ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Let Me Be The One For You(1) by...Rai กรุงเทพมหานคร 2480 พอเจ๊กลากรถวางคานรถลง ชายหนุ่มผิวขาวเหลืองหวีผมเรียบแปร้ใบหน้ากรุ้มกริ่มจึงก้าวลงจากรถพร้อมชำระเงิน คนในตึกแถวซึ่งเป็นร้านค้าทอง ชะเง้อคอออกมาดูก็ผลุบกลับเข้าไป "ยี่เสี่ย (เป็นคำเรียกบุตรชายคนที่สองของคหบดีจีน) กลับมาแล้ว ลื้อรีบไปบอกเจ๊สัวเนี้ย" คนงานวัยรุ่นรับคำแล้วเดินไปทางหลังร้าน ส่วนคนที่เป็นหลงจู๊หรือผู้จัดการร้านก็เดินออกไปยิ้มรับหน้าชายหนุ่ม แต่ยังไม่หันเอ่ยปาก อีกฝ่ายกลับสวนขึ้นก่อน "ไปฟ้องนายแม่แล้วรึเรา?" "ก็ท่านบ่นหา" หลงจู๊วัยกลางคนพูดไม่เต็มปาก "ทีหลังก็บอกว่าฉันออกไปทำธุระข้างนอกสิ" คนฟังได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ จะโต้กลับก็ไม่เป็นการ เพราะเป็นลูกเจ้านาย แต่กลับมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นแทน "ธุระเยอะจริงน้องชายเรา ออกไปตั้งแต่เมื่อวานนี่ทำธุระเสร็จหรือยัง?" คนพูดเป็นชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับผู้เป็นน้อง แต่ทว่าใบหน้าเคร่งขรึมนั้นมีแว่นกรอบทองประดับอยู่แวววาว ชายหนุ่มที่เรียกว่ายี่เสี่ยหัวเราะจนเห็นฟันขาวเต็มปาก ทำให้ใบหน้าคมสันยิ่งน่าดูมากขึ้นไปกว่าเดิม "ถ้าแม่ผกากรองก็คงจะอีกหลายครั้ง เมื่อวานไปเป็นเพื่อนเจ้าหล่อนเลือกซื้อผ้า เดินจนขาแทบลาก" "วันนี้เลยกลับเสียบ่าย ถ้าหายไปนานกว่านี้ ฉันคงต้องเอาสำลีอุดหู เพราะนายแม่บ่นหาแกทั้งวัน ตอนเช้ายังพอโบ้ยไปได้ว่าแกไปมอร์นิ่งวอร์ค แต่พอสายยังไม่เห็นหัว ฉันก็ไม่รู้จะแก้ต่างแทนแกยังไง" อันที่จริงผู้เป็นพี่คิดจะบ่นมากกว่านี้ แต่พอดีเด็กรับใช้เดินประคองถ้วยน้ำชาส่งให้ยี่เสี่ย ชายหนุ่มจึงต้องชะงักปากไว้ก่อน เหมือนรู้ว่าจะต้องโดนพี่ชายเทศนาอีกนาน ผู้เป็นน้องจึงเบนความสนใจไปทางอื่น โดยหันไปทักเด็กรับใช้แทน "อาจั้ว วันนี้เจ้าสามยังไม่กลับจากโรงเรียนอีกหรือ?" อาจั้วเป็นเด็กชายวัยรุ่นอายุราวสิบสี่สิบห้าปี รวบผมถักเป็นเปียยาวห้อยไว้ทางด้านหลัง พอโดนทักจึงหันกลับไปมองคนถามด้วยความสงสัย ยี่เสี่ยเห็นดังนั้นจึงร้องเสียงดัง "อ้าว ก็ถ้าเจ้าสามกลับมา ก็จะเห็นแกไปขลุกอยู่ด้วยกัน หาตัวไม่ค่อยเจอ" "อั๊วม่ายล่ายปายขลุกสักหน่อย" เจ้าตัวเถียงกลับด้วยสำเนียงไม่ค่อยชัด ทำให้คนเป็นนายหัวเราะ "เมื่อไรจะพูดชัดหือเราน่ะ น่าจะไปตัดผมเปียออกด้วยนะ จะได้เป็นหนุ่มกับเขาเสียที ไม่ต้องโดนล้อว่า หางเปียมาเลียขี้กบ พระไล่ตบหัวบี้หัวแบน" "พระที่หนายตบคนกัน อั๊วม่ายเคยเห็น คนที่ล้ออั๊วก็มีแต่ยี่เสี่ยเท่านั้นแหละ" อาจั้วโต้กลับ ยี่เสี่ยหันไปฟ้องพี่ชาย "พี่ใหญ่ดูมัน ดูมัน มิน่าเจ้าสามถึงได้ถูกใจนัก กลับมาบ้านก็เรียกหาแต่อาจั้ว ฉันว่าต้องจ้างอาจั้วเป็นพี่เลี้ยงเจ้าสามดีกว่าจ้างแม่นม" พอเห็นลูกจ้างวัยรุ่นเริ่มทำตาวาว ๆ ยี่เสี่ยก็ยิ่งนึกอยากแกล้ง แต่พี่ชายคนโตก็รีบห้ามทัพไว้ก่อน "เจ้าสอง แกก็แหย่มันอยู่เรื่อย อาจั้วไม่อยากเลี้ยงเด็กหรอก อยากเป็นอย่างอื่นมากกว่า ใช่ไหม?" อาจั้วนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ถือเป็นการตอบรับ ยี่เสี่ยจึงเลิกคิ้วถามด้วยความอยากรู้ "อยากเป็นอะไรหรืออาจั้ว?" ยังไม่ทันตอบก็เห็นเด็กชายวัยสิบเอ็ดสิบสองปีเดินถือกระเป๋านักเรียนเข้ามาในร้าน "ซาเสี่ย" อาจั้วรีบทักนายคนเล็ก "วันนี้อยู่พร้อมหน้ากันได้แฮะ ทั้งพี่ใหญ่ พี่สอง เป็นเรื่องประหลาดจริง ๆ" เด็กชายทำหน้าตาประหลาดใจตามที่พูด "เรานั่นแหละประหลาด เลิกเรียนตั้งนานแล้วทำไมเพิ่งกลับ แอบไปเล่นละสิ เหงื่อถึงได้โซมตัวเชียว" พี่ชายคนโตดุใส่ เพราะเป็นน้องชายคนเล็กและอายุห่างกันมาก ทำให้ชายหนุ่มอดทำตัวเป็นผู้ปกครองไม่ได้ "รถรางยางแตกรึ?" พี่ชายคนรองอดแหย่น้องไม่ได้ ทั้งที่ล้อรถรางไม่ใช่ล้อยาง แต่รถรางยางแตกเป็นมุขตลกที่ใช้กันมากในสมัยนี้ ถ้านัดกับใครแล้วมาช้า ถ้าไม่ทราบว่าจะแก้ตัวอย่างไรก็บอกว่ารถรางยางแตก กลายเป็นเรื่องตลกพอผ่อนคลายได้ เจ้าตัวหัวเราะแหะ ๆ ก่อนอธิบาย "วันนี้ลงรถรางที่เก้าชั้น พอข้ามถนนเยาวราชมาถึงโรงหนังศรีเยาวราช แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋านักเรียนไว้บนรถราง พอหันไปดูก็เห็นรถรางคันนั้นไปถึงห้างใต้ฟ้าแล้ว รีบวิ่งข้ามถนนตามไป รถเกิดไม่ต้องรอหลีก ก็เลยต้องรีบวิ่งตามไปจนถึงสี่แยกวัดตึก พอจะทันรถก็วิ่งออกไปอีก วิ่งตามจนหอบ ไปทันที่พาหุรัดเพราะรถรอหลีก" "เรื่องนี้พิสูจน์ว่ารถรางเร็วกว่าเดิน แต่ช้ากว่าวิ่ง วันหลังแกวิ่งเอาไม่ดีกว่ารึ?" ตั่วเสี่ยหรือพี่ชายคนโตสรุปให้น้องชาย ซาเสี่ยส่ายหัวดิก "ส่วนใหญ่รถรางเสียเวลาเพราะรอหลีกต่างหาก ไม่ใช่ว่าจะวิ่งช้าเสียที่ไหนกัน แถมนั่งรถรางสบายกว่าเดินเป็นไหน ๆ" "สบายกับผีอะไร เหม็นแทบเป็นลม วันก่อนฉันเห็นแกบ่นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ" "ก็วันนั้นรถแน่น แล้วโดนดันเข้าไปยืนที่ชานรถด้านหลัง อากาศทั้งร้อนทั้งเหม็น" ซาเสี่ยยังสนุกกับการขึ้นลงรถชนิดผาดโผน จะขึ้นลงรถไม่เคยรอให้รถหยุด ต้องโดดจึงจะเรียกว่าเยี่ยมยอด ที่จริงการโดดจากรถรางนั้นมีสองแบบคือแบบธรรมดาคือหันหน้าไปทางหัวรถ แบบที่สองสำหรับผู้เชี่ยวชาญคือโดดหันหลัง แบบแรกนั้นง่ายหน่อย โดดแล้วต้องวิ่งตามรถไปตามแรงเฉื่อย ถ้าโดดขณะรถวิ่งเร็วความเฉื่อยสูงก็ต้องวิ่งตามไปไกลหน่อย แต่การหันหลังโดดมักเป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นนายตรวจ ต้องกำหนดแรงต้านให้พอเหมาะ โดดลงมาแล้วตัวจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ "มีนายตรวจอยู่คนหนึ่งโดดแบบหันหลังทั้งที่มือยังเขียนบันทึกลงสมุดเล่มเล็กโดยไม่ต้องหยุดเขียน ลงถึงพื้นแล้วก็เขียนต่อไปได้" ซาเสี่ยเคยเล่าเรื่องนี้ให้อาจั้วฟังด้วยสีหน้าชื่นชม "แล้วซาเสี่ยเคยทำหรือเปล่า?" เจ้าตัวสนใจ "ก็เคยละนะ แต่อย่าไปเล่าให้พวกอาเฮียฟังนะ" "อั๊วไม่เล่าหรอก" อาจั้วยิ้ม เพราะการเป็นคนเก็บความลับอยู่อย่างนี้เขาจึงได้เป็นคนสนิทของซาเสี่ย ***** "ไปช่วยอาจ๊งกับยี่ชิ้วแบกกับข้าวลงมา" อาล้งบอกเพื่อนสนิท เพราะตึกร้านทองนี้มีสี่ชั้น ชั้นสี่เป็นดาดฟ้า ครัวของร้านอยู่ที่ชั้นดาดฟ้า อาจ๊งซึ่งเป็นตำแหน่งพ่อครัวหลัก บางที่ก็เรียกว่าเถ้าชิ้ว กับยี่ชิ้วหรือมือสองต้องขึ้นลงบันไดแบกหม้อข้าวและกับข้าวกันจนเหนื่อย "แล้วจัดโต๊ะเสร็จแล้วหรือ?" อาจั้วถาม เนื่องจากคนงานและช่างทองของร้านมีอยู่ร่วมสามสิบคน แต่ละมื้อทางร้านต้องจัดโต๊ะอาหารสามโต๊ะ โต๊ะอาหารที่ร้านนั้นเป็นโต๊ะไม้กลมแบบเดียวกับที่ใช้ตามเหลาจีน
ยี่ชิ้วมีหน้าที่จัดโต๊ะ แต่เขากับอาล้งก็ไปช่วยเป็นลูกมืออยู่เนือง ๆ เพื่อศึกษางาน
การจัดโต๊ะก็แค่วางตะเกียบ ช้อนกระเบื้องสำหรับตักน้ำแกง และถ้วยน้ำปลาเป็นชุด
ๆ คนฟังเลยร่วมถอนหายใจไปด้วยอีกคน เพราะทั้งคู่ต่างก็มีความฝันเหมือนกัน คืออยากเป็นพ่อครัวที่เก่งกาจ ดูเหมือนเสน่ห์ของการทำอาหารจะดึงคนทั้งคู่ให้สนิทกันมากขึ้น "สักวันหนึ่งนะ อั๊วจะเป็นเจ้าของโรงโต๊ะ" อาล้งพูดเสียงหนักแน่น โรงโต๊ะที่ว่าก็คือภัตตาคารจัดเลี้ยงในงานต่าง ๆ นั่นเอง ต้องทำอาหารให้ถูกปากลูกค้าจำนวนมาก "ลื้อเป็งเจ้าของเหลาจีนม่ายลีกว่าหรือ?" อาจั้วช่วยอีกฝ่ายคิด "เหลาก็ดี จะทำกับข้าวให้พวกเจ้าสัว นายห้างขับรถหรู ๆ มากินกันแน่นร้านทุกคืน" กำลังฝันกันเพลิน เสียงหนึ่งก็แทรกขึ้น "แต่ตอนนี้ยังหุงข้าวกันไม่เป็นเลยนี่นา" เด็กรับใช้ทั้งคู่สะดุ้ง พอหันไปเห็นว่าเป็นนายคนเล็กของบ้านจึงหัวเราะด้วยความโล่งอก "ทำไมซาเสี่ยมาเงียบ ๆ" อาจั้วทักนายน้อย แต่อาล้งที่ไม่ค่อยสนิทกับพวกเจ้านายได้แต่นั่งนิ่งเงียบ "ใครว่าเงียบ เราสองคนนั่นแหละคุยกันเสียงดัง" "เสียงดังที่ไหนกัน ว่าแต่ซาเสี่ยทำการบ้านเสร็จแล้วหรือ?" "เสร็จตั้งนานแล้ว ว่าแต่คุยเรื่องอะไรกัน ฉันร่วมวงด้วยสิ" "ไม่มีอะไรหรอกซาเสี่ย" อาจั้วรีบปฏิเสธ "ฉันได้ยินนะ อาล้งอยากเป็นเจ้าของเหลา แล้วอาจั้วอยากเป็นอะไร?" เด็กรับใช้ตอบอาย ๆ "ก็เหมืองกังแหละ" "เป็นทำไมคนทำกับข้าว น่าไปหัดเป็นช่างทอง จะได้ทำงานที่ร้าน" ซาเสี่ยแนะนำ "ไม่เอาหรอก อั๊วอยากเป็นอาจ๊ง อยากทำกับข้าวให้คนกิน" อาจั้วตอบอย่างมาดมั่น ซาเสี่ยทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "นายแม่เคยบอกฉันว่าอาจ๊งไม่มีวันรวยหรอก" "ทำไมล่ะซาเสี่ย?" "ก็พวกนี้เหมือนมีคำสาป เพราะอดที่จะยักยอกหรือกินกำไรค่าอาหารไม่ได้ ถ้าไม่ติดฝิ่นก็จะติดการพนันงอมแงม" "แต่อั๊วจะไม่เป็นอย่างที่ซาเสี่ยพูดหรอก อั๊วจะทำอาหารให้เก่ง ๆ ทำกับข้าวแบบเหลาจีน อย่างเล่าไซ้ที่ร้านขายแพร อีทำกับข้าวหรู ๆ จนเถ้าแก่ถูกใจ เลยได้เงินเดือนสูงเกือบเท่าหลงจู๊ นี่ถ้าเล่าไซ้ไม่ติดฝิ่นแล้วผิดเวลา คงจะมีโรงโต๊ะโรงไหนมาเกี่ยวเอาตัวไปแน่" คุยกันจนดึก เด็กรับใช้วัยรุ่นจึงแยกกันกลับที่พักซึ่งอยู่ในละแวกนั้น อาล้งอยู่กับบิดามารดาซึ่งเป็นลูกจ้างที่นี่ ส่วนอาจั้วอาศัยอยู่กับบิดาในห้องเช่าเล็ก ๆ พอเดินแยกจากเพื่อนสนิทมาไม่ทันเท่าไร อาจั้วก็ปะทะกับร่างสูงที่กำลังเดินสวนมาโดยแรง เมื่อเห็นหน้าคนที่ตนเองชนชัดเจน เด็กชายต้องรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ "ไม่เป็นไรหรอก ผิดพอกัน แถวนี้มันมืด" ยี่เสี่ยพูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่ถือสาตามวิสัยคนรักสนุก "ว่าแต่มืดขนาดนี้ทำไมยังมาเดินแถวนี้อีก" "อั๊วเพิ่งคุยกับซาเสี่ยเสร็จ" เจ้าตัวพูดแล้วก็ต้องรีบปิดปากทำตาโต เพราะกลัวความผิดโทษฐานทำให้ซาเสี่ยนอนดึก ซึ่งจะทำให้เช้าวันรุ่งขึ้นซาเสี่ยมักจะอิดออดไม่ยอมตื่น "คุยอะไรกันนักหือ ป่านนี้ถึงไม่กลับบ้าน?" ยี่เสี่ยถามเด็กชายด้วยเสียงราบเรียบ แต่คนฟังนึกว่าโดนดุจึงรีบอธิบาย "อั๊วแค่คุยเรื่องทั่ว ๆ ไปเท่านั้ง ไม่ล่ายทำให้ซาเสี่ยเถลไถล แล้วซาเสี่ยก็ทำการบ้านเสร็จแล้ว แถมบอกว่าปูเหลียวจะรีบปายขึ้นนอนทันทีเลย" คนฟังแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ "ฉันไม่ได้ห่วงว่าอาจั้วจะทำให้น้องชายฉันเถลไถล เพราะมันเป็นอย่างไรฉันก็รู้ดีอยู่ แต่ที่ฉันถามเพราะกลัวว่าอาจิวจะดุเอาได้ว่าทำไมเรากลับบ้านค่ำนัก" "อ้อ" คนฟังถอนใจ แล้วยิ้มแป้น "ม่ายต้องห่วงหรอกยี่เสี่ย เตี่ยอั๊วไปโรงฝิ่นคงไม่กลับเร็วหรอก" ***** "ลื้อไปดูที่โรงยาแล้วหรือยัง?" เพื่อนสนิทถาม "ไป อั๊วถามจีนเต็งที่โรงยาแล้ว อีบอกว่าเตี่ยไม่ได้ไปที่นั่น" อาจั้วเริ่มเป็นกังวล จีนเต็งที่ว่าคือตำแหน่งหัวหน้าคนงานที่เป็นชาวจีนในสถานที่ที่ทำงานร่วมกันมาก ๆ อย่างบ่อนหรือโรงสุรายาฝิ่น "ไปนอนที่ไหนหรือเปล่า? เดี๋ยวค่ำ ๆ อีคงจะกลับ" อาล้งพยายามปลอบใจเพื่อน "เดี๋ยวอั๊วจะลองเดินไปตามตรอกดู เผื่อเตี่ยจะไปแอบหลบนอนแถวนี้ บางทีอาจจะอยู่ในศาลเจ้าก็ได้" "ให้อั๊วไปด้วยไหม?" "ไม่ต้องหรอก ลื้ออยู่บ้านดีกว่า อั๊วไปคนเดียวได้" เสียงเคาะไม้ไผ่ของหาบบะหมี่กวางตุ้งดังต๊อก ๆ ในยามค่ำเช่นทุกคืน อาล้งเห็นเงาหลังของอาจั้วเดินสวนกับเด็กที่เดินเคาะไม้ไผ่ด้วยอาการอ่อนแรง ผมเปียยาวที่อยู่กลางหลังสะท้อนแสงจันทร์เห็นเป็นสีขาวคล้ายสีเงินในบางจังหวะที่เดิน ด้วยลางสังหรณ์ให้ทำเด็กชายวัยรุ่นคิดว่าเงาหลังของเพื่อนรักเหมือนจะหายลับไปจากเขาเพียงแค่พ้นสายตาเท่านั้น ***** ชายหนุ่มหน้าตาคมสันวัยไม่เกินเบญจเพสในชุดลำลองเปิดประตูรถยนต์ให้ผู้เป็นปู่หลังจากจอดรถไว้ในที่จอดรถของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง พร้อมประคองออกมายืนนอกรถ "ต้องเดินไกลหน่อยนะอากง แถวศาลเจ้าไม่มีที่จอดรถ" "อั๊วบอกว่ามาคนเดียวได้ ลื้อก็ไม่ยอม ให้อั๊วนั่งรถแท๊กซี่มาจะได้ไม่ต้องมาวนหาที่จอดรถอย่างนี้" "ใครจะยอมได้เล่า เดี๋ยวหกล้มหรือเป็นอะไรไปใครเขาจะเห็น ทำไมต้องมาที่นี่ทุกปีก็ไม่รู้แฮะ" ตอนท้ายชายหนุ่มอดจะบ่นไม่ได้ แม้จะเต็มใจพามาก็ตามที เนื่องจากวัยของผู้สูงอายุเป็นอุปสรรคกับการเดินทางในสภาพจราจรแบบนี้เพียงลำพัง ทั้งปู่และหลานเดินช้า ๆ อย่างไม่รีบร้อน สองตาก็มองดูสินค้านานาชนิดที่วางเรียงรายให้เลือกซื้อหา คนเป็นปู่เห็นอะไรเป็นที่สังเกตก็ชวนหลานคุยจ้อตามประสาของคนแก่ที่นึกถึงความหลัง คนหนุ่มก็ได้แต่ส่งเสียงอือออในลำคอไปตามเรื่องตามราว จากถนนใหญ่ก็เลี้ยวเข้าซอยแคบ ทะลุตรอกมืดมิดออกมาเจอกับศาลเจ้าเก่า ประตูศาลเจ้าที่ทาสีแดงกะเทาะร่อน จะดูเหมือนคนไม่ใส่ใจหรือจะทำให้ดูขลังยิ่งขึ้นก็ตามที แต่คนหนุ่มก็อดจะหวาดด้วยบรรยากาศที่ทั้งเงียบและทึมของศาลเจ้าเก่าไม่ได้ ส่วนคนแก่กลับมีทีท่ากระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดิม ด้วยความมืดทึมของศาลเจ้า ทำให้ชายหนุ่มอาสาเดินไปจุดธูปให้ผู้เป็นปู่ "อากงยืนรออยู่นี่แหละ มืดแบบนี้มองอะไรไม่เห็นเดี๋ยวไปสะดุดล้มจะแย่เอา" "ธูปอยู่หลังแท่นบูชา" ผู้เฒ่าบอกหลานชาย สายตาเลื่อนจากรูปปั้นเทพเจ้าประจำศาลเจ้ามาหยุดยังรูปปั้นเด็กชายไว้ผมเปียยาวขนาดไม่ใหญ่นักที่ตั้งเยื้องไปทางซ้าย นัยน์ตาสีขุ่นด้วยวัยมองใบหน้าของรูปปั้นคล้ายจมอยู่ในภวังค์ "อาจั้วเอ๋ย ลื้อไม่ได้เป็นพ่อครัว แต่ได้เป็นเซียน แบบนี้ดีกว่าหรือเปล่า?" อภิบาลเดินอ้อมไปยังหลังแท่นบูชาเพื่อหาธูปตามที่ผู้เป็นปู่บอกไว้ มะงุมมะงาหราอยู่พักใหญ่ เท้าของเขาพลันเหยียบลงบนร่างใครคนหนึ่ง "โอ๊ย!" เสียงอุทานดังขึ้นเบา ๆ ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง ก้มหน้าลงไปมองผ่านความมืดใต้แท่นบูชาก็เห็นนัยน์ตาวาว
ๆ ของใครบางคน "เข้าไปนอนในนั้นทำไม?" ชายหนุ่มถามด้วยเสียงขุ่น ๆ เพราะยังตกใจไม่หาย เสียงแกรกกรากเมื่อร่างของคนใต้แท่นขยับตัวคลานออกมา แล้วชายหนุ่มก็เห็นเด็กชายอายุราวสิบสี่สิบห้าปี ใบหน้ามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงเปียที่ถักไว้รุ่ยร่ายไม่เป็นระเบียบ นัยน์ตาสีนิลดำขลับตัดกับตาขาวที่มองคล้ายกับเป็นสีฟ้าจาง ๆ มองสบตาเขาด้วยความขุ่นเคือง "ลื้อเหยียบมืออั๊ว" สำเนียงพูดไทยไม่ชัด ผสมกับคำแทนตัวผู้พูดและผู้ฟังที่แปลกหู ทำให้ชายหนุ่มต้องเขม้นมองซ้ำ ก็มันหมดสมัยเสื่อผืนหมอนใบไปแล้ว ทำไมยังมีพวกคนจีนเข้ามาหางานทำในเมืองหลวงอีกหรือ เอ หรือจะเป็นพวกเด็กเร่ร่อนหว่า เดี๋ยวนี้มีกันให้ทั่วไปหมด "แล้วใครใช้ให้เรามานอนตรงนี้ล่ะ" "ม่ายมีครายใช้ทั้งนั้งแหละ"
เจ้าตัวตอบตรงคำถาม คล้ายกับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายประชด "เร่ร่อนอะไร?" ชายหนุ่มไม่ตอบคำถาม แต่ถามต่อ "บ้านเราน่ะ อยู่ไหน?" "บ้านอั๊วก็อยู่ที่ตรอกฝั่งโน้น" เจ้าตัวชี้ไปข้างนอกศาลเจ้า "อ้าว แล้วทำไมมานอนแถวนี้" "ใครมานอนกัน? อั๊วมาตามหาเตี่ย แต่ที่นี่มีไฟไหม้" พูดแล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "ทำไมม่ายเห็งมีไฟไหม้ล่ะ?" "ถามฉันแล้วฉันจะรู้ไหมนี่?" ชายหนุ่มทำหน้านิ่ว พร้อมกับนึกในใจว่าตนเองไม่น่าคุยกับเด็กคนนี้เลย สงสัยจะไม่ค่อยเต็มเต็ง "งั้นถ้าไม่ได้หนีออกจากบ้าน ก็กลับบ้านไปซะ เดี๋ยวทางบ้านจะเป็นห่วง" "อาโม่ ลื้อคุยกับใคร?" เสียงผู้เป็นปู่แทรกขึ้น เพราะรออีกฝ่ายจุดธูปอยู่นานผิดสังเกต "ไม่มีอะไรหรอกอากง เผอิญมีเด็กมาแอบนอนใต้แท่นบูชา" "อั๊วไม่ได้แอบมานอน" เจ้าตัวเถียงกลับทันควัน "เออ ไม่ได้แอบก็ไม่ได้แอบ" ชายหนุ่มอ่อนใจ เด็กอะไรวะเถียงคำไม่ตกฟาก เด็กชายจั้วลุกขึ้นออกเดินพร้อมกับเหลือบมองคนที่แต่งตัวประหลาดอย่างระแวดระวัง