น้ำแข็งในเปลวไฟ

 

 

Summary

--coming soon--

 

 

Preview

เสียงก้านพิมพ์ดีดกระทบแผ่นกระดาษเป็นจังหวะรัวอย่างสม่ำเสมอดังชัดเจนในความเงียบอยู่ภายนอก ร่างหลังโต๊ะทำงานไม้แกะสลักสไตล์วิคตอเรียตัวเขื่องหยัดกายลุกขึ้น แล้วก้าวออกจากห้องด้วยอาการเนิบ ๆ ขณะเพ่งสายตาพิจารณาเอกสารที่ถือติดมือออกมาด้วย
"คุณชาย"
เสียงพิมพ์ดีดหยุดชะงักทันที คนถูกเรียกตวัดตาจำตำแหน่งคำที่พิมพ์ไปเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะหันมาหาอย่างนอบน้อม
"ครับ"
"ช่วยแปลเอกสารชุดนี้ให้ลุงทีเถอะ"
คำเรียกขานแสดงถึงความสนิทชิดเชื้อระหว่างคนพูด และผู้อ่อนวัยกว่าที่กำลังรับเอกสารจากมืออูมมาพลิกดูคร่าว ๆ ก่อนถาม "คุณหลวงต้องการเมื่อไหร่ครับ?"
"ไม่ต้องรีบร้อน ไว้ให้ก่อนวันที่คุณชายจะเดินทางก็ได้"
เขารับคำ แล้วตั้งใจจะทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายทันทีที่ร่างจดหมายฉบับนี้เสร็จ
"จริงสิ" ราชฑูตสยามประจำฮ่องกงเอ่ยขึ้นพร้อมยกไปป์ขึ้นจรดริมฝีปาก "แล้วเรื่องการเดินทางจัดการไว้ดีแล้วหรือ?"
"ครับ จองตั๋วเรือเอาไว้เรียบร้อยแล้ว"
หลวงวิจิตรไพศาลทอดสายตามองคนตอบด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะ
เอ่ยขึ้น "คราวนี้เมื่อคุณชายกลับมาฮ่องกงท่านฉลองฤทธิ์คงจะเหงามากทีเดียว ก่อนนั้นท่านยังมีงานทำฆ่าเวลาบ้าง ตอนนี้ต้องออกมาอยู่บ้านเฉย ๆ คงยังไม่ชินเท่าไรนัก"
"ผมก็เป็นห่วงท่านอยู่เหมือนกันครับ แต่คราวนี้ตั้งใจว่าจะให้น้องหญิงเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านเพื่อเรียนรู้วิชาการเรือนกับหม่อมป้าไปในตัว คงจะช่วยดูแลท่านได้"
คู่สนทนาพยักหน้า "อย่างนั้นก็ดี สำหรับคนที่เข้าสู่วัยชราแล้วนั้น อะไรก็ไม่สู้มีลูกหลานคอยดูแลใกล้ชิด ว่าแต่ตัวคุณชายเองไม่ต้องรีบกลับมานัก จะอยู่เกินไปสักอาทิตย์ก็ไม่เป็นไร ช่วงนี้งานเราก็ไม่ได้ยุ่งอะไรมากมาย"
ณัฐกฤษณ์ยิ้มและพนมไหว้ขอบคุณในความอารีย์ของผู้ที่มีศักดิ์เป็นนาย อันที่จริงกำหนดการลาพักร้อนของเขากินระยะเวลาแค่สิบวัน แต่เนื่องจากตอนนี้รัฐบาลกำลังจะปรับเปลี่ยนนโยบายต่าง ๆ เป็นประการใหญ่ คุณหลวงวิจิตรไพศาลจึงยื่นเรื่องเสนอให้เลขาประจำตัวของท่านกลับสยามเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนเพื่อศึกษานโยบายที่ว่า และเข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นแทนที่จะทำผ่านทางจดหมายเหมือนอย่างปกติ
_________________
ชายหนุ่มเจ้าของผิวเข้มและใบหน้าคมคายทอดสายตาฝ่าเข้าไปในฝูงชนที่กำลังกรูลงจากเรือเหมือนปลวกแตกรัง แล้วพยายามมองหาร่างสูงโปร่งของเพื่อนสนิทแต่พบว่ามันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นเต็มที ทุกคนดูจะกลมกลืนกันไปหมด รีบร้อนเหมือน ๆ กัน ตื่นเต้นเหมือน ๆ กัน และคงไว้ซึ่งรอยยิ้มเหมือน ๆ กัน
"คนเยอะเหลือเกิน ยังไม่เห็นพี่ชายเสียทีนะคะ" สิริกานดาว่าพลางชะเง้อมองพร้อมหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันน้อย ๆ …การรอคอยมักจะสร้างความทรมานให้กับผู้รอเสมอ แม้ว่าบางครั้งความทรมานนั้นจะเจือไปด้วยความปิติก็ตาม
เขาเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนที่มาด้วยกัน เกริกไม่ได้ชะเง้อชะแง้คอมองเหมือนอย่างเขาและสิริกานดา เพียงแต่ยืนกอดอกนิ่ง หากสายตาจับจ้องอยู่กับสะพานที่ทอดจากเรือลงสู่พื้นอย่างแน่วแน่ ก่อนจะคลี่ยิ้ม
"เห็นคุณชายแล้ว"
"ผมก็ยังไม่เห็นแฮะ" สงครามบ่นงึม การหาคนสักคนในฝูงชนนับร้อยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
"หญิงก็ยังไม่เห็นเลยค่ะ คุณเกริกตาดีเหลือเกิน"
เจ้าตัวหันมายิ้มให้เพียงแค่นิดเดียว ก่อนจะรีบเบนสายตากลับไปทางเดิมราวกับกลัวว่าคนที่มองอยู่จะหนีหายไปไหนเสีย "พี่ชายคุณหญิงเป็นคนที่มีบุคลิกเฉพาะตัวถึงเพียงนั้น ก็ต้องโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว"
ประโยคนั้นทำให้บุตรชายคุณพระวิเชียรธรรมราชชักจะนึกเขินแทนคนที่ถูกพูดถึง ด้วยเขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของชายหนุ่มตรงหน้ากับเพื่อนสนิทของตนนั้นมีความลึกล้ำเกินกว่าเพื่อนธรรมดา อันที่จริงตอนที่เกริกอาสาตัวจะมารับณัฐกฤษณ์ที่ท่าเรือนั้น เขาเองก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นก้างขวางคอเลยสักนิด แต่เมื่อเห็นว่าไหน ๆ คุณหญิงสิริกานดาก็ต้องมาด้วยอยู่แล้ว จะเพิ่มเขาขึ้นมาอีกสักคนก็ไม่ต่างกันตรงไหน
เสียงร้องยินดีของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดังขึ้น "เห็นแล้วค่ะ!"
