่เบียดถูกฝังลงไปในพื้นกลางห้อง รอบอ่างปลูกไม้จำพวกเฟิร์นทั้งหลายแหล่และประดับด้วยหินธรมชาติรูปทรงต่าง ๆ กัน ราวกับต้องการจำลองสภาพของเขตป่าดิบชื้นมาไว้ในนี้ซึ่งก็สามารถทำได้อย่างไม่มีที่ติ
ชายหนุ่มนึกสรรเสริญคนออกแบบอยู่ในใจ และในขณะเดียวกันก็นึกอิจฉาผู้ที่เป็นเจ้าของคฤหาสถ์หลังนี้ หมอนี่จะต้องมีเงินมากถึงขนาดเอาธนบัตรห้าเหรียญมาเผาเล่นทีละใบติดต่อกันได้ไปร้อยปี เพราะก่อนเข้าห้อง สาวใช้ที่นำทางเขาได้อธิบายว่าคฤหาสถ์หลังนี้มีทั้งหมดสามชั้น แต่ละชั้นก็จะมีจากุซซี่ สปา ซาวน่า และสตรีมรูมทั้งสองฝั่ง นอกจากนั้นที่ชั้นดาดฟ้าซึ่งส่วนหนึ่งเปิดโล่ง ก็ยังมีอ่างจากุซซี่ขนาดใหญ่ไว้สำหรับแช่และนอนดูดาวไปพร้อมกัน และเขาสามารถเรียกใช้บริการเหล่านั้นได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
กิลเบิร์ตยักไหล่ ก่อนจะกลับออกมาทิ้งตัวลงบนฟูกนอนหนานุ่ม ช่วยไม่ได้นี่นะ ชะตาชีวิตคนเราเหมือนกันเสียที่ไหน บางที เขาอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิตก็ได้
ooo
เบร็ท ฮอฟฟ์แมน ไม่ได้เป็นชายแก่หน้าตาเจ้าเล่ห์อย่างที่กิลเบิร์ตจินตนาการเอาไว้ ตรงกันข้าม เจ้าของคฤหาสถ์อันโอ่อ่าหลังนี้กลับมีอายุไล่เลี่ยกับเขา หนำซ้ำยังจัดว่าเป็นคนที่หน้าตาดีมากคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ที่กิลเบิร์ตรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยก็คงเป็นดวงตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นที่ดูเหมือนจะหิวกระหายในเชิงธุรกิจอยู่ตลอดเวลา
ส่วนแขกอีกคน คือ วินนีเฟรด เพอร์รี่ ก็ยังอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง เธอดูเด็กกว่าโฮเซฟาด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ ความสวยน่ารักในตัวเธอลดลงเพราะดวงตาที่มีแต่ความเสแสร้งคู่นั้น ดูเหมือนพวกคนรวยนี่จะไม่จริงใจต่อกันสักคนเดียว
กิลเบิร์ตหน้าอุ่นวาบเมื่อโฮเซฟาแนะนำเขาด้วยคำว่า 'เพื่อนใหม่' แล้วฮอฟฟ์แมนทวนคำนั้นด้วยนำเสียงเน้นย้ำเป็นพิเศษพลางส่งสายตารู้ทันมาให้เธอ ส่วนวินนีเฟรดนั่นยิ่งแล้วใหญ่ เธอทำเสียงตื่นเต้นในลำคอขณะกระดกไวน์เข้าปาก จากนั้นก็หันมามองเขาด้วยสายตาที่สื่อความหมายลึกซึ้งบางอย่าง
เมื่ออาหารถูกลำเลียงออกมาวางบนโต๊ะชายหนุ่มก็แทบจะอิ่มเอาเสียดื้อ ๆ เพราะมันช่างมากมายและหลากหลายจนผู้ชายที่ตะกละที่สุดสิบคนก็ยังกินเหลือ
"เซบบี้ไม่ลงมาซะทีนะ" วินนีเฟรดกล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะตำหนิ และสีหน้าหยันเยาะซึ่งบ่งบอกได้อย่างดีว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเจ้าของชื่อ
"เซบบ่นว่าปวดหัวน่ะ มื้อนี้เลยขอตัว เสียดาย อุตส่าห์สั่งให้คนรมเนื้อลูกแกะของชอบไว้ให้" เจ้าบ้านอธิบายเสียงเรียบในขณะผสมสลัดให้ตนเอง ก่อนจะหันมาทางเพื่อนใหม่ "ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณแคมพ์เบลทำงานอะไร?"
