Only Fools Fall In Love

 

 

Summary
ไอ้บ้าหมอกมันเป็นอะไรของมันนะ เมื่อก่อนผมนึกว่ามันชอบน้องว่าน ถึงได้ตามมาคอยกีดกันไม่ให้ผมจีบ ตอนหลังถึงได้มารู้ว่าไม่ใช่ เพราะมันเป็นญาติกับน้องเขา แต่ทำไม๊ทำไมมันถึงยังตามติดผมแจเป็นลูกลิงอยู่ได้ล่ะเนี่ย แถมยังชอบมองผมแปลก ๆ อีกด้วย เอ...หรือว่าผมหน้าเหมือนน้องชายที่หายสาบสูญไปของมันรึเปล่า (แต่มันไม่มีน้องนี่หว่า) เอาเถอะ มันจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เวลาอยู่กับมันก็สนุกดีเหมือนกันนะ สนุก...จนกระทั่งเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเมื่อพวกเราไปทริปชะอำเป็นครั้งที่สองของปีน่ะสิ

 

 

Preview

 

"พวกเราเด็กดื้อ เด็กดื้อ ๆ ๆ หน้าซื่อหัวใส หัวใส ๆ ๆ เด็กดื้อแต่ก็จริงใจ ๆ อยากเป็นบ้างไหม เด็กดื้อ ๆ"

"พวกเราบ้านแร่ด ชอบแร่ดตะแลดแต๊ดแต๋ เราไม่แคร์ใครจะด่าว่าแร่ด แร้ดดด แร่ด แร้ดดด แร่ด"

"รถตุ๊กตุ๊ก ๆ บรรทุกถ่าน ๆ ยกล้อขึ้นสะพาน เอ้า ชักกระตุก กระตุก ๆ ๆ ๆ ๆ"

เสียงเพลงจากปากมนุษย์และเสียงกลองดังสนั่นไปทั่งทั้งบริเวณ ถึงขั้นว่าถ้าใครจะพูดกันต้องใช้วิธีตะโกนถึงจะได้ยิน หนุ่ม ๆ สาว ๆ พลังชีวิตสูงจำนวนนับพันจับกลุ่มกันโยกย้ายส่ายสะโพกตามจังหวะเพลงอย่างเมามัน แต่ละกลุ่มล้วนแต่งตัวเป็นเอกลักษณ์ กลุ่มหน้าหอนาฬิกาใส่กางเกงเลสีส้ม เสื้อยืดสีดำ กลุ่มหน้าสระว่ายน้ำใส่กางเกงเลสีเขียว เสื้อยืดสีขาวสกรีนชื่อชมรมที่ตัวเองสังกัดอยู่ กลุ่มหน้าคณะวิศวะล่อกางเกงขาก๊วย เสื้อฮาวาย ดูแล้วช่างมากสีมากสัน เพลิดเพลินเจริญตาดีแท้

"เอ้า! น้อง ๆ ครับ" ไอ้น้องเป่าเคลียร์ลูกกระเดือก แล้วตะเบ็งเสียงผ่านโทรโข่งเพื่อแข่งกับบ้านรับน้องที่อยู่เคียงข้าง (บ้านรับน้องรวมมหา'ลัยผมจะแบ่งตามชมรม หรือไม่ก็สังกัดอิสระก็ได้ ถ้ารับน้องประเภทอื่น อย่างรับน้องคณะ รับน้องโต๊ะก็ไปอีกเรื่อง)

"น้อง ๆ ครับ" เสียงไอ้น้องเป่าดังขึ้นอีก "ต่อไปนี้พวกพี่ ๆ จะสอนเพลงใหม่ ขอให้น้อง ๆ ตั้งใจฟัง พี่จะสอนทีเดียวนะครับ…สอนทีเดียว…ขอให้น้องตั้งใจดูพี่บ้านเต้น แล้วเดี๋ยวเต้นตามนะครับ"

ไอ้เวรเป่าทำสีหน้าขรึมขลังจนโอเว่อร์ สมควรแล้วที่ปีนี้มันจะรับตำแหน่งพี่ว้ากในห้องเชียร์ เพราะปีที่แล้วมันชื่นชอบกับการว้ากของรุ่นพี่ถึงขนาดใฝ่ฝันถึง มันคงเป็นมาร์โซฯน่ะครับ

พวกเราพี่บ้านไลน์แถวเป็นวงล้อมรอบน้องซึ่งนั่งอยู่วงในและหันหน้าออกมาดู น้องบางคนแอบทำหน้าเบื่อ น้องบางคนแอบหาว(ที่จริงมันก็ไม่ได้แอบอ่ะนะ เสียงงี้ดังเชียว) ไอ้ผมก็เข้าใจนะครับ จะให้น้อง ๆ มาสนุกเหมือนพวกเราที่รู้จักกันเกือบหมดแล้วได้ยังไง แถมเข้าค่ายรับน้องนี่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเต้นและร้องเพลง บางทีมันก็ดูปัญญาอ่อนจริง ๆ แต่ผมก็ยังชอบนะ ชอบตั้งแต่สองปีก่อนที่เป็นน้องบ้าน ปีก่อนที่เป็นพ่อบ้าน จนกระทั่งปีนี้ได้เป็นพี่บ้าน(เพราะอยู่ปีสามแล้ว ตำแหน่งพ่อบ้านแม่บ้าน หรือเรียกอีกทีคือเฮดของกลุ่ม จะต้องให้เด็กขึ้นปีสองรับผิดชอบครับ)

ไอ้คุณน้องเป่ายืนเก๊กอยู่กลางวง พลางมองพวกเราที่ไลน์แถวเรียบร้อยอย่างพอใจ ก่อนที่จะตะเบ็งเสียงดังฟังชัดลงในโทรโข่งเสียดังจนทะลุทะลวงขี้หูไหล โถ…มันคงอยากโดนบ้านอื่นกระทืบตายถึงได้ไม่มีความเกรงใจเขาขนาดนี้

"ชักว่าวพร้อม! สามสี่"

พอสิ้นเสียงไอ้คุณพ่อบ้าน พวกเราทุกคนก็ออกลีลาเต้นเหมือนที่ซ้อมไว้ พลางลอบมองปฏิกิริยาน้องบ้านผู้หญิงอย่างสนุกสนาน แหม…หน้าแดงกันเป็นแถบ ๆ บางคนก็หัวเราะกับเพื่อนกิ๊กกั๊ก จะไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับ ก็เพลงมันร้องว่า

