น้ำแข็งในเปลวไฟ

 

 

Summary

 

เขาอาจจะเป็นเพื่อนกับเจ้าสัวเกริกได้อย่างสนิทใจมากกว่านี้ถ้าเจ้าตัวไม่บอกว่าพึงใจในตัวสิริกานดา น้องสาวของเขาจะต้องได้แต่งงานกับคนที่คู่ควรและสมศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล ไม่ใช่กับเศรษฐีใหม่ลูกชายเจ๊กย้อมผ้าเช่นนี้ เขารักสิริกานดายิ่งชีวิต รักยิ่งกว่าที่พี่ชายคนไหน ๆ จะรักน้องสาวได้ ดังนั้นณัฐกฤษณ์จึงแทบจะล้มทั้งยืนเมื่อพบว่าสิริกานดาลอบรักอยู่กับเกียร์ติ ลิ่มประไพวานิช น้องชายของเกริกซึ่งเกิดจากลูกเมียน้อย หนำซ้ำยังหนีตามกันไปเมื่อเขาพยายามขัดขวางความรักของทั้งคู่ในช่วงเวลาแห่งปัญหานี้เอง เกริกได้ค่อย ๆ เข้ามาในหัวใจเขาทีละน้อย ความรู้สึกที่มีให้แก่กันไม่ใช่แค่คำว่า 'เพื่อน' อีกต่อไป ณัฐกฤษณ์ไม่ทันรู้ตัวว่ามันคืออะไร หรืออาจจะรู้…เพียงแต่ไม่อยากยอมรับเท่านั้น

 

 

Preview

 

น้องหญิงที่รัก

ตอนนี้พี่มาถึงสิงค์โปร์เรียบร้อยแล้ว และคิดจะพักอยู่กับพี่หญิงใหญ่สักหนึ่งอาทิตย์ ก่อนจะขึ้นเรือกลับกรุงเทพฯ อันที่จริง พี่ตื่นเต้นจนแทบจะทนไม่ไหวที่จะได้กลับไปอยู่บ้านเราอีกครั้ง พี่คิดถึงแม่น้ำหลังบ้าน คิดถึงห้องหนังสือ ห้องอาหาร นมปรุง ป้าอิ่ม ลุงน้อย และทุก ๆ คนที่บ้านเรา ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด พี่คิดถึงน้องหญิงของพี่เป็นที่สุด อยากจะเห็นเหลือเกินว่า ในช่วงเกือบสี่ปีที่พี่ไม่อยู่นั้น หญิงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง พี่อยากจะเห็นน้องสาวของพี่ด้วยตาตัวเอง ถึงแม้ว่ารูปถ่ายที่หญิงส่งให้พี่ดูอยู่เสมอนั้นจะช่วยให้พี่คลายความคิดถึงน้องสาวคนนี้อยู่มากก็ตาม แต่ก็เทียบกับตัวจริงของหญิงไม่ได้อยู่ดี
เราคงจะได้เจอกันในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นคงไม่ต้องมีอะไรเขียนพรรณาให้ฟังมากนัก สิงค์โปร์เป็นอย่างไร เอาไว้กลับไปแล้วพี่จะเล่าให้หญิงฟังให้ละเอียดทีเดียว

