ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Love Me Tender, Love Me Hard!

by...เฟื่อง

comment

"…สุขคราญผ่านฟลอร์เฟื่องฟ้า ร้อนแรงลีลาที่ล้าแลเร่ง ปลื้มดื่มด่ำตามเสียงเพลง สนุกกันครื้นเครง เพราะรสประเลงสุขจายยยย…"

ผมร้องเพลง 'ฟลอร์เฟื่องฟ้า' ที่คุณตาสำรวย ข้าราชการบำนาญข้างบ้านแกเปิดฟังจนลั่น พร้อมขยับแข้งขยับขาตามไปด้วยทั้ง ๆ ที่กำลังนอนอาบแดดอยู่ริมสระว่ายน้ำส่วนตัว อันที่จริงก็นับว่าเป็นโชคดีของคุณตาแก ที่ช่วงตอนกลางวันละแวกบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนี้จะไม่มีคนอยู่ จะมีแต่ผมที่รักเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจเท่านั้นที่จะขึ้นมานอนเล่นเวลาอากาศดี ๆ ดังนั้นแกจะเร่งเสียงจนดังแค่ไหนผมก็ไม่ขัดศรัทธาหรอก

ผมหยุดร้องเพลงพลางหรี่ตามองอาทิตย์สีขาวจ้าบนท้องฟ้า แหม…แดดมันแรงดีจริงวุ้ย! หน้าร้อนก็งี้แหละนะ ผมเลยต้องขึ้นมาอาบแดดเสียหน่อยทั้ง ๆ ที่ไม่มีซันบ้งซันบล็อคทากับเขาหรอก ทาไปก็เปล่าประโยชน์เพราะผิวผมมันสวยเลิศเลออยู่แล้วนี่
ลมอ่อน ๆ ที่พัดโชยมาทำให้หนังตาผมเกิดหนักขึ้นมาเสียทันควัน อยากนอนก็อยากนอนอยู่หรอก แต่ท้องผมมันเริ่มหิวตะหงิด ๆ แถมชักจะเกิดอาการแสบผิวขึ้นมาเสียแล้วสิ คิดได้ดังนั้นผมก็พุ่งตัวลงน้ำโดยไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย แล้วดำไปถึงก้นสระ แหวกว่ายให้สำราญใจพอเป็นพิธี ก่อนจะลอยคอขึ้นมากินอาหารที่น้องโบ้ทจัดเตรียมไว้ให้

น้องโบ้ทนี่เป็นคนดูแลผมเองครับ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดน่ารักน่าชังเชียว ตาตี่ ๆ ผิวขาว ๆ ปากแดง ๆ ถึงหุ่นจะเป็นบักควายไปนิดก็เถอะ แหม…ก็น้องเขาเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลประจำโรงเรียนนี่ครับ(ถึงจะไม่เคยแข่งชนะโรงเรียนไหนเลยก็เถอะ) ตัวก็ต้องสูงเกินร้อยแปดสิบเซนต์เป็นธรรมดา

อันที่จริงช่วงปิดเทอมหน้าร้อนนี่น้องโบ้ทก็จะอยู่เป็นเพื่อนผมทุกวันล่ะนะถ้าเขาไม่ได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ปิดเทอมครั้งนี้มันค่อนข้างต่างออกไปหน่อย เพราะน้องเขาเพิ่งเอนท์ติดมหา'ลัยชื่อดังได้ ช่วงนี้ก็เลยต้องวิ่งวุ่นยื่นเอกสารต่าง ๆ เป็นธรรมดา
อันที่จริงจะว่าอยู่เป็นเพื่อนผมก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวหรอกนะ จริง ๆ น้องโบ้ทอาศัยสระส่วนตัวของผมเนี่ยเป็นที่ซุ่มปฏิบัติการ คอยสอดส่องพฤติกรรมของนายเรืองวิทย์ หลายชายคุณตาสำรวยที่อยู่ข้างบ้านต่างหาก แต่ผมไม่รู้ว่าน้องแกเจออะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า เพราะเห็นนายเรืองวิทย์ทีไรก็เอาแต่อมยิ้มทุกทีทั้ง ๆ ที่นายเรืองวิทย์ออกจะตาดุถึงขนาดนั้น

ถึงจะไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนผมโดยตรงก็ตามที แต่ไม่มีน้องโบ้ทอยู่บ้านนี่มันก็เหงาเหมือนกันวุ้ย