"ชักกะหล่งป่งชักกะหล่งป่ง ว่าว ๆ ๆ ด๊งกะหล่งป่งด๊งกะหล่งป่ง เด้า ๆ ๆ ชักกะหล่งป่งว่าว ด๊งกะหล่งป่งเด้า ชักกะหล่งป่งด๊งกะหล่งป่งว่าว ๆ ๆ เอ้า! ชัก! ว่าว ๆ ๆ"

ไอ้พวกน้องบ้านผู้ชายหัวเราะชอบใจกันกิ๊วก๊าวโดยเฉพาะไอ้พวกที่มีเพื่อนมาด้วย ก็อย่างนี้แหละครับ ความสัปดนเรียกความสนุกได้เสมอ ดังนั้นจึงมีไอ้พวกจิตไม่ว่างคิดเพลงสัปดนมารับน้องกันตั้งแต่สมัยไหน ๆ แล้ว

พวกน้อง ๆ ยืนขึ้นแล้วหันหน้าชนกับพี่บ้านเพื่อความสะดวกในการหัดเต้น วงกลมทั้งในและนอกของเราเคลื่อนไปเคลื่อนมาเล็กน้อย เนื่องจากจำนวนน้องบ้านมีมากกว่าพี่ เราจึงต้องยืนกระจายเพื่อเต้นเป็นตัวอย่างให้น้อง ๆ ได้ดูกันถ้วนทั่วทุกตัวตน

ลมหายใจของผมสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อเห็นน้องบ้านที่ยืนประจัญหน้ากับตัวเอง เธอเป็นสาวน้อยรูปร่างบอบบาง ผิวขาวผมชมพู คิ้วดำเข้มเรียวสวย ดวงตากลมโต ผมตรงเหยียดยาวประบ่า มีไรหนวดบาง ๆ บนริมฝีปาก น่าร้ากกกก

หลังจากที่เหลือบมองป้ายชื่อที่ห้อยคอเธออยู่ผมก็รู้ว่าเธอชื่อน้องว่าน เอนท์ติดคณะสายศิลป์ พอเลื่อนสายตาสูงขึ้นไปอีกก็ได้ประสานสายตากับดวงตาใสปิ๊ง ๆ ที่ดูไร้เดียงสาของเธอ

อา…เลิฟแอทเฟิร์สต์ไซท์ ผมเจอรักแรกพบเข้าให้เสียแล้ว

++++++

"ไอ้เอี้ยดิว" เสียงคุ้นหูร้องเรียกชื่อผมอย่างไพเราะขณะที่ผมกำลังดูดน้ำจากกระติกรวม แล้วตามมาด้วยฝ่ามืออรหันต์ที่ฟาดปึ่กลงบนหัวไหล่เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมกำลังจะหันไปหาคนเรียกพอดี

"ไอ้สัดตัง" ผมสรรเสริญมันกลับเป็นการตอบแทนความรักใคร่ทะนุถนอมที่มันมีให้ "มือแม่งอย่างกับที่ตักดินรถเครน กูเจ็บนะโว้ย"

จะไม่ให้เจ็บได้ยังไงล่ะครับ ไอ้ตังมันทั้งตัวสูงทั้งล่ำ ติดจะท้วม ๆ แบบนักกีฬารักบี้ด้วยซ้ำ(และมันเองก็รักที่จะบี้เสียด้วย) ผมว่าผมก็ไม่เตี้ยแล้วนะเพราะสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบห้า แต่ไอ้เวรตังดันสูงตั้งเกือบร้อยเก้าสิบ เวลายืนกับมันเลยกลายเป็นลูกหมาไปเสียฉิบ

"มึงเล็งน้องว่านอยู่ใช่มั้ย?" มันถามโดยไม่สนใจคำตัดพ้ออันแสนรื่นหูของผมแม้แต่น้อย

ประโยคนั้นทำให้ผมอึ้งเล็ก ๆ ด้วยความอาย อันเป็นคุณสมบัติที่ติดอยู่ในสายเลือดผู้ดีหน้าบางอย่างผม "เออ"

ที่จริงก็อยากจะถามเหมือนกันนะครับว่ามันรู้ได้ยังไง แต่จากช่วงระยะเวลารับน้องที่ผ่านมาสองวันจนวันนี้เข้าวันที่สาม มันก็น่าจะฟ้องอะไรต่อมิอะไรได้มากแล้ว อย่างเวลากินข้าวเนี่ย จะมีบ้างที่พี่บ้านสั่งให้น้องนั่งเรียงแถวกินแล้วตักข้าวในกล่องตัวเองป้อนคนโน้นคนนี้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อสร้างความสนิทสนม แต่ก็มีบางทีที่จะให้น้องนั่งกระจายกินกันตามสะดวก แล้วพวกพี่ ๆ ก็จะเข้าไปนั่งด้วย อันนี้ก็จะเพื่อความสนิทสนมอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าเด็กอมมือที่ไหนก็ต้องเดาเจตนารมย์ของผมออก ก็ผมเล่นเกาะติดกลุ่มน้องว่านแจ หรือไม่อย่างเมื่อคืนที่มีการผูกข้อมือรับน้อง ผมก็นั่งอวยพรน้องว่านน้านนาน นานเป็นพิเศษ แถมยังขี้โกง เอาสายสิญจน์ผูกข้อมือน้องว่านไปตั้งสามเส้น เป็นการตีตราจองแบบเงียบ ๆ น่ะครับ

"มึงมีคู่แข่งแล้วว่ะ" ไอ้ตังว่าพลางพร้อมเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อให้ผมเห็นภาพสยองได้ถนัดตา

ณ.ที่ตรงนั้น ที่ที่ผมนั่งกินข้าวกับน้องว่านอยู่แหม่บ ๆ ประมาณว่าน้ำลายบนช้อนยังไม่ทันแห้ง มีไอ้หนุ่มหน้าไหนไม่รู้ ฉวยโอกาสตอนที่ผมลุกขึ้นมากินน้ำและเตรียมจะแบกกระติกกลับไปให้น้องว่าน มาแย่งที่พ้มมมมม

อันที่จริงจะว่าไอ้หนุ่มหน้าไหนก็ไม่ถูก ผมรู้จักมันเหมือนกัน เอ…จะว่าเคยเห็นคงจะเหมาะกว่าเพราะไม่รู้จักชื่อมันนี่เนอะ เมื่อประมาณช่วงกลางเทอมของเทอมที่แล้วซึ่งผมยังอยู่ปีสอง มีอยู่วันผมหอบหนังสือมาเป็นตั้งวิ่งทะเร่อทะร่าลงบันไดมาร้านซีร็อกซ์ซึ่งตั้งอยู่ชั้นหนึ่ง แล้วชนโครมเข้ากับใครบางคนที่กำลังจะวิ่งสวนขึ้นบันไดพอดี

"แม่ง…เอี้ยเอ๊ย เอี้ย!" ผมจำได้ว่าตัวเองสบถออกมาดัง ๆ พลางก้มลงเก็บหนังสือ

คู่กรณีที่กำลังช่วยเก็บเหมือนกันชะงักไปเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นถาม "ด่าใคร?"

