ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Love Me Tender, Love Me Hard! by...เฟื่อง "
สุขคราญผ่านฟลอร์เฟื่องฟ้า
ร้อนแรงลีลาที่ล้าแลเร่ง ปลื้มดื่มด่ำตามเสียงเพลง สนุกกันครื้นเครง เพราะรสประเลงสุขจายยยย
" ผมร้องเพลง 'ฟลอร์เฟื่องฟ้า' ที่คุณตาสำรวย
ข้าราชการบำนาญข้างบ้านแกเปิดฟังจนลั่น พร้อมขยับแข้งขยับขาตามไปด้วยทั้ง
ๆ ที่กำลังนอนอาบแดดอยู่ริมสระว่ายน้ำส่วนตัว อันที่จริงก็นับว่าเป็นโชคดีของคุณตาแก
ที่ช่วงตอนกลางวันละแวกบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนี้จะไม่มีคนอยู่ จะมีแต่ผมที่รักเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจเท่านั้นที่จะขึ้นมานอนเล่นเวลาอากาศดี
ๆ ดังนั้นแกจะเร่งเสียงจนดังแค่ไหนผมก็ไม่ขัดศรัทธาหรอก ผมหยุดร้องเพลงพลางหรี่ตามองอาทิตย์สีขาวจ้าบนท้องฟ้า
แหม
แดดมันแรงดีจริงวุ้ย! หน้าร้อนก็งี้แหละนะ ผมเลยต้องขึ้นมาอาบแดดเสียหน่อยทั้ง
ๆ ที่ไม่มีซันบ้งซันบล็อคทากับเขาหรอก ทาไปก็เปล่าประโยชน์เพราะผิวผมมันสวยเลิศเลออยู่แล้วนี่ น้องโบ้ทนี่เป็นคนดูแลผมเองครับ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดน่ารักน่าชังเชียว
ตาตี่ ๆ ผิวขาว ๆ ปากแดง ๆ ถึงหุ่นจะเป็นบักควายไปนิดก็เถอะ แหม
ก็น้องเขาเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลประจำโรงเรียนนี่ครับ(ถึงจะไม่เคยแข่งชนะโรงเรียนไหนเลยก็เถอะ)
ตัวก็ต้องสูงเกินร้อยแปดสิบเซนต์เป็นธรรมดา อันที่จริงช่วงปิดเทอมหน้าร้อนนี่น้องโบ้ทก็จะอยู่เป็นเพื่อนผมทุกวันล่ะนะถ้าเขาไม่ได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อน
แต่ปิดเทอมครั้งนี้มันค่อนข้างต่างออกไปหน่อย เพราะน้องเขาเพิ่งเอนท์ติดมหา'ลัยชื่อดังได้
ช่วงนี้ก็เลยต้องวิ่งวุ่นยื่นเอกสารต่าง ๆ เป็นธรรมดา ถึงจะไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนผมโดยตรงก็ตามที
แต่ไม่มีน้องโบ้ทอยู่บ้านนี่มันก็เหงาเหมือนกันวุ้ย ผมคิดพลางเคี้ยวอาหารอย่างแกน ๆ ด้วยความเหงาบวกความเบื่อ
จะไม่ให้เบื่อได้ยังไงล่ะครับ ก็ผมกินไอ้ผักบุ้งแบบนี้มาติดกันทั้งอาทิตย์แล้วนะคู้ณ สายลมบางเบาพัดมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเปลี่ยนทิศทาง
จึงทำให้ผมได้กลิ่นหอมอะไรบางอย่างที่ลมหอบมาด้วย ผมปีนขึ้นจากบ่อไปอยู่บนแผ่นไม้กระดานที่น้องโบ้ทวางพาดเอาไว้พร้อมกับหาพวกไม้เล็ก
ๆ อย่างเฟิร์นมาปลูกเพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผม อ๋อ! ผมร้องออกมาดัง ๆ แล้วแทบอยากจะพลิกตัวนอนหงายให้แดดเผาตาย
นี่นอกจากจะต้วมเตี้ยมแล้ว ความจำของผมยังแย่ขนาดนี้เชียวรึ!? ไอ้กลิ่นนี้น่ะมันเป็นกลิ่นหญ้ากระตุกหนวดแมว(ชื่อพิลึก!)ที่นายเรืองวิทย์หามาปลูกไว้ข้างบ้าน(ซึ่งก็ติดอยู่กับสระส่วนตัวของผมนี่แหละ)เมื่อสามวันก่อน
ได้ยินมาว่าไอ้หญ้าบ้าบอนี่มันหาพันธุ์ยากอยู่นะคุณ เพราะฉะนั้นกว่านายเรืองวิทย์จะหามันมาได้ต้องเสียทั้งเวลาทั้งเงินทองไปมากโข ผมเริ่มยืดคออย่างสุดความสามารถแล้วมองไปทางช่องหน้าต่างของบ้านนายเรืองวิทย์
เห็นคุณตาสำรวยกำลังเต้นรำคนเดียวตามจังหวะเพลงอย่างอารมณ์ดี ฮึบ! (เสียงผมหดคอกลับมา)
คราวนี้ผมเริ่มมองซ้ายแลขวา เหลียวหน้าและระวังหลัง(เฮ้ย!) เมื่อเห็นว่าปลอดคนดีแล้วผมจึงค่อย
ๆ พาร่างตัวเองตะกายลงจากสระสวรรค์ รั้วที่กั้นบ้านของเรากับเพื่อนบ้านไว้เป็นรั้วไม้เตี้ย
ๆ ประมาณหนึ่งเมตร แต่แหม
ถึงจะเตี้ยอย่างนั้นคุณก็อย่ามองโลกในแง่ดีว่าผมจะปีนพ้นได้น่ะครับ
ผมน่ะ
ตัวเตี้ยแม่กแค่ก สอยมะเขือกินอย่างที่เขาว่าประชดกันยังทำไม่ได้เลย
จึงได้แต่ยอมทนให้ท้องขาว ๆ คลุกดินคลุกทราย ลอดมันไปด้านล่างนี่แหละครับ
เนื่องจากรั้วเป็นรั้วโปร่งแบบระแนงไม้
ผมจึงลอดไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ก็กินเวลาเอาการเพราะหลังผมดันไปติดไม้เสียได้
กว่าจะข้ามมายังบ้านนายเรืองวิทย์ พลังงานจากผักบุ้งที่สะสมเอาไว้ในกระเพาะน้อย
ๆ ก็ถูกดึงเอาไปใช้เสียหมดแล้ว ผมจึงรู้สึกหิวเต็มขั้น พยายามมองม้องมอง
มองหาหญ้ากระตุกหนวดแมวเจ้าของกลิ่นยั่วน้ำลาย แต่แล้วก็แทบช็อค
มันอยู่ในกระถางดิน! ไม่ได้ปลูกลงดินเหมือนต้นไม้อื่น
ๆ ซึ่งหมายความว่าผมต้องปีนขึ้นไปถึงจะได้กิน แถมไอ้กระถางดินนั่นน่ะสูงตั้งเกือบยี่สิบเซนต์ฯ แล้วในที่สุด
ผมก็มาถึงจนได้ อา
หญ้ากระตุกหนวดแมวหอมหวานอยู่ตรงหน้าแล้ว
ผมใช้เวลาปาดเหงื่อสามวินาที ก่อนจะส่งใบหญ้าหน้าตาประหลาดเข้าปากทีละกระเบียด
ทีละกระเบียด
ด้วยความต้องการที่จะละเลียดกับรสชาติของมันให้ได้นานที่สุด อืม
หอมหวาน
กรอบสด อร่อยกว่าผักบุ้งเป็นไหน ๆ ผมเรอออกมายาวเหยียดหลังจากอิ่มท้อง
คิดจะนอนพักบนกระถางนี้สักครู่ แต่แสงแดดแผดเผากับผิวที่เริ่มแห้งของผมหยุดความคิดนั้นไว้ได้ชะงัด
ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือกลับไปนอนเล่นก้นสระเสีย ก่อนที่จะกลายเป็นเต่าย่างไปเสียก่อน อ๊ะ! ผมบอกคุณ ๆ แล้วหรือยังครับว่าผมเป็นเต่า?
ถ้ายังก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะ อ้อ
แล้วรู้ไว้อีกอย่าง ผมน่ะ เป็นเต่าที่หล่อที่สุดในโลกเลย +++++++ ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำกระเด็นมาในสระสวรรค์ของตัวเอง
พอลืมตาไล่ความง่วงออกไปได้สำเร็จ ก็ว่ายขึ้นมาชูคอเหนือผิวน้ำจนสัมผัสได้ถึงฝอยน้ำเย็น
ๆ ที่มาจากที่ไหนสักแห่ง มองไปมองมาก็เห็นนายเรืองวิทย์กำลังใช้สายยางรดน้ำต้นไม้อยู่
แหม
พอเห็นหน้านายเรืองวิทย์ท้องมันก็เริ่มหิวแล้วแฮะ คิดได้ดังนั้นผมจึงหามุมสบาย
ๆ ด้วยการปีนขึ้นมานอนบนไม้กระดาน แล้วค่อย ๆ เล็มกินหญ้ากระตุกหนวดแมวที่คาบติดปากกลับมาด้วยความสุขใจ เสียงประตูรั้วหน้าบ้านเปิดทำให้ผมหันไปดู
อย่างที่บอกนะครับ รั้วบ้านผมเป็นแค่ระแนงไม้เตี้ยกว่าเอว(เอวน้องโบ้ทนะ
ไม่ใช้เอวผม) ดังนั้นจึงไม่ต้องมีกุญแจล็อคให้มากเรื่อง แค่หาตะขอมาเกี่ยวประตูไว้กับตัวรั้วเพื่อกันหมาจรจัดเข้ามาเป็นใช้ได้
ดังนั้นพอผมหันหน้าเขียว ๆ ของตัวเองไปปุ๊บ ก็เจอกับใบหน้าขาว ๆ ของน้องโบ้ทปั๊บ เพราะสายตาของเขากำลังจับจ้องไปที่นายเรืองวิทย์ซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม่อยู่อย่างไม่คิดจะชายตามาทางน้องโบ้ทแม้แต่น้อย
แหม
ก็น้องโบ้ทไปกวนเขาอยู่ตลอดเวลานี่ครับ หมอนั่นเลยดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าน้องเขาสักเท่าไหร่
แต่ก็ไม่เคยเห็นรำคาญจนเดินหนีสักครั้งนะ บางทียังอยู่ต่อปากต่อคำด้วยเลย "กำลัง 'วิด' น้ำออกมาจากลำประโดงอยู่เหรอครับพี่?"
หมาที่น้องโบ้ทเลี้ยงไว้ในปากเริ่มออกลายทันที ในขณะที่ใบหน้าขาวสะอาดของเจ้าตัวยิ้มระรื่นระเริงอย่างสบายอารมณ์ ด้วยความที่ชื่อเล่นของนายเรืองวิทย์คือ 'วิทย์' น้องโบ้ทก็เลยหาคำพ้องเสียงมาแซวอีกฝ่ายเล่นสนุกปาก เท่าที่ผมรู้มา ค รอบครัวนายเรืองวิทย์เพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อสามปีที่แล้ว (ถึงไม่ต้องบอกคุณก็คงพอจะเดากันได้ใช่มะ ว่าตอนนั้นผมยังไม่เกิดหรอก) แรก ๆ นายเรืองวิทย์ก็คงจะนึกเอ็นดูน้องโบ้ทซึ่งตอนนั้นตัวยังไม่ควายมากนักอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นฝีปากพระเดชพระคุณที่เล่นแบบไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่แล้ว
ก็ต้องเปลี่ยนความคิด (นายเรืองวิทย์แก่กว่าน้องโบ้ทห้าปี) ผมค่อย ๆ เอี้ยวคอไปดูสีหน้านายเรืองวิทย์
ที่จริงก็ไม่ได้
'ค่อย ๆ' หรอกครับ ผมก็เอี้ยวตามปกติ แต่มันอยากช้าเองก็ช่วยไม่ได้
เห็นหมอนั่นทำหน้าตาเฉยเมยขณะฉีดน้ำให้ต้นพลับพลึงริมรั้ว
แต่ยังไม่วายกัดฟันพูดกับตัวเองเบา ๆ "ไอ้เด็กปากเปราะ" ดูเหมือนจะไม่ใช่แต่ผมคน(ตัว)เดียวที่หูดี เพราะน้องโบ้ทก็ยังได้ยินด้วยถึงได้เดินระริกระรี้เอาหน้าทะเล้น ๆ ของตัวเองข้ามรั้วไปยังเขตเพื่อนบ้าน "เมื่อกี้พี่ชมอะไรผมนะ?" อีกฝ่ายไม่ตอบ แถมยังคงรดน้ำต้นไม้ต่อไปราวกับไอ้น้องบักควายของผมมันไม่มีตัวตน น้องโบ้ทวางถุงพลาสติกที่หิ้วมาด้วยลงกับพื้น ก่อนจะเอาข้อศอกเท้ารั้วแล้วจ้องหน้านายเรืองวิทย์ตาไม่กระพริบอยู่นาน นานมาก นานมาก ๆ ช่วงระยะเวลาอันยาวนานนี้เอง ใบหน้าของน้องโบ้ทไม่ได้ปรากฏรอยยิ้มทะเล้นเหมือนอย่างเวลาปกติ
แต่เป็นยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากซึ่งผมก็เคยเห็นบ่อยเวลาน้องโบ้ทมองหน้านายเรืองวิทย์
จนผมอดสงสัยขึ้นมาตะหงิด ๆ ไม่ได้ว่าหน้านายเรืองวิทย์มันมีอะไรดีหนักหนา
ดูแล้วเรียกน้ำย่อยได้ดี ทำให้เจริญอาหารหรือไงกัน? แต่อยู่ ๆ เสียงห้าวแหบแบบหมีควายก็ดังขึ้นมา
"วิด วิด วิดเอ้าวิด เอ้าวิดเอ้าวิด วิดเอ้าวิดเอ้าวิดเอ้าวิด" เจ้าของชื่อเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหนึ่งเพชรฆาตแว่บหนึ่ง