ผมคิดพลางเคี้ยวอาหารอย่างแกน ๆ ด้วยความเหงาบวกความเบื่อ จะไม่ให้เบื่อได้ยังไงล่ะครับ ก็ผมกินไอ้ผักบุ้งแบบนี้มาติดกันทั้งอาทิตย์แล้วนะคู้ณ
อ้อ! จริงสิ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่เนอะ ผมชื่อวิลลี่ครับ ความจริงชื่อที่น้องโบ้ทตั้งให้ผมน่ะ 'จ่อย' ครับ เพราะเมื่อตอนน้องโบ้ทเขาเชิญผมออกจากร้านในจัตุจักรมาสิงสถิตย์อยู่ที่บ่อ…เอ๊ย…สระปูนหน้าบ้านน่ะ ผมเพิ่งจะตัวเล็ก ๆ อยู่เลย ก็เลยได้ชื่อนี้มา แต่ตอนนี้ผมบึกบึนแข็งแรงไม่แพ้น้องโบ้ทแล้ว ก็เลยอยากเปลี่ยนชื่อตัวเองให้มันดูเท่ห์ ๆ หน่อย

สายลมบางเบาพัดมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเปลี่ยนทิศทาง จึงทำให้ผมได้กลิ่นหอมอะไรบางอย่างที่ลมหอบมาด้วย ผมปีนขึ้นจากบ่อไปอยู่บนแผ่นไม้กระดานที่น้องโบ้ทวางพาดเอาไว้พร้อมกับหาพวกไม้เล็ก ๆ อย่างเฟิร์นมาปลูกเพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผม
ผมเชิดหน้าขึ้นหน่อย ๆ แล้วรอจนลมพัดมาอีกครั้งเพื่อสูดกลิ่นนั้นให้ชุ่มปอด อา…กลิ่นของมันหอมหวนรัญจวนใจดีเหลือเกิน หอมกว่าผักบุ้งที่ผมทนกินมาทั้งอาทิตย์เป็นไหน ๆ แต่ว่ากลิ่นมันคุ้น ๆ อยู่นะ

อ๋อ! ผมร้องออกมาดัง ๆ แล้วแทบอยากจะพลิกตัวนอนหงายให้แดดเผาตาย นี่นอกจากจะต้วมเตี้ยมแล้ว ความจำของผมยังแย่ขนาดนี้เชียวรึ!? ไอ้กลิ่นนี้น่ะมันเป็นกลิ่นหญ้ากระตุกหนวดแมว(ชื่อพิลึก!)ที่นายเรืองวิทย์หามาปลูกไว้ข้างบ้าน(ซึ่งก็ติดอยู่กับสระส่วนตัวของผมนี่แหละ)เมื่อสามวันก่อน ได้ยินมาว่าไอ้หญ้าบ้าบอนี่มันหาพันธุ์ยากอยู่นะคุณ เพราะฉะนั้นกว่านายเรืองวิทย์จะหามันมาได้ต้องเสียทั้งเวลาทั้งเงินทองไปมากโข
หญ้ากระตุกหนวดแมวนี่มันไม่เห็นจะสะสวยตรงไหนเลย ใบสีแดงเรียวเล็กของมันหงิก ๆ งอ ๆ ไม่เห็นเหมือนหนวดแมวเลยสักนิด แถมนายเรืองวิทย์เห็นข้อดีของมันตรงไหนผมก็ไม่รู้ล่ะ แต่ที่แน่ ๆ สำหรับผม ตอนนี้มันเหมือนอาหารอันโอชะยังไงอย่างงั้น (ถึงผมจะไม่เคยกินก็เถอะ แต่กลิ่นมันใช่นี่นา) มันหอมหวนเสียจนผมใจแทบขาด ลองนึกสภาพตัวคุณเองเวลาหิว ๆ แล้วต้องเดินผ่านเตาไก่ย่างดูสิ นั่นแหละ…สภาพผมเลย (อีกครั้ง…ถึงผมจะแค่นกินผักบุ้งไปจนค่อนท้องแล้วก็เถอะ)