เราประสานสายตากันอยู่เป็นนานแบบเสือพบสิงห์ อันที่จริงผมเกือบจะบอกไปแล้วว่า 'ด่ามึงนั่นแหละ!' แต่พอดีเห็นว่าลูกตาอีกฝ่ายไม่มีแววคุกคามหรือหาเรื่อง กลับติดจะขำ ๆ เสียด้วยซ้ำ ผมก็เลยขี้เกียจแกว่งตีนหาเสี้ยน

"ด่าตัวเอง"

หลังจากนั้นประมาณอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ก็จำไม่ได้ ผมก็เห็นหมอนั่นมาสิงสถิตย์อยู่โต๊ะข้าง ๆ โต๊ะผม ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะไม่ได้เป็นปรปักษ์กับใคร แต่ก็ใช่ว่าจะญาติดีจนต้องไปถามชื่อ เพราะถ้าเรียนคนละภาคแล้วก็ไม่มีใครสนใจจะรู้จักกัน นอกเสียจากว่าจะอยู่ชมรมเดียวกัน ดังนั้นผมจึงรู้ว่าแค่ไอ้หมอนั่นอยู่ปีเดียวกับผมเท่านั้นแหละ

แต่ดูเหมือนตอนนี้เราจะเป็นศัตรูกันเสียแล้ว โดยมีมันเป็นผู้จุดชนวนสงคราม(มั้ง)

ผมมองภาพไอ้หมอนั่นคุยกับน้องว่านผู้น่ารักอย่างสนิทสนมยิ่งกว่าผมที่เฝ้าทำคะแนนมาสองวันเสียอีก แล้วให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดหัวใจ แต่ก็เอาเถอะ น้องว่านเพิ่งรู้จักมัน แล้วผมกับมันก็หน้าตาไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ ผมออกจะหล่อกว่าเสียด้วยซ้ำ ติดที่ว่ามันดูเหมือนจะสูงกว่าก็เท่านั้นเอง

"มันเป็นใครวะ" ผมเอนตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบถามไอ้ตังด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นเหมือนกับที่เจ้าพ่อในหนังใช้ถามลูกน้องคนสนิท

เสียอยู่อย่างที่เวลาไอ้เพื่อนเวรตอบมันดันไม่ค้อมหัวอย่างสุภาพเนี่ยสิ "ก็ไอ้คนที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ ไง อะไรวะ ปิดเทอมไปสามเดือน มึงจำหน้าหมาหน้าแมวไม่ได้เลยหรือไง?"

"กูรู้แล้วว่ามันนั่งโต๊ะข้าง ๆ แต่กูอยากรู้ว่ามันโผล่มาอยู่ที่นี่ได้ไง เพราะวันแรกกับวันที่สองกูไม่เห็น" ผมไขความกระจ่างให้กับสมองขี้เลื่อยของเพื่อนสนิท เพราะเท่าที่ดู มันใส่กางเกงเลและเสื้อยืดสีเดียวกับพวกเรา หมายความว่าอย่างน้อยมันจะต้องรู้จักใครสักคนที่อยู่ชมรมนี้ ถึงจะเสนอหน้ามาร่วมแจมด้วยได้

"อ้าว ก็มึงเสือกถามว่ามันเป็นใคร" ไอ้ตังตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อ "กูได้ยินไอ้พร้าวพูดแว่ว ๆ ว่าเป็นเพื่อนมัน ชวนมาทำบ้านรับน้องด้วยกัน ชื่อหมอก วันแรกกับวันที่สองมันมีธุระ เพิ่งจะมาได้เอาวันสุดท้าย"

"ไอ้เวรพร้าว" ผมคำราม "เพื่อนมึงทำพิษกูเสียแล้ว"

"ดูท่าน้องว่านจะชอบมันมากกว่ามึงนะเว้ย" ไอ้ตังออกความเห็น พลางพยักหน้าหงึก ๆ ให้กับตัวเอง ก่อนจะร้องลั่นเมื่อผมฟาดสันมือไปบนกระโหลกมันเต็มรัก "โอ๊ย! ไอ้เอี้ยดิว มึงทำไรกู?"

เสียงร้องเป็นลูกหมาของมันคงจะดังพอที่จะทำให้ใครต่อใครในบริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียว รวมทั้งน้องว่านกับไอ้หมอกไอ้ควันอะไรนั่นด้วย เพื่อนบางคนร้องแซวมัน ในขณะที่ผมเดินคว้ากระติกน้ำไปหาเป้าหมายอย่างไม่สนใจ

"น้ำครับน้องว่าน"

"ให้ว่านคนเดียวเหรอคะ?" น้องกุ้งที่เรียนอยู่คณะเดียวกันกับน้องว่านถามผ่านรอยยิ้มแบบมีเลศนัย

ผมรีบฉีกยิ้มกลับเพื่อทำคะแนน และหวังจะใช้เธอเป็นแม่สื่อ "ก็ให้น้อง ๆ ทุกคนแหละครับ พี่น่ะเป็นพี่บ้านที่ดีนะน้อง คอยบริการทุก ๆ คน ไม่ได้คอยแต่นั่งเอาแรงเพื่อน ๆ"

ท้ายประโยคผมกัดคู่แข่งเล็ก ๆ พลางส่งสายตาอาฆาตไปให้มันเป็นการประกาศสงครามไปในตัว แต่ดูเหมือนคนนิสัยดีอย่างผมคงจะทำเรื่องเลว ๆ ไม่ขึ้นล่ะมั้ง น้องว่านถึงได้ถามยิ้ม ๆ เธอคงนึกว่าผมหยอกไอ้หมอกนั่นเล่นเป็นปกติ

"พี่ดิวกับพี่หมอกอยู่คณะเดียวกันเหรอคะ?"