"เอ๊ะ! จริงด้วย แหม…ไม่เห็นแค่ปีเดียว คุณพี่ของคุณหญิงยังรูปงามเป็นอิเหนาไม่เปลี่ยนเลย"
เขาพูดน้อยไปกว่าที่ตัวเองรู้สึกเสียด้วยซ้ำ ตอนที่ณัฐกฤษณ์กลับมาจากอังกฤษนั้น เพื่อนของเขาเติบโตจากเด็กหนุ่มกลายเป็นชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม หากแต่ตอนนี้ดูเหมือนความสุขุมรอบคอบที่เพิ่มขึ้นมาจะช่วยขับให้ณัฐกฤษณ์ดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อนเป็นไหน ๆ
เกริกเดินยิ้มเข้าไปหาฝ่ายนั้น ส่วนณัฐกฤษณ์เองก็แทบจะกลั้นยิ้ม
ไม่อยู่ด้วยซ้ำ แต่คงจะมีเพียงเพื่อนสนิทอย่างสงครามและคนรักอย่างเกริกเท่านั้นกระมังที่ดูออกว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ไหน
"เอ่อ…คุณหญิง"
สงครามร้องท้วงเมื่อเจ้าตัวทำท่าจะเดินไปหาพี่ชายบ้าง แต่แล้วก็นึกหาเหตุผลอะไรไม่ออกเมื่อสิริกานดาหันมามองด้วยสายตาคำถาม ดังนั้นเขาจึงเดินตามไปด้วยแบบเลยตามเลย
"คุณชาย…"
เสียงเรียกนั้นแผ่วหวิวและเต็มไปด้วยความคะนึงหาถึงแม้จะไม่ได้เห็นหน้ากันเพียงแค่สองเดือน ณัฐกฤษณ์รู้สึกอุ่นวูบที่โหนกแก้มเมื่อร่างสูงดึงกระเป๋าจากมือเขาไปช่วยถือ แล้วเอาไปไว้ในกระโปรงรถ ปลายนิ้วของฝ่ายนั้นสัมผัสหลังมือเพียงแค่เฉียดฉิว ทว่ากลับเพียงพอที่จะทำให้หัวใจเต้นแรงเหมือนรัวกลอง
"ผมเห็นรถคุณตั้งแต่อยู่บนเรือ" หม่อมราชวงศ์หนุ่มพูดขึ้นเหมือนจะหาเรื่องลดความกระดากให้กับตัวเอง ทั้งที่จริงเขาตื่นเต้นตั้งแต่อยู่บนเรือแล้วเมื่อเห็นว่าคนที่มารับคือใคร
"พี่ชายขา คิดถึงเหลือเกินค่ะ"
เขาหันไปหาต้นเสียงที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยความยินดี แล้วรั้งร่างนั้นเข้ามาในวงแขน
"พี่ก็คิดถึงหญิงจ้ะ" ก่อนจะหันไปหาเพื่อนสนิท พร้อมถามยิ้ม ๆ "คิดยังไงถึงมารับฉันด้วยล่ะนี่?"
สงครามหลิ่วตา แล้วเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายแนบแน่น พลางเย้ากลับอย่างไม่ยอมแพ้ "ผมก็คิดถึงคุณชายเหมือนอย่างเจ้าสัวกับคุณหญิงน่ะสิ"
น้ำเสียงที่ใช้ในประโยคหลังทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มต้องขึงตาใส่เพื่อนสนิทด้วยรู้ดีว่าสงครามหมายถึงอะไร
"เกียรติติดสอบค่ะพี่ชาย เลยไม่ได้มารับด้วย"
"พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อยนี่จ๊ะ"
ชายหนุ่มยิ้มล้อ แล้วเดินไปยังรถยุโรปคันใหญ่อันแสนคุ้นตาที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะเปิดประตูนั่งข้างคนขับโดยอัตโนมัติ เช่นเดียวกับสงครามที่เลือกนั่งคู่กับคุณหญิงสิริกานดาที่เบาะหลังทั้ง ๆ ที่ที่ตรงนี้ควรจะเป็นของพี่ชายเจ้าตัวมากกว่า แต่เมื่อเขารู้ดีว่าเพื่อนสนิทประสงค์จะนั่งที่ไหน แล้วจะขัดความต้องการของเพื่อนทำไมกัน
___________________
ไม่เพียงแต่สงครามเท่านั้นที่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในบุคลิกของเพื่อนสนิท สาวน้อยสาวใหญ่ที่วังร่มพฤกษ์ก็ล้วนอ้าปากค้างอย่างตะลึงเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่ม นมปรุงนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความคิดถึงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเจ้าหล่อนทั้งหลายที่ยังอยู่ในวัยดรุณนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำกันเป็นแถว ๆ เมื่อคุณชายยิ้มแสดงความขอบใจที่มาคอยยืนรับ
"ทูนหัวของนม งามสง่าเหมือนท่านพ่อไม่มีผิดเทียวค่ะ"
นางกล่าวอย่างชื่นชมและตื่นตัน พร้อมลูบแขนลูบไหล่เจ้าตัวอย่างแสนรัก แสนภูมิใจ คุณชายน้อย ๆ ที่นางเลี้ยงมากับมือนั้นงามสง่าเสียยิ่งกว่าตอนที่กลับมาจากอังกฤษ หนำซ้ำยังมีตำแหน่งเป็นถึงเลขาของเอกอัครราชทูตแห่งสยามประจำฮ่องกง ช่างน่าภูมิใจแทนท่านกับหม่อมที่ถึงแก่ชีพิตักษัยไปแล้วนัก
สิริกานดาที่เพิ่งจะเห็นจริงตามที่นมปรุงพูดก็พลอยมองพี่ชายของหล่อนด้วยสายตาชื่นชมบูชาไปด้วย เพราะเมื่อครู่อารามดีใจทำให้หล่อนลืมสังเกตความเปลี่ยนแปลงในตัวเขาไปเสียสนิท สายตานั้นทำให้ประกายเด็ดเดี่ยวที่อยู่ในดวงตาคมสวยเป็นเนืองนิจอ่อนแสงไปในทันที ณัฐกฤษณ์รั้งน้องสาวเข้ามาในอ้อมแขน และประทับริมฝีปากบนหน้าผากของเจ้าหญิงน้อย ๆ ของเขาอย่างแสนรักแสนทะนุถนอม ทำเอาร่างสูงที่กำลังมองคู่พี่น้องอย่างเอ็นดูอดจะรู้สึกอิจฉาคุณหญิงขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้
"จริงสิคะพี่ชาย พี่หญิงใหญ่เพิ่งจะส่งโทรเลขมาเมื่อเย็นวาน"
เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ ขณะโอบเอวพี่ชายเดินนำแขกและเหล่าคนรับใช้ที่หอบของพะรุงพะรังเข้าบ้าน
ร่างโปร่งขมวดคิ้วด้วยสีหน้าร้อนใจแกมกังวล "มีอะไรหรือเปล่า? ถึงกับต้องส่งโทรเลขมาเชียว"
"ไม่ใช่หรอกค่ะ เพียงแต่หมอห้ามไม่ให้เดินทาง ก็เลย…มาร่วมงานของท่านลุงไม่ได้"
"อ้อ! จริงสิเจ้าคะ เดือนนี้ก็ย่างเข้าเจ็ดเดือนแล้วนี่ สมอยู่หรอกที่หมอไม่ให้เดินทาง ถ้าเกิดคลอดกลางทะเลล่ะจะยุ่ง"
นมปรุงพูดขึ้น แม้จะเสียดายที่ไม่ได้เห็นคุณหญิงใหญ่ของนางหลังจากที่ไม่ได้พบกันมาเสียหลายปี แต่ก็ตัดใจได้ด้วยคิดว่ายังดีกว่าให้คุณหญิงเสี่ยงอันตรายนั่งเรือมาเมืองไทยทั้งที่มีครรภ์แก่
"เสียดายจริง" ณัฐกฤษณ์รำพึงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปหาเจ้าสัวหนุ่มที่นั่งฟังบทสนทนาเงียบ ๆ "คิดว่าคุณคงรู้แล้ว อาทิตย์หน้าท่านลุงจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดและอำลาตำแหน่งไปในตัว อยากไปด้วยกันไหม?"
"ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณชายจะเชิญผมหรือเปล่า?"
คนถูกถามเล่นลิ้น แต่รอยยิ้มที่ส่งให้นั้นอ่อนโยนเหลือคณา แต่ทว่าไม่มีใครทันได้เห็นนอกจากสงครามคนช่างสังเกตที่รีบชิงตอบแทนเพื่อนสนิท
"มีหรือที่คุณชายจะไม่เชิญเจ้าสัว จริงไหมคุณชาย?" หันไปถามหน้าทะเล้น ก่อนจะถามต่ออย่างไม่รู้ไม่ชี้ในดวงตาขวาง ๆ ของคนถูกอ้างถึง "นี่แน่ะ แล้วต้องไปรายงานตัวที่กระทรวงเมื่อไหร่ล่ะ?"