ผมเริ่มยืดคออย่างสุดความสามารถแล้วมองไปทางช่องหน้าต่างของบ้านนายเรืองวิทย์ เห็นคุณตาสำรวยกำลังเต้นรำคนเดียวตามจังหวะเพลงอย่างอารมณ์ดี ฮึบ! (เสียงผมหดคอกลับมา) คราวนี้ผมเริ่มมองซ้ายแลขวา เหลียวหน้าและระวังหลัง(เฮ้ย!) เมื่อเห็นว่าปลอดคนดีแล้วผมจึงค่อย ๆ พาร่างตัวเองตะกายลงจากสระสวรรค์ รั้วที่กั้นบ้านของเรากับเพื่อนบ้านไว้เป็นรั้วไม้เตี้ย ๆ ประมาณหนึ่งเมตร แต่แหม…ถึงจะเตี้ยอย่างนั้นคุณก็อย่ามองโลกในแง่ดีว่าผมจะปีนพ้นได้น่ะครับ ผมน่ะ…ตัวเตี้ยแม่กแค่ก สอยมะเขือกินอย่างที่เขาว่าประชดกันยังทำไม่ได้เลย จึงได้แต่ยอมทนให้ท้องขาว ๆ คลุกดินคลุกทราย ลอดมันไปด้านล่างนี่แหละครับ

เนื่องจากรั้วเป็นรั้วโปร่งแบบระแนงไม้ ผมจึงลอดไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ก็กินเวลาเอาการเพราะหลังผมดันไปติดไม้เสียได้ กว่าจะข้ามมายังบ้านนายเรืองวิทย์ พลังงานจากผักบุ้งที่สะสมเอาไว้ในกระเพาะน้อย ๆ ก็ถูกดึงเอาไปใช้เสียหมดแล้ว ผมจึงรู้สึกหิวเต็มขั้น พยายามมองม้องมอง มองหาหญ้ากระตุกหนวดแมวเจ้าของกลิ่นยั่วน้ำลาย แต่แล้วก็แทบช็อค…

มันอยู่ในกระถางดิน! ไม่ได้ปลูกลงดินเหมือนต้นไม้อื่น ๆ ซึ่งหมายความว่าผมต้องปีนขึ้นไปถึงจะได้กิน แถมไอ้กระถางดินนั่นน่ะสูงตั้งเกือบยี่สิบเซนต์ฯ
แต่ขอโทษเถอะ วิลลี่สุดหล่ออย่างผมถือคติความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ผมเองก็ไม่ใช่โง่ อาศัยเท้า(และมือ)ที่เปื้อนดินปนทรายช่วยลดความลื่นไถลในการปีน แม้จะต้องเจ็บตัวตกลงมาหลายต่อหลายครั้ง ตราบใดผมยังไม่นอนหงายท้อง ผมก็ไม่เลิกล้มความตั้งใจหรอก

แล้วในที่สุด…ผมก็มาถึงจนได้ อา…หญ้ากระตุกหนวดแมวหอมหวานอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมใช้เวลาปาดเหงื่อสามวินาที ก่อนจะส่งใบหญ้าหน้าตาประหลาดเข้าปากทีละกระเบียด…ทีละกระเบียด ด้วยความต้องการที่จะละเลียดกับรสชาติของมันให้ได้นานที่สุด อืม…หอมหวาน กรอบสด อร่อยกว่าผักบุ้งเป็นไหน ๆ
เอิ้กกกกก

ผมเรอออกมายาวเหยียดหลังจากอิ่มท้อง คิดจะนอนพักบนกระถางนี้สักครู่ แต่แสงแดดแผดเผากับผิวที่เริ่มแห้งของผมหยุดความคิดนั้นไว้ได้ชะงัด ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือกลับไปนอนเล่นก้นสระเสีย ก่อนที่จะกลายเป็นเต่าย่างไปเสียก่อน

อ๊ะ! ผมบอกคุณ ๆ แล้วหรือยังครับว่าผมเป็นเต่า? ถ้ายังก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะ อ้อ…แล้วรู้ไว้อีกอย่าง ผมน่ะ เป็นเต่าที่หล่อที่สุดในโลกเลย
ขณะกำลังจะปีนลงจากกระถางหญ้ากระตุกหนวดแมวที่กระตุกหัวใจผมไปเรียบร้อยแล้ว ความคิดดี ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในหัว ทำไมผมไม่คาบหญ้าอันแสนโอชะนี้ไปกินที่บ้านด้วยล่ะ? เรียวใบมันก็ไม่ได้เหนียวอะไรหนักหนา ออกแรงดึงนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ขี้คร้านจะหลุดออกมาทั้งยวง ฮะฮ้า! จริง ๆ ด้วย ผมแค่ใช้ปากคาบแล้วทึ้งที่โคนใบนิดหน่อย มันก็หลุดออกมาแล้ว
เพราะฉะนั้น ขากลับผมเลยมีใบสีแดงของหญ้ากระตุกหนวดแมวติดมาสี่ห้าใบ(ก็เท่าที่ริมฝีปากอันบอบบางของผมพอจะคาบได้น่ะแหละครับ) แล้วเอากลับมาลอยไว้ในสระปะปนไว้กับเหล่าผักบุ้งอาหารหลัก เผื่อผมเกิดหิวขึ้นมาในกรณีฉุกเฉิน ส่วนตัวผม…ขอหลบไปงีบใต้สระก่อนนะคร้าบ