ไอ้เวรนั่นแย่งผมตอบเสียนี่ "อยู่คณะเดียวกัน แต่ไม่เคยรู้จักกันหรอก เพิ่งจะมารู้เดี๋ยวนี้ว่าชื่อดิว"

น้องว่านทำหน้าสงสัยแล้วอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไอ้เวรเป่าผู้รั้งตำแหน่งพ่อบ้านก็ตะเบ็งเสียงกรอกโทรโข่งขึ้นมาเสียก่อน พวกเราจึงต้องเบนความสนใจไปหามัน

"เดี๋ยวเราจะเล่นบัดดี้กันนะครับ หลังจากที่พี่เป่าสุดหล่อได้นับจำนวนคนแล้วพบว่าบ้านเรามีจำนวนผู้ชายผู้หญิงสูสีกัน ดังนั้นจะแยกจับชายหญิง ผู้ชายจับของผู้หญิง ผู้หญิงจับของผู้ชาย ถ้าชื่อเหลือพี่บ้านผู้ใจดีและล่ำซำเชิญเสียสละรับเทคบัดดี้สองคนด้วยนะครับ"

ผมรู้สึกว่าดวงตาตัวเองเป็นประกายมันวาวขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องส่องกระจกดู จริงสิ! ผมลืมไปเสียสนิทว่าบ้านรับน้องส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชมรมจะมีประเพณีเทคแคร์บัดดี้ทุกปี ฮะฮ้า…ผมไม่สนหรอกว่าจะจับได้ชื่อใคร เพราะยังไงผมจะตามจิกแลกจนกว่าจะได้ชื่อน้องว่าน

ภาพตัวเองที่ไปเดินตามห้างเพื่อหาซื้อของกระจุกกระจิกสุดแสนจะน่ารักเอาไว้เทคน้องว่านในแต่ละวันทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ทำให้ไอ้พร้าวที่ถือกระป๋องชื่อมาให้ถึงกับก้าวถอยหลังหนีด้วยความสยอง

"มึงเป็นไรไปวะไอ้ดิว อยู่ ๆ ก็ยิ้ม?"

"เรื่องของกู" ผมค้อนมันทีนึงก่อนจะพนมมืออธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะควานหาชื่อในกระป๋อง

สาธุ…ขอให้ได้ชื่อน้องว่านด้วยเถิด

ผมคลี่ม้วนกระดาษเล็ก ๆ ออกมาด้วยใจระทึก แต่แล้วก็เข้าใจคำว่า 'แป้ก' อย่างแจ่มแจ้งในวินาทีนั้น

N' หวาน บัญชี#1

ใครวะน้องหวาน? หวานไม่เอาเฟ้ย จะเอาว่าน ผิดวรรณยุกต์ไปหน่อย แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็จะเทคน้องว่านให้ได้ ดังนั้นผมจึงเริ่มจากกลุ่มน้องบ้านก่อน เพราะพวกนี้ยังไม่รู้จักกันหมด ย่อมต้องการอาศัยพี่บ้านในการถามไถ่ว่าใครเป็นใคร

"พี่ครับ ใครชื่อพี่ส้มสถาปัตฯ?" นั่นไง ยังไม่ทันขาดคำ น้องกิตก็แล่นเข้ามาถามผมถึงตัวเลยทีเดียว ผมชี้ทางสว่างให้น้องเขาด้วยการบุ้ยใบ้ไปยังเจ้าของชื่อที่กำลังคุยกับเพื่อนอยู่

ผมค่อย ๆ ดำเนินแผนการของตัวเองไปเรื่อย ๆ แล้วชักจะหงุดหงิดเพราะหลังจากสำรวจแผ่นกระดาษในมือน้องบ้านผู้ชายจนหมดก็พบว่าไม่มีใครจับได้ชื่อน้องว่านเลยสักคน ดังนั้นผมจึงต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปหากลุ่มพี่บ้านแทน เริ่มจากมันเป็นคนแรก ไอ้เวรตัง…

"ไม่ใช่กู แต่กูรู้ว่าใคร" มันปฏิเสธ แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มของผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า(และถ้าผมเดาไม่ผิด มันคิดว่ามันฉลาดกว่าผมด้วยนะนั่น)

"มึงรู้ได้ไงวะ?" ผมถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อเครดิตมันเท่าไหร่

"กูเห็นมึงตระเวนไปหาพวกน้อง ๆ กูก็รู้แล้ว กูก็เลยช่วยมึงตระเวนหาในพวกเราเองบ้าง"

เมื่อเห็นมันมีหลักฐานมายืนยันในมันสมองของมัน ผมก็เลยถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "แล้วใครวะ?"

"มึงรู้คงอยากตายว่ะ"

แค่นั้นผมก็ชักจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล ผมมองไปทางไอ้หมอกซึ่งกำลังคุยกับน้องบ้านคนอื่น ๆ อยู่อย่างหวาดระแวง เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ตังพูดขึ้นมาอีก

"คู่แข่งหัวใจของมึงไง"

++++++

สีหน้ายิ้มแย้มที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของไอ้หมอก กับสีหน้าของกลุ่มน้องผู้หญิงที่ทำเหมือนผมเป็นตัวขัดจังหวะเมามันในการคุยของพวกเธอกับไอ้หมอกทำให้ผมหน้าตึงขึ้นมานิด ๆ ก่อนจะสะกิดเรียกมัน

"เฮ้ย มาด้วยกันหน่อยเด่ะ อยากคุยด้วยหน่อยว่ะ"

มันมองหน้าผมเหมือนจะหาเรื่อง ก่อนจะถามว่า "จะคุยอะไรถึงต้องไปคุยที่อื่น"

น้องผู้หญิงคนหนึ่งรับเป็นลูกคู่ทันที "นั่นสิคะ พวกเรายังคุยกับพี่หมอกไม่เสร็จเลย"

โห…น้อง ไม่สวยก็หลบไปเลยไป

ผมปั้นหน้าเรียบพร้อมกระแอมเล็กน้อยเพื่อเรียกความเชื่อถือ "คือพวกพี่ต้องวางแผนเรื่องที่จะพาน้อง ๆ ไปเลี้ยงข้าวบ่ายนี้กันน่ะครับ น้อง ๆ คุยกันไปก่อนก็แล้วกันนะ"

ใบหน้ากระเง้ากระงอดของคนถามไม่เป็นที่สนใจของผมเท่าไหร่ แค่ไอ้หมอกพิษนั่นลุกตามผมมายังโคนต้นไม้ซึ่งปลอดคนผมก็พอใจมากแล้ว

ความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณนั้นสักพัก ในขณะที่ผมจ้องหน้ามันเขม็ง ก่อนจะถามอย่างไม่อ้อมค้อม "นายจับได้ชื่อน้องว่านรึเปล่า?"