"เรียกผมว่ากิลเบิร์ตก็ได้ ตอนนี้ผมกำลังเปลี่ยนงานอยู่"
"ฉันนึกว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจเครื่องกระป๋องแคมพ์เบลส์ซะอีก" วินนีเฟรดแทรกขึ้นมาอย่างติดตลก แต่ไม่มีใครหัวเราะ ใบหน้าสวยงอง้ำลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดเข้าประเด็นเดิม "เซบบี้คงนอนห้องเดิมทางปีขวาสินะ"
"ใช่ ทำไม?" เจ้าบ้านถามด้วยเสียงที่มีความรำคาญเจืออยู่ไม่น้อย
"อ้อ เปล่า แค่แปลกใจว่าทำไมไม่ให้เขามานอนห้องเดียวกับเธอเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องเดินมาหาให้เมื่อย"
ดูเหมือนหญิงสาวจะพอใจที่สามารถยั่วยุอารมณ์อีกฝ่ายได้ กิลเบิร์ต ลอบมองคนทั้งคู่ ฮอฟฟ์แมนหน้าตึงขณะจิ้มมะกอกดำเข้าปาก ส่วนแม่สาววินนี่หัวเราะคิกคักกับตัวเอง เขาหันไปมองโฮเซฟาซึ่งนั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นและเห็นว่าฝ่ายนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้หญิงทั้งสองคนคงไม่ถูกกันนัก แต่แน่นอนว่าพวกเธอต่างก็ไม่ชอบผู้ชายที่ชื่อเซบาสเตียนเหมือนกัน มันอาจจะเป็นการอิจฉาหรือหมั่นไส้ เขาเองก็สุดจะหยั่งใจผู้หญิงถูกได้
ooo
กิลเบิร์ตกลับขึ้นห้องตัวเองอีกครั้งหลังอาหารค่ำและการพูดคุยไร้สาระระหว่างจิบกาแฟผ่านพ้น ร่างสูงใหญ่นั่งจมอยู่ในความมืด เขาลูบพนักของเก้าอี้นวมบุไหมแล้วแค่นหัวเราะกับตัวเอง คนพวกนี้คงรวยและโง่เกินไปจนไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรถึงได้สร้างคฤหาสถ์ที่หรูหราและฟุ่มเฟือยขนาดนี้ขึ้นมา แล้วเขาล่ะ? ตอนนี้เขาตกงาน ถ้ากลับไปที่ซาน ฟรานซิสโก ก็ยังมีบ้านและรถที่ยังผ่อนไม่หมด แผนการที่จะทำตัวสนิทสนมกับแม่สาวสเปนนั่นก็ดูเหมือนจะไปได้ไม่สวยนัก เพราะหลังกาแฟเธอก็ขึ้นห้องโดยแทบจะไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ทางที่ดีพรุ่งนี้เขาควรจะไปจากคฤหาสถ์บ้า ๆ นี่ซะ แล้วไปอยู่กับพ่อแม่สักอาทิตย์จะดีกว่า อย่างน้อยพ่อแม่เขาก็ไม่พูดเรื่องที่ทำให้ลูกชายไม่สบายใจเด็ดขาด
ใครคนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า เราจะนึกถึงพ่อแม่เวลาเราลำบาก และตอน
นี้เขาก็พบว่าประโยคนั้นไม่มีที่ผิดแม้แต่น้อย
ooo
ดวงตาสีฟ้าค่อย ๆ หรี่ปรือขึ้นทีละน้อยด้วยแสงแดดยามสายที่สาดส่องเข้ามาถึงเตียง เมื่อคืนเขาคงเข้านอนโดยที่ลืมปิดม่านไว้ ผลจึงออกมาเช่นนี้