ก่อนจะหมุนหัวสายยางเพื่อเปลี่ยนน้ำให้เป็นละอองฝอย แล้วเดินไปหากระถางต้นหญ้ากระตุกหนวดแมว
ก็เมนูใหม่สุดโปรดของผมนั่นแหละ "เฮ้ย!!!" นายเรืองวิทย์ร้องออกมาพร้อมกระโดดโหยงเหมือนถูกเข็มจิ้มก้น น้องโบ้ทก็หน้าตาตื่นไม่แพ้กัน แถมทำท่าจะปีนรั้วไปหาอีกฝ่าย
"เป็นอะไรครับพี่?" "ต้นไม้ช้านนน!" พูดพลางก็ชี้นิ้วสั่นระริกไปยังกระถางต้นหญ้ากระตุกหนวดแมวซึ่งบัดนี้ใบอันเรียวยาวของมันแหว่งไปบ้าง ขาดออกไปจากลำต้นบ้าง อันเป็นผลมาจากการกัดกินและการขโมยกลับมาเป็นเสบียงที่บ้านของผมนั่นเอง "มีอะไรลูก? วิทย์" เสียงคุณตาสำรวยดังขึ้น
พร้อม ๆ กับที่แกถลันออกมาหน้าบ้าน คงเพราะกลัวว่าหลานชายจะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงอะไรนั่นเอง "ต้นไม่อะไรครับพี่?" น้องโบ้ทถามด้วยน้ำเสียงพร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่
แต่คนถูกถามกลับไม่สนใจสักนิด แล้วหันไปทางคุณตาสำรวยแทน "ตา!" เสียงหมอนั่นห้วนสั้นเพราะอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
"มีหมา แมว หรือกระต่ายที่ไหนหลงเข้ามาในบ้านรึเปล่า?" "จะมีได้ยังไง รั้วก็ปิดอยู่ตลอด"
คุณตาพูดอย่างครุ่นคิด นายเรืองวิทย์ทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ
พร้อมเดินพล่านเป็นเสือติดจั่น "แล้วไอ้ตัวอ่าเอี้ยอะไรมันเข้ามากินใบไม้วิทย์เนี่ย!" คุณตาสำรวยตั้งข้อสังเกต "นกรึเปล่า?" "นกบ้าอะไรใฝ่ต่ำจะกินหญ้ากระตุกหนวดแมว!"
หมอนั่นสวนกลับทันควัน ดูเหมือนน้องโบ้ทจะมีลางสังหรณ์หรือพลังจิตวิเศษอะไรสักอย่างแว่บขึ้นมาในวินาทีนั้น
ถึงได้เหล่มองสระน้ำแสนสุขของผมซึ่งผมก็ส่งสายตาที่ดูแข็งเย็นของตัวเองมองตอบพร้อมกระพริบตาปะปริบ
ปะปริบ
เป็นการสารภาพผิดกลาย
ๆ ประมาณว่า น้องโบ้ทจ๋า พี่วิลลี่ผิดไปแล้วจ้ะ เรียวใบยาวสีแดงของหญ้ากระตุกหนวดแมวซึ่งตัดกันจนเป็นที่สังเกตได้ชัดกับปล้องผักบุ้งที่ลอยอยู่เป็นแพทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงพยายามเบิ่งตาตี่
ๆ ของตัวเองให้โตขึ้นมาได้ตั้งเท่าเม็ดก๋วยจี๊แน่Ðáละใช้จังหวะที่นายเรืองวิทย์กับคุณตากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดหาต้นตอที่ทำให้ต้นหญ้ากระตุกหนวดแมวมีสภาพเป็นเช่นนั้นอยู่นั่นเอง
ค่อย ๆ กระดืบ
กระดืบตัวมาที่สระปูนของผม ก่อนจะค่อย ๆ ก้มตัวทีละน้อย ๆ
อีก เพื่อใช้ปลายนิ้วเกี่ยวใบหญ้าสีแดงออกไปก่อนที่ผู้เสียหายจะเห็น "เฮ้ย!!!" หมอนั่นร้องลั่นอีกครั้ง
คราวนี้ด้วยน้ำเสียงเหมือนหมาขี้เรื้อนชนิดเปียกถูกน้ำหน่อไม้ดองราด คุณตาหันขวับมาตามปลายนิ้วหลานชาย
ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี "แหม่! ที่แท้ก็ไอ้จ่อยนี่เอง มันคงจะมุดรั้วมาเดินเล่น
เห็นแล้วก็กินเสียหน่อย จะได้ไม่เสียเที่ยว ใช่มั้ยวะ? ไอ้จ่อย" "ไอ้เต่าเวร!" นายเรืองวิทย์คำรามพร้อมสบตาผมแบบจะกินเลือดกินเนื้อ
"ต้นไม้กูต้นละเกือบห้าพันเชียวนะมึง!" โอย
หยาบคายเกินที่จะทนฟังได้ เพราะฉะนั้นผู้ดีอย่างวิลลี่ขอหลบไปอยู่ใต้น้ำก่อนดีกว่า แหะ ๆ อันที่จริงผมก็กลัวจะโดนนายเรืองวิทย์เหยียบกระดองแตกเหมือนกันแหละครับ
เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงก้นบ่อแล้วก็เลยรีบหดหัวไว้ในกระดอง แต่ยังเงี่ยหูฟังอยู่นะ "ขอโทษครับพี่ แต่ปกติจ่อยมันไม่เคยเป็นอย่างนี้นะ
ผมจะใช้เงินค่าต้นไม้ให้ก็ได้ครับ" เสียงอ่อย ๆ แบบสำนึกผิดเต็มที่ของน้องโบ้ทดังแว่ว
ๆ จนผมนึกภาพออกได้เลยว่าป่านนี้ใบหน้าขาว ๆ นั่นจะแสดงอารมณ์แบบไหนอยู่ นายเรืองวิทย์เงียบเสียงไม่ยักกะโต้ตอบเหมือนอย่างที่ผมคาดเอาไว้
สงสัยหมอนั่นคงกำลังคิดสารตะอยู่ว่าถ้าจะให้เด็กที่เพิ่งเข้ามหา'ลัยอย่างน้องโบ้ทออกเงินใช้ให้ตั้งห้าพันคงจะเสียหมา
เอ๊ย!
เสียผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อย "เอาน่าวิทย์น่า
" เสียงคุณตาสำรวยดังขึ้นมาในความเงียบ
"อย่าไปโกรธไอ้จ่อยมันเลย มันเป็นแค่เต่า จะไปรู้ได้ยังไงว่าต้นไหนแพงไม่แพง" "ขอบคุณมากครับคุณตา" น้องโบ้ทพูดอย่างนอบน้อมเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมโผล่หัวออกมาทันเห็นอีกฝ่ายยกกระพุ่มมือไหว้ผู้สูงวัย ผมเอี้ยวคอไปมองนายเรืองวิทย์ที่ยืนทำตาขวาง
ฮึดฮัดจ้องหน้าน้องโบ้ทอยู่พักใหญ่(ดีจังที่มันดูเหมือนจะลืมแล้วว่าผมเป็นคนขโมยหญ้ากิน
ไม่ใช่น้องโบ้ท) ก่อนจะยกกระถางต้นหญ้าไปวางไว้อีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นลานลาดปูนเอาไว้ให้จอดรถ
แล้วเดินกระแทกเท้าเข้าบ้านไป คุณตามองผมแล้วหัวเราะขำ ๆ ก่อนจะมองหน้าน้องโบ้ท
"โบ้ทดูไอ้จ่อยไว้ให้ดีหน่อยแล้วกัน อย่าให้ไปกัดต้นไม้วิทย์มันอีก
มันรักของมัน เดี๋ยวจะพาลโกรธขโมยไอ้จ่อยไปทุบกระดองผัดเผ็ดเต่าเอาเสียเปล่า
ๆ" ถึงแม้น้ำเสียงที่ผู้สูงวัยใช้จะเจือความขบขันเต็มที่
แต่ผมก็ยังอดสยิวไปทั้งตัวจนต้องรีบหดหัวกลับเข้าไปในกระดองไม้ได้เมื่อนึกสภาพตัวเองกลายเป็นผัดเผ็ดเต่าในจานกับแกล้มเหล้าของนายเรืองวิทย์
ซึ่งคงจะกินเนื้อผมอย่างเมามันในอารมณ์มากกว่ากับแกล้มอย่างอื่น ++++++ สายวันต่อมา ขณะที่ผมกำลังยืดแข้งยืดขาแช่น้ำอุ่น
ๆ จากแสงแดดอยู่ใต้ก้นบ่อนั้น พลันรู้สึกเหมือนถูกเคาะกระดองเบา ๆ พอจะหันไปมองก็มีนิ้วโป้งอันแสนจะคุ้นเคยคลึงหัวผมไปมาเหมือนลูบหัวหมาก็ไม่ปาน
น้องโบ้ทนี่เอง
"ไอ้จ่อย เมื่อวานเกือบทำเสียเรื่องแล้วนะเอ็ง
กัดต้นอะไรไม่กัด เสือกไปกัดหญ้ากระตุกหนวดแมวสุดที่รักของพี่วิทย์เขา" ผมเบือนหน้าหนีกลับมาแล้วหดหัวกลับไปอยู่ในกระดองด้วยความเซ็ง เมื่อวานผมฟังประโยคนี้มาเกือบยี่สิบรอบแล้วนะ เฮ้อ~ ไม่รู้น้องโบ้ทจะกลัวนายเรืองวิทย์โกรธอะไรหนักหนา ข้าวก็ไม่ได้ไปขอมันกินเสียหน่อย
หมอนั่นก็เหลือเกิน เย็นวานที่ออกมายกกระถางหญ้ากระตุกหนวดแมวหนีไปอีกทางนั้น
น้องโบ้ทก็ขอโทษแล้วขอโทษอีก ไอ้บ้านั่นยังไม่ยอมมองหน้าน้องเขาเลยด้วยซ้ำ ผมทำหน้าตาตื่นอยู่ในกระดองเมื่อรู้สึกเหมือนถูกยกตัวลอยขึ้น แต่แล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อโผล่หน้าออกมาพบกับอุปกรณ์ล้างสระพร้อมสรรพ น้องโบ้ทพาผมไปอยู่ในถังพลาสติกชั่วคราว
พร้อมกับโยนผักบุ้งสองสามสายมาให้ โถ
น้องโบ้ทช่างไม่เห็นใจพี่วิลลี่บ้าง
ว่าพี่เบื่อผักบุ้งแค่ไหน แต่ผมก็จำใจต้องแค่นกินยอดผักบุ้งฆ่าเวลาระหว่างที่รอให้คนใช้ เอ๊ย น้องโบ้ท! ทำความสะอาดคฤหาสน์สุดหรูให้ เมื่อเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มเจ้าของร่างบึกบึนก็หันมาจัดการกับผมต่อ
ด้วยการใช้แปรงขนนุ่มขัดกระดองที่เริ่มมีตระไคร่ขึ้นเขียวของผมเบา ๆ อา
อย่างนั้น
ซ้ายนิด ๆ ใช่เลย
เสียงรถแล่นเข้ามายังรั้วข้างบ้านดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมถูกปล่อยตัวลงในบ่ออีกครั้ง ที่จริงผมก็อยากจะยื่นคอไปดูเหมือนกันนะว่าเจ้าของรถคือใคร แต่พอดีต้องหดหัวอยู่ในกระดองก่อนเพื่อรอให้ร่างกายปรับตัวกับน้ำใหม่ได้ "พี่วิทย์" เสียงน้องโบ้ทดังขึ้นอย่างลิงโลด
คราวนี้ผมไม่ต้องดูก็รู้ว่ารถคันที่ว่าคือรถกระบะของนายเรืองวิทย์นั่นเอง เสียงน้องโบ้ทดังต่อไปอีก "จะทำอะไรน่ะครับพี่
กระถางใหญ่ขนาดนั้น ผมช่วยดีกว่า" ผมค่อย ๆ โผล่หัวเหยียดแข้งเหยียดขาออกมาเมื่อเริ่มจะปรับตัวได้
ก็เลยปีนขึ้นไปสังเกตการณ์อยู่บนแผ่นไม้กระดาน เป็นจังหวะเดียวกับที่น้องโบ้ทกระโดดข้ามรั้วไม้เตี้ย
ๆ ไปอยู่บนเขตที่ดินของเพื่อนบ้านที่ยืนมองตาเขียวปั้ด "ผมช่วยดีกว่านะครับ กระถางมันใหญ่" อีกฝ่ายตอบเสียงห้วน สงสัยยังโกรธไม่หาย
"ไปไหนก็ไปเลยไป ไม่ต้องมายุ่ง!" แต่น้องโบ้ทที่แสนจะมีน้ำใจของผมกลับไม่ฟังคำผลักไสไล่ส่งนั้นแม้แต่น้อย