"เออ" มันตอบตรง ๆ เช่นกัน แล้วเลิกคิ้วกวนบาทา "ทำไม?"

"จะขอแลกชื่อ นายเทคน้องหวานไปแล้วกัน คนโน้นน่ะ"

ผมชี้ให้มันดูน้องผู้หญิงผมยาวใส่แว่นกรอบหนาที่นั่งไม่ห่างจากจุดที่เรายืนอยู่เท่าใดนัก ฝ่ายตรงข้ามมองตาม แล้วหันมายักไหล่ให้

"ทำไมต้องแลก จับได้ใครก็เทคคนนั้นสิ เดี๋ยวน้องเขารู้ก็เสียใจหรอก เป็นพี่บ้านภาษาอะไร"

ผมกัดฟัน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อไม่ให้กระโดดเตะก้านคอคนพูดเสียก่อนที่บังอาจมาสั่งสอนนักปราชญ์ดิวสุดหล่อได้ แล้วตัดสินใจใช้น้ำเสียงประนีประนอมในการต่อรองกับอีกฝ่าย

"คือฉันชอบน้องว่านว่ะ เพราะงั้นขอแลกเหอะ นะ นะ ได้โปรด" ท้ายประโยคผมทำเสียงชวนสงสาร

แต่ไอ้เวรนั่นไม่เพียงแต่จะไม่สงสาร แถมยังยิ้มเยาะกึ่งขำอีก "โห…คนเรา นั่งโต๊ะใกล้กันมาเป็นนานไม่เห็นจะเคยทักเคยถามชื่อ พอมีเรื่องผู้หญิงล่ะก็อยากให้ช่วย ไม่ดีมั้ง"

"ดีสิ" ผมพยายามทำอารมณ์เย็น พร้อมบอกกับตัวเองในใจ ถ้าไม่มีเรื่องน้องว่านผมก็ไม่อยากจะเสวนากับมันหรอก

"ไม่ดี" มันส่ายหน้า "น้องว่านออกจะน่ารัก ใช่ว่าจะมีนายสนใจคนเดียวเสียเมื่อไหร่"

ไอ้หมอกพิษว่าพร้อมเดินจากไปอย่างไม่คิดจะร่ำลา ทิ้งให้ผมควันออกหูอยู่ตรงนั้น

ไอ้เวรนี้มันประกาศสงครามกับผมจริง ๆ ซะด้วย

++++++

ระยะเวลาที่ชมรมเรากำหนดขึ้นในการเล่นบัดดี้คือสองอาทิตย์ และเนื่องจากสมาชิกในชมรมมาจากหลากหลายคณะ การจะเดินไปเทคบัดดี้ให้ถึงที่นั้นเลิกฝันไปได้เลย(นอกจากพวกอยากโชว์พาว) เราจึงกำหนดให้โต๊ะสารพัดประโยชน์บนชมรมเป็นที่เทดบัดดี้แทน ใครจะซื้อขนมมาเทคบัดดี้ก็ให้วางไว้บนโต๊ะตัวนั้น ถ้าบัดดี้ขึ้นชมรมมาเห็นกล่องขนมเขียนชื่อตัวเองก็หยิบลงไป

ขอบรรยายภาพรวมของชมรมเราให้เห็นคร่าว ๆ ก่อนนะครับ ชมรมส่วนใหญ่จะอยู่บนตึกของโรงอาหารใหญ่ จะมีบางชมรมอย่างชมรมฟันดาบ ชมรมเชียร์ จะกระเด็นไปอยู่ตรงสระว่ายน้ำ ชมรมเราคือ 'ชมรมออกแบบและสร้างสรรค์' ซึ่งอยู่ถึงชั้นสี่ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เวลาต้นปีจะมีบรรดาน้องปีหนึ่งที่กระตือรือร้นขึ้นมาชมรมยามมีเวลาว่าง แต่ก็หายหัวไปในเวลาไม่นาน เพราะใครจะอยากปีนบันไดขึ้นมาถึงสี่ชั้นเพื่อมาทำเรื่องไร้สาระอย่างเล่นไพ่ หรือเล่นเกมติงต๊องล่ะครับ นอกจากจะเป็นพวกชอบคบเพื่อนมาก ๆ อย่างผม ที่จะติด และขึ้นมาเป็นประจำ

อย่างที่บอกว่าชมรมเราเปิดตลอด(ก็มีกุญแจชมรมปั๊มแจกคนที่ขึ้นมาบ่อย ๆ นะ) โดยอาศัยเวลาเปิดปิดตึกที่เราอยู่นั่นแหละ ใครว่างก็ขึ้นมาบนชมรม ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีกิจกรรมเป็นประโยชน์อันใดหรอกครับ คนเยอะหน่อยก็ตั้งวงเล่นไพ่ เล่นเกมสารพัดที่คิดขึ้นมา หรือดีดกีตาร์ร้องเพลง คนน้อยหน่อยก็เล่นหมากรุกหรือนอนไปซะ เพราะบนชมรมจะมีหมอนเก่า ๆ ราขึ้นอยู่สองสามใบ แล้วก็บรรดากางเกงเลอีกห้าหกตัวเอาไว้ให้ผู้หญิงเขาสวมทับกระโปรง จะได้ลุกนั่งสะดวกหน่อย

สมาชิกในชมรมก็ไม่ได้ไปเค้นคอให้สมัคร ใครอยากเข้าก็เข้า โดยเราจะมีงานเปิดโลกกิจกรรมหลังจากเปิดเทอมมาหนึ่งเดือน เพื่อให้น้องปีหนึ่งได้สมัครชมรมกันตามอัธยาศัย (เช่นกันครับ ใครไม่สมัครก็ไม่เป็นไร) ส่วนใหญ่ก็สมัครเอาไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ค่อยขึ้นกันเท่าไหร่ ก่อนงานเปิดโลกกิจกรรมพวกที่ขึ้นชมรมกันบ่อยในตอนเย็น ๆ ก็คือน้องบ้านซึ่งจะค่อย ๆ หายหัวไปทีละคนสองคน สมาชิกบางคนก็มาจากชมรมอื่น และโผล่มากลางเทอม มาเห็นชมรมเราน่าอยู่กว่า ก็สถิตย์อยู่ที่ชมรมเราแทนอะไรทำนองนั้น