+++++++

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามีน้ำกระเด็นมาในสระสวรรค์ของตัวเอง พอลืมตาไล่ความง่วงออกไปได้สำเร็จ ก็ว่ายขึ้นมาชูคอเหนือผิวน้ำจนสัมผัสได้ถึงฝอยน้ำเย็น ๆ ที่มาจากที่ไหนสักแห่ง มองไปมองมาก็เห็นนายเรืองวิทย์กำลังใช้สายยางรดน้ำต้นไม้อยู่ แหม…พอเห็นหน้านายเรืองวิทย์ท้องมันก็เริ่มหิวแล้วแฮะ คิดได้ดังนั้นผมจึงหามุมสบาย ๆ ด้วยการปีนขึ้นมานอนบนไม้กระดาน แล้วค่อย ๆ เล็มกินหญ้ากระตุกหนวดแมวที่คาบติดปากกลับมาด้วยความสุขใจ

เสียงประตูรั้วหน้าบ้านเปิดทำให้ผมหันไปดู อย่างที่บอกนะครับ รั้วบ้านผมเป็นแค่ระแนงไม้เตี้ยกว่าเอว(เอวน้องโบ้ทนะ ไม่ใช้เอวผม) ดังนั้นจึงไม่ต้องมีกุญแจล็อคให้มากเรื่อง แค่หาตะขอมาเกี่ยวประตูไว้กับตัวรั้วเพื่อกันหมาจรจัดเข้ามาเป็นใช้ได้ ดังนั้นพอผมหันหน้าเขียว ๆ ของตัวเองไปปุ๊บ ก็เจอกับใบหน้าขาว ๆ ของน้องโบ้ทปั๊บ
แต่ดูเหมือนน้องโบ้ทจะไม่สนใจผมสักเท่าไหร่

เพราะสายตาของเขากำลังจับจ้องไปที่นายเรืองวิทย์ซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม่อยู่อย่างไม่คิดจะชายตามาทางน้องโบ้ทแม้แต่น้อย แหม…ก็น้องโบ้ทไปกวนเขาอยู่ตลอดเวลานี่ครับ หมอนั่นเลยดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าน้องเขาสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยเห็นรำคาญจนเดินหนีสักครั้งนะ บางทียังอยู่ต่อปากต่อคำด้วยเลย

"กำลัง 'วิด' น้ำออกมาจากลำประโดงอยู่เหรอครับพี่?" หมาที่น้องโบ้ทเลี้ยงไว้ในปากเริ่มออกลายทันที ในขณะที่ใบหน้าขาวสะอาดของเจ้าตัวยิ้มระรื่นระเริงอย่างสบายอารมณ์

ด้วยความที่ชื่อเล่นของนายเรืองวิทย์คือ 'วิทย์' น้องโบ้ทก็เลยหาคำพ้องเสียงมาแซวอีกฝ่ายเล่นสนุกปาก เท่าที่ผมรู้มา ค

รอบครัวนายเรืองวิทย์เพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อสามปีที่แล้ว (ถึงไม่ต้องบอกคุณก็คงพอจะเดากันได้ใช่มะ ว่าตอนนั้นผมยังไม่เกิดหรอก) แรก ๆ นายเรืองวิทย์ก็คงจะนึกเอ็นดูน้องโบ้ทซึ่งตอนนั้นตัวยังไม่ควายมากนักอยู่เหมือนกัน

แต่พอเห็นฝีปากพระเดชพระคุณที่เล่นแบบไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่แล้ว ก็ต้องเปลี่ยนความคิด (นายเรืองวิทย์แก่กว่าน้องโบ้ทห้าปี)

ผมค่อย ๆ เอี้ยวคอไปดูสีหน้านายเรืองวิทย์…ที่จริงก็ไม่ได้ 'ค่อย ๆ' หรอกครับ ผมก็เอี้ยวตามปกติ แต่มันอยากช้าเองก็ช่วยไม่ได้…เห็นหมอนั่นทำหน้าตาเฉยเมยขณะฉีดน้ำให้ต้นพลับพลึงริมรั้ว แต่ยังไม่วายกัดฟันพูดกับตัวเองเบา ๆ

"ไอ้เด็กปากเปราะ"

ดูเหมือนจะไม่ใช่แต่ผมคน(ตัว)เดียวที่หูดี เพราะน้องโบ้ทก็ยังได้ยินด้วยถึงได้เดินระริกระรี้เอาหน้าทะเล้น ๆ ของตัวเองข้ามรั้วไปยังเขตเพื่อนบ้าน

"เมื่อกี้พี่ชมอะไรผมนะ?"