แถมยังกุลีกุจอเข้าไปแย่งกระถางขนาดมหึมาออกมาจากท้ายรถนายเรืองวิทย์จนได้
ตบท้ายด้วยการโชว์พาวแบกกระถางนั้นไว้บนบ่าพร้อมรอยยิ้มสดใส อันที่จริงนายเรืองวิทย์ก็ไม่ใช่คนเตี้ยหรือคนตัวเล็กอะไรเลยนะ
แต่พอมายืนเทียบกันแล้วไซส์น้องโบ้ทกินขาดเลยอ่ะ "จะให้วางตรงไหนครับพี่?" ผมเห็นฝ่ายตรงข้ามทำหน้าง้ำเหมือนม้าหมากรุกอยู่ชั่วอึดใจก็ชี้ไปยังจุดเดิมที่เคยวางกระถางหญ้ากระตุกหนวดแมว
สงสัยคงจะนึกสงสารหรือเกรงใจน้องโบ้ทที่ช่วยแบกกระถางให้ล่ะมั้ง "อ๋อ
" น้องโบ้ทลากเสียงยาวหลังจากวางกระถางยักษ์นั่นลงบนพื้น
"พี่จะเปลี่ยนกระถางให้สูง ๆ ไอ้จ่อยจะได้ปีนไม่ได้งั้นสิ" ผมยืดคอขึ้นมอง แหม
ท่าทางจะปีนไม่ได้เสียด้วยสิ
นอกจากจะสวมตีนตุ๊กแกเท่านั้นแหละ ก็ไอ้กระถางใหม่นี่สูงเสียตั้งครึ่งเมตร นายเรืองวิทย์ตอบเสียงห้วน "เออ
เสร็จแล้วก็กลับบ้านไปได้แล้ว" หนอย
คนหนอคน มารยาททรามซะ จะขอบใจสักคำเป็นไม่มี แต่น้องโบ้ทก็ยังทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน แถมยังหน้าระรื่นนั่งยอง ๆ มองฝ่ายเจ้าของบ้านที่หยิบเสียมด้ามเล็กมาเตรียมขุดต้นหญ้ากระตุกหนวดแมวแสนอร่อยมาไว้ในกระถางใหม่ ผมล่ะไม่เข้าใจจริงจิ๊ง ว่าน้องโบ้ททำไมถึงมีท่าทางใจดีกับนายนี่นัก ตอนแรก ๆ ที่ครอบครัวของนายเรืองวิทย์ย้ายมาน้องโบ้ทก็ยังไม่เป็นขนาดนี้ ต่อมาก็เห็นเริ่มแอบชะเง้อคอมองนายเรืองวิทย์และหาเรื่องคุยด้วยอยู่เป็นประจำ
แม้จะชอบทำปากเปราะไปหน่อยก็เหอะ "'วิด'มันขึ้นมาหน่อยสิครับพี่
'วิด' หน่อย" นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ ต่อมกวนประสาทของน้องโบ้ทก็ทำงานทันทีเมื่อเห็นนายเรืองวิทย์ดึงต้นหญ้าออกจากกระถางเก่าอย่างทุลักทุเลพอสมควร
สงสัยจะเป็นเพราะรากมันชอนกระถางแน่นนั่นแหละ เจ้าตัวหันมามองตาขุ่นพร้อมขมุบขมิบปากด่าอะไรงึมงำ
อันที่จริงนายเรืองวิทย์ก็น่าจะชินกับฝีปากน้องโบ้ทได้แล้วนะ เพราะเจออย่างนี้เกือบทุกวัน
จนบางทีผมคิดว่าบางทีหมออาจจะเหงาก็ได้ถ้าน้องโบ้ทเกิดไม่อยู่แบบปุบปับขึ้นมา ในที่สุดเพื่อนบ้านของเราก็งัดต้นหญ้าออกจากกระถางเก่าและเอามาใส่ไว้ในกระถางใหม่ได้สำเร็จ
เหลือแต่เปลี่ยนดินใส่ปุ๋ยเท่านั้น ผมเห็นว่าไม่มีอะไรน่าดูแล้วก็เลยเตรียมจะไถลตัวลงไปนอนเล่นใต้สระ
แต่นายเรืองวิทย์ก็เดินเข้ามาจนใกล้รั้วแล้วโยนอะไรบางอย่างลงมาในบ้านของผมเสียก่อน อ๋า!!! หญ้ากระตุกหนวดแมวของโปรดของผมนั่นเอง
เนื่องจากการเปลี่ยนย้ายกระถางเมื่อครู่คงจะทำให้ใบมันขาดมาบ้างล่ะมั้ง นายเรืองวิทย์ก็เลยคิดว่าโยนให้เป็นลาภปากเต่าดีกว่าอยู่เปล่า
ๆ พอกำลังจะเงยหน้าขึ้นไปส่งสายตาขอบคุณเท่านั้นแหละ
หมอนั่นก็คำรามขึ้นมาทันที "กินไปให้หายอยากนะมึง ไอ้เต่าเวร ทีนี้ก็จะไม่ได้กินแล้ว" เอาเถอะ คราวนี้จะหยาบคายแค่ไหนสุดหล่อวิลลี่ก็ให้อภัยด้ายยย
แหม
อุตส่าห์มีแก่ใจโยนของโปรดมาให้นิ "พี่วิทย์ใจดีจังคร้าบ"
น้องโบ้ททำเสียงเหมือนมอดตอดไม้ แถมลูกตาก็ดูเยิ้ม ๆ ยังไงชอบกล ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบอะไร ได้แต่ลากถุงดินมาดึงด้ายปากถุงออก
ในขณะที่น้องโบ้ททำเหลือบตาไปมาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มต้นแขนที่ไม่ค่อยจะมีกล้ามของอีกฝ่าย จึ้ก จึ้ก
จึ้ก จึ้ก "พี่วิทย์มีแฟนรึยังอ่ะ?" นายเรืองวิทย์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตวัดตามองคนถามพร้อมกล่าวเสียงเรียบเหมือนจะเรียกความน่าเชื่อถือ
"มีไม่มีแล้วเกี่ยวอะไรกับเด็กอย่างเราด้วย" เด็กหนุ่มเจ้าของร่างล่ำสันทำหน้าอึดอัดพลางเสมองต้นไม้ใบหญ้าอยู่พักใหญ่
เอ๊
วันนี้อากาศมันก็ไม่ได้ร้อนมากนะ แต่ทำไมน้องโบ้ทหน้าแดงจัง ด้วยความเป็นห่วง ผมจึงยอมสละเวลาละเลียดกับอาหารมื้อโปรดปีนกระดานขึ้นมายืดคอสังเกตการณ์