รักและคิดถึงเสมอ
พี่ชาย

ป.ล. พี่ได้แนบจดหมายของพี่หญิงใหญ่มาในคราวเดียวกันนี้ด้วย เพื่อที่หญิงจะได้อ่านพร้อม ๆ กัน
+++++++
เรือเดินสมุทรลำใหญ่ยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอตั้งแต่ออกจากท่าที่สิงค์โปร์ หากแต่ตอนนี้ผู้โดยสารส่วนใหญ่ล้วนยืนเกาะอยู่ที่ราวด้วยความตื่นเต้น เสียงคุยกันเบา ๆ ดังหึ่งเหมือนฝูงผึ้ง บางคนก็ยืนเงียบสงบและมองภาพแผ่นดินที่มองเห็นอยู่ลิบ ๆ ตรงหน้าด้วยความเต็มตื้นที่คำพูดใด ๆ ก็ไม่สามารถบรรยายได้
หม่อมราชวงศ์ ณัฐกฤษณ์ อนุรัติกูล เป็นหนึ่งในพวกหลัง มือที่จับราวอยู่กำแน่นโดยเจ้าตัวไม่ทันรู้สึก ดวงตาคู่สวยเต้นระยับไม่ต่างจากคลื่นในทะเลยามต้องแสงอาทิตย์ ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ บ่งบอกถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ อีกไม่นาน เขาจะได้ลงไปเหยียบผืนดินนั้น แผ่นดินแม่ที่ร้างไปนานถึงสี่ปี
แผ่นดินสยาม
เรือเข้าจอดเทียบท่า ผู้โดยสารบางคนชะเง้อชะแง้มองหาคนที่มารอรับ แล้วโบกไม้โบกมือให้เมื่อพบ ในขณะที่ผู้โดยสารบางส่วนรีบหอบสัมภาระลงจากเรือ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มเดินปะปนกับกลุ่มคนดังกล่าวลงมาด้วยท่าทางสำรวมและสุขุมต่างกับหัวใจที่กำลังเต้นโลดอยู่ในอก เขาเดินฝ่าฝูงชนออกไปยังรถโฟล์คสีดำเป็นมันปลาบที่จอดอยู่ห่างออกไป รอยยิ้มจาง ๆ ยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้าและดูยิ่งจะเพิ่มความปิติมากขึ้นเมื่อมองเห็นร่างอ้อนแอ้นในชุดเสื้อกระโปรงสีชมพูหวานที่ยืนสงบอยู่ข้างพาหนะดังกล่าวได้ถนัดตา
เด็กสาวที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยหญิงสาวกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อกลั้นน้ำตาเมื่อร่างนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอยิ้มพลางก้าวเข้าไปอยู่ในวงแขนของพี่ชายที่กางรับ
"หญิงสวยเหมือนที่พี่คิดไว้ไม่มีผิด" ชายหนุ่มกล่าวอย่างชื่นชม
"หญิงคิดถึงพี่ชายเหลือเกินค่ะ"
"พี่ก็คิดถึงหญิงเหมือนกันจ้ะ" ผู้เป็นพี่ยิ้มแล้วลูบเส้นผมยาวสีดำขลับอย่างทะนุถนอม แล้วทำเสียงล้อเมื่อรู้สึกถึงแรงสะอื้นน้อย ๆ ของร่างในวงแขน "แน้…โตเป็นสาวแล้ว อย่าร้องไห้สิ อายเขาแย่เลย"
อีกฝ่ายทำเสียงออดอ้อนชวนเอ็นดู "หญิงคิดถึงพี่ชายนี่นา"
ณัฐกฤษณ์หัวเราะในคอแล้วโอบเอวน้องสาวพาขึ้นรถที่คนขับลงมาเปิดประตูเตรียมพร้อมไว้รอท่า
"ขึ้นไปคุยกันบทรถดีกว่า พี่อยากกลับบ้านเต็มแก่แล้วจ้ะ"
+++++++
ชายหนุ่มมองภาพนอกกระจกรถอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วหันมาถามน้องสาวที่นั่งเคียงกันที่เบาะหลังเป็นระยะ สายน้ำสีน้ำตาลอมเขียวที่ไหลเอื่อยของแม่น้ำเจ้าพระยาเบื้องล่างให้ความรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าแม่น้ำสายไหน ๆ ที่เคยพบพาน ต้นไม้สูงใหญ่ที่รายเรียงไปตามความยาวสองข้างถนนดูร่มรื่นและอบอุ่นอย่างที่ต้นไม้บนถนนเส้นอื่น ๆ ในโลกไม่สามารถจะเป็นได้ ภาพชายหญิงที่เดินขวักไขว่อยู่บนถนนราชดำเนินดูสนุกสนานรื่นเริงยิ่งกว่าถนนทุกสายที่เขาเคยเดิน Champs-Elysees เป็นอย่างไรเขาไม่รู้ แต่เชื่อแน่ว่าคงจะไม่น่าสนใจเท่ากับถนนราชดำเนินแน่นอน
"ใกล้ถึงบ้านเราและนะคะพี่ชาย"
หม่อมราชวงศ์สิริโสภาผู้เป็นน้องสาวกระซิบบอก ผู้ฟังพยักหน้ารับแล้วบีบมือเล็กแต่อบอุ่นที่เอื้อมมาจับด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ประตูเหล็กด้านหน้าถูกเปิดออกทันทีเมื่อเห็นรถโฟล์คแล่นมาแต่ไกล เนื่องจากแขกยามหน้าประตูก็คอยผู้เป็นนายกลับ 'บ้าน' อยู่ตั้งแต่เที่ยงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ชายหนุ่มเหลือบมองเงาไทรสูงใหญ่ตรงทางเข้าอย่างคะนึงหา แล้วไขกระจกลงเพื่อสูดกลิ่นอายของทุกสิ่งทุกอย่างเข้าลึก กลิ่นหอมเย็นของดอกแก้วที่มารดาชอบหนักหนาและสั่งให้ปลูกเอาไว้เต็มสองข้างทาง อบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ลมอ่อน ๆ พัดมาวูบหนึ่งทำให้กลีบสีขาวจากดอกแก่ร่วงกราวลงกับพื้นและปลิวเข้ามาในรถเหมือนจะต้องรับการกลับมาของผู้เป็นเจ้าของบ้าน
รถแล่นเข้าไปจอดหน้าตึกทรงยุโรปสีขาว ก่อนที่คนขับจะวิ่งอ้อมลงมาเปิดประตูให้นาย ณัฐกฤษณ์ก้าวลงมามอง 'บ้าน' นิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินอ่อนสีขาวที่ทอดรับ แล้วยิ้มให้กับผู้ที่ออกมายืนต้อนรับทุกคน
"แปลกคนจริงพวกนี้นี่ คนเพิ่งมาถึงแท้ ๆ ไม่ได้เรือล่มตายอยู่กลางทะเลเสียหน่อย" เขาพูดล้อเมื่อเห็น 'นมปรุง' แม่นมที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กและข้าเก่าแก่คนอื่น ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บอยู่ตรงเข็มขัดขึ้นมาซับน้ำตา