เสียงหัวเราะดังอยู่ใกล้ ๆ กิลเบิร์ตลุกเดินออกไปดูที่ระเบียง วินนีเฟรดและโฮเซฟาต่างอยู่ในชุดบีกินี่นอนบนเก้าอี้ริมสระเพื่อให้แดดอ่อน ๆ อาบผิวของพวกเธอให้เป็นสีแทนทอง ไกลออกไปคือผู้ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งในเสื้อฮาวายสีอ่อนและกางเกงสามส่วนที่กำลังถือห่วงฮูลาฮูปแล้วสั่งให้สุนัขพันธุ์ดัลเมเชี่ยนสองตัวกระโดดลอดสลับกันไปมา ซึ่งนี่เองคงเป็นต้นกำเนิดของเสียงหัวเราะของสองสาว
เขาละสายตาจากคนพวกนั้นแล้วสำรวจสระว่ายน้ำใหม่ของเจ้าของบ้าน ซึ่งเมื่อวานเขาไม่ได้โผล่ออกมาที่ระเบียงจึงไม่เห็น มันเป็นรูปวงกลมที่ใหญ่เท่ากับบ้านขนาดกลางหนึ่งหลัง ถึงขั้นว่าถ้าอยากจะเอาเรือลำเล็ก ๆ ลงไปพายเล่นก็ไม่น่ามีปัญหา รอบสระใหญ่มีสระขนาดเล็กรูปเกือกม้ารายล้อมอยู่ที่มุมทั้งหกด้าน มองไกล ๆ แล้วเหมือนเป็นกลีบดอกไม้ สระประเภทที่สองนี้ดูเหมือนจะไม่ลึกมาก เจ้าของคงต้องการออกแบบไว้ให้เป็นที่นอนจิบวิสกี้มากกว่าที่จะใช้แหวกว่าย เพราะเขาเห็นบาร์เหล้าตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
ชายหนุ่มเข้าห้องน้ำชำระร่างกายและตัดสินใจลงไปร่วมสนุกกับคนพวกนั้น เพราะคงจะดูไม่เหมาะสมนักถ้าเขาจะเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเช่นนี้ หลังจากร่วมรับประทานอาหารด้วยกันอีกมื้อเขาก็จะบอกลาทุกคนแล้วจับรถกลับไปออสติน เพราะเจ้าฟอร์ดมัสแตงยังจอดอยู่ที่เดอะพริวิเลจ
กิลเบิร์ตเลือกเลื้อเชิ้ตลำลองสีฟ้าอ่อนและกางเกงสแล็กสีน้ำตาลออกมาสวม เครื่องแต่งกายของเขาเกือบทุกชิ้นจะต้องเป็นของแบรนด์ดัง แน่นอนว่าเขาไม่ได้ต้องการแข่งร่ำแข่งรวยกับคนพวกนี้ แต่ความดูดีและมีรสนิยมก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
ooo
"กิล เรารอคุณอยู่แต่ฉันไม่อยากปลุก" โฮเซฟายิ้มแย้มเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้
วินนีเฟรดรีบถามเอาอกเอาใจขึ้นมาบ้าง "คุณทานอะไรรึยังคะ?"
"ผมให้เขาเอากาแฟมาเสิร์ฟให้ตรงนี้"
"ไม่เอาขนมปังปิ้งสักแผ่นสองแผ่นเหรอคะ ฉันจะได้ทาแยมให้คุณ"
โฮเซฟาว่าพลางยิ้มหวาน ส่วนวินนีเฟรดหันไปสั่งสาวโดยไม่รอคำตอบ ดูเหมือนพวกเธอแข่งกันเอาใจเขาอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่เห็นมีใครเอาใจผมอย่างนี้บ้างเลย"
เสียงหนึ่งดังขึ้นมากจากข้างหลัง ชายหนุ่มหันไปมอง แล้วแทบจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นเจ้าตัวถนัด
"เดี๋ยวคนเอาใจเธอก็กลับมาแล้วน่า เซบ" สาวสเปนยิ้มหยอกแล้วขยับปากจะแนะนำคนแปลกหน้าให้รู้จักกัน แต่ฝ่ายนั้นก็ชิงแนะนำตัวเองเสียก่อน
"เซบาสเตียน เวร็นนา ยินดีที่ได้รู้จัก"
"กิลเบิร์ต แคมพ์เบล"
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปแล้วแค่นยิ้ม ที่แท้ไอ้คนที่โบกรถเขาเมื่อวานซืนมันก็แค่นักต้มตุ๋นคนหนึ่ง
ไหนกันที่ชื่อ 'ซิลเลียน'?