เผื่อน้องโบ้ทเกิดเป็นลมเป็นแล้วขึ้นมาจะได้ช่วยทัน(ส่งจิตช่วยนะ) นายเรืองวิทย์เองก็เหล่มองปฏิกิริยาของน้องโบ้ทอยู่พักใหญ่
ก่อนจะถอนหายใจ แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น "จะพูดอะไรก็พูดมา ไม่พูดก็กลับบ้านไป" อืม บรรยากาศรอบ ๆ ตัวมนุษย์ทั้งสองวันนี้ดูแปลก
ๆ อยู่นะ ปกติน้องโบ้ทจะทำทะลึ่งทะเล้นใส่ในเรืองวิทย์ ในขณะที่อีกฝ่ายจะขยับปากด่างึมงำ
แต่ทำไมวันนี้ทั้งสองคนดูเหมือนอึดอัดกึ่งเขินก็ม่ายรุ นั่งนิ่ง ๆ ไปได้สักอึดใจใหญ่ ๆ ของหนุมาน
น้องโบ้ทก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินคอตก ปีนรั้วกลับเข้าบ้าน ทิ้งให้นายเรืองวิทย์มองตามด้วยสายตาแปลก
ๆ ที่เต่าอย่างผมคงจะต้องเก็บไปคิดอยู่นานถึงจะเข้าใจ +++++ พอถึงวันรุ่งขึ้น น้องโบ้ทต้องไปเข้าค่ายรับน้องถึงสามวัน
เล่นเอาผมเหงาหงอยไปทีเดียวเหมือนกัน โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ยังไม่ลืมว่ามีลูกชายอีกคน
ถึงได้เอื้อเฝื้อเอาอาหารเม็ดมาโปรยให้ผมบ้าง ตกเย็นวันที่สองสำหรับการเข้าค่ายรับน้องของน้องโบ้ท
นายเรืองวิทย์ขับรถกลับจากที่ทำงานขณะที่คุณแม่กำลังดูแลให้อาหารผมอยู่ หมอนั่นไหว้คุณแม่ตามมารยาทแล้วถามออกมาหลังจากที่อ้ำ
ๆ อึ้ง ๆ ไปชั่วครู่ "สองวันมานี่ไม่เห็นโบ้ทเลยนะครับคุณน้า" "อ๋อ โบ้ทเขาไปเข้าค่ายรับน้องจ้ะ
เย็นพรุ่งนี้คงกลับมาแล้วล่ะ" คุณแม่ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะขอตัวเข้าไปเตรียมอาหารเย็นในบ้าน นายเรืองวิทย์ถอนหายใจเบา ๆ ด้วยสีหน้าเดียวกันกับน้องโบ้ทตอนสะพายเป้ออกจากบ้านไป (แต่กว่าจะออกได้ก็ยืนมองหน้าบ้านนายเรืองวิทย์อยู่ตั้งนาน ไม่รู้จะมองหาอะไร) ไม่รู้นึกยังไงขึ้นมา อยู่ ๆ หมอนั่นก็เอาแขนเท้าระแนงรั้วยืนจ้องหน้าคู่ปรับเก่า(ผมนั่นเอง) หะแรก ผมก็เตรียมหันซ้ายหันขวาหาทางหนีทีไล่ด้วยตัวเอง เผื่อนายเรืองวิทย์นึกอยากจะกินเต่าผัดเผ็ดขึ้นมา เพราะผมจะร้องแร่แห่กระเชอให้ใครช่วยไม่ได้อยู่แล้ว แต่แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ย้ำความคิดสยองกับผมสักเท่าไหร่
หมอนั่นเพียงแต่จ้องดวงตาที่แข็งและเยียบเย็นของผมเขม็ง ก่อนจะคำรามลอดไรฟันออกมา "แม่ง
นึกว่าจะหลบหน้า" ผมฟังประโยคนั้นแล้วได้แต่กระพริบตาปะปริบ
ปะปริบ
อย่างไม่เข้าใจ ผมน่ะไม่คิดแค่หลบหน้าหรอก แต่คิดจะหนีเลยด้วยซ้ำ แล้วนายเรืองวิทย์มันเอาที่ไหนมาพูดวะ
เอ๊ย! ครับ +++++++ วันถัดมาผมยิ่งเหงาหงอยเศร้าสร้อยมากกว่าเดิม
โดยเฉพาะตอนเย็นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปงานศพคนรู้จักหรืออะไรสักอย่าง ผมจึงต้องเคว้งคว้างเปล่าเปลี่ยวเอกา
ขณะต้องทำตั้งสองหน้าที่ คือเป็นวิลลี่เต่าสุดหล่อ กับเป็นหมาเฝ้าบ้านไปพร้อมสรรพ(ทำไมพระเจ้าไม่ทรงทำให้ผมเห่าได้นะ?) เฮ้อ~ สงสัยพอน้องโบ้ทกลับมาผมคงต้องบอก(ด้วยสายตา)ให้หาเจ้าสาวมาให้ผมสักคนแล้วมั้ง
เอาแบบอวบขาว หรือผอมเพรียวดีล่ะนี่
กำลังคิดถึงว่าที่ภรรยาสุดที่รักอยู่เพลิน
ๆ ก็รู้สึกว่ามีเสียงอะไรดังแว่ว ๆ อยู่หน้าบ้าน ด้วยความที่ผมซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ตัวเอง(เป็นหมาเฝ้าบ้าน)เป็นอย่างดี
จึงได้รีบปีนขึ้นมาบนแผ่นกระดานเผื่อจะได้หาช่องทางป้องกันได้ทัน(มั้งนะ)
แต่แล้วก็พบว่าเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ดังขึ้นหน้าบ้านเกิดจากเด็กทะโมนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งผมเคยเห็นพวกนี้ชอบมายืนมองผมตรงหน้ารั้วบ่อย ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
ก็อย่างนี้แหละครับ คนของประชาชน ใคร ๆ ก็ต้องอยากเห็นอยากรู้จักเป็นธรรมดา "เฮ้ย นี่ไง ๆ โห
ตัวมันใหญ่กว่าตอนที่ข้าเห็นเมื่อเดือนก่อนอีกนะโว้ย"