แสงสว่างที่ลอดผ่านประตูศาลเจ้านั้นสว่างจ้า จนเด็กชายวัยรุ่นต้องหยีตา เห็นเพียงเงาดำ ๆ ที่ยืนอยู่หน้าประตู หากแต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเห็นร่างของเด็กชายชัดเจน ร่างที่คุ้นตา ใบหน้าที่คุ้นเคย ทำให้ความทรงจำสว่างวาบ แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม "อาจั้ว" ผู้เฒ่าอุทานเสียงแหบแห้งอย่างลืมตัว อาจั้วขมวดคิ้ว "ทำไมลื้อรู้จักอั๊วล่ะ อาแปะ?" พอได้ยินคำตอบเช่นนั้น ผู้เฒ่าถึงกับมีสีหน้าแตกตื่นไปกว่าเดิม เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ตอบคำ เด็กชายจึงถามซ้ำ "ลื้อรู้จักอั๊วใช่ไหม? แต่ทำไมอั๊วถึงไม่เคยเห็นหน้าลื้อมาก่อนล่ะ?" อภิบาลเดินออกมาจากแท่นบูชาพร้อมธูปที่จุดแล้วในมือ ชายหนุ่มถามผู้เป็นปู่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ "อากงรู้จักเด็กนี่ด้วยหรือครับ?" ผู้เฒ่าสะดุ้ง พร้อมกับส่ายหน้าช้า ๆ "อั๊วคงจำผิดไป คนนั้นอีตายตั้งแต่หกสิบปีก่อนแล้ว สมัยที่ศาลเจ้านี้เกิดไฟไหม้" "ลื้อพูดอะไรม่ายลู้เลื่อง ซี้ซั้วต่าน่อ ศาลเจ้านี่เพิ่งสร้างเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เมื่อเดือนก่อนเพิ่งจะจัดงานฉลองศาลเจ้าไปหยก ๆ อาล้งกับอั๊วยังมาดูงิ้วที่นี่อยู่เลย" เด็กชายเถียงด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ คราวนี้ผู้เฒ่ามองหน้าคนพูดอย่างตะลึง "ลื้อพูดว่าอาล้งอย่างนั้นหรือ?" "อ้อ แสดงว่าอาแปะรู้จักกับอาล้งอย่างนั้นสิ ถึงได้รู้จักอั๊วด้วย อาแปะเป็นญาติกับอาล้งหรือ?" "อาล้งหัวลูกชิ้น" ผู้เฒ่าพึมพำ "ใช่ ๆ อาล้งอีไปตัดผม แล้วช่างเขาไม่ถามสักคำว่าอีจะเอาทรงไหน ใช้ปัตตาเลี่ยนไถตีนผมจนเกรียน เหลือผมตรงกลางกระหย่อมหนึ่งเป็นทรงกุงจวง คนที่เห็นเลยล้อว่าเป็นไอ้หัวลูกชิ้น อั๊วเลยไม่กล้าไปตัด กลัวจะได้ทรงกุงจวงมาอีกคน เลยยังไว้เปียอยู่" อาจั้วยิ้มจนตาหยี "อาล้งโดนล้อทั้งวันเลย แม้แต่ซาเสี่ยยังร้องเพลงล้อว่า หัวล้านหัวเหลือง หัวละเฟื้องสองไพ หัวถลอกจะบอกยาให้ น้ำมันขี้ไก่ แห้งทา แห้งทา" "ลื้อเป็นอาจั้วจริง ๆ หรือนี่?" ชายชราพึมพำกับตัวเอง เพราะทั้งน้ำเสียง หน้าตา และสำเนียงการพูดจานั้นไม่ผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย แต่ก็ยังยากที่จะทำใจให้เชื่อได้ว่าเพื่อนสนิทที่คิดว่าเสียชีวิตไปเมื่อหกสิบปีที่แล้ว กลับมายืนตรงหน้า อีกทั้งยังคงรูปลักษณ์เดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง "อั๊วไม่มีเวลาคุยกับลื้อแล้ว ต้องรีบกลับไปทำงาน เดี๋ยวบ่าย ๆ ซาเสี่ยกลับจากเรียนหนังสือ ไม่เจออั๊วแล้วจะบ่นถึง ไว้วันหลังค่อยคุยกันนะอาแปะ" พูดจบเจ้าตัวก็ก้าวเดินออกจากศาลเจ้าอย่างเร่งรีบ ชายชรารู้สึกตัวรีบร้องบอกหลานชาย "อาโม่ ตามไปดูอาจั้วเร็ว" "ตามทำไมล่ะอากง?" "เหอะน่า ตามอีไปก่อน เดี๋ยวอั๊วจะตามไปทีหลัง" "แล้วอากงรู้หรือว่าเด็กนั่นวิ่งไปไหน" ผู้เฒ่าพยักหน้า พร้อมกับโบกมือเป็นเชิงไล่ เมื่อเห็นหลานชายวิ่งตามร่างเล็ก ๆ ไปติด ๆ ชายชราจึงค่อย ๆ เดินงก ๆ เงิ่น ๆ ตามออกไปพร้อมพูดกับตัวเอง "อั๊วรู้ดีว่าอาจั้วจะไปไหน แต่ที่นั่นมันไม่มีแล้ว" ***** เมื่อชายหนุ่มเห็นผู้เป็นปู่จึงรีบบอก "เด็กนี่ไม่รู้เป็นอะไรครับอากง พอวิ่งมาถึงตรงนี้ก็ร้องว่าบ้านหาย บ้านหาย วิ่งตามหาให้วุ่นสักพักก็กลับมานั่งแปะตรงนี้" ผู้เฒ่าก้าวเดินช้า ๆ ไปยังร่างของเด็กชายที่นั่งอยู่บนพื้น "อาจั้ว พื้นมันสกปรก ลุกขึ้นมาเถอะ" "ไม่มีร้านของนายห้าง ไม่มีคนงาน ไม่มีใครสักคน" เด็กชายพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง "มีสิอาจั้ว ที่ตรงนี้ยังมีอาล้งอยู่" เด็กชายหูผึ่ง ผุดลุกขึ้นกระตุกแขนชายชราโดยแรง "อาล้ง! อาล้งอยู่ไหนหรืออาแปะ?" "เฮ้ย! จะทำอะไรอากงฉันหือ?"