อีกฝ่ายไม่ตอบ แถมยังคงรดน้ำต้นไม้ต่อไปราวกับไอ้น้องบักควายของผมมันไม่มีตัวตน น้องโบ้ทวางถุงพลาสติกที่หิ้วมาด้วยลงกับพื้น ก่อนจะเอาข้อศอกเท้ารั้วแล้วจ้องหน้านายเรืองวิทย์ตาไม่กระพริบอยู่นาน…นานมาก…นานมาก ๆ ช่วงระยะเวลาอันยาวนานนี้เอง

ใบหน้าของน้องโบ้ทไม่ได้ปรากฏรอยยิ้มทะเล้นเหมือนอย่างเวลาปกติ แต่เป็นยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากซึ่งผมก็เคยเห็นบ่อยเวลาน้องโบ้ทมองหน้านายเรืองวิทย์ จนผมอดสงสัยขึ้นมาตะหงิด ๆ ไม่ได้ว่าหน้านายเรืองวิทย์มันมีอะไรดีหนักหนา ดูแล้วเรียกน้ำย่อยได้ดี ทำให้เจริญอาหารหรือไงกัน?

แต่อยู่ ๆ เสียงห้าวแหบแบบหมีควายก็ดังขึ้นมา "วิด วิด วิดเอ้าวิด เอ้าวิดเอ้าวิด วิดเอ้าวิดเอ้าวิดเอ้าวิด"

เจ้าของชื่อเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหนึ่งเพชรฆาตแว่บหนึ่ง ก่อนจะหมุนหัวสายยางเพื่อเปลี่ยนน้ำให้เป็นละอองฝอย แล้วเดินไปหากระถางต้นหญ้ากระตุกหนวดแมว…ก็เมนูใหม่สุดโปรดของผมนั่นแหละ

"เฮ้ย!!!" นายเรืองวิทย์ร้องออกมาพร้อมกระโดดโหยงเหมือนถูกเข็มจิ้มก้น

น้องโบ้ทก็หน้าตาตื่นไม่แพ้กัน แถมทำท่าจะปีนรั้วไปหาอีกฝ่าย "เป็นอะไรครับพี่?"

"ต้นไม้ช้านนน!"

พูดพลางก็ชี้นิ้วสั่นระริกไปยังกระถางต้นหญ้ากระตุกหนวดแมวซึ่งบัดนี้ใบอันเรียวยาวของมันแหว่งไปบ้าง ขาดออกไปจากลำต้นบ้าง

อันเป็นผลมาจากการกัดกินและการขโมยกลับมาเป็นเสบียงที่บ้านของผมนั่นเอง

"มีอะไรลูก? วิทย์" เสียงคุณตาสำรวยดังขึ้น พร้อม ๆ กับที่แกถลันออกมาหน้าบ้าน คงเพราะกลัวว่าหลานชายจะประสบอุบัติเหตุร้ายแรงอะไรนั่นเอง

"ต้นไม่อะไรครับพี่?" น้องโบ้ทถามด้วยน้ำเสียงพร้อมให้ความช่วยเหลือเต็มที่ แต่คนถูกถามกลับไม่สนใจสักนิด แล้วหันไปทางคุณตาสำรวยแทน

"ตา!" เสียงหมอนั่นห้วนสั้นเพราะอารมณ์ไม่สู้ดีนัก "มีหมา แมว หรือกระต่ายที่ไหนหลงเข้ามาในบ้านรึเปล่า?"

"จะมีได้ยังไง รั้วก็ปิดอยู่ตลอด" คุณตาพูดอย่างครุ่นคิด

นายเรืองวิทย์ทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ พร้อมเดินพล่านเป็นเสือติดจั่น "แล้วไอ้ตัวอ่าเอี้ยอะไรมันเข้ามากินใบไม้วิทย์เนี่ย!"