ตั้งแต่เปิดเทอมมาสามวันนี่ผมรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจไม่หยอกที่ไม่เห็น(คนที่มีทีท่าเหมือนจะเป็น)คู่แข่งความรักที่คณะเลยสักครั้ง ผมเลยถือโอกาสทำคะแนนด้วยการขึ้นชมรมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ด้วยความที่ตึกชมรมกับคณะผมมันอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม บางทีพักกลางวันชั่วโมงเดียว กินข้าวเสร็จผมก็มานอนเขลงอยู่บนชมรม เพื่อดักรอน้องว่านและดำเนินแผนการณ์ตีสนิท แต่สามวันมานี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ขึ้นชมรมเลยสักครั้ง ผมเลยชักเริ่มใจเสีย บางทีเธออาจจะเป็นหนึ่งในกลุ่มน้องที่หายหัวไปเลยก็ได้

ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคเข้าข้างหรือหลวงพ่อท่านคูณท่านปราณี ในบ่ายของวันที่สี่ของการเปิดเทอม ผมกำลังนอนเล่นอยู่ในชมรมซึ่งไม่มีหมาสักตัว พลันหูผมแว่วเสียงคนคุยกันดังมาตามทางก็เลยลุกขึ้นดู ปรากฏว่า…

น้องว่านมากับน้องกุ้งและเพื่อนอีกสองสามคน!!

โอกาสของผมมาถึงแล้ว ผมรีบเอามือเสยผมให้เข้าที่ แล้วแกล้งนอนลงไปเหมือนเดิม ผิดแต่คราวนี้ผมเปลี่ยนท่านอนเล็กน้อยด้วยการเอามือประสานกันรองหัว แล้วไขว่ห้าง เหมือนกำลังขบคิดปัญหาอะไรสักอย่างให้แตกดังโพล้ะ

"อ้าว พี่…"

ผมแกล้งทำเป็นเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อเสียงสดใสดังขึ้น พอหันไปมองก็พบว่าคนพูดคือน้องกุ้ง ผมยิ้มให้น้อง ๆ ทุกคนแล้วถามอย่างไม่เฉพาะเจาะจง

"หวัดดีครับน้อง ๆ เปิดเทอมแล้วไม่เห็นหน้าเลยนะ ยังจำชื่อพี่ได้อยู่รึเปล่าเนี่ย?"

อ๊าาาา! โอยแสบตา ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ พอดีน้องว่านเธอคลี่ยิ้มเผยให้เห็นแนวฟันเป็นระเบียบสีขาวสะอาด รับกับแสงที่สาดส่องเข้ามาเป็นประกายปิ๊งงง

"พี่ดิวไง แหม ทำไมจะจำไม่ได้คะ ว่าแต่พี่จำชื่อพวกเราได้รึเปล่า"

"น้องว่านกับน้องกุ้ง" ผมตอบทันควัน แล้วมองไปทางสองสาวที่ยืนเหนียม ๆ อยู่ทางด้านหลัง แล้วพูดอย่างมั่นใจ "ส่วนน้องอีกสองคนไม่ใช่น้องบ้านนี่"

"เพื่อนกันพี่ ชื่อเปียกับฝ้าย เขาจะมาขึ้นชมรมเขาเหมือนกัน ก็เลยชวนเข้ามาก่อน" น้องกุ้งตอบ

ผมมองไปทางน้องสาวทั้งสอง แล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร ไม่ได้สิ ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนน้องว่านผมต้องรีบทำคะแนนไว้หมดแหละ "หวัดดีครับน้องเปีย น้องฝ้าย จะมาเข้าชมรมเราเลยก็ได้นะน้อง"

น้องเปีย(มั้ง) ยิ้มตอบ "วันหลังจะมาเที่ยวนะพี่ วันนี้นัดเพื่อนที่ชมรมไปกินไอติม"

สาว ๆ ทั้งสี่โบกมือให้กันวุ่นวาย ก่อนที่น้องว่านกับน้องกุ้งจะเข้ามานั่งข้างใน แล้วเอากล่องขนมวางลงบนโต๊ะสำหรับเทคบัดดี้

ผมเริ่มนึกกลัวอะไรขึ้นมาบางอย่าง อยากจะถามน้องว่านใจจะขาด แต่กลัวว่าถ้าเผื่อทำอะไรกระโตกกระตากเธอจะล่วงรู้ความในใจแล้วประหม่าที่จะสนิทสนมกับผมก็เป็นได้ ผมจึงได้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่สนใจเท่าไหร่ "น้อง ๆ จับได้ชื่อใครเหรอ?"

ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ ที่ผมกลัวนี่คือกลัวน้องว่านจะจับได้ชื่อไอ้หมอกน่ะสิ ผมไม่อยากให้ทุกอย่างมันดูเหมือนสวรรค์สร้างถึงขนาดนั้น ประมาณว่าไอ้หมอกจับได้ชื่อน้องว่าน น้องว่านจับได้ชื่อไอ้หมอก

น้องกุ้งทำท่าจะอ้าปากตอบ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง "ไม่บอกหรอกค่ะ เดี๋ยวพี่ดิวเอาไปบอกเขา"

"แหม ไม่บอกหรอกน่า พี่จับได้น้องหวานคณะบัญชี เห็นป่ะ พี่ยังบอกน้อง ๆ เลยนะครับ เพราะงั้นต้องแลกคืนสิ"

"ก็พี่อยากบอกเอง" น้องกุ้งพูดต่อ

เท่าที่ผมสังเกตดูน้องกุ้งดูจะเป็นคนร่าเริงกว่าน้องว่านอย่างเห็นได้ชัด เพราะเธอช่างยิ้มช่างเจรจาเสียเหลือเกิน ผิดกับน้องว่านที่เอาแต่ยิ้มบาง ๆ และชอบที่จะเป็นผู้ฟังมากกว่า

ก็ดีครับ ผมชอบผู้หญิงไม่พูดมาก

น้องกุ้งถามขึ้นหลังจากที่มองไปรอบ ๆ ชมรมที่ค่อนข้างรกของเรา "แล้วคนอื่นเขาไม่ขึ้นชมรมกันเหรอพี่? ทำไมมีพี่อยู่คนเดียวล่ะ หรือว่าเพื่อนไม่คบเนี่ย?"