ไอ้เด็กหัวเกรียนแบบนักเรียนรัฐบาลคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อีกคนที่อ้วนกว่ามีสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย
"เอายังไงดีวะ?" "เข้าไปตอนนี้เลย เมื่อกี้ข้าเห็นเจ้าของบ้านเพิ่งขับรถออกไปเอง"
ไอ้เด็กที่ดูจะมีอายุมากที่สุดพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ก่อนจะเร่ง "เฮ้ย!
เร็วดิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า" ใครคนหนึ่งเอื้อมมือมาเกี่ยวตะขอประตูรั้วออก
ทำให้ผมยืดคอออกมาเต็มที่ อันที่จริงผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ดูน่ากลัวน่าเกรงขามอะไรหรอก
แต่ผิวหยาบ ๆ กับดวงตาแข็งเย็นของผมทำให้บางคนบอกว่ารู้สึกขยะแขยง ซึ่งผมภาวนาว่าไอ้เด็กพวกนี้จะรู้สึกแบบนี้บ้าง
ผมไม่รู้หรอกว่ามันต้องการอะไร แต่ถ้าลงอีแบบนี้ก็ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ๆ แต่ดูเหมือนคำภาวนาของผมจะไม่สำฤทธิ์ผลเพราะจู่
ๆ ไอ้หัวเกรียนก็เดินตรงรี่เข้ามาคว้าตัวผมหมับ ผมพยายามจะกัดมันนะ แต่ทิศทางมันไม่ให้เอาเสียเลย
ดังนั้น สัญชาติญาณจึงบอกให้ผมหดหัวและแขนขาเข้าไปอยู่ในกระดองด้วยความรักชีวิต "เฮ้ย ไปเร็ว" ใครคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนที่เสียงฝีเท้าวิ่งตุบตับจะตามมา ผมหัวสั่นหัวคลอนอยู่ในอุ้งมือไอ้เด็กเวรอย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง
ไม่รู้พวกมันจะเอาตัวผมไปทำอะไร มันอาจจะเป็นเด็กห่ามประเภทต้มน้ำเดือดไว้รอท่าแล้วโยนเต่าอย่างผมลงไปเพื่อดูปฏิกิริยาอันแสนจะทรมานให้เป็นที่บันเทิงอารมณ์ก็เป็นได้
ผมไม่รู้ แต่ผมกลัว "เฮ้ย! จะทำอะไร!?" เสียงคุ้นหูที่ดังกรรโชกขึ้นมาทำให้ผมหายใจได้ทั่วท้องขึ้น
แต่ก็ยังไม่กล้าโผล่หัวออกไปอยู่ดี "ไอ้ห่ะ มีคนเห็นแล้วว่ะ"
เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น เสียงผู้ช่วยชีวิตของผมยังคงดังต่อไป
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เด็กเวรพวกนี้นี่!" "เอาไงดีวะ?" "โยนทิ้งแม่งแล้วรีบ ๆ วิ่งหนีเหอะ" ประโยคสุดท้ายผมพอจะเดาได้ราง ๆ ว่าเป็นไอ้เด็กอ้วนพูด
เพราะจำเสียงกระหืดกระหอบตลอดเวลาของมันได้ แต่สมองของผมยังประมวลผลไม่ทันเสร็จ
ก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหวี่ยงลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ ซึ่งนั่น
ทำให้ผมใจหายใจคว่ำมากกว่าเดิม
เพราะแรงเหวี่ยงอาจจะทำให้ผมถึงขั้นกระดองแตกก็เป็นได้ เอาวะ
ผมนึกในใจ
จะตายก็ตาย เกิดชาติหน้ายังไงก็ขอให้ได้เป็นเต่าหล่อ
ๆ อย่างนี้อีกก็แล้วกัน อย่าเป็นมันเลยคน มีแต่เรื่องวุ่นวายรกสมอง แล้วผมก็แทบจะอุทานออกมาเป็นภาษาเต่าด้วยความแปลกใจเมื่อรู้สึกว่ากระดองตัวเองไม่ได้กระแทกเข้ากับกำแพงหรือพื้นคอนกรีตอย่างที่คิดไว้
หากแต่เป็นอุ้งมือใครบางคนที่น่าจะเจ็บมากกว่าเพราะถูกกระดองแข็ง ๆ ของผมกระทบเข้า "เอี้ยเอ๊ย!" ใครคนนั้นสบถออกมาเบา
ๆ พร้อมถอนหายใจออกมาเหยียดยาวอย่างโล่งอก ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกยกจนลอยขึ้นอีกครั้ง แล้วเจอกับหน้านายเรืองวิทย์ซึ่งจ่ออยู่ตรงกระดองในระยะใกล้ ดวงตาดุดันจนเป็นประกายกร้าวที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันบัดนี้เจือความอ่อนโยนและรอยยิ้มนิด
ๆ ทำให้หน้าตาเจ้าตัวน่ามองขึ้นมาก "เกือบแล้วไหมล่ะมึง ไอ้จ่อย" วิลลี่ต่างหากล่ะ ผมเถียงคอเป็นเอ็น
แต่ก็ไม่วายนึกขอบคุณนายเรืองวิทย์อยู่ในใจอย่างรู้คุณคน เราเดินกลับบ้านมาด้วยกันท่ามกลางเสียงผิวปากของนายเรืองวิทย์ อันที่จริงจะเรียก 'เรา' ก็ไม่ถูกหรอก เพราะผมน่ะอยู่ในมืออีกฝ่ายที่เดินเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนมึนหัวไปหมด แต่แล้วอยู่ ๆ สารถีจำเป็นของผมก็หยุดกึก