"คุณชายล่ะก็" หญิงชราร่างท้วมทำเสียงดุปนเสียงสะอื้น "พูดจาอะไรไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย"
'คุณชาย' ยิ้มประจบก่อนจะเข้าสวมกอดร่างนั้นอย่างอ่อนโยน "ขอโทษจ้ะนม แหม…คิดถึงนมเหลือเกิน"
"โถ…ทูนหัวของนม ผอมเหลือเกินเจ้าค่ะ" นมปรุงว่าพลางลูบหลังลูบไหล่อีกฝ่ายสำรวจ
"ก็ไม่ได้กินฝีมือนมตั้งนาน อยู่ที่โน่นเบื่อนมเบื่อเนยจะแย่" คนพูดว่าพลางเบ้หน้า ทำเอาอีกฝ่ายอดจะยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
"เดี๋ยวให้พี่ชายพักผ่อนสักนิดดีกว่าจ้ะ เพิ่งเดินทางมาเหนื่อย ๆ" สิริกานดาที่ยืนอมยิ้มมองอยู่เงียบ ๆ เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าพี่ชายของเธอถูกสาวน้อยสาวใหญ่รุมล้อมเสียจนน่ากลัวว่าจะหายใจไม่ออก
"นั่นสิเจ้าคะ ตายจริง ไป…ไป กลับไปทำงานกันให้หมดนั่นแหละ คุณชายเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว" หญิงชราหันไปไล่พวกคนรับใช้คนอื่น ๆ ที่มายืนออคอยรับนาย
ณัฐกฤษณ์ยิ้ม "ขอบใจทุก ๆ คนมาก ไว้เดี๋ยวนั่งพักสักครู่แล้วฉัน
จะแกะของฝากให้ มีมาให้ทุก ๆ คนเท่า ๆ กัน"
"แหม…คุณชายล่ะก็ ซื้อมาทำไมให้เปลืองเงินเปลืองทอง" นมปรุงบ่นตามนิสัยขณะที่เดินตามนายทั้งสองเข้าบ้าน
"แค่นี้ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนม ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ชายซื้อให้นมมากที่สุดแล้วก็ดีที่สุดด้วย"
ชายหนุ่มยิ้มล้ออย่างรู้ทันแล้วแกล้งร้องโอดโอยเมื่ออีกฝ่ายตีต้นแขนเบา ๆ
"พี่ชายไม่พักผ่อนหรือคะ?" ผู้เป็นน้องสาวท้วงเมื่อเห็นเขาขึ้นบันไดแล้วเดินเลี้ยวไปฝั่งขวา แทนที่จะเป็นฝั่งซ้ายซึ่งเป็นห้องนอน
"พี่จะไปกราบท่านพ่อกับหม่อมแม่เสียหน่อย"
+++++++
ณัฐกฤษณ์ทรุดตัวลงหน้ากรอบรูปขาวดำบานใหญ่สองกรอบที่ตั้งอยู่บนหิ้งเตี้ย ๆ ข้างโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้มลงกราบแล้วหมอบนิ่งอยู่กับพื้นอยู่พักใหญ่ ทำให้สองหญิงต่างวัยที่ยืนรออยู่หน้าประตูอดจะน้ำตาซึมไม่ได้
"ท่านพ่อ หม่อมแม่ ชายกลับมาแล้ว ชายกลับมาดูแลน้องหญิงและบ้านของเรา กลับมาเพื่อนำความรู้มาพัฒนาประเทศเหมือนอย่างที่ท่านพ่อและหม่อมแม่เคยสั่งสอนไว้ตั้งแต่เล็กแต่น้อย ชายจะทำหน้าที่ของชายให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ท่านพ่อกับหม่อมแม่ไว้วางใจให้ชายเป็นผู้ดูแลน้องและบ้านของเรา"
เสียงทุ้มนุ่มนั้นกังวาลทั่วห้อง สิริกานดายกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นแล้วหันไปกอดนมปรุงที่อยู่ในอาการเดียวกัน ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของวังแห่งนี้กลับมาอย่างงามสง่า และน่าภูมิใจแทนท่านชายและหม่อมที่สิ้นไปเมื่อสิบปีก่อนอย่างเป็นที่สุด
"ขี้แยกันใหญ่เชียว"
ชายหนุ่มพยายามฝืนยิ้มทั้งที่ภาพตรงหน้าสั่นคลอนหัวใจจนหวิวไหว หญิงสิริกานดาเป็นคนที่เขาทุ่มเทความรักและความเอ็นดูมากที่สุด เนื่องจากเมื่อครั้งที่บุพการีเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์นั้น น้องน้อยของเขาเพิ่งจะอายุเพียงแปดปี ข้ารับใช้ทั้งหมดต่างเสียขวัญ ยกเว้นนมปรุงที่อยู่เคียงข้างในยามร้องไห้ เขาต้องทำตัวเข้มแข็งและยืนหยัดขึ้นเพื่อประคับประคองครอบครัวทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงวัย เนื่องจากหม่อมราชวงศ์สิริโสภาซึ่งเป็นพี่สาวคนโตนั้นแต่งงานตั้งแต่เขาอายุได้แปดปีและย้ายตามสามีซึ่งเป็นฑูตไปอยู่ที่สิงค์โปร์ โชคดีหนักหนาที่ได้ท่านลุงคอยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้ 'บ้าน' ของเขามั่นคงและเป็นหนึ่งเดียวมาจนถึงทุกวันนี้ หนำซ้ำยังคอยช่วยดูและหญิงสิริกานดาอย่างดีมาตลอดช่วงเวลาที่เขาเรียนรัฐศาสตร์อยู่ที่อังกฤษ
นมปรุงจับมือของนายมาแนบแก้มของตัวเองอย่างเทิดทูน "นมปลื้มใจแทนท่านทั้งสองเหลือเกินเจ้าค่ะ"
ณัฐกฤษณ์มองตาแม่นมแล้วพูดอย่างจริงใจ "ท่านพ่อกับหม่อมแม่ก็คงจะปลื้มใจที่เลือกคนไม่ผิดมาดูแลพวกเรา ถ้าไม่มีนม ชายก็คงไม่มีวันนี้"
ประโยคดังกล่าวทำให้หญิงชราน้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความรู้สึกท่วมท้น คุณชายของนางเติบโตและงามสง่าสมกับชาติตระกูล แค่นี้ ข้ารับใช้อย่างนางก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
+++++++
"ทำไมข้าวของเยอะแยะอย่างนี้ล่ะคะ?"
สิริกานดาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ของฝากของพี่ชายที่วางกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะฝังมุกดูลานตาไปหมดจนแทบนับชิ้นไม่ถูก ณัฐกฤษณ์หยิบต่างหูมุกน้ำงามขึ้นมาแล้วยิ้ม
"ก็มีของจากอังกฤษอยู่บ้าง นอกนั้นก็ซื้อเอาตามท่าที่เรือแวะจอด
อย่างต่างหูนี่พี่ซื้อที่ฟิลิปปินส์" แล้วหันไปหาแม่นม "ถูกใจหรือเปล่าจ๊ะนม?"
"แหม…คุณชายล่ะก็ ของที่คุณชายซื้อให้นมก็ถูกใจทั้งนั้นแหละเจ้าค่ะ" นางว่าพลางมองกระเป๋าและผ้าพันคอไหมเข้าชุดที่วางบนตัก
"ถ้าอย่างนั้นก็ดี เดี๋ยวเรียกคนอื่น ๆ มาหน่อยแล้วกัน ชายมีของฝากพวกเขาเยอะแยะเต็มไปหมด ใครชอบอะไรก็หยิบเอาไปกันคนละอย่างสองอย่าง ถ้าเหลือก็เอาไปให้คนแถวนี้"
"พี่ชายจะไปเฝ้าท่านลุงวันไหนคะ? เมื่อวานหญิงโทรศัพท์ไปทูลท่านแล้วว่าพี่ชายจะกลับวันนี้" ผู้เป็นน้องสาวถาม
"คงจะไปพรุ่งนี้แหละจ้ะ วันนี้พี่ต้องขอพักก่อน" ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะอุทานอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ "จริงสิ พี่หญิงใหญ่ซื้อของฝากมาให้เยอะแยะ เกือบจะลืม ขอนั่งเล่นสักนิดแล้วเดี๋ยวจะไปหยิบมาให้"
"คิดถึงคุณหญิงโสภาเหลือเกินเข้าค่ะ" นมปรุงว่า
เขายิ้มล้อ "เมื่อตอนที่พี่หญิงย้ายตามท่านอาทิตย์ไปอยู่ที่สิงค์โปร์เขาก็ชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน ทีอย่างนั้นไม่ยักไปแฮะ"
แม่นมเก่าแก่ค้อนขวับ "ใครจะไปล่ะเจ้าคะ? ตอนนั้นคุณชายเพิ่งจะแปดขวบ คุณหญิงเพิ่งจะสี่ขวบ จะให้นมทิ้งลงได้ยังไงกัน"
สิริกานดาเอียงคออมยิ้ม เธอกับพี่สาวคนโตมีอายุห่างกันถึงหนึ่งรอบ จึงไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าที่ควร ดังนั้น เพื่อนเล่นแต่หนึ่งเดียวที่มีมาแต่เด็กคือพี่ชาย เมื่อสิ้นบุพการี ณัฐกฤษณ์ไม่เป็นแต่เพียงพี่ หากแต่ยังเป็นเหมือนพ่อแม่ของเธอด้วย
+++++++
ข้าวต้มร้อน ๆ ในโถกระเบื้องถูกตักแบ่งใส่ชาม ชายหนุ่มมองสำรับสี่ห้าอย่างบนโต๊ะอย่างพอใจ อาหารที่อังกฤษเลี่ยนไปหมดเสียทุกอย่าง นมปรุงเคยส่งของแห้งประเภทกุ้งแห้ง น้ำปลา พริกแห้งไปให้ แต่ก็ต้องจนใจเพราะตัวเองทำอาหารไม่เป็น เย็นวันแรกที่มาถึงเมืองไทยแม่นมผู้รู้ใจก็ทำน้ำพริกมันกุ้งของชอบให้ ทำเอาเขาเจริญอาหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบสี่ปี ถึงแม้จะกลับมาได้หลายวัน แต่ถึงกระนั้น ความกระหายอยากในรสชาติอย่างไทยก็ยังไม่หมดไป ทั้งนมปรุงก็ยังคอยทำของชอบมาขึ้นโต๊ะเสมอมิได้ขาด
สองพี่น้องละมือจากชามข้าวเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าตึก สักพักเด็กรับใช้ก็เดินยอบตัวเข้ามารายงาน
"คุณสงครามมาเจ้าค่ะ"
ณัฐกฤษณ์พยักหน้ารับก่อนจะหันไปสั่งให้เด็กตักข้าวเพิ่มอีกที ยังไม่ทันไรก็เห็นผู้เป็นแขกเดินหน้าบานเข้ามา
"คุณชายนะคุณชาย กลับเมืองไทยแล้วไม่ยักมีใจโทรศัพท์ไปบอกกันบ้าง"
ผู้มาใหม่ต่อว่าอย่างไม่จริงจังนักแล้วเข้าไปสวมกอดเพื่อนสนิทแน่นด้วยความคิดถึงก่อนจะอุทาน
"ตาย ๆ จะเหลือแต่กระดูกอยู่แล้วนะนี่ ก่อนไปนอกก็ผอมอยู่แล้ว กลับมาดันผอมยิ่งกว่าเดิม"
สงครามนั้นถึงแม้เขาจะมีรูปร่างสูงกว่าเขาอยู่เล็กน้อย แต่เทียบกันด้านความหนาแล้วณัฐกฤษณ์ยังด้วยกว่าอยู่ไม่น้อย เพราะชายหนุ่มจัดเป็นคนมีรูปร่างสันทัด คือไม่สูงไม่เตี้ย ไม่ผอมไม่อ้วน หนำซ้ำยังมีหน้าตาคมคายเอาเรื่องและยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของคุณพระวิเชียรธรรมราชที่นับว่าเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของสยาม จึงทำให้สงครามเป็นชายหนุ่มที่สาว ๆ กว่าครึ่งค่อนกรุงเทพหมายปอง
แต่ณัฐกฤษณ์รู้ดีว่าหญิงสาวที่เจ้าตัวหมายปองนั้น อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเขานี่เอง
"ของกินไม่ค่อยถูกปาก" เจ้าของบ้านว่าพลางยิ้มขำเมื่อเห็นเพื่อนรับไหว้น้องสาว แล้วนั่งโดยไม่มีใครเชิญแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมของอีกฝ่ายที่มีต่อคนในบ้าน "ว่าจะโทรไปบอกอยู่ แต่คิดว่านายคงรู้แล้วเพราะได้ข่าวว่าไป ๆ มา ๆ ที่นี่อยู่เป็นประจำ"
"ติดใจฝีมือนมปรุงน่ะสิ" ชายหนุ่มยิ้มร่า "แหม…อย่างกับรู้ใจ กำลังอยากกินข้าวต้มคล่อง ๆ คออยู่พอดี ว่าแต่คนทำไปไหนเสียล่ะ?"
"คุมเด็กอยู่หลังบ้าน ว่าแต่…ติดใจแค่ฝีมือนมปรุงแน่หรือ?"
ณัฐกฤษณ์หลิ่วตาถาม สงครามเหลือบมองเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าเมื่อรู้ความหมายของพี่ชายแล้วแก้ตัวพัลวัน "จริง ๆ ก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอก คุณชายบอกเองว่าฝากดูคุณหญิงด้วย"
"เออ เอาเถอะ ฉันคงลืม"
"คุณชายอยากไปเที่ยวไหนไหม?" สหายสนิทรีบเปลี่ยนเรื่องให้ไกลตัว
"จะพาเที่ยวไหนก็พูดมาเลยดีกว่า" ฝ่ายตรงข้ามแกล้งทำเสียงรำคาญ "ที่จริงน้องหญิงกับท่านลุงก็พาเที่ยวบ้างแล้ว ไปแค่สี่ปี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่"
"ไปเฝ้าท่านชายกับหม่อมมาแล้วรึ?" ใบหน้าคมคายสีแทนยื่นเข้ามาถามอย่างใคร่รู้
"อืม ไปตั้งแต่กลับมาได้สองวัน"
"แล้วท่านได้รับสั่งเรื่องงานรึเปล่า?"
"ท่านว่าจะให้ทำในกระทรวงนั่นแหละ"
"ชะช้า มีเล่นเส้น" เขาหยอกเย้า
"ฉันมีคุณสมบัติพร้อมต่างหาก" ณัฐกฤษณ์พูดตามความจริง
ผู้เป็นเพื่อนสนิทรีบพูดแก้ "ก็แหย่เล่นไปอย่างนั้นแหละ ว่าแต่วันนี้อยากตีเทนนิสบ้างไหม? คุณชายไม่อยู่ผมเหงาจะแย่ ไม่มีคู่มือ คุณหญิงก็ไม่ชอบเล่นเทนนิสเสียด้วย"
"เอาสิ" เขารับคำก่อนจะหันไปหาน้องสาว "หญิงไม่ไปหรือจ๊ะ? ฝึกเล่นเอาไว้ดีนะ ไว้เข้าสังคม"
เด็กสาวทำหน้าแหย "เคยเล่นอยู่ทีเหนื่อยจะตายค่ะ ยังไงวันนี้หญิงก็ต้องขอตัว ว่าจะไปไทยไดมารูกับเพื่อน เห็นว่าเขามีผ้าลายใหม่มาจากฝรั่งเศส"
บุตรชายคุณพระวิเชียรรีบสอดขึ้นทันที "เสียดายที่ผมนัดกับพี่ชายคุณหญิงไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำหน้าที่เป็นสารถีให้"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่สงคราม เดี๋ยวหญิงให้ลุงน้อยขับรถให้"
"นายรับน้องหญิงออกไปข้างนอกบ่อยหรือไง?" ณัฐกฤษณ์ถามพลางขมวดคิ้ว
ผู้เป็นเพื่อนก้มหน้าแล้วตอบไม่ค่อยเต็มเสียง "ก็…ไม่บ่อยมากหรอก ถ้ามีเวลาก็จะมารับไป เห็นคุณหญิงอยู่คนเดียวเหงา"
"แล้วรับไปไหนบ้าง?"
"ออกไปช้อปปิ้งบ้าง ไปดูหนังบ้าง ดูละครบ้าง ขับรถพาไปทะเลบ้าง พาออกไปเต้นรำบ้าง นมปรุงกับเด็กแก้วก็ไปด้วยอยู่หลายครั้ง"
"ไม่เห็นมีใครเล่าให้ฉันฟัง" เจ้าของบ้านบ่นงึม แล้วก้มลงรับประทานอาหารอย่างเงียบ ๆ ในขณะใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง
+++++++
"ฝีมือคุณชายตกไปเยอะ ปล่อยให้ผมชนะตั้งสองเซ็ต" สหายสนิทกล่าวหยอกขณะเดินนำอีกฝ่ายเข้าไปในคาเฟ่ประจำสโมสร แล้วสั่งเครื่องดื่มให้ทั้งตัวเองและอีกฝ่าย
หม่อมราชวงศ์หนุ่มยิ้มบาง "อยู่ที่โน่นไม่ค่อยได้เล่น"
"ทำไมล่ะ? คุณชายชอบเทนนิสอย่างกับอะไรดี"
"ไม่มีเพื่อนเลยน่ะสิ"
ประโยคนั้นทำให้คนฟังผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตาอย่างรู้ทัน "จริงรื้อ?"
"เรื่องแบบนี้จะหลอกทำไม"
"ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ" ฝ่ายนั้นส่ายหัวดิก ก่อนจะพูดกลั้วหัวเราะ "คนอย่างหม่อมราชวงศ์ณัฐกฤษณ์ อนุรัติกูล ถึงไม่มีเพื่อนก็ไม่เห็นเป็นไร แค่ยิ้มนิดเดียว ขี้คร้าน…สาว ๆ จะหน้าแดงกันเป็นแถว ๆ"
"ไปเอาจากไหนมาพูด" เจ้าตัวยิ้มขำ พลางรับน้ำมะนาวมาดื่มอย่างกระหาย ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกตัวว่าชายหนุ่มโต๊ะข้าง ๆ กำลังมองจ้องมาที่ตน
หากแต่อีกฝ่ายยังคงทำเหมือนไม่ได้ยิน "ไม่หาพี่สะใภ้แหม่มมาให้คุณหญิงกานดาสักคนหรือ เรียนภาษาอังกฤษอยู่แต่กับครูแมรี่ ไม่เบื่อแย่"
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่มี" เสียงคนพูดจริงจังขึ้นเล็กน้อย พลางตวัดตามองชายแปลกหน้าที่ยังจ้องตาอย่างไม่ลดละ
ดวงตายาวรีคมกริบบนใบหน้าสีไข่ปอกทำให้คนถูกจ้องรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด
"เขาลือกันออกทั่ว"
"ลืออะไร?" ณัฐกฤษณ์หันมาถาม แล้วแกล้งทำลืมเสียว่าสายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องใบหน้าตน
"เขาลือกันว่า ตอนคุณชายอยู่อังกฤษน่ะ เนื้อหอมจะตาย"
หม่อมราชวงศ์หนุ่มหน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบ "ใครเป็นคนลือ พอจะรู้ไหม?"
สงครามหัวเราะร่วน "โธ่ถัง คุณชาย ไอ้ข่าวลือนี่ถ้ารู้ตัวคนลือมันก็ไม่ใช่ข่าวลือแล้วล่ะ"
"แหม อย่างนายยังไม่รู้ ฉันก็คงหมดปัญญา"
"จะรู้ไปทำไม? ข่าวลือแบบนี้เรามีแต่จะได้กับได้ ป่านนี้พวกคุณหญิงคุณนายคงกำลังเตรียมจัดการชุบทองลูกสาวกันให้วุ่น"
"ก็อยากรู้บ้างไม่ได้หรือ"
ชายหนุ่มทำท่านึกก่อนจะดีดนิ้วดังเปาะ "ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็น
เจ้าสัวมนตรี รุ่นพี่คุณชายนั่นไง"
"ที่กลับมาหลังจากที่ฉันไปได้หนึ่งปี?"
"นั่นแหละ" เพื่อนสนิทพยักหน้ารับ แล้วร้องทักเมื่อเห็นแววตากังวลของอีกฝ่าย "เป็นอะไรหรือเปล่าคุณชาย?"
"ไม่" ณัฐกฤษณ์ส่ายศีรษะ ก่อนจะเหลือบมองชายแปลกหน้าคนนั้น และพบว่าอีกฝ่ายลุกออกไปเรียบร้อยแล้ว เขาลดเสียงลงกระซิบ "ที่นี่มีผู้ชายแปลก ๆ บ้างไหม?"
สงครามทำหน้างง "แปลกยังไง?"
"ก็…" คนพูดมีน้ำเสียงลังเล "พวกที่ไม่ค่อยชอบผู้หญิง"
ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะลั่น "โธ่เอ๊ย! นึกว่าอะไร อันที่จริงไอ้มีมันก็มีอยู่"
"ใคร?"
"คุณชายจำนายประภสลูกชายคนรองของหลวงอมรได้ไหมเล่า?" ชายหนุ่มกระซิบถามพร้อมยิ้มประหลาด แล้วเล่าต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ "นั่นแหละ"
"นั่นแหละอะไร?"
"หมอดูตุ้งติ้งพิลึก คนเขาซุบซิบกันให้แซ่ดว่าเป็นกระเทย"
คนฟังถอนหายใจ "แล้วเขาทำงานอะไร?"
"เป็นข้าราชการอยู่กระทรวงพาณิชย์ ได้ยินมาว่าทำงานเก่งทีเดียว เสียดาย มาเป็นเสียแบบนี้ พูดแล้วน่าขนลุกพิลึก หลวงอมรกับคุณหญิงคงต้องชงยาหอมกินวันละสิบรอบ"
"นายก็พูดเกินไป" ณัฐกฤษณ์ขมวดคิ้ว "อันที่จริงถ้าเขามีความสามารถ ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้ เขาจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่หนักหัวใครเสียหน่อย"
"แหม คุณชายของผมช่างเสรีดีแท้ เป็นฝรั่งเต็มตัวทีเดียว"
"ก็แค่บางเรื่องเท่านั้นแหละ" เจ้าตัวหยุดชั่วครู่เพื่อดูดน้ำอึกใหญ่
"ว่าแต่เจ้าสัวมนตรีนั่นทำงานอะไร?"
"ก็ค้าขายตามประสาคนจีน หลังจากเจ้าสัวมนตรีกลับมากิจการของตระกูลก็ยิ่งเจริญขึ้น เพราะพวกฝรั่งให้ความเชื่อถือว่าจบจากยุโรปเมืองศิวิไลซ์"
"อ้อ"
"ทางด้านความร่ำรวยนี้ในหมู่คนจีนด้วยกันจะมีคู่แข่งก็แต่กับตระกูลลิ่มประไพวานิช"
"ใคร? ไม่เห็นเคยได้ยิน" ณัฐกฤษณ์ทำหน้าฉงน
"แหม ก็เจ้าสัวเต็กไง เมื่อก่อนเขาแซ่ลิ้ม เพิ่งเปลี่ยนนามสกุลตอนลูกชายไปนอก คุณชายไม่ได้สนใจล่ะสิ"
หม่อมราชวงศ์หนุ่มนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้าเมื่อนึกถึงบุคคลที่สามออก "อ๋อ เจ๊กเต็ก"
คนฟังทำหน้าพิลึก "คุณชายนี่ขวางดีแท้ ๆ เขาเป็นเจ้าสัว ไปเรียกเขาเจ๊กเต็ก"
อีกฝ่ายไหวไหล่แล้วเบ้ปาก "ก็เรียกตามนมปรุง เมื่อก่อนแกเป็นพวกพายเรือเร่รับจ้างย้อมผ้าไม่ใช่หรือ? นมเล่าว่าพวกคนท้ายวังเอาผ้าให้แกย้อมออกจะบ่อย"
"เมื่อก่อนของคุณชายมันตั้งแต่สามสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนนี้เขาเป็นเจ้าสัวใหญ่จะตาย ลูกชายเขากลับจากอเมริกาปีที่คุณชายไปอังกฤษพอดี"
"ก็พวกเศรษฐีใหม่นั่นแหละ" ณัฐกฤษณ์ทำเสียงหยัน
เพื่อนสนิทส่ายหัวดิกด้วยความอ่อนใจ "เมื่อกี้ผมยังชมอยู่ดี ๆ ว่าหัวเสรี ตอนนี้ดันไประรานเขาเสียแล้ว"
"ก็ฉันบอกแล้วไงว่าเป็นแต่บางเรื่อง พวกนี้หนีความอดอยากมาร่ำรวยอยู่แผ่นดินเรา ทำประโยชน์ให้บ้านให้เมืองหรือเปล่าก็ไม่รู้"
"แหม" สงครามลากเสียงยาว "เขาก็ช่วยเราหมุนเศรษฐกิจไง ทีกับตระกูลเจ้าสัวมนตรีไม่เห็นคุณชายขวางเขาอย่างนี้"
"นั่นต้นตระกูลเขารับราชการมาตั้งแต่รัชกาลไหน"
ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วยิ้มขำกับตัวเอง เพื่อนสนิทอย่างเขารู้ดี คุณชายณัฐกฤษณ์เป็นคนมีใจเมตตา โอบอ้อมอารี รักครอบครัว แต่เรื่องหวงน้องกับเรื่องถือตัวนี่อย่าบอกใคร
"เออจริงสิ"
"จริงสิอะไร?"
"ผมขอทาบทามคุณหญิงไว้หน่อยได้ไหม?"
คนฟังหน้าตึงขึ้นมาทันตา "จะมาขอกันง่าย ๆ อย่างนี้จะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง"
ฝ่ายเริ่มเรื่องหัวเราะชอบใจ "ไม่ใช่จะขอแต่งงาน อันนั้นต้องรออีกสักหน่อย" เขาขยิบตา "แต่จะขอทาบทามไปเป็นนางเอกละครผมต่างหาก"
"ละครอะไร? เห็นตอนเรียนทำแล้วน้ำเน่าทุกครั้ง ล่มทุกที นี่น้องสาวฉันไม่ต้องมารับบทผู้หญิงบ้านนอกที่หอบผ้าหอบผ่อนมากรุงเทพเพื่อตามหาผัวให้กลับไปช่วยกันเลี้ยงลูกรึ?"
คนถามทำหน้าแหยงเมื่อนึกถึงครั้งยังเรียนมัธยมที่เพื่อนสนิทตัวดีเป็นตัวตั้งตัวตีจัดละครเวทีในงานโรงเรียนทุกปี
"ว่าเข้านั่น ผมจะทำเรื่องโรมิโอกับจูเลียตต่างหาก ให้ท่านหญิงเป็นจูเลียต" คนเล่ายืดอกด้วยความภูมิใจ
"ใครเป็นโรมิโอ?"
"คุณชายลองทายสิ"
คุณชายณัฐกฤษณ์ทำหน้าหน่าย "คงไม่พ้นนายอีกล่ะสิ"
"หัวไวเหมือนเคยเลย" สหายเอ่ยชม แล้วรีบรัวลิ้นถามต่อเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้ายิก "ว่ายังไง ยอมหรือเปล่า?"
"แล้วแต่น้องหญิงสิ ฉันก็กลัวว่าเขาอยู่บ้านแล้วจะเบื่อเหมือนกัน ว่าแต่ละครนายไม่ล่มแน่นะ?"
"ไม่ล่ม ไม่ล่มแน่คุณชาย" สงครามรับคำแข็งขัน "ผมจะทำเป็นละครการกุศล แล้วพวกเราช่วยกันหาทุน"
"พวกไหน?" คนถามทำหน้าทะแม่ง
"พวกเราไง ผมกับคุณชาย"
"ละครของนายคนเดียวเนี่ยนะ? ถ้าอย่างนั้นฉันออกทุนให้หมดเลยเอ้า จะได้ไม่ต้องเที่ยวไปเดินเรี่ยไรให้เมื่อยเปล่า"
ณัฐกฤษณ์ว่าพลางกวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟอาหารเพื่อสั่งของว่างรับประทานฆ่าเวลา
"ไม่ได้หรอก ผมตั้งใจจะให้ยิ่งใหญ่หน่อย"
"ฉันไม่ใหญ่พอหรือไง?" อีกฝ่ายเสียงแข็งหน้าตึงขึ้นมาทันตา
สงครามรีบยิ้มเอาใจ "ใหญ่พอสิ คุณชายไม่ใหญ่แล้วใครจะใหญ่ แต่ผมอยากให้มันกว้างขวางหน่อย อยากจะเจาะกลุ่มไปที่คนต่างชาติที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในสยาม ให้เขาแสดงความรักบ้านรักเมืองเราอย่างที่คุณชายว่าไง"
ฝ่ายตรงข้ามมิได้โต้ตอบ หากแต่เมื่ออ่านจากดวงตาและสีหน้าอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มผิวคล้ำยิ้มออกมาอย่างสมใจ
+++++++

หญิงวัยกลางคนท่าทางสำรวม เกล้าผมมวยสูง สวมเสื้อผ้าที่สวมแม้จะมีรูปแบบสมถะ แต่เนื้อผ้าก็ดูมีราคาไม่น้อย ทำให้ดูต่างจากคนรับใช้เธอกำลังเดินวุ่นอยู่ในครัวเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของอาหารมื้อเช้า ก่อนจะอุทานเมื่อเห็นว่าสำรับทั้งหมดคือข้าวต้มปลา
"ตายแล้ว! บอกกี่ครั้งแล้วว่าเสี่ยวเอี้ยไม่ชอบทานข้าวต้ม รีบไปลวกไข่มาสองใบแล้วไปต้มน้ำชงกาแฟเดี๋ยวนี้เลย เหล่าเอี้ยตื่นแล้ว สำรับยังไม่เสร็จเสียที"
เธอมองเด็กรับใช้ที่รีบกระวีกระวาดรับคำสั่ง ก่อนจะเรียกหาสาวใช้คนสนิท
"อาเฮียง ลื้อไปดูอาเกียรติซิว่าอีแต่งตัวเสร็จแล้วหรือยัง?"
"ค่ะ หยี่นั้ง"
'หยี่นั้ง' หรือคุณนายรองพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากครัวเพื่อดูแลความเรียบร้อยที่โต๊ะอาหาร เธอส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก่อนจะวางตำแหน่งผ้าเช็ดปากเสียใหม่
"ตื่นเช้าเหมือนเคย ไม่ปล่อยให้เด็ก ๆ มันทำเสียบ้าง"
เสียงเยือกเย็นทรงอำนาจดังขึ้นด้านหลังทำให้เธอหันไปมอง ก่อนจะก้มศีรษะลงน้อย ๆ เป็นเชิงเคารพ
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตั่วเจ้ เสี่ยวเอี้ย"
ผู้มาใหม่คือหญิงสูงวัยกว่าเล็กน้อยที่ได้แต่พยักหน้ารับ และชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ส่งยิ้มให้ผู้พูดอย่างอ่อนโยน
"อรุณสวัสดิ์ครับหยี่ม้า"
เขาประคองมารดาลงนั่ง อาหารเช้าค่อย ๆ ทยอยขึ้นตั้งโต๊ะ เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายชราเจ้าของบ้านเดินมานั่งประจำตำแหน่งหัวโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว คุณนายที่สองจึงนั่งประจำที่ตนเองซึ่งอยู่ถัดไปจากเถ่าเท้า หรือคุณนายใหญ่ ข้างซ้ายของเจ้าสัวเต็กคือเกริก บุตรชายคนโตที่เกิดกับภรรยาหลวง ถัดมาจึงเป็นเกียรติ บุตรชายคนรองที่เกิดกับเธอ ถ้าหากรุ้งฉาย น้องสาวของเกริกอยู่ล่ะก็ เกียรติจะต้องเลื่อนตำแหน่งเก้าอี้ต่ำลงไปอีกขั้น
ชายชราเจ้าของบ้านกางหนังสือพิมพ์จีนออกอ่านแล้วหัวเราะชอบใจ ก่อนจะหันไปพูดกับบุตรชายคนโต
"อาคุณชายณัฐกฤษณ์อีกลับจากอังกฤษแล้วนี่หว่า ลื้อจำที่เตี่ยเคยบอกได้มั้ย อาเกริก?"
เจ้าของชื่อยิ้มพลางตอกไข่ลวกใบแรกลงถ้วย "ยังไม่ลืมอีกเหรอเตี่ย?"
"เฮ่ย! เรื่องอย่างนี้ลืมง่าย ๆ ได้ที่ไหนกัน? เก๋าเจ๊ง! ถ้าเราดองกับอีได้ล่ะก็จะดีแค่ไหนลื้อไม่รู้หรือไง?"
"เอาน่า ไว้คิดอีกที ทำไมไม่ให้เจ้าเกียรติมันรับคำสั่งแทนเสียเลยล่ะ"
แววตาของผู้ถูกอ้างถึงเต้นไหวเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องสลดไปเหมือนเดิมเมื่อ 'แม่ใหญ่' พูดแทรกขึ้น
"มันจะได้ยังไง? ลื้อเป็นพี่ชายคนโตนะ"
"นั่นซี" เจ้าสัวใหญ่เห็นพ้อง "อีกอย่างอั๊วเลือกคู่หมายไว้ให้อาเกียรติอีเรียบร้อยแล้ว"
เกริกส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ สิ่งที่บิดาโหยหาในตอนนี้ไม่ใช่ทรัพย์ศฤงคาร หากแต่เป็นเกียรติยศชื่อเสียงในวงสังคมชั้นสูง คนจีนโพ้นทะเลที่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาตั้งตัวที่เมืองไทยอย่างพ่อเขาเคยได้รับการดูถูกเหยียดหยามมาไม่น้อย แต่ถึงกระนั้นเจ้าสัวเต็กก็ยังรักเมืองไทยประดุจบ้านเกิดเมืองนอน และพยายามปรับตัวให้เข้ากับเมืองไทยได้มากที่สุดถึงขนาดไม่ยอมพูดภาษาจีนต่อหน้าลูก ๆ แต่ก็อดจะหลุดคำบางคำออกมาด้วยความเคยชินไม่ได้ เขาถูกส่งให้เรียนโรงเรียนผู้ดีตั้งแต่เล็กแต่น้อยเพื่อให้อยู่ท่ามกลางลูกหลานคนใหญ่คนโต กลับมาบ้านนอกจากจะต้องเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพิ่มเติมจากครูพิเศษแล้ว มารดายังจ้างครูมาสอนศิลปะและภาษาจีนเพื่อไม่ให้ลืมเทือกเถาเหล่ากอตน
"อยู่ ๆ จะให้เข้าไปจีบเขาก็กระไรเลย เขาเด็กกว่าผมตั้งเจ็ดแปดปีนะเตี่ย"
"แค่เจ็ดแปดปี" มารดาเขาแก้ "อย่างลื้อมันต้องหาทางได้อยู่แล้วล่ะ จีบผู้หญิงได้ทั่งทั้งกรุงเทพฯ กะอีแค่ผู้หญิงอีกคนเดียวเอง"
เจ้าสัวเต็กค้าน "แต่มันก็ต้องมีขั้นมีตอน ไม่ต้องรีบร้อน แค่กันท่าคนอื่นไว้ก่อน"
"ไม่เปลี่ยนเป็นตระกูลอื่นหรือเตี่ย?" เกริกแกล้งถามยิ้ม ๆ ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
"ตระกูลไหนจะเหมาะเท่าตระกูลอีไม่มีอีกแล้ว ลื้อคิดดูนะ ตระกูลอีทั้งเก่า ทั้งร่ำรวย ทั้งมีชื่อเสียง พ่อแม่อีก็ตาย การตัดสินใจเรื่องจะยกน้องสาวให้ใครต้องอยู่ที่พี่ชายอี อาคุณชายอีเป็นคนสมัยใหม่ ไปเรียนมาถึงเมืองนอกเมืองนา คงไม่ถือเนื้อถือตัว ใจกว้าง ตามใจน้องพอสมควรแหละน่า อาคุณหญิงอีก็น่ารักน่าเอ็นดู อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ขี้คร้านลื้อจะรักอีตายเลย"
"ใครบอกเตี่ยว่าอาคุณชายของเตี่ยไม่ถือตัว?" เขาถามพลางตอกไข่ลวกใบที่สอง แล้วยกกาแฟขึ้นจิบ ก่อนจะหันไปพูดเอาใจมารดาน้องชาย
"หยี่ม้าชงเองแน่ ๆ ผมจำรสมือได้"
ผู้ถูกชมยิ้ม หากแต่เจ้าสัวใหญ่ไม่นำพาบทสนทนาของทั้งคู่ "เตี่ยดูคนเป็นน่า คนแบบนี้อีต้องใจกว้าง"
บุตรชายยิ้มขำกับตัวเอง ก่อนจะทักน้องชาย "อิ่มแล้วหรือนายเกียรติ? ทำไมกินน้อยนัก หยี่ม้าเสียใจแย่"
"ไม่ค่อยหิวครับ" ฝ่ายนั้นตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"แล้วนี่จะไปเรียนเลยหรือเปล่า จะขับรถไปส่ง" เขารีบอาสาแล้วลุกขึ้นโดยไม่รอคำตอบ เนื่องจากขี้คร้านจะอยู่ฟังแผนการ 'ยกระดับทางสังคม' ของบิดาเต็มแก่
+++++++
รถยุโรปคันใหญ่เลี้ยวออกสู่ถนน ในขณะที่คนขับผิวปากอย่างอารมณ์ดี ผิดกับคนที่นั่งข้าง ๆ ที่ได้แต่นิ่งเงียบอยู่เป็นนาน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาเบา ๆ
"ตั่วเฮียจะทำตามที่คุณเตี่ยบอกหรือครับ?"
คนถูกถามทำหน้าเหมือนกินยาขมเข้าไปทั้งห่อ "ไม่ไหวล่ะ งานนี้ต้องขอลา เหม็นขี้หน้าอีตาคุณชายอะไรนั่น"
เจ้าสัวหนุ่มพูดแล้วชะงัก อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เหม็นขี้หน้าอีกฝ่ายไปทั้งหมดหรอก อย่างน้อยก็ยกเว้นดวงตาสวยซึ้งนั่นหนึ่งอย่างล่ะ ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนเขายังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนตาสวยได้เท่านี้เลยด้วยซ้ำ
"เคยเจอแล้วเหรอครับ?"
"ฮื่อ เจอที่สโมสร อีถือตัวดีพิลึกว่ะ"
เกียรติทำหน้าสงสัย "ตั่วเฮียคุยกับเขาหรือครับ?"
"ไม่ได้คุย พอดีฟังอีคุยกับเพื่อนอี"
"แล้วไปว่าเขาถือตัว"
"ถือตัวสิวะ ขนาดเพื่อนกันแท้ ๆ ยังให้เรียกตัวเองว่าคุณชาย ๆ อยู่ได้" คนเล่าว่าพลางส่ายหน้ายิก
"ก็เขาเป็นหม่อมราชวงศ์"
"แค่หม่อมราชวงศ์ต่างหาก คนเดินดินเหมือนกันน่ะแหละ"
สองพี่น้องปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผู้เป็นพี่จะเอ่ยขึ้นมาอย่างติดตลก
"แต่ได้ยินมาว่าคุณหญิงสิริกานดานี่สวยสะเด็ดเลยนี่หว่า"
"ครับ" คู่สนทนาตอบรับเบา ๆ แล้วเบือนหน้าออกไปมองข้างทาง
เกริกเลิกคิ้วสูง "หืม? นายเคยเจอแล้วหรือ?"
"ก็เจอที่งานเต้นรำอยู่บ้าง เขาไปกับคุณสงคราม ลูกชายคุณพระวิเชียรครับ"
"พวกผู้ดีด้วยกันทั้งนั้น คุณพระวิเชียรอะไรนั่นก็รวยมหาศาลเลยนี่หว่า" คนฟังทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะหันมาหาน้องชาย "ฉันบอกนายกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องลงท้ายประโยคว่า 'ครับ'"
"ไม่ได้ครับ" อีกฝ่ายปฏิเสธ "มันชิน"
ชายหนุ่มโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ แต่ก็ยังนับว่าดีที่ฝ่ายนั้นพูดแค่นี้ เมื่อก่อนเกียรติถึงกับเรียกเขาว่า 'เสี่ยวเอี้ย' และเรียกน้องสาวของเขาว่า 'เสี่ยวเจ้' ตามมารดาของตนและคนใช้คนอื่น ๆ
เจ้าสัวเต็กผู้เป็นบิดาเป็นหัวหน้าครอบครัวก็จริง แต่อำนาจทั้งหมดภายในบ้านอยู่ในมือมารดาของเขาที่เป็นลูกสาวคหบดี และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่นอกเหนือจากความขยันหมั่นเพียร ที่ทำให้ 'เจ๊กเต็ก' หาบเร่รับย้อมผ้า กลายเป็น 'เจ้าสัวเต็ก' เจ้าของโรงงานทอผ้าขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศได้ ประกอบกับความเจียมเนื้อเจียมตัวของหยี่ม้า เกียรติจึงเป็นผลผลิตของลักษณะดังกล่าวไปด้วย
น้องชายของเขานอกจากจะสุภาพกับทุกคนแล้ว ยังชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ คนเดียว จนมีบ้างเป็นบางครั้งที่เกริกรู้สึกเป็นห่วงว่าฝ่ายนั้นจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรหรือไม่ โลกของเกียรติเปรียบเหมือนโลกที่ปิดตายสำหรับเขา เด็กหนุ่มไม่เคยเล่นหัวกับเขาเหมือนอย่างพี่น้องทั่วไป แต่กลับทำตัวราวกับนายบ่าว คนที่ถือกุญแจเข้าไปในโลกของเกียรติได้ดูเหมือนจะมีคนเดียวคือมารดาของเจ้าตัว
บิดาของเขาเป็นคนยุติธรรมและให้ความสำคัญแก่อนาคตของลูก ๆ ทุกคน เกริกเลือกที่จะเรียนต่อทางเศรษฐศาสตร์ที่อเมริกา น้องสาวของเขาเลือกที่จะเรียนออกแบบเสื้อผ้าที่ฝรั่งเศส เมื่อมาถึงคราวเกียรติ ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความต้องการของเจ้าตัวหรือการชี้นำของหยี่ม้าที่ทำให้เด็กหนุ่มเลือกที่จะเรียนต่อทางกฎหมายอยู่ในเมืองไทย
"จะให้มารับด้วยไหม?" เขาถามเมื่อมาถึงจุดหมาย
ฝ่ายตรงข้ามส่ายหน้า แล้วให้เหตุผล "ผมไม่ทราบว่าจะกลับกี่โมงครับ เพราะต้องทำรายงานกับเพื่อน"
เกริกถอนหายใจพลางพยักหน้ารับไหว้น้องชาย แล้วมองตามหลังอีกฝ่ายไปพักใหญ่ พักนี้เกียรติดูเหม่อลอยและเก็บตัวยิ่งกว่าแต่ก่อน ถ้าน้องชายเปิดใจปรึกษาปัญหากับเขา ไม่เก็บเอาไว้คนเดียวหรือบอกแต่มารดาของตนเหมือนอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็จะดีไม่น้อย แต่ในความเป็นจริงนั้น เขารู้ดีว่าเรื่องที่หวังคงจะเกิดขึ้นได้ยาก ช่องว่างของเขาที่เป็นลูกชายคนโต และมีตำแหน่งเป็นผู้สืบทอดตระกูล กับเกียรติซึ่งเป็นลูกภรรยาคนรองห่างกันจนเห็นได้ชัด แม้เขาจะไม่ตั้งใจให้มันเกิด แต่สภาพแวดล้อมและผู้คนที่คอยสั่งสอนก็ช่วยกันหล่อหลอม และเพิ่มระยะห่างให้กับช่องว่างดังกล่าวอย่างแทบจะไม่มีทางแก้ นอกจากตัวเกียรติจะเปิดใจรับเขาในฐานะพี่ชายจริง ๆ
ชายหนุ่มนั่งนิ่ง ๆ และปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะออกรถเพื่อไปสำรวจความเรียบร้อยที่โรงงาน

+++++++