"โธ่ น้องครับ คนอย่างพี่เหรอเพื่อนจะไม่คบ แต่เขาไม่ว่างกันน่ะสิ พี่จะบอกอะไรให้นะ เวลาว่างน้อง ๆ ควรจะขึ้นชมรมกันนะครับ เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะได้รู้จักเพื่อนต่างคณะ คบแต่เพื่อนในคณะไม่ดีหรอก"

ขี้เกียจจะบอกว่าวันนี้ไอ้ตังก็ว่างพร้อมผมแหละ เพราะวันนี้ทั้งวันเราลงวิชาเดียวกัน แต่มันน่ะขี้เกียจขึ้นเพราะรู้ว่าขึ้นมาก็ไม่มีใครอยู่ ผมเลยทำหน้าที่พี่บ้านที่ดี อาสาเพื่อน ๆ ขึ้นมานอนบนชมรมโดยอ้างว่าเผื่อจะมีน้องปีหนึ่งขึ้นมาจะไม่เจอใคร แต่จริง ๆ แล้วผมอยากจะมานอนเฝ้าต่างหากว่าเมื่อไหร่น้องว่านจะขึ้น

++++++

หลังจากที่ใช้เทคนิคส่วนตัวหลอกล่อขอดูตารางสอนของน้องว่านและจดจำเอาไว้ในสมองอันชาญฉลาดแล้ว ผมก็ชวนน้อง ๆ ทั้งสองไปกินไอติมเจ้าอร่อยตรงโรงอาหารคณะบัญชี ตอนแรกน้องว่านมีท่าทางอิดออดเล็กน้อย แต่พอโดนน้องกุ้งเพื่อนซี้กระตุ้นเข้าหนัก ๆ ก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เพราะไหน ๆ สองสาวก็ไม่มีเรียนตอนบ่ายแล้ว ผิดกับผมที่ต้องวิ่งหูตูบกลับไปเรียนตอนบ่ายสอง

ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าน้องว่านกับน้องกุ้งจบจากม.ปลายที่เดียวกัน มิน่า…ทั้งสองคนถึงได้สนิทกันพอดู ถึงจะไม่เท่าผมกับไอ้ตังที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ป.หนึ่งก็เหอะ

"พี่ดิวชวนมาแล้วจะเลี้ยงรึเปล่าเนี่ย?" คงไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่าใครถามประโยคเปิดเผยแบบนี้ออกมาระหว่างที่เรากำลังเดินไปที่ร้านไอติม

ผมหันไปยิ้มให้น้องกุ้ง เพิ่งเห็นก็ตอนนี้เองว่าเธอสวยน่ารักดีอยู่ไม่น้อย แต่เป็นคนละแบบกับน้องว่าน เพราะน้องกุ้งจะออกแนวร่าเริง ผมซอยสั้น ตาค่อนข้างตี่แบบจีนแท้ และมีรอยยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะเรียกตามศัพท์สมัยนี้คงได้ประมาณว่าหมวยอินเตอร์ล่ะมั้ง

"เลี้ยงสิครับ ที่จริงอาทิตย์หน้าอยากชวนน้อง ๆ ไปดูหนังด้วย วันอังคารว่างไม่ใช่เหรอ?"

"ถ้าดูหนังแล้วพี่เลี้ยงรึเปล่าล่ะ?" น้องเม๋ออินตวยรุกต่อ

น้องว่านกระทุ้งศอกไปยังชายโครงเพื่อนเบา ๆ "ไอ้กุ้ง!"

"แหม พูดเล่นหรอก" น้องกุ้งพูด

ผมเลยรีบฉวยโอกาสทันที พยายามทำตัวสปอร์ตเต็มที่ แล้วให้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นข้าราชการครูผู้ต้องเอาเงินเดือนมาซื้อโน่นซื้อนี่เอาใจสาวยังไงพิกล ก็ผมต้องสอนพิเศษเพื่อหาเงินยังชีพด้วยนี่ครับ "ทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ล่ะครับ แค่นี้เอง ว่าแต่ตกลงจะไปรึเปล่า"

"มีคนไปเยอะมั้ยคะ?" น้องว่านถามขึ้นอย่างลังเล

อันที่จริงผมก็ไม่อยากให้ไอ้หน้าไหนมันไปเยอะเท่าไหร่หรอกนะ เพราะเท่ากับมันเป็นก้างขวางความสุขของผม แต่ด้วยความที่ผมต้องการจะโชว์ความมีน้ำใจต่อคนอื่นให้น้องว่านเห็น และไม่ให้เธอรู้ตัวเร็วเกินไปว่าผมจะจีบ ผมจึงพูดพลางยิ้มอย่างมีอัธยาศัย "เดี๋ยวชวนคนอื่น ๆ ไปด้วยก็ได้ ที่ชมรมไปดูหนังด้วยกันบ่อยจะตาย ไปกินข้าวเย็นด้วยกันก็บ่อยนะ"

หึหึ พูดไปงั้นแหละ เพราะคราวนี้ผมจะไม่ชวนใครหรอกนอกจากไอ้ตัง พอถึงวันอังคารจริง ๆ ค่อยช่วยกันโกหกว่าคนอื่น ๆ ไม่ว่าง

และแล้วก็เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางกระหม่อมผม เมื่อจู่ ๆ น้องว่านก็ร้องออกมาเมื่อเราเดินใกล้ถึงร้านไอติม "พี่หมอกนี่นา"

"ไหน ๆ เออ จริงด้วย มากับพวกเปียกับฝ้าย"

ปวดใจเหลือเกินครับ ทีชื่อไอ้หมอก สองสาวจำแม่นเชียว

ผมมองไอ้ตัวมารความสุขที่กำลังจ่ายเงินค่าไอติมโดยมีน้องผู้หญิงสี่ห้าคนล้อมหน้าล้อมหลังด้วยความหมั่นไส้ อุตส่าห์ไม่เห็นหน้ามันมาตั้งสามวันครึ่ง ดันมาโป๊ะอะไรเอากับบ่ายที่ผมพาน้องว่านมากินไอติมนี่