คุณตาสำรวยตั้งข้อสังเกต "นกรึเปล่า?"

"นกบ้าอะไรใฝ่ต่ำจะกินหญ้ากระตุกหนวดแมว!" หมอนั่นสวนกลับทันควัน

ดูเหมือนน้องโบ้ทจะมีลางสังหรณ์หรือพลังจิตวิเศษอะไรสักอย่างแว่บขึ้นมาในวินาทีนั้น ถึงได้เหล่มองสระน้ำแสนสุขของผมซึ่งผมก็ส่งสายตาที่ดูแข็งเย็นของตัวเองมองตอบพร้อมกระพริบตาปะปริบ…ปะปริบ…เป็นการสารภาพผิดกลาย ๆ ประมาณว่า น้องโบ้ทจ๋า พี่วิลลี่ผิดไปแล้วจ้ะ

เรียวใบยาวสีแดงของหญ้ากระตุกหนวดแมวซึ่งตัดกันจนเป็นที่สังเกตได้ชัดกับปล้องผักบุ้งที่ลอยอยู่เป็นแพทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงพยายามเบิ่งตาตี่ ๆ ของตัวเองให้โตขึ้นมาได้ตั้งเท่าเม็ดก๋วยจี๊แน่Ðáละใช้จังหวะที่นายเรืองวิทย์กับคุณตากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดหาต้นตอที่ทำให้ต้นหญ้ากระตุกหนวดแมวมีสภาพเป็นเช่นนั้นอยู่นั่นเอง ค่อย ๆ กระดืบ…กระดืบตัวมาที่สระปูนของผม ก่อนจะค่อย ๆ ก้มตัวทีละน้อย ๆ อีก เพื่อใช้ปลายนิ้วเกี่ยวใบหญ้าสีแดงออกไปก่อนที่ผู้เสียหายจะเห็น
แต่แล้ว…นายเรืองวิทย์ก็หันขวับมาเสียก่อน

"เฮ้ย!!!" หมอนั่นร้องลั่นอีกครั้ง คราวนี้ด้วยน้ำเสียงเหมือนหมาขี้เรื้อนชนิดเปียกถูกน้ำหน่อไม้ดองราด

คุณตาหันขวับมาตามปลายนิ้วหลานชาย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี "แหม่! ที่แท้ก็ไอ้จ่อยนี่เอง มันคงจะมุดรั้วมาเดินเล่น เห็นแล้วก็กินเสียหน่อย จะได้ไม่เสียเที่ยว ใช่มั้ยวะ? ไอ้จ่อย"
ใช่ครับคุณตา ผมตอบรับเออออ

"ไอ้เต่าเวร!" นายเรืองวิทย์คำรามพร้อมสบตาผมแบบจะกินเลือดกินเนื้อ "ต้นไม้กูต้นละเกือบห้าพันเชียวนะมึง!"

โอย…หยาบคายเกินที่จะทนฟังได้ เพราะฉะนั้นผู้ดีอย่างวิลลี่ขอหลบไปอยู่ใต้น้ำก่อนดีกว่า

แหะ ๆ อันที่จริงผมก็กลัวจะโดนนายเรืองวิทย์เหยียบกระดองแตกเหมือนกันแหละครับ เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงก้นบ่อแล้วก็เลยรีบหดหัวไว้ในกระดอง แต่ยังเงี่ยหูฟังอยู่นะ

"ขอโทษครับพี่ แต่ปกติจ่อยมันไม่เคยเป็นอย่างนี้นะ ผมจะใช้เงินค่าต้นไม้ให้ก็ได้ครับ" เสียงอ่อย ๆ แบบสำนึกผิดเต็มที่ของน้องโบ้ทดังแว่ว ๆ จนผมนึกภาพออกได้เลยว่าป่านนี้ใบหน้าขาว ๆ นั่นจะแสดงอารมณ์แบบไหนอยู่

นายเรืองวิทย์เงียบเสียงไม่ยักกะโต้ตอบเหมือนอย่างที่ผมคาดเอาไว้ สงสัยหมอนั่นคงกำลังคิดสารตะอยู่ว่าถ้าจะให้เด็กที่เพิ่งเข้ามหา'ลัยอย่างน้องโบ้ทออกเงินใช้ให้ตั้งห้าพันคงจะเสียหมา…เอ๊ย! เสียผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อย