"กะจะไปมะรืนนี้ จะไปเฝ้าท่านลุงก่อน" เขาว่าแล้วหันไปยิ้มอย่างอ่อนหวานกับน้องสาวที่ยังนั่งซบอยู่ในวงแขน "แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเห็นทีจะต้องแย่งหน้าที่ลุงน้อย ขับรถไปส่งน้องหญิงที่ทำงานของนายเสียหน่อย ไม่เห็นปีเดียวน้องพี่เป็นสาวขึ้นเสียจนแทบจะจำไม่ได้ อยากจะเห็นหญิงใส่ชุดไปทำงานเต็มแก่"
คนรอบข้างมองตาแล้วอมยิ้ม ถึงแม้จะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ความรักความหวงน้องของณัฐกฤษณ์นั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
____________________________
หม่อมราชวงศ์หนุ่มใช้เวลาในการพักผ่อนอยู่ที่วังร่มพฤกษ์เพียงแค่คืนเดียว แล้วออกไปเฝ้าท่านชายฉลองฤทธิ์ทันทีในวันรุ่งขึ้นหลังจากขับรถพาน้องสาวไปส่งที่ที่ทำงานของสงครามเหมือนอย่างที่ได้พูดไว้
เขาแวะห้างฝรั่งชื่อดังเพื่อซื้อเครื่องอุปโภคบาง เช่น แฮม เนยแข็ง ลูกองุ่น ลิ้นจี่ดอง รวมถึงยาเส้นยี่ห้อโปรดของท่านชาย ด้วยเห็นว่าทางห้างมีของเหล่านี้สั่งมาขายจากต่างประเทศ จึงไม่หอบหิ้วกลับมาจากฮ่องกง แต่ถึงกระนั้นเมื่อรวมกับของของฝากที่เขาซื้อมาไว้ตั้งแต่อยู่ที่วิคเตอเรีย ก็มากมายล้นมือถึงขนาดต้องเรียกนางข้าหลวงมาช่วยขนตามเข้าไปเมื่อถึงตำหนักเลยทีเดียว
ห้องโถงใหญ่ของวังชมโสมนั้นดูโล่งไปถนัดตาเมื่อข้าวของในห้องถูกย้ายออกไปจนแทบจะทั้งหมดเนื่องจากจะใช้เป็นสถานที่จัดงานในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ส่วนที่สะดุดตามากที่สุดน่าจะเป็นพรมแดงผืนใหญ่ที่ปูแผ่บนพื้นโล่ง ดูตัดกับผนังสีครีมได้สวยงามเหมาะเจาะ
"จะรีบมาหาลุงทำไมกันนะชาย พักผ่อนอีกสักวันหรือสองวันก็ได้ เดินทางมาคงจะเหนื่อยแย่"
หม่อมเจ้าชายฉลองฤทธิ์ว่าพลางประคองร่างหลานที่กำลังก้มบังคมให้ลุกขึ้นนั่งเคียงข้าง แล้วไล่พระเนตรสำรวจด้วยความชื่นชม "จากไปแค่ปีเดียว ชายดูสง่าขึ้นมาก ดูเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเลยทีเดียว งานการทางนั้นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?"
"เรียบร้อยดีท่านลุง เพียงแต่บางช่วงก็วุ่นทีเดียว โชคดีได้คุณหลวงวิจิตรคอยช่วยแนะนำ ท่านฝากของขวัญมาให้ท่านลุงด้วย"
ว่าพลางก็เลือกกล่องขนาดกลางกล่องหนึ่งในบรรดาของที่กองเป็น
พะเนินอยู่บนโต๊ะ แล้วส่งถวายฝ่ายตรงข้าม
"เออ หลานฉันนี่น่าดูชม กลัวลุงป้าจะอดตายหรืออย่างไรกันนะ" ท่านชายสรวลขัน แล้วยื่นพระหัตถ์ไปรับของที่เพื่อนเก่าฝากมาถวาย "อ้อ! ฝากมายินดีที่เกษียรราชการแล้วน่ะหรือ? ช่างคิดแท้ เห็นทีพอถึงคราวคุณหลวงเกษียร ลุงคงจะต้องเตรียมของขวัญให้เอิกเกริกทีเดียว"
ณัฐกฤษณ์พลอยหัวเราะไปด้วย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นพร้อมเหลียวหาป้าสะใภ้ "ท่านป้าล่ะพะย่ะค่ะ?"
"พอรู้ว่าชายจะมาก็รีบออกไปจ่ายกับข้าวเองตั้งแต่ไก่โห่ ว่าแต่ชายเถอะ อีกไม่กี่ปีคุณหลวงจะเกษียรชายก็คงจะได้กลับเมืองไทยด้วย คิดเอาไว้หรือยังว่าอยากจะทำอะไร?"
"สุดแล้วแต่เบื้องบนพะย่ะคะท่านลุง"
"นั่นสินะ" ผู้เป็นลุงพยักหน้า
"แล้วงานของท่านลุงเตรียมการไปถึงไหนแล้ว? ถ้าขาดเหลืออะไร…"
"ไม่ต้องหรอก" ท่านชายทรงโบกมือห้ามก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะพูดจบประโยค "แค่มาให้ลุงกับป้าอวดใครต่อใครว่าหลานชายฉันเพียบพร้อมแค่ไหนก็พอ ชวนบ้านคู่หมั้นหญิงกานดามาด้วยสิ ลุงส่งบัตรเชิญไปแล้ว แต่อยากจะให้เราเอ่ยชวนอีกที ไปชวนเขาให้ถึงบ้านเสีย เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อแม่ของอนาคตน้องเขยเรา"
ณัฐกฤษณ์รับคำสั่ง ก่อนจะอุทานขึ้นมา "จริงสิกระหม่อม พี่หญิงใหญ่…"
"หืม?" ท่านชายเลิกพระขนง "หญิงโสภาทำไมหรือ?"
"พี่หญิงถูกหมอสั่งห้ามไม่ให้เดินทางกระหม่อม แถมท่านอาทิตย์ทรงเห่อมาก" เขาตอบ เพราะเด็กน้อยที่ยังไม่ลืมตามาดูโลกนี้นับว่าเป็นเลือดเนื้อคนแรกของพี่สาวและพี่เขยที่แต่งงานกันมามากกว่าสิบปี ดังนั้นผู้เป็นพ่อแม่จึงต้องประคบประหงมแกตั้งแต่อยู่ในครรภ์เป็นธรรมดา
"หรือ? อุตส่าห์คิดว่าจะได้อยู่กันพร้อมหน้าแท้ ๆ"
สีพระพักตร์ของหม่อมเจ้าชายฉลองฤทธิ์สลดลงไปเล็กน้อยด้วยความเสียดาย แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว ความผูกพันธ์ของท่านกับหลานสาวคนโตนั้นไม่เข้มข้นเท่าความผูกพันธ์ที่มีต่อณัฐกฤษณ์และคุณหญิงสิริกานดา ด้วยว่าหม่อมราชวงศ์หญิงสิริโสภานั้นแก่กว่าน้องชายถึงแปดปี ซ้ำยังออกเรือนตามสวามีไปอยู่ต่างแดนตั้งแต่อายุได้สิบหก ซึ่งในเวลานั้นหลานตัวน้อยอีกสองคนยังมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้า ดังนั้นเมื่ออนุชาและน้องสะใภ้ของท่านสิ้นบุญ ท่านชายและหม่อมผู้เห็นว่าหลานสาวคนโตนั้นมีสามีเป็นที่พึ่งพิงนั้นก็ทุ่มความรักความเมตตาทั้งหมดไปให้หลานทั้งสองที่เป็นกำพร้าตั้งแต่น้อย ๆ ของท่านแทน แม้ความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวของหม่อมราชวงศ์ณัฐกฤษณ์ในวัยสิบเอ็ดปีจะทำให้รู้สึกเบาใจขึ้นบ้างก็ตาม
"ฝากมาทูลว่าเมื่อคลอดแล้วจะรีบพาหลานกลับกรุงเทพมาให้ท่านลุงรับขวัญและตั้งชื่อประทานพะย่ะค่ะ" ผู้เป็นหลานรายงานต่อ
"หึ ช่างเอาใจ เสด็จพ่อกับหม่อมแม่ของท่านอาทิตย์จะยอมเราที่ไหนกัน เห็นทีคงจะต้องแย่งกันตั้งชื่อเป็นการใหญ่" ท่านชายดำรัสด้วยรอยยิ้มสรวล "เออแน่ะชาย วันนี้มีนัดหรือยัง อยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนลุงเพื่อนป้าหน่อยได้ไหมเล่า?"