เอาวะ เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว

น้องว่านกับน้องกุ้งทักเพื่อนทั้งสองคนของเธอเล็กน้อย ในขณะที่ผมก็ส่งยิ้มให้กับทุกคนยกเว้นไอ้หมอกพิษ พลางนึกปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยดวงผมก็ไม่ได้กุดอะไรนัก เพราะกลุ่มนี้เขากำลังจะไปกันแล้ว เดี๋ยวก็จะเหลือแต่ผมและน้องว่าน อ้อ…มีน้องกุ้งด้วยนี่หว่า

แต่แล้วฟ้าก็ผ่าลงมาเป็นคำรบสองเมื่อไอ้หมอกพูดกับน้อง ๆ กลุ่มนั้น "น้อง ๆ ไปกันก่อนก็แล้วกัน พี่มีเรียนตอนสองโมง เดี๋ยวรอเพื่อนก่อน"

ผมหันซ้ายหันขวาเพื่อที่จะหาเพื่อนที่ว่าของมัน แต่บริเวณนี้ก็ไม่มีใครเลยนอกจากผม เข้าเรียนตอนบ่ายสอง? อย่าบอกนะว่า…

"รู้สึกว่าเราจะลงวิชาเดียวกันว่ะ" มันพูดในสิ่งที่ผมกลัวออกมาได้ก่อนที่ผมจะคิดทัน

ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอด ๆ แต่ต้องรักษากิริยาไว้ไม่ให้น้องว่านได้เห็น แล้วกัดฟันยิ้ม "งั้นนายไปก่อนเหอะ เพิ่งบ่ายครึ่ง ฉันจะกินไอติมกับน้อง ๆ ก่อน"

"พี่หมอกก็อยู่กินด้วยกันสิคะ พี่ดิวบอกว่าจะเลี้ยง" น้องกุ้งพูดชี้ชวน

ผมแทบอยากจะหันไปขบหัวเธอให้ขาดไปเสียเลย โทษฐานที่พูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ก็ใจชื้นขึ้นมานิดนึงเมื่อเห็นไอ้บ้าหมอกทำท่าลังเลอยู่นาน

มันคงไม่กินอีกหรอกมั้ง เมื่อกี้ก็กินไปแล้วนะเว้ย

"กินด้วยกันสิคะพี่หมอก"

คราวนี้ผมแทบจะตาลุกเป็นเปลวไฟเผาไอ้เวรนั่นให้ไหม้เป็นจุลด้วยความอิจฉา ก็คนชวนน่ะ น้องว่านนะครับน้องว่าน

ไอ้มารความสุขมันมองหน้าผมทีหนึ่ง จากนั้นก็มองหน้าน้องว่าน แล้วพยักหน้า "ก็ดีเหมือนกัน จะได้กินเป็นเพื่อนน้อง ๆ เมื่อกี้ยังกินไม่อิ่มเลย มีคนจะเลี้ยงอีกต่างหาก"

++++++

ใบหน้าที่หงิกเป็นตูดลิงระหว่างเดินกลับไปเรียนในตอนบ่ายของผมคงจะชัดเจนเสียจนใครบางคนสังเกตเห็น จึงถามออกมาด้วยรอยยิ้มที่กวนส้นที่สุดในโลก

"นายมีปัญหาคับแค้นใจอะไรหรือไง? ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยได้ก็บอกนะ" มันถาม

ผมกระชากเสียงตอบทันที "ถ้างั้นก็ช่วยไปไกลหน้าไกลตาฉันกับน้องว่านหน่อยได้มั้ย? ฉันจีบของฉันก่อนนะเว้ย"

ไม่อยากจะพูดอย่างนี้เลยจริง ๆ นะครับ เพราะไอ้เรื่องใครจะจีบใครน่ะทุกคนก็มีสิทธิเท่าเทียมกันอยู่แล้ว แต่ผมทนเก็บความโมโหต่อไปไม่ไหว ก็จะให้ทนได้ยังไง พอมันรู้ว่าอาทิตย์หน้าผมจะชวนสองสาวไปดูหนัง(ด้วยความปากบอนของน้องกุ้ง) มันก็จะสะแหลนมาดูมั่งทั้ง ๆ ที่วันนั้นมันไม่มีเรียน ไม่ต้องมามหา'ลัยด้วยซ้ำ

หมอนั่นยักไหล่ "นายอยากจีบก็จีบไปสิ ฉันไปขวางเสียที่ไหน"

"อย่างนี้ไม่เรียกขวางแล้วเรียกอะไรวะ!"

"ฉันเองก็มีสิทธิจะไปดูหนังเหมือนกันนี่หว่า แล้วน้องกุ้งบอกคนอื่น ๆ ก็ไปกันเยอะแยะไม่ใช่หรือไง งั้นพวกนั้นก็เป็นก้างขวางคอนายกันหมดน่ะสิ"

"คนอื่น ๆ เขาอยู่ชมรมเดียวกัน แต่นายอยู่ชมรมพัฒนาฯไม่ใช่หรือไง?" ผมตั้งข้อกีดกันเต็มที่ เพราะน้องกุ้งกระซิบบอกว่าเพื่อนเธอสองคนเมื่อครู่อยู่ชมรมพัฒนาชนบท ผมก็เลยสันนิษฐานเอาว่าไอ้เวรนี่คงอยู่ชมรมนี้ด้วย แต่อย่างนี้น่าจะไปอยู่ชมรมพัฒนามารยาทมากกว่า เพราะทรามเหลือเกิน

ไอ้หมอกตอบหน้าตาย "ก็ใช่ แต่ตอนสมัครชมรมในงานเปิดโลกกิจกรรมปีนี้ฉันว่าฉันจะย้ายชมรมมาอยู่ชมรมออกแบบดีกว่า น่าสนใจดี ก็เท่ากับว่าเราอยู่ชมรมเดียวกัน เรียนคณะเดียวกัน นั่งโต๊ะใกล้กัน แถมเทอมนี้ลงวิชาเดียวกันตั้งตัวนึง เพราะงั้นฉันคงไปไกลหน้าไกลตานายไม่ได้หรอกว่ะ"

สาบานได้ว่าถ้ามีมีดอยู่ในมือผมจะเอามาจ้วงไส้มันเสียเดี๋ยวนั้น แต่นี่ยังนับว่ามันดวงแข็งอยู่ที่ผมตอนนี้มีแค่มือเปล่า ไม่อยากนั้นมันคงจะกลายเป็นศพโชกเลือดตรงนี้แหละ

++++++



+++++++