"เอาน่าวิทย์น่า…" เสียงคุณตาสำรวยดังขึ้นมาในความเงียบ "อย่าไปโกรธไอ้จ่อยมันเลย มันเป็นแค่เต่า จะไปรู้ได้ยังไงว่าต้นไหนแพงไม่แพง"

"ขอบคุณมากครับคุณตา" น้องโบ้ทพูดอย่างนอบน้อมเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมโผล่หัวออกมาทันเห็นอีกฝ่ายยกกระพุ่มมือไหว้ผู้สูงวัย

ผมเอี้ยวคอไปมองนายเรืองวิทย์ที่ยืนทำตาขวาง ฮึดฮัดจ้องหน้าน้องโบ้ทอยู่พักใหญ่(ดีจังที่มันดูเหมือนจะลืมแล้วว่าผมเป็นคนขโมยหญ้ากิน ไม่ใช่น้องโบ้ท) ก่อนจะยกกระถางต้นหญ้าไปวางไว้อีกมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นลานลาดปูนเอาไว้ให้จอดรถ แล้วเดินกระแทกเท้าเข้าบ้านไป

คุณตามองผมแล้วหัวเราะขำ ๆ ก่อนจะมองหน้าน้องโบ้ท "โบ้ทดูไอ้จ่อยไว้ให้ดีหน่อยแล้วกัน อย่าให้ไปกัดต้นไม้วิทย์มันอีก มันรักของมัน เดี๋ยวจะพาลโกรธขโมยไอ้จ่อยไปทุบกระดองผัดเผ็ดเต่าเอาเสียเปล่า ๆ"

ถึงแม้น้ำเสียงที่ผู้สูงวัยใช้จะเจือความขบขันเต็มที่ แต่ผมก็ยังอดสยิวไปทั้งตัวจนต้องรีบหดหัวกลับเข้าไปในกระดองไม้ได้เมื่อนึกสภาพตัวเองกลายเป็นผัดเผ็ดเต่าในจานกับแกล้มเหล้าของนายเรืองวิทย์ ซึ่งคงจะกินเนื้อผมอย่างเมามันในอารมณ์มากกว่ากับแกล้มอย่างอื่น

++++++

สายวันต่อมา ขณะที่ผมกำลังยืดแข้งยืดขาแช่น้ำอุ่น ๆ จากแสงแดดอยู่ใต้ก้นบ่อนั้น พลันรู้สึกเหมือนถูกเคาะกระดองเบา ๆ พอจะหันไปมองก็มีนิ้วโป้งอันแสนจะคุ้นเคยคลึงหัวผมไปมาเหมือนลูบหัวหมาก็ไม่ปาน

…น้องโบ้ทนี่เอง…

"ไอ้จ่อย เมื่อวานเกือบทำเสียเรื่องแล้วนะเอ็ง กัดต้นอะไรไม่กัด เสือกไปกัดหญ้ากระตุกหนวดแมวสุดที่รักของพี่วิทย์เขา"

ผมเบือนหน้าหนีกลับมาแล้วหดหัวกลับไปอยู่ในกระดองด้วยความเซ็ง เมื่อวานผมฟังประโยคนี้มาเกือบยี่สิบรอบแล้วนะ เฮ้อ~ ไม่รู้น้องโบ้ทจะกลัวนายเรืองวิทย์โกรธอะไรหนักหนา

ข้าวก็ไม่ได้ไปขอมันกินเสียหน่อย หมอนั่นก็เหลือเกิน เย็นวานที่ออกมายกกระถางหญ้ากระตุกหนวดแมวหนีไปอีกทางนั้น น้องโบ้ทก็ขอโทษแล้วขอโทษอีก ไอ้บ้านั่นยังไม่ยอมมองหน้าน้องเขาเลยด้วยซ้ำ

ผมทำหน้าตาตื่นอยู่ในกระดองเมื่อรู้สึกเหมือนถูกยกตัวลอยขึ้น แต่แล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อโผล่หน้าออกมาพบกับอุปกรณ์ล้างสระพร้อมสรรพ

น้องโบ้ทพาผมไปอยู่ในถังพลาสติกชั่วคราว พร้อมกับโยนผักบุ้งสองสามสายมาให้ โถ…น้องโบ้ทช่างไม่เห็นใจพี่วิลลี่บ้าง ว่าพี่เบื่อผักบุ้งแค่ไหน

แต่ผมก็จำใจต้องแค่นกินยอดผักบุ้งฆ่าเวลาระหว่างที่รอให้คนใช้…เอ๊ย น้องโบ้ท! ทำความสะอาดคฤหาสน์สุดหรูให้ เมื่อเสร็จเรียบร้อย