ชายหนุ่มรีบกระตุกร่างมอมแมมออกห่าง เพราะเกรงว่าคนแก่จะล้ม อาจั้วดิ้นโดยแรง พยายามให้หลุดจากมือของหลานอาแปะ "ปล่อยอั๊ว!" "ก็ไม่อยากจับนักหรอก เหม็นไปทั้งตัวแบบนี้" ชายหนุ่มบ่นพึม "ปล่อยอีเถอะ อาโม่" ผู้เฒ่าปรามหลาน ก่อนจะพูดกับเด็กชายอย่างลังเล "อั๊วเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างที่คิดหรือเปล่า เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าลื้อเป็นอาจั้วจริง อั๊วคงจะหาคำตอบได้ว่าเมื่อหกสิบปีที่แล้ว เพื่อนของอั๊วหายไปไหนได้" "ลื้อพูดอะไร อั๊วฟังไม่รู้เรื่อง ไหนลื้อบอกว่าอาล้งอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?" ผู้เฒ่าพยักหน้า แล้วนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพูดด้วยเสียงเนิบนาบ "อั๊วเองคืออาล้ง" เด็กชายมองหน้าชายชราอย่างไม่เชื่อหู "อาแปะล้ออั๊วเล่นแล้ว อาล้งอีรุ่นราวคราวเดียวกับอั๊ว แล้วจะแก่เหลาเหย่อย่างลื้อได้ไงกัน" "เรื่องนี้อั๊วเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลื้อฟังได้ยังไงกัน อั๊วบอกได้แค่ว่าเมื่อหกสิบปีที่แล้ว ศาลเจ้าถูกไฟไหม้ เพื่อนของอั๊วที่ชื่ออาจั้วไปตามหาพ่อที่เมาหลับอยู่ในศาลเจ้า พอดับไฟได้ชาวบ้านลือกันว่าทั้งพ่อและลูกต่างก็ตายในกองไฟ แต่ที่จริงแล้วเจอเพียงศพเดียว อีกศพไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่ในเมื่อไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าคนที่ถูกไฟไหม้ตายอีกคนหายไปไหน ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องศักดิ์สิทธิ์เลยบอกว่าคนที่เป็นลูกกลายเป็นเซียนไปอยู่บนสวรรค์เพราะกตัญญูต่อพ่อของตัวเอง ถ้าลื้อกลับไปที่ศาลเจ้าอีกหนจะเห็นตุ๊กตาปั้นรูปเด็กไว้ผมเปียตั้งไว้บนแท่นด้วย อั๊วเองไม่อยากเชื่อ แต่ในเมื่ออาจั้วหายสาปสูญแบบนี้ก็จำเป็นต้องเชื่อตามที่ชาวบ้านร่ำลือกัน" คำบอกเล่ายาวเหยียด คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง "ลื้อ ลื้อโกหก" "พูดกับคนแก่แบบนี้ได้ไงกัน" ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากดุใส่ "ก็มันจริงนี่นา" อาจั้วหันไปโต้กลับ "อากงของลื้อโกหก เล่าเรื่องอะไรให้อั๊วฟังก็ไม่รู้ อั๊วแค่ไปตามเตี่ยที่ศาลเจ้า แล้ว แล้ว " "แล้วอะไร?" ทั้งคนแก่และคนหนุ่มเอ่ยถามเป็นเสียงเดียว เด็กชายทำหน้าคล้ายจะนึกอะไรออก ศาลเจ้าเกิดไฟไหม้ เขาวิ่งเข้าไปหาพ่อที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มข้างในนั้น ควันไฟมืดทึบ คล้ายกับมีเสียงเรียกชื่อของตน ใครกัน??? ยิ่งพยายามนึกแต่แล้วเหมือนกับความคิดนั่นวูบหายไปในทันที "แล้ว
อั๊วก็ไม่รู้อะไรอีก ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่คนนี้มาเหยียบมืออั๊ว" "เราจะทำอย่างไรกันต่อละครับอากง?" ชายชรามองหน้าเพื่อนเก่าที่เพิ่งพบแล้วถามอีกฝ่ายเสียงเบา "ลื้อจะเอายังไงอาจั้ว?" เด็กชายมองตอบด้วยสีหน้าว่างเปล่า "อั๊วไม่รู้" "เอาอย่างนี้ไหมครับ กลับไปบ้านก่อน ไปหาผู้รู้หรือไปนั่งคิดนอนคิดว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป" อภิบาลออกความเห็นในท้ายสุด ***** "ลื้อได้เป็นนายห้างใหญ่แล้วหรือ?" อาจั้วถามเพื่อนด้วยความสงสัยหลังจากนั่งเรียบร้อยแล้ว "จะเป็นได้ยังไงกันล่ะ" ผู้เฒ่าตอบพร้อมกลั้วหัวเราะ "อั๊วแค่คนแก่ธรรมดาเท่านั้น" "แล้วทำไมลื้อมีรถเก๋งนั่ง รถเก๋งมันแพงไม่ใช่หรือ เห็นยี่เสี่ยบอกว่าเงินที่ซื้อรถเก๋งคันหนึ่งใช้ซื้อโรงสีไฟขนาดกลางได้หนึ่งโรงสบาย ๆ คิดจะแต่งเมียสักคนยังใช้เงินไม่เท่าซื้อรถเก๋งเลย" "นั่นมันเมื่อสมัยหกสิบปีก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเป็นนายห้างก็มีรถขับได้แล้ว" ชายชรากลับไปเป็นอาล้งคนเดิมเมื่อสมัยหกสิบปีก่อน "แล้วสมัยนี้รถมีกันให้เกลื่อนเมือง จำได้ว่าสมัยก่อนถนนไม่กว้างแต่ก็ว่างโล่งโจ้ง แถวที่มีรถวิ่งมากหน่อยก็แถวทรงวาด เจริญกรุง เยาวราช และก็บางลำพู แต่เดี๋ยวนี้ถนนแถวไหนก็มีแต่รถเต็มไปหมด