ใบหน้าใครบางคนที่ตั้งใจจะขับรถไปหาเมื่อออกจากวังผุดขึ้นมาในความคิด แล้วถูกปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะเอ่ยปากตอบรับผู้สูงวัย เขาไม่ได้พบกับญาติมิตรมาเกือบหนึ่งปี สำหรับเกริกนั้นเพิ่งจะไม่เห็นกันเพียงสองเดือน จะไปหาช้าหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไรนัก
________________________
เสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดหน้าตึกทำให้ร่างหน้ากระจกชะงักเล็กน้อย แล้วเร่งแต่งตัวออกจากห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กรับใช้เดินขึ้นมา หล่อนย่อตัวลงคุกเข่ากับพื้น ก่อนจะรายงานผู้เป็นนาย
"เจ้าสัวเกริกมาขอพบคุณชายค่ะ"
ณัฐกฤษณ์พยักหน้า "ไปบอกคุณนมให้เตรียมสำรับอีกที่"
เด็กแก้วรับคำสั่งแล้วลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ผิดกับชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่เดินด้วยฝีเท้าปกติ แม้จะหัวใจเต้นแรงจนรู้สึกได้ เมื่อวานเขาต้องไปเฝ้าหม่อมเจ้าชายฉลองฤทธิ์ทั้งวัน ตอนเย็นก็ต้องขับรถไปรับสิริกานดากลับมาที่วังชมโสมใหม่เพื่อรับประทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนท่านลุงและหม่อมป้า จึงไม่สามารถนัดหาเกริกได้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้าตัวจะมาแต่เช้าอย่างนี้
อาคันตุกะของเขาไม่ได้นั่งอยู่โซฟา หากยืนไขว้หลังอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาทอดมองไปในสวน แม้ว่าณัฐกฤษณ์จะเดินเบาแค่ไหน แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ขวับมาหาทันทีราวกับมีญาณรับรู้เมื่อเขาเดินลงบันไดขั้นสุดท้าย
ดวงหน้ายิ้มละไมของคนรักทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มต้องหลบตาเสียเพราะเกรงว่าตัวเองจะฉีกยิ้มออกมาด้วย เขาเดินเข้าไปใกล้ แล้วหาเรื่องชวนคุยด้วยความรู้สึกอึดอัดน้อย ๆ ที่อวลอยู่รอบตัวอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะตระหนักดีว่าที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่เขาสองคนเหมือนอย่างบ้านพักของเกริกในฮ่องกงก็เป็นได้
"ทานอะไรมาหรือยัง?"
"ตั้งใจว่าจะมาทานกับคุณชายที่นี่"
เจ้าสัวหนุ่มมองร่างโปรงที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมด้วยสายตาคะนึงหา เขาถอนหายใจเบา ๆ ด้วยอยากรั้งร่างนั้นเขามากอดให้หายคิดถึงแต่ก็ทำไม่ได้ ถึงแม้ห้องรับแขกในยามนี้จะปลอดคน แต่ถ้าเขาทำจริง ๆ จะได้ถูกณัฐกฤษณ์ฆ่าตายก่อนปะไร
"เดี๋ยวผมต้องไปส่งน้องหญิงที่ทำงานของสงคราม"
"ผมทราบ" เกริกยิ้ม "เลยตั้งใจมาแต่เช้า เดี๋ยวใช้รถผมไปส่งคุณหญิง จากนั้นเราก็ไปกันเลยจะสะดวกกว่า"
คนฟังขมวดคิ้ว "แล้วคุณไม่ทำงานหรือ?"
"วันนี้ผมโดดงานเพื่อพาคุณชายเที่ยวโดยเฉพาะ เย็นนี้เตี่ยเชิญคุณชายและคุณหญิงไปทานข้าวที่บ้านด้วย คุณชายอยากไปตีเทนนิส ไปดูหนัง หรืออยากจะไปเดินเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า?"
"แล้วแต่คุณ" คราวนี้ฝ่ายเจ้าของบ้านอดจะอมยิ้มไม่ได้ เขามักจะพูดประโยคนี้เสมอเวลาเกริกชวนออกไปเที่ยวตอนที่อยู่ฮ่องกง
เสียงใสของสิริกานดาดังขึ้น ในขณะที่เจ้าตัวสาวเท้าเข้ามาหาชายหนุ่มทั้งสอง "อ้าว คุณเกริก สวัสดีค่ะ วันนี้ไม่ทำงานหรือคะ?"
ชายหนุ่มรับไหว้ "วันนี้ผมอาสาตัวพาพี่ชายคุณหญิงเที่ยวทั้งวัน แล้วก็จะเชิญคุณหญิงและคุณชายไปทานอาหารเย็นที่บ้านด้วย คุณหญิงจะว่าอย่างไรครับ?"
"ก็ต้องแล้วแต่พี่ชายค่ะ" หญิงสาวเอ่ยพร้อมเดินเข้าไปเกาะไหล่เจ้าตัวอย่างเอาใจ
ณัฐกฤษณ์ยิ้มพร้อมวางมือทาบหลังมือน้องสาว แล้วกล่าวหยอก "อย่ามาทำปากหวานว่าแล้วแต่พี่เลยจ้ะ ถึงยังไงก็เป็นบ้านคุณเกียรติคู่หมั้นเราไม่ใช่หรือยังไง?"
ภาพคู่พี่น้องตรงหน้าทำให้เจ้าสัวหนุ่มผู้เป็นอาคันตุกะอดจะอมยิ้มออกมาไม่ได้ คุณชายณัฐกฤษณ์ของเขานั้นแข็งกับใครก็แข็งได้ แต่กับน้องสาวของเจ้าตัวนั้นแทบจะต่างเป็นหน้ามือกับหลังมือเลยทีเดียว
___________________

ดวงตาคู่สวยมองตามแผ่นหลังบอบบางที่เดินหายเข้าไปในตัวอาคารขนาดสองชั้นตรงหน้าอย่างชื่นชม ในช่วงเวลาหนึ่งปีน้องสาวของเขาดูเติบโตขึ้น ใบหน้าสวยหวานนั้นดูคมขึ้น น่ามองนักยามเมื่อเจ้าตัวแต่งหน้าแต่พองาม เรือนผมที่เคยเหยียดยาวสลวยถูกดัดเป็นลอนตามสมัยนิยม จากที่เคยเป็นคนติดจะขี้อายก็ดูกล้าแสดงออกและมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น อาจเป็นเพราะในช่วงที่เธอกำลังจะก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่นั้นไม่มีเขาที่แสนจะจู้จี้มาคอยกำหนดชีวิตก็ได้กระมัง ถึงแม้จะรู้สึกยอกใจน้อย ๆ ในจุดนี้ แต่ณัฐกฤษณ์ก็อดจะเอ่ยกับเจ้าของพาหนะที่ตนโดยสารอยู่อย่างภาคภูมิใจไม่ได้
"ปีนี้น้องหญิงโตขึ้นกว่าที่คิดไว้เยอะ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากทีเดียว"
"คุณหญิงกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กำลังจะมีครอบครัว จะต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง เพราะฉะนั้นก็นับว่าเป็นผลดีที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่อาจจะไม่ดีกับใครบางคน" เกริกว่าพลางเปลี่ยนเกียร์แล้วขับออกไปตามถนน
"กับใคร?"