เด็กหนุ่มเจ้าของร่างบึกบึนก็หันมาจัดการกับผมต่อ ด้วยการใช้แปรงขนนุ่มขัดกระดองที่เริ่มมีตระไคร่ขึ้นเขียวของผมเบา ๆ อา…อย่างนั้น ซ้ายนิด ๆ ใช่เลย…

เสียงรถแล่นเข้ามายังรั้วข้างบ้านดังขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมถูกปล่อยตัวลงในบ่ออีกครั้ง ที่จริงผมก็อยากจะยื่นคอไปดูเหมือนกันนะว่าเจ้าของรถคือใคร

แต่พอดีต้องหดหัวอยู่ในกระดองก่อนเพื่อรอให้ร่างกายปรับตัวกับน้ำใหม่ได้

"พี่วิทย์" เสียงน้องโบ้ทดังขึ้นอย่างลิงโลด คราวนี้ผมไม่ต้องดูก็รู้ว่ารถคันที่ว่าคือรถกระบะของนายเรืองวิทย์นั่นเอง

เสียงน้องโบ้ทดังต่อไปอีก "จะทำอะไรน่ะครับพี่ กระถางใหญ่ขนาดนั้น ผมช่วยดีกว่า"

ผมค่อย ๆ โผล่หัวเหยียดแข้งเหยียดขาออกมาเมื่อเริ่มจะปรับตัวได้ ก็เลยปีนขึ้นไปสังเกตการณ์อยู่บนแผ่นไม้กระดาน เป็นจังหวะเดียวกับที่น้องโบ้ทกระโดดข้ามรั้วไม้เตี้ย ๆ ไปอยู่บนเขตที่ดินของเพื่อนบ้านที่ยืนมองตาเขียวปั้ด

"ผมช่วยดีกว่านะครับ กระถางมันใหญ่"

อีกฝ่ายตอบเสียงห้วน สงสัยยังโกรธไม่หาย "ไปไหนก็ไปเลยไป ไม่ต้องมายุ่ง!"

แต่น้องโบ้ทที่แสนจะมีน้ำใจของผมกลับไม่ฟังคำผลักไสไล่ส่งนั้นแม้แต่น้อย แถมยังกุลีกุจอเข้าไปแย่งกระถางขนาดมหึมาออกมาจากท้ายรถนายเรืองวิทย์จนได้ ตบท้ายด้วยการโชว์พาวแบกกระถางนั้นไว้บนบ่าพร้อมรอยยิ้มสดใส

อันที่จริงนายเรืองวิทย์ก็ไม่ใช่คนเตี้ยหรือคนตัวเล็กอะไรเลยนะ แต่พอมายืนเทียบกันแล้วไซส์น้องโบ้ทกินขาดเลยอ่ะ

"จะให้วางตรงไหนครับพี่?"

ผมเห็นฝ่ายตรงข้ามทำหน้าง้ำเหมือนม้าหมากรุกอยู่ชั่วอึดใจก็ชี้ไปยังจุดเดิมที่เคยวางกระถางหญ้ากระตุกหนวดแมว สงสัยคงจะนึกสงสารหรือเกรงใจน้องโบ้ทที่ช่วยแบกกระถางให้ล่ะมั้ง

"อ๋อ…" น้องโบ้ทลากเสียงยาวหลังจากวางกระถางยักษ์นั่นลงบนพื้น "พี่จะเปลี่ยนกระถางให้สูง ๆ ไอ้จ่อยจะได้ปีนไม่ได้งั้นสิ"

ผมยืดคอขึ้นมอง แหม…ท่าทางจะปีนไม่ได้เสียด้วยสิ นอกจากจะสวมตีนตุ๊กแกเท่านั้นแหละ ก็ไอ้กระถางใหม่นี่สูงเสียตั้งครึ่งเมตร

นายเรืองวิทย์ตอบเสียงห้วน "เออ เสร็จแล้วก็กลับบ้านไปได้แล้ว"

หนอย…คนหนอคน มารยาททรามซะ จะขอบใจสักคำเป็นไม่มี

แต่น้องโบ้ทก็ยังทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน แถมยังหน้าระรื่นนั่งยอง ๆ มองฝ่ายเจ้าของบ้านที่หยิบเสียมด้ามเล็กมาเตรียมขุดต้นหญ้ากระตุกหนวดแมวแสนอร่อยมาไว้ในกระถางใหม่