บ้านเมืองมันเปลี่ยนไปเยอะ" เมื่อรถเคลื่อนตัวออก อาจั้วผุดลุกขึ้นเกาะหน้าต่างกระจกรถมองไปข้างนอกด้วยสายตาแสดงความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น "นี่เรากำลังจะไปไหนกันหรืออาล้ง?" "ไปบ้านอั๊วนะสิ" ผู้เฒ่าตอบพร้อมกับอมยิ้มในกิริยาของเพื่อน อาจั้วเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เขารู้จักครั้งแรก ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ เพื่อนรักของตนมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นและกระตือรือร้นในทุกเรื่องมาโดยตลอด จนกระทั่งกลายเป็นคนโปรดของซาเสี่ยซึ่งอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นและอยากโอ้อวด เพราะอาจั้วมักจะเป็นผู้ฟังที่ดีและนักตั้งคำถามที่เยี่ยมยอดจนคนตอบต้องจนมุมเสมอมา เด็กชายมองภาพตึกสูงที่เรียงกันเป็นแถวสองฟากถนนด้วยความตื่นตาตื่นใจ "แถวนี้เขาเรียกว่าอะไรหรืออาล้ง?" "สีลม" "หา แถวนี้หรือสีลม ตั่วเสี่ยบอกว่าแถวสีลมเนี่ยไม่ค่อยมีคนมาอยู่หรอก มีแต่สุสานตั้งหลายแห่ง ทั้งสุสานจีน สุสานแขก สุสานฝรั่ง มีแต่รถแห่ศพที่ผ่านถนนนี้ทุกวัน แล้วตึกเยอะขนาดนี้ พวกสุสานไม่มีแล้วหรือ?" "ก็ยังมีอยู่เยอะ เพราะที่ดินที่เคยเป็นสุสานนั้น แม้เจ้าของจะทำพิธีล้างป่าช้าแล้วนำออกขายปลูกตึกและอาคาร แต่คนที่มาซื้อหรือเช่าก็ทำมาค้าไม่ขึ้น เจ๊งไปเป็นแถว แต่ถ้าไม่ใช่ที่สุสานล่ะก็ เดี๋ยวนี้แพงจนจดไม่ติดเพราะแถวนี้กลายเป็นทำเลการค้า รถติดกันระนาว รถแห่ศพแบบเก่าที่เป็นรถบรรทุกแล้วใช้วงแตรวงบรรเลงเพลงพญาโศกไปสุสานก็เลยไม่มีแล้ว" "แล้วบ้านลื้ออยู่แถวนี้อย่างนั้นรึ?" "ไม่ใช่หรอก อั๊วยังไม่มีเงินมากขนาดมาอยู่แถวสีลมนี่ได้ บ้านอั๊วอยู่แถวบางกะปิ" "ไกลขนาดนั้นเชียว ที่นั่นเป็นทุ่งนาไม่ใช่หรือ เห็นไอ้โบ้ที่เคยไปหาญาติที่มีนบุรีบอกว่านั่งเรือเกือบทั้งวันกว่าจะถึง แล้วนี่เราต้องนั่งรถกันนานไหม?" "แถวบางกะปิไม่ใช่ทุ่งนาแล้ว แล้วมีนบุรีก็ไม่ไกลอย่างที่ลื้อเข้าใจหรอก แต่ถ้าจะถามว่าต้องนั่งรถนานไหม มันก็นานเหมือนกัน เพราะเดี๋ยวนี้รถติด" "รถติดกับอะไร?" คนชราหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินคำถามของเพื่อน "เอ ไม่รู้สิ อั๊วไม่ทันนึก แต่เขาใช้บอกเวลาที่รถขยับไปไหนไม่ได้ เพราะรถเต็มไปหมด รถคันข้างหน้าไม่ขยับ เราก็ไปไม่ได้ เขาเรียกว่ารถติด" เด็กชายพยักหน้าหงึกเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะอุทานเมื่อเห็นรถคันหนึ่งวิ่งตีคู่ "ผู้หญิงก็ขับรถด้วยแฮะ" คนขับที่นั่งฟังเงียบ ๆ อยู่นานถึงกับหัวเราะออกมา "สมัยนี้ผู้หญิงเขาขับรถกันทั้งนั้นแหละ" อาจั้วทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "อาล้ง คนนี้เขาเป็นหลานลื้อหรือ?" "เออใช่ ลืมแนะนำไป นี่เป็นหลานคนเล็กของอั๊วเอง อีชื่ออภิบาล แต่ที่บ้านเรียกว่าไอ้กาโม่ ลื้อจะเรียกว่าอาโม่เหมือนอั๊วก็ได้" "อ้อ อาโม่" อาจั้วทวนคำ "แล้วอากงจะให้ผมเรียกเขาว่าอะไรล่ะ?" คนขับมีคำถาม คราวนี้คนเฒ่าเริ่มขมวดคิ้ว เพราะไม่รู้จะลำดับชั้นผู้ใหญ่กันอย่างไรดี เพราะถ้าจะให้เรียกเป็นอากงอย่างที่พวกหลาน ๆ เรียกเขาก็ไม่เข้าทีเพราะรูปลักษณ์ของอาจั้วตอนนี้ดูเด็กนัก เด็กชายเห็นเพื่อนคิดอยู่นานเลยตัดสินใจให้ "เรียกอาจั้วก็ได้" "ได้ยังไง ลื้อเป็นเพื่อนอั๊ว" "งั้นก็เรียกเป็นอากง" เด็กชายสรุปให้ คนขับร้องลั่น "ได้ไงกันล่ะ ให้ผมเรียกคนที่เด็กกว่าว่าปู่เนี่ยนะ" ***** "ตามใจลื้อ" "ไปตลาดหรือ?" เด็กชายถามผู้เป็นเพื่อนอย่างตื่น ๆ ผู้สูงวัยอมยิ้ม "จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่นี่เป็นตลาดติดแอร์" "แอร์คืออะไร?" "อย่างในรถนี่เย็น ๆ ใช่ไหม?" อาล้งเริ่มต้นอธิบายให้ผู้เป็นเพื่อนฟัง "ใช่" อาจั้วพยักหน้า "อั๊วก็ว่าจะถามลื้ออยู่เหมือนกันว่าทำไมในรถถึงได้เย็นนัก" "ในรถคันนี้เย็นเพราะเขาติดแอร์" "งั้นแอร์ก็เย็นนะสิ แล้วตลาดติดแอร์ ก็คือตลาดเย็นใช่ไหม? เขาก็ต้องติดไอ้เครื่องอย่างนี้ไว้ในตลาดนะสิ" "อากงจั้วนี่ฉลาดแฮะ" อภิบาลเอ่ยชมอย่างจริงใจ เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าไปยังที่จอดรถ อาจั้วต้องทำตาโตเมื่อเห็นรถยนต์จำนวนมากจอดเรียงรายอยู่ที่ลานจอดรถ "คนสมัยนี้ทำไมถึงได้รวยกันนัก" เด็กชายจุปากอย่างทึ่ง ๆ "รวยหนี้น่ะสิ" อภิบาลพูดกลั้วหัวเราะ "รถพวกนี้ซื้อเงินผ่อนเป็นส่วนใหญ่" "เงินผ่อนคืออะไร?" "ว้า อธิบายอีกยาวล่ะ สงสัยผมต้องเปิดคอร์สติวเข้มเรื่องการดำรงชีวิตในกรุงเทพยุคไอเอ็มเอฟให้อากงจั้วซะแล้ว" ก่อนที่เด็กชายจะอ้าปากถามถึงไอเอ็มเอฟว่าคืออะไร คนขับรถก็เปิดประตูรถให้ลงมายืนข้างนอกแล้ว อภิบาลเอียงคอมองสภาพของเด็กชายผมเปียตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะ สภาพคนตรงหน้านั้นสกปรกและมอมแมม อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูแปลกตา เพราะจะหาใครในยุคนี้ที่สวมเสื้อผ้าป่านตัวบางและกางเกงจีน แถมไม่สวมรองเท้าอีก "ผมว่าต้องทำอะไรกับเสื้อผ้าของอากงจั้วแล้วล่ะอากง ขืนเข้าไปในห้างแบบนี้มีหวังคนแตกตื่นกันเป็นแถว แถมยามรักษาการณ์อาจจะห้ามไม่ให้เข้าห้างเขาเสียด้วยซ้ำ" "เด็กสมัยนี้แต่งตัวแปลกกว่านี้ตั้งเยอะ" ผู้เป็นปู่เถียงกลับ "แต่เด็กสมัยนี้ใครเขาเดินเท้าเปล่ากันเล่าอากง ที่ท้ายรถผมมีรองเท้าแตะอยู่คู่หนึ่ง ยังไงก็ต้องใส่รองเท้า" อภิบาลเปิดท้ายรถแล้วส่งรองเท้าแตะคู่ใหญ่ให้เด็กชาย มันหลวมจนดูน่าตลก แต่ก็ดีกว่าไม่สวม เพราะตามความคิดของชายหนุ่มแล้วนั้น คนที่เดินตามถนนแล้วไม่สวมรองเท้าก็มีแต่คนที่สติไม่สมประกอบเท่านั้น ทั้งสามเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขายส่งด้วยท่าทีกระย่องกระแย่ง ผู้สูงวัยเดินลำบากด้วยสภาพพยาธิของคนแก่ แต่เด็กก็เดินเอียง ๆ เพราะไม่คุ้นกับรองเท้า อภิบาลเลยต้องคอยพยุงคนทั้งคู่ให้เดินไปด้วยกัน "ประตูทำไมเปิดได้เอง" อาจั้วตกใจจนร้องเสียงดัง เมื่อเดินถึงหน้าประตูกระจกใสแล้วบานประตูแยกออกจากกันทั้งที่มือยังไม่ได้สัมผัสส่วนหนึ่งส่วนใดของมันเลย อภิบาลทั้งอายทั้งขบขัน รีบดันหลังให้คนตัวเล็กรีบ ๆ เดิน "ไว้ถึงบ้านแล้วจะบอกให้" "โห เย็น" ดูเหมือนอาจั้วจะลืมเรื่องประตูไปสนิทเมื่อผิวเนื้อสัมผัสความเย็นที่แผ่กระจายไปทั่วห้าง ไฟฟ้าสว่างไสวกับสินค้านานาชนิดที่วางกองเรียงราย ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนความฝันไปเสียสิ้น ***** เด็กชายเดินสำรวจสินค้าหน้าตาประหลาดจำนวนมากที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้พบเห็นในชั่วชีวิตนี้ แต่ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าก็คงจะเป็นราคาสินค้า เพราะเมื่ออภิบาลชี้ให้ดูแผ่นป้ายราคาสินค้าที่ติดอยู่บนชั้นวางของ เจ้าตัวถึงกับทำตาโต "เมื่อก่อนมีเงินติดกระเป๋าบาทเดียวก็ราวกับเป็นเสี่ยใหญ่" อาจั้วบ่นงึมงำ อภิบาลอดจะหัวเราะไม่ได้ "พูดเหมือนคนแก่เลยแฮะ อากงก็ชอบพูดแบบนี้ เมื่อก่อนซื้อโน่นไม่กี่สตางค์ ซื้อนี่ไม่ถึงบาท มันคนละสมัยกันแล้วอากงจั้ว" "คิดดูก็แล้วกันเมื่อสมัยโน้นกะตังค์แดงเดียวยังซื้อกล้วยน้ำว้าปิ้งได้สองลูก ค่ากับข้าวสำหรับชาวบ้านธรรมดาวันละไม่ถึงหนึ่งสลึง" อาจั้วยังบ่นไม่หยุดเมื่อเห็นราคาอาหารในห้างสรรพสินค้า คนแก่รีบพยักหน้าสนับสนุนเพื่อน "ใช่ ใช่ อาจั้วลื้อรู้หรือเปล่าว่า ค่ากับข้าวที่ร้านในสำเพ็งจ่ายให้อาจ๊งเป็นรายวัน วันละหนึ่งบาทต่ออาหารสามมื้อต่อโต๊ะหนึ่งกินสิบคน" "ลื้อรู้ได้ไง?" "อั๊วไปถามยี่ชิ้วนะสิ" "แบบนี้ถ้าทำอาหารไม่ดีต้องไล่ออกเท่านั้น เงินตั้งบาท ไม่รู้ว่าอาจ๊งเขาโกงค่ากับข้าวอย่างที่ซาเสี่ยเคยพูดหรือเปล่า" "ไม่รู้สิ แต่อั๊วเห็นยี่ชิ้วแซะข้าวตังติดก้นกระทะข้าวไปขายพวกทำขนมวันหนึ่งตั้งเยอะแยะ" "อั๊วว่ายี่ชิ้วต้องใช้วิธีเกลี่ยข้าวในกระทะให้มีขนาดใหญ่ขึ้นมาถึงได้ขายข้าวตังได้เยอะขนาดนั้น" "เออ คงจะจริงอย่างที่ลื้อว่า" อภิบาลฟังเด็กกับคนแก่คุยกันแล้วก็แอบหัวเราะ เหมือนคนรุ่นเดียวกันเลยแฮะ แต่จริง ๆ สองคนนี้ก็รุ่นเดียวกันเมื่อหกสิบปีที่แล้วนี่นา
|