ใบหน้านั้นยิ้มแย้มเป็นมิตรราวกับเพิ่งรู้จักกัน ร่างสูงมองใบหูซึ่งตอนนี้ถูกปิดด้วยผมสีน้ำตาลแล้วทำตาเยาะ ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะอ่านความคิดเขาออกจึงยกมือขึ้นรวบปอยผมไปเก็บไว้หลังใบหู แน่นอนว่าตอนนี้มันว่างเปล่า จะมีเพียงรูพรุนเล็ก ๆ เท่านั้นที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเคยมีต่างหูหลากแบบเสียบอยู่ที่นี่
วินนีเฟรดพูดแจ้ว ๆ เมื่อร่างสูงโปร่งของอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวข้าง ๆ
"เซบเป็นนักธุรกิจชื่อดังค่ะ ความสามารถล้นตัวทั้ง ๆ ที่เพิ่งจบการล่ามมาจากฝรั่งเศส"
ไหนกันที่ว่าจบจากเพอร์ดูว์?
ไม่เขาก็คนพวกนี้คงจะถูกหลอก หรือไม่ก็ถูกหลอกด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะหมอนี่อาจจะมีวุฒิการศึกษาไม่เกินไฮสกูลด้วยซ้ำ
แต่เอาเถอะ เขาจะไปอยู่แล้ว ขอให้พวกเศรษฐีสนุกกับการโดนหมอนี่ตุ๋นเถอะนะ
"โฮเซฟา ผมมีเรื่องจะบอกคุณ"
"อะไรเหรอคะ?"
เธอถามพลางก้มหน้าก้มตาทาแยมเปลือกส้มลงบนขนมปังปิ้งแล้วส่งมาให้โดยไม่ถาม ทั้ง ๆ ที่เขาเกลียดแยมเปลือกส้มมากที่สุด แต่ก็จำใจกินเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่าย
"ผมคงต้องไปบ่ายนี้แล้ว"
"ทำไมล่ะคะ?" วินนีเฟรดถามเสียงแหลมราวกับตกใจเสียเต็มประดา
"นั่นสิ" สาวสเปนเสริม "คุณไม่ได้นัดใครไว้ไม่ใช่เหรอ?"
"ก็ใช่ แต่มันดูไม่ดีนักที่จะรบกวนคุณฮอฟฟ์แมน เพราะผมเองก็ไม่ใช่เพื่อนเขาโดยตรง"
"ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย" วินนี่บ่นงึมงัม
"ไม่เอาน่าสาว ๆ คุณแคมพ์เบลคงอยากจะไปเสี่ยงโชคมากกว่า" เสียงที่ดังขัดขึ้นทำให้กิลเบิร์ตหันขวับไปมองเจ้าตัวที่สบตาเขาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน "ใช่มั้ยครับคุณแคมพ์เบล? เซฟี่บอกผมว่าคุณกำลังเปลี่ยนงาน เท็กซัสเป็นดินแดนแห่งความหวังใหม่ที่ไม่เลวทีเดียวนะ"
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด นึกอยากตั๊นหน้าคนขึ้นมาครามครัน ไม่ว่าเขาจะตกงานหรืออะไรก็ตามแต่ อย่างน้อยเขาก็ไม่หลอกลวงชาวบ้านอย่างที่หมอนี่ทำอยู่หน้าด้าน ๆ ก็แล้วกัน
"ไม่เอาน่ากิล คุณทำอย่างนี้จะยิ่งเสียมารยาทนะคะ เราทุกคนไม่คิดว่าคุณรบกวนสักนิด"
โฮเซฟาทำเสียงอ้อนขณะบีบมือเขา แววตาเยาะหยันของชายหนุ่มอีกคนทำให้เขาโพล่งออกไป
"งั้นก็ได้ ผมคงต้องอยู่รบกวนต่อจนกว่าคุณจะกลับนะโฮเซฟา ในเมื่อคุณเวร็นนาบอกว่าที่นี่คือดินแดนแห่งความหวัง ผมก็ควรจะเชื่อคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว จริงมั้ย?"
ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวาววับก่อนที่เจ้าตัวจะลุกออกไปพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ กิลเบิร์ตมองตามหลังร่างที่หยิบห่วงฮูล่าฮูปขึ้นมาเล่นกับสุนัขอีกครั้ง แล้วกัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคือง
ooo