ตามมาด้วยเสียงที่คุ้นหูยิ่งกว่า "พี่วิทย์!" น้องโบ้ทนั่นเอง
ตะเบ็งลั่นเชียว "จะเอาไอ้จ่อยไปไหน?" ไหน ๆ น้องโบ้ทกลับมาแล้วเหรอ? ผมยืดคอออกไปดูเพื่อความแน่ใจ
แล้วพยายามฉีกยิ้มให้กับใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มร่างกำยำ เพื่อให้ฝ่ายนั้นคลายใจว่าผมยังปลอดภัยดีอยู่ นายเรืองวิทย์หน้าตูมขึ้นมาทันควัน
"ฉันไม่ได้เอาไอ้จ่อยของนายไปต้มยำทำแกงที่ไหนซะหน่อย มีเด็กมาขโมยมันไปแล้วฉันช่วยกลับมาได้ต่างหาก
พับผ่าสิ
ยังไม่ทันรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร คบเด็กสร้างบ้านจริง ๆ กู" ท้ายประโยคเหมือนจะพึมพำกับตัวเอง
แต่น้องโบ้ทของผมก็ยังอุตส่าห์จะได้ยิน เห็นได้จากสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันควัน น้องโบ้ทก้าวเข้ามาหา ในขณะที่ผมเพิ่งจะมีโอกาสพิจารณาว่าตอนนี้เรามายืนอยู่ตรงรั้วหน้าบ้านพอดี พอหันกลับไปมองอีกทีก็เห็นน้องโบ้ททำหน้าแดงอีกละ เอ
นายเรืองวิทย์เองก็มีสภาพไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นี่นา
หรือว่าสองคนนี้จะนึกถึงเรื่องเมื่อบ่ายวันนั้น(ซึ่งผมก็ยังไม่รู้สักทีว่าเรื่องมันเป็นยังไง) "ถ้างั้นก็
ขอบคุณมากครับพี่"
น้องโบ้ทว่าพลางยื่นมือออกมาขอตัวผมคืนด้วยท่าทีเขิน ๆ นายเรืองวิทย์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาในขณะที่ยังไม่ปล่อยมือจากกระดองผม
"วันนั้นจะพูดว่าอะไร?" เด็กหนุ่มน้องชายผมก้มหน้าที่แดงก่ำของตัวเองลงทันทีเหมือนกับเจอประโยคจี้ใจดำยังไงอย่างงั้นแต่ก็พอจะทำให้ผมนึกได้ว่าบ่ายวันนั้นน้องโบ้ททำท่าจะพูดอะไรบางอย่างกับนายเรืองวิทย์
แต่ก็ไม่ได้พูด ซึ่งก็ทำให้ฝ่ายหลังมีท่าทีผิดหวังอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นน้องโบ้ทยังก้มหน้านิ่งเหมือนเดิม
เพื่อนบ้านของเราก็ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วพูดเสียงห้วน "ไอ้การคอยแกล้งคอยแหย่คนที่ตัวเองชอบน่ะ
เด็กมหา'ลัยเขาไม่ทำกันแล้วนะ มันน่ารำคาญ งี่เง่า ปัญญาอ่อนด้วย เพราะงั้นจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลย" ฝ่ายตรงข้ามอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู
แต่ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม จนนายเรืองวิทย์ที่หน้าแดงไม่ผิดกันต้องส่งสายตาดุ
ๆ ประจำตัวให้พร้อมกระตุ้น "เร็ว!" "ผม
" น้องโบ้ทอิดออด! โอ้ เกิดมาไม่เคยเห็นน้องโบ้ทดูประหม่าอย่างนี้มาก่อน
ปกติปากไวอย่างกับอะไรดี เสียดายที่ผมเป็นเต่า ไม่อย่างนั้นคงจะรีบหากล้องถ่ายรูปมาบันทึกช็อตเด็ดนี้ไว้แล้วสิน่า อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกถึงฝ่ามืออันอบอุ่นของน้องโบ้ทกอบกุมมือของนายเรืองวิทย์(ซึ่งคงยังถือผมอยู่ในมือ)
นายเรืองวิทย์จ้องหน้าน้องโบ้ทเขม็ง ในขณะที่ฝ่ายนั้นกำลังอ้ำอึ้ง โดยมีฉากหลังเป็นบ้านของทั้งคู่
และพระอาทิตย์สีชมพูที่ย้อยเรี่ยหลังคาบ้าน
อา
อย่างกับฉากพระเอกสารภาพรักกับนายเอกยังไงอย่างงั้น
ติดอยู่ว่าทั้งคู่เป็นผู้ชายน่ะสิ ผมเลยต้องลุ้นว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน เพราะเรื่องสารภาพรักมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว "ผม
" น้องโบ้ทพูดออกมาได้คำเดียวแล้วเงียบไปอีก เสียงสูดลมหายใจเรียกความกล้าและความมั่นใจดังขึ้นถนัดหู
ก่อนที่น้องโบ้ทจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำยิ่งกว่า "ผมชอบพี่ครับ" น้องโบ้ทหน้าแดงยิ่งกว่าแดงหลังจากได้พูดปะรโยคนั้นออกไปแล้ว
ในขณะที่ผมเหลือบมองใบหน้ากึ่งบึ้งกึ่งยิ้มของนายเรืองวิทย์อย่างงง ๆ ทำไมน้องโบ้ทถึงบอกว่าชอบนายเรืองวิทย์
แล้วทำไมนายเรืองวิทย์ถึงต้องทำหน้าเหมือนดีใจหว่า? หรือว่า
++++++ |