ณัฐกฤษณ์ขมวดคิ้วฉงน ในขณะที่คนถูกถามยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมเฉลย
"คนติดน้อง"
ใบหน้ารูปไข่งอง้ำลงไปทันทีเมื่อถูกหยอก ผิดกับอีกคนที่หัวเราะในคออย่างอารมณ์ดี
"อย่าโกรธไปเลย ผมหมายความว่าคุณชายคงจะเหงาน่าดูถ้าคุณหญิงแต่งงานไป"
"คงจะเหงาจริง ๆ ไม่เพียงแต่เหงา เห็นทีถ้าน้องหญิงออกเรือนไปจริงผมคงจะต้องกลับมาประจำอยู่ที่นี่"
"ไม่ต้อง 'เห็นที' หรอก พอคุณหลวงเกษียรแล้วก็กลับมาทำงานที่นี่เถอะ ไม่ได้เจอกันแค่สองเดือน คิดถึงจะแย่รู้ไหม"
เจ้าสัวหนุ่มว่าพลางละมือจากเกียร์รถมากุมมือร่างที่นั่งข้าง ๆ ไว้ ร่างโปร่งไม่ได้ว่าขาน หากแต่ดึงมือตัวเองขึ้นมาทาบมือใหญ่ไว้เสียเอง เขาก็คิดถึงเกริก แต่ถ้าจะให้พูดออกมาตรง ๆ เหมือนอย่างที่ฝ่ายตรงข้ามทำนั้น ไม่มีทางเสียล่ะ
"ที่ว่าจะต้องมาประจำที่นี่เพราะไม่อยากให้บ้านร้าง น้องหญิงออกเรือนไปก็จะมีแต่นมปรุงกับพวกเด็ก ๆ อยู่ นมปรุงปีนี้ก็อายุมากแล้ว ไม่อยากจะต้องให้ปวดหัวกับเรื่องต้องดูแลบ้าน"
เกริกพยักหน้าเข้าใจ "ถ้าอย่างนั้น ที่ไม่ให้คุณหญิงไปอยู่กับท่านชายตอนไปเรียนต่อที่อังกฤษก็คงเป็นเพราะอย่างนี้"
"ใช่" เขาตอบสั้น ๆ พลางใช้นิ้วโป้งไล้หลังมือขาวเนียนเล่น
รถยุโรปคันใหญ่ค่อย ๆ ชะลอแล้วหยุดนิ่งลงเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งรถรางดังแว่วมา สักพักรถขนาดสองตอนก็แล่นตัดผ่าน ก่อนที่การจราจรบนถนนจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง
เกริกเหลือบมองเสี้ยวหน้าสีน้ำผึ้งจางของคนรัก แล้วมองมือเล็กที่ทาบมือเขาไว้อยู่ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเอง เขาอยากใช้นิ้วไล้แก้มเนียนนั่น อยากรั้งร่างโปร่งเข้ามาไว้แนบอก อยากตกอยู่ในวงแขนของฝ่ายนั้น อยากแสดงความรักและความคิดถึงผ่านทางร่างกายเหมือนอย่างที่เคยทำ ไม่ใช่ได้แต่พูดเช่นนี้
หากแต่ที่นี่คือกรุงเทพ ซึ่งทั้งเขาและณัฐกฤษณ์ต่างมีบ้านของตัวเอง มีคนรู้จักมากมายอยู่รอบตัว ไม่ใช่ฮ่องกงที่เขาทั้งสองคนเป็นคนต่างชาติ ชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันที่มาจากประเทศเดียวกันจึงคบหาสนิทสนมและค้างที่บ้านของอีกฝ่ายได้อย่างไม่แปลกอะไร
…อุตส่าห์ได้มาอยู่ด้วยกันที่เมืองไทย ใกล้แสนใกล้ แต่ดูไกลเหลือเกิน…
______________________
แม้จะต้อนรับหม่อมราชวงศ์สองพี่น้องด้วยท่าทีเต็มใจ และตอบรับคำเชิญไปงานของท่านชายฉลองฤทธิ์อย่างให้เกียรติ แต่ใบหน้าของเจ้าสัวเต็กและภรรยาหลวงนั้นไม่ค่อยจะสู้สดชื่นสักเท่าไรนัก จนณัฐกฤษณ์นึกสงสัย จึงอดจะถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วงไม่ได้เมื่อเดินตามแผ่นหลังกว้างของบุตรชายคนโตของเจ้าบ้านเข้ามาในสวนกันแต่เพียงลำพัง
"พ่อแม่ของคุณมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?"
"ช่างสังเกตจริง" ร่างสูงหันมายิ้มให้ขณะก้าวขึ้นศาลาพร้อมถ้วยกระเบื้องใส่ข้าวก้นหม้อที่จะนำมาเลี้ยงปลา
"ก็เห็นสีหน้าไม่ค่อยดีด้วยกันทั้งคู่"
จนถึงบัดนี้หม่อมราชวงศ์หนุ่มก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีต่อคนในบ้านเท่าใดนัก ณัฐกฤษณ์ใช้คำว่า 'พ่อแม่คุณ' เรียกบุพการีเขาแทนที่จะเรียกว่า 'คุณพ่อคุณแม่ของคุณ' และไม่เคยเรียกว่า 'พวกท่าน' หรือลงท้ายประโยคด้วยคำว่า 'ครับ' สักเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ…เกริกรู้ดีว่านี่คือตัวตนของณัฐกฤษณ์ที่เขารัก และคิดว่าพระอาทิตย์คงจะขึ้นทางขอบฟ้าด้านตะวันตกแน่ ๆ ถ้าเจ้าตัวพูดกับพ่อแม่เขาอย่างสุภาพหวานหู
เจ้าสัวหนุ่มนั้นกลับดูเหมือนจะไม่กังวลใจเหมือนบิดามารดา เพราะตัวเรื่องที่ว่านั้นคือ… "พวกท่านกำลังโกรธยัยรุ้ง"
"รุ้ง? คุณรุ้งฉายน้องสาวคุณน่ะหรือ?"
ดวงตาคู่สวยฉายแววประหลาดใจ ด้วยรู้ว่าน้องสาวของเกริกนั้นเรียนตัดเสื้อผ้าที่ฝรั่งเศส อันที่จริงหล่อนควรจะเรียนสำเร็จและกลับสยามมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ตามคำบอกเล่าของเกริก เจ้าตัวดึงดันที่จะอยู่ที่นั่นและเรียนวิชาทำผมต่อ
คู่สนทนาพยักหน้ารับพลางโยนข้าวให้ปลาในบ่อกินทีละหยิบมือ "ไป ๆ มา ๆ ปรากฏว่ายัยรุ้งดันแต่งงานไปกับฝรั่งที่โน่นตั้งแต่เมื่อครึ่งปีที่แล้ว แต่เพิ่งมีจดหมายมาบอกเมื่อไม่กี่วันมานี้ สงสัยยัยรุ้งจะคิดว่าถ้าบอกก่อนเตี่ยคงค้านหัวชนฝา แต่ที่ไหนได้ ถึงแต่งแล้วมาบอกก็ถึงกับประกาศลั่นว่าจะตัดพ่อตัดลูกกันเลย"
เสียงถอนหายใจหนักหน่วงดังขึ้นเมื่อเขาเล่าจบ ก่อนที่อีกฝ่ายจะรำพึง "น่าเห็นใจพ่อแม่คุณอยู่เหมือนกัน"
เสียงรำพึงนั้นแทบจะไม่ดังไปกว่าเสียงลมอ่อน ๆ ที่พัดโชยเข้ามาดับร้อนภายในสวน แต่ถึงกระนั้นเจ้าสัวหนุ่มก็ถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่
"หัวเราะอะไร?" ต้นเหตุแห่งความขำถามเสียงขุ่น
"เก๊าะ…หัวเราะคนหัวโบราณเหมือนอย่างพ่อแม่ผมที่ชอบกีดกันความรักคนอื่นอย่างไรเล่า" ใบหน้าขาวเนียนราวกับหยกเนื้อดีชะโงกเข้ามาใกล้ ดวงตายาวรีเป็นประกายวะวับอย่างยั่วยิ้ม
ณัฐกฤษณ์ไม่ขำด้วย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะเย้ากระทบเรื่องที่ตนเคยกีดกันความรักของน้องสาวจนเกือบจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต พลันเขาหลุดออกจากภวังค์เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจากแผ่นอกใครบางคนที่เคลื่อนเข้ามาประกบหลัง
"ใจร้ายจริง ได้อยู่ตามลำพังทั้งทีก็พูดถึงแต่เรื่องคนอื่นอยู่ได้"
ใบหน้ารูปไข่แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่จะหนีจากอ้อมกอดนั่น ไม่ใช่ด้วยอาการผลักไสอย่างหญิงสาว หากเป็นการเบี่ยงตัวออกแล้วหันมาประจันหน้ากับอีกฝ่าย
"เรื่องคนอื่นที่ไหนกัน ก็เรื่องในครอบครัวคุณทั้งนั้น"
ร่างสูงดึงมือเรียวไปแนบอก ก่อนจะกระซิบขึ้นอย่างอ่อนหวาน "อุตส่าห์คิดว่าถ้าพามาที่นี่จะได้รำลึกความหลัง ถึงความหลังของผมกับคุณชายจะไม่ค่อยน่ารำลึกสักเท่าไหร่ก็เถอะ"
คราวนี้ณัฐกฤษณ์หัวเราะในคออย่างถูกใจ แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียง
ยั่วล้อ "อ้อ ความหลังที่ว่าผมเหม็นขี้หน้าเจ้าสัวอย่างกับอะไรดีน่ะหรือ? อันนี้เห็นจะไม่ลืมทีเดียว"
เกริกยิ้ม "แหม…นึกได้เสียที ถ้าอย่างนั้นขอทำเอาบุญหน่อยว่าเหม็นขี้หน้าผมเรื่องอะไร"
"นึกว่ารู้แล้วเสียอีก" ร่างโปร่งว่าพร้อมชะโงกหน้าลงไปมองปลาคาร์ฟในสระ ดูเหมือนพวกมันจะเป็นปลาใหม่ เพราะเขาจำได้ว่าที่เคยเห็นตัวโตกว่านี้มากนัก "เกลียดขี้หน้าเพราะคุณอวดดี ไร้มารยาท และคิดจะมาติดพันน้องหญิงน่ะสิ"
"อ้อ" ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะร่วน "ความจริงไอ้ตอนนั้นผมก็อยากให้คุณชายเกลียดขี้หน้าเสียด้วยนี่นะ"
"คนพิลึก"
"ก็เพราะอยากเห็นคนพิลึกกว่าทำหน้าอย่างอื่นบ้างนอกจากตีหน้าเฉยอย่างเดียว รู้ไหมว่าผมหลงยิ้มกับลูกตาคุณชายตั้งแต่แรกแล้ว"
ณัฐกฤษณ์ขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเมื่อฝ่ายตรงข้ามเดินเข้ามาเท้าแขนอยู่ข้าง ๆ แต่ก็อดหันมายิ้มให้ไม่ได้เมื่อฝ่ายนั้นถามเบา ๆ
"แล้วตอนนี้ยังเกลียดขี้หน้าคนอวดดีคนนี้อีกไหม?"
_____________________
แม้ท่านชายฉลองฤทธิ์จะย้ำหลานชายเอาไว้หนักหนาว่าไม่ต้องมาช่วยเตรียมงาน แต่วันนี้หลังกลับจากการไปรายงานตัวที่กระทรวง ณัฐกฤษณ์ก็ขับรถแวะมาที่วังชมโสมจนได้ แถมยังมีคนติดรถมาด้วยอีกหนึ่งคน
"เคยแต่ไปกราบท่านที่กระทรวงตอนที่กลับจากฮ่องกงใหม่ ๆ ไม่เคยเข้ามาในวังเสียที ไม่คิดว่าจะใหญ่โตถึงเพียงนี้ ใหญ่กว่าวังร่มพฤกษ์มากทีเดียว"
เกริกออกความเห็นด้วยน้ำเสียงทึ่งขณะที่รถแล่นผ่านถนนสายเล็กอันร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่ที่ขึ้นรายกันไปเป็นทาง ที่เห็นอยู่ไม่ไกลนั่นคือตึกตระหง่านและโอ่โถงสีน้ำตาลอมส้ม วังร่มพฤกษ์นั้นจัดว่ามีเนื้อที่ไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังเทียบกับวังชมโสมนี่ไม่ติด
"วังนี้ตกทอดกันมาหลายรุ่น ที่ดินเองก็เป็นที่พระราชทานจึงสร้างได้อย่างโอ่โถงเอิกเกริก ส่วนวังร่มพฤกษ์นั้นเสด็จปู่สร้างเอาไว้แล้วประทานให้ท่านพ่อ จึงได้มีขนาดเล็กกว่าอย่างที่เห็น"
"ทำไมล่ะ?"
"ตามธรรมเนียมเจ้าที่มียศต่ำจะสร้างวังให้ใหญ่โตเทียมกับเจ้าชั้นสูงไม่ได้ เสด็จปู่เป็นเจ้าที่มียศขั้นสุดท้ายที่จะสร้างวังได้ เพราะตั้งแต่หม่อมเจ้าลงมาจะสร้างที่อยู่อาศัยแล้วเรียกว่า 'วัง' ไม่ได้"
เกริกพยักหน้าเข้าใจ "ผมเข้าใจว่าท่านพ่อของคุณชายเป็นคนสร้างวังร่มพฤกษ์เสียอีก"
"ท่านพ่อแค่ออกแบบตกแต่งภายในด้วยตัวเองทั้งหมด ส่วนตัววังนั้นเสด็จปู่ทรงสร้าง"
หม่อมราชวงศ์หนุ่มบังคับรถยนต์คันโปรดให้มาหยุดอยู่ที่หน้าตึก แล้วเดินนำร่างสูงเข้าไปด้านในเนื่องจากเขาได้โทรศัทพ์มาทูลผู้เป็นลุงเอาไว้แล้วว่าจะแวะเข้ามา
ตอนที่เดินเข้าไปด้านในนั้น ท่านชายฉลองฤทธิ์กำลังยืนคุมคนงานให้จัดวางเครื่องเรือนต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้ เครื่องเล่นแผ่นเสียงใหม่เอี่ยมถูกยกออกมาวางไว้บนชั้นไม้สักประดับแจกันดอกไม้สดทรงเตี้ยที่จัดไว้อย่างมีรสนิยมแม้จะไม่ถึงวันงานจริง โต๊ะทรงกลมกระจายอยู่รอบ ๆ โดยเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นลานเต้นรำ ประดับประดาไว้ด้วยเครื่องแก้วต่าง ๆ ที่จะส่องแสงเป็นประกายระยับยามต้องแสงไฟในคืนงาน ณัฐกฤษณ์กวาดตามองโดยรอบ หลายปีเต็มทีแล้วที่วังชมโสมไม่ได้จัดงานรื่นเริงอย่างนี้ ตั้งแต่เขาจำความได้ ท่านลุงเคยจัดงานเพียงแค่สี่ห้าครั้งเท่านั้น อาจเป็นเพราะท่านไม่ใคร่โปรดการสมาคมนัก ส่วนวังร่มพฤกษ์นั้นเท่าที่เขาจำได้เคยจัดงานราตรีสโมสรของข้าราชการในกระทรวงแค่ครั้งเดียวก่อนที่ท่านพ่อจะสิ้น
"อ้าว…ชาย มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?" เจ้าของวังทรงหันมาพร้อมรับไหว้ชายหนุ่มทั้งสอง
"เพิ่งมาถึงเมื่อครู่กระหม่อม"
"ไปนั่งก่อนสิ ป้าเรากำลังทำขนมเลี้ยงอยู่ เดี๋ยวคงยกออกมาให้ทานหรอก" ท่านชายตรัสพลางเดินนำผู้อ่อนวัยกว่าไปที่ห้องรับแขก แล้วผินพักตร์มาหาเจ้าสัวหนุ่ม "ไม่เจอเจ้าสัวเสียนาน เป็นอย่างไรบ้าง ที่บ้านสบายดีไหม?"
"สบายดีทุกคนกระหม่อม ขอบพระทัยที่ตรัสถาม"
ณัฐกฤษณ์ทรุดตัวลงนั่งแล้วมองกลับไปยังห้องโถงใหญ่ที่จะใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง "เกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้วนี่กระหม่อม"
"ลุงถึงบอกชายว่าไม่ต้องมาช่วยอย่างไรเล่า เหลือแต่งานกระจุกกระจิกอย่างจัดดอกไม้ จัดผ้าปูโต๊ะ เราช่วยได้ที่ไหนกัน"
เสียงฝีเท้าแผ่ว ๆ ที่ใกล้เข้ามาทำให้สามหนุ่มต่างวัยหันไปมองพร้อมกัน ณัฐกฤษณ์และร่างสูงที่นั่งข้าง ๆ พนมมือขึ้นไว้เมื่อเห็นหม่อมสายใจเดินเข้ามาตามด้วยนางข้าหลวงรุ่นสาวที่ถือถาดขนมอยู่ในมือ เจ้าหล่อนผู้เพิ่งจะเข้ามาทำงานในตำหนักนี้ได้ไม่นานนักเงยหน้าขึ้นมอง 'คุณชาย' เสียทีหนึ่ง ก่อนจะหน้าแดงเรื่อตามวิสัยสาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายได้ถนัด
…ได้ยินหม่อมท่านชมออกบ่อยว่าหลานท่านชายงามทุกคน เพิ่งจะมาได้ประจักษ์กับตาก็วันนี้ จะว่าไปคุณหญิงสิริกานดาเธอก็งามอ่อนช้อยถึงเพียงนั้น ไม่แปลกอะไรเลยที่คุณพี่ของเธอจะดูราวกับเทพบุตรเช่นนี้
"ชายณัฐมาก็ดีแล้วล่ะเพคะท่าน หม่อมฉันจะให้ช่วยดูรายการอาหารว่าจะต้องมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม เจ้าสัวก็ด้วยนะ เผื่อจะมีรายการอาหารจีนจะแนะนำบ้าง แต่ถ้าแนะนำแล้วฉันไม่รู้จักเห็นจะต้องไปขอความรู้จากคุณแม่ของเจ้าสัว" หม่อมสายใจพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ก่อนจะหันไปนางข้าหลวงคนดังกล่าว "ไปหยิบสมุดที่ฉันเขียนเอาไว้ในครัวมาให้คุณชายดูซิ"
ท่านขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวทำท่าเหมือนไม่ได้ยิน ด้วยกำลังพิศ
หลานของท่านชายสลับกับการก้มหน้าสะเทิ้นอายอยู่นั้นแล้ว จึงพูดขึ้นมาใหม่ด้วยเสียงที่เข้มกว่าเดิม "แม่พริ้ม ฉันบอกให้ไปหยิบสมุดที่ฉันเขียนไว้ในครัวมาให้คุณชายดู ไม่ได้ยินหรือ แม่คนนี้!"
นางข้าหลวงวาดรีบตาลีตาลานรับคำบัญชา เกริกเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำพร้อมอมยิ้มกับตัวเอง แต่แล้วก็แทบหุบยิ้มไม่ทันเมื่อท่านชายทรงตรัสขึ้นมาอย่างพระอารมณ์ดี
"ตายล่ะหลานฉัน เนื้อหอมจริง เห็นทีตามคุณหลวงวิจิตรกลับมาคราวหน้า สาว ๆ ในกรุงเทพคงจะอลหม่านกันใหญ่"
ณัฐกฤษณ์รู้ได้ถึงความไม่สบายใจของร่างสูงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จึงหาเรื่องเฉไฉเสีย "ท่านลุงช่างล้อชายเล่น ว่าแต่ไม่มีอะไรจะให้ช่วยจริง ๆ หรือคะหม่อมป้า?"
"ก็ช่วยดูรายการอาหารให้นั่นแหละ" ป้าสะใภ้ตอบ พอดีกับที่นางข้าหลวงพริ้มเดินนำสมุดที่ท่านต้องการมาให้ ท่านเอื้อมมือไปรับแล้วใช้สายตากำราบหล่อนพร้อมกับไล่ "ไปช่วยพวกในครัวทำงานเถอะไป๊"
"ถ้าเป็นรายการอาหารที่ท่านป้าคิดเห็นทีจะอร่อยไปทุกอย่างค่ะ" ผู้เป็นหลานยิ้มประจบ
หม่อมสายใจแสร้งค้อนด้วยความเอ็นดู ก่อนจะอุทานขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ "จริงสิจ๊ะชาย พรุ่งนี้ว่างไหมเล่า? ป้ามีคนจะแนะนำให้รู้จัก ไม่ใช่ใครอื่นไกลดอก ญาติ ๆ เราเองทั้งนั้น"
"พรุ่งนี้…" ร่างโปร่งอึกอักพลางเหลือบมองคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยพรุ่งนี้เขากับเกริกตกลงกันว่าจะไปดูหนังสักรอบ ก่อนจะไปสโมสร
อาการนั้นไม่พ้นสายตาคนช่างสังเกตอย่างหม่อมสายใจไปได้ "อ้าว นัดกับเจ้าสัวอยู่ก่อนหรือ ขอโทษทีเถอะ เอาอย่างนี้สิจ๊ะชาย ไปเที่ยวกันให้สนุกเสียก่อน แล้วค่อยมาทานข้าวเย็นกับลุงกับป้า เชิญเจ้าสัวมาด้วย ได้ไหมจ๊ะ?"
"ได้ค่ะ ว่าแต่ญาติที่ท่านป้าบอก…"
"เซอร์ไพรส์จ้ะ" หม่อมสายใจพูดเป็นภาษาอังกฤษราวกับสาวสมัยใหม่ ในขณะที่ผู้เป็นสวามีหัวเราะชอบใจ
"เดี๋ยวนี้ป้าเราเขาจำภาษาอังกฤษมาจากในหนัง ไปเถอะชาย พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันให้สนุกอย่างป้าเขาว่า แล้วตอนเย็นเราค่อยเจอกัน อ้อ…ถ้ารับหญิงกานดามาด้วยได้เห็นจะดีทีเดียว"
_________________________
เสียงรถยนต์ตามมาด้วยเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นปูนอันคุ้นหูที่ดังเข้ามาจอดหน้าโรงงานทำให้สมพลยิ้มอย่างนึกสนุก แล้วเงยหน้ารอเจ้าตัวที่กำลังเดินตรงแด่วเข้ามา
"เฮียเกริกอยู่ไหม?"
เจ้าหล่อนถามเขาเสียงห้วน แต่ใบหน้าเปี่ยมสุขไปกับเถาปิ่นโตขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือ ถือว่าวันนี้เจ้าสัวโชคดีไปที่ 'โดดงาน' เป็นครั้งที่สามของอาทิตย์ ไม่เช่นนั้นคงต้องมีอันโดนคุณผู้หญิงคนนี้ตามรังควาญทั้งวันเป็นแน่ แต่ก็นับว่าดูสนุกดีสำหรับเขาผู้ซึ่งไม่ได้เป็นคนเดือดร้อน
เลขาหนุ่มยิ้มหน้าเป็น ก่อนจะปฏิเสธเสียงดังฟังชัด "ไม่อยู่ครับ"
"เอ๊ะ!" คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามทำเสียงขึ้นจมูก "ไปไหนอีกล่ะ? ยังเช้าอยู่เลย หรือว่าไม่เข้ามากกว่า เอาให้แน่ซิ"
"เจ้าสัวไม่อยู่ครับ" สมพลเน้นเสียงอีกครั้ง "สั่งผมไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าจะออกไปกับคุณชายณัฐกฤษณ์ทั้งวัน"
อุไรแทบจะกรี๊ดแล้วเขวี้ยงเถาปิ่นโตลงกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้นถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่ามันเป็นกระเบื้องลายครามราคาแสนแพงที่หล่อนแอบไขออกมาจากตู้ที่บ้าน แต่นี่เป็นครั้งที่สองของอาทิตย์แล้วที่หญิงสาวมาหาแล้วเขาไม่อยู่ เพราะมัวแต่ออกไปกับเพื่อนสนิทที่เพิ่งกลับมาจากฮ่องกงนั่น!
เมื่อหันรีหันขวางแล้วหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้จึงหันมาแว้ดใส่สมพลแทน "บ้ากันทั้งนั้น! บอกเฮียเกริกด้วยว่าฉันจะไปฟ้องเฮียตรีให้น่าดูชมเชียว!"
"ครับ ๆ" สมพลรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดังเดิม ในใจนึกสนุกกับใบหน้าที่ประเดี๋ยวดำประเดี๋ยวแดงของคนพูด ก่อนจะนั่งลงทำงานต่อเมื่อเจ้าหล่อนเดินกลับไปขึ้นรถแล้วกระแทกประตูดังปัง
พายุอารมณ์ของอุไรยังไม่สงบง่าย ๆ เพราะยังไม่ได้อาละวาดจนสมใจ และผู้เคราะห์ร้ายคนต่อไปจะเป็นใครหากไม่ใช่มนตรี…พี่ชายที่รักและตามใจน้องสาวคนเดียวของตนเองมากที่สุด
หญิงสาวเดินกระแทกส้นเท้าผ่านพวกพนักงานที่นั่งทำงานกันอยู่ ใบหน้าขาวราวกับไข่ปอกงอง้ำอย่างที่เครื่องสำอางค์ที่ประจงแต่งแต้มมาเมื่อตอนเช้าไม่ได้ช่วยให้มันดูดีขึ้นมาได้เลยสักนิด หล่อนเดินไปจนถึงบานประตูที่อยู่ในสุดของทางเดิน แล้วผลักโครมเข้าไปโดยไม่คิดจะเคาะประตูให้เจ้าของห้องรู้ตัวล่วงหน้อาเลยสักนิด
"อ้าว โส้ยหมวย ไหนว่าจะไปหานายเกริก?" เจ้าสัวมนตรีที่เงยหน้าขึ้นมาเกือบจะร้องด่าพนักงานผู้ไม่มีมารยาทอยู่แล้ว แต่ก็หุบปากได้ทันเมื่อเห็นว่าคนที่ไม่มีมารยาทที่ว่าคือน้องสาวของตัวเอง
อุไรกระแทกเถาปิ่นโตลงกับโต๊ะทำงานพี่ชาย ความโกรธหายไปวูบหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงกระเบื้องกระทบไม้ดังถนัดหู แต่แล้วก็กลับไปอยู่ในอารมณ์เดิมเมื่อเห็นปิ่นโตเถาสำคัญยังปลอดภัยดีอยู่
"ไรเอามาให้เฮียกิน ต้องกินให้หมดด้วยนะคะ ไม่งั้นไรไม่ยอม"
มนตรีลอบถอนหายใจ ที่นัดจะไปกินข้าวกลางวันกับคู่หมั้นไว้เห็นจะต้องเลื่อนนัด หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องปลอบน้องสาวให้เย็นลงแล้วไล่กลับบ้านก่อน เพราะถ้าเขาเกิดบอกไปตอนนี้ว่ามีนัดมื้อเที่ยงแล้ว หล่อนคงจะกรี๊ดลั่นเขย่ารูหูก่อนเป็นไร
"ไหนว่าจะทำให้นายเกริกมันไง? เฮียเห็นลุกขึ้นมาทำแต่เช้า"
ได้ยินเสียงปลอบประโลมของพี่ชายเข้าอุไรก็น้ำตารื้อขึ้นมาทันที หล่อนเบะริมฝีปากล่างลงแล้วสะบัดสะบิ้ง "ก็เฮียเกริกน่ะออกไปกับคุณชายณัฐกฤษณ์อีกแล้ว! ออกไปทั้งวันด้วย ไม่รู้จะคิดถึงอะไรกันหนักหนา เพิ่งจะ
จากกันมาสองเดือนแค่นี้"
"เขาเป็นเพื่อนสนิทกันน่าโส้ยหมวย อยู่ต่างบ้านต่างเมืองมาด้วยกันเกือบปี จากกันมาก็อาลัยกันบ้างเป็นธรรมดา เอาเถอะ คุณชายเขาอยู่ได้ไม่นานไม่ใช่หรือ ประเดี๋ยวเขาก็ต้องกลับแล้ว"
"กลับไปได้เร็ว ๆ เลยก็ดี" หญิงสาวเบะปากไล่ ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็ก ๆ ที่ออกอาการพาลเพโลยามขัดใจ
มนตรีเคาะนิ้วลงกับโต๊ะทำงานแล้วยิ้มบาง จะว่าไปไม่คิดเลยว่าคู่นี้จะสนิทสนมกันได้ขนาดนี้ เพราะตอนที่รู้จักกันใหม่ ๆ ดูจะไม่กินเส้นกันเสียเลย
"ไปกับคุณชายก็ยังดีกว่าให้เจ้าเกริกออกไปกับผู้หญิงไม่ใช่หรือไง? นายเกริกน่ะเรื่องเจ้าชู้ไม่ต้องห่วง ลื้อไม่เห็นหรือ วัน ๆ มันเอาแต่ทำงานเลี้ยงคุณเตี่ยกับคุณม้า มันรักพ่อแม่มันจะตาย ไม่มีเวลาไปจีบผู้หญิงคนอื่นหรอก"
เจอประโยคนี้เข้าอุไรถึงกับต้องนิ่งคิด จริงสินะ…ไปกับคุณชายณัฐกฤษณ์ดีกว่าไปกับผู้หญิงจริง ๆ แล้วอีกอย่าง…เฮียเกริกรักพ่อแม่มาก…
เจ้าสัวหนุ่มเลิกคิ้วอย่างหลากใจเมื่อจู่ ๆ น้องสาวก็โจนเข้ามาหอมแก้มเอาอย่างหนังฝรั่ง แล้วฉวยเถาปิ่นโตขึ้นด้วยเสียงร่าเริงราวกับไอ้ที่ออกอิทธิฤทธิ์อยู่เมื่อครู่เป็นเพียงละครฉากหนึ่งของหล่อนเท่านั้น
"ไปก่อนล่ะค่ะเฮีย เดี๋ยวจะแวะบ้านเฮียเกริกเสียหน่อย"
"แวะทำไม? ไหนว่ามันออกไปกับคุณชาย?"
"แวะเยี่ยมคุณเตี่ยค่ะ ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านมานานแล้ว ทำคะแนนเสียหน่อยก็ดี"
ว่าแล้วก็เดินฮัมเพลงหงุงหงิงออกไป ทิ้งให้พี่ชายมองตามแล้วหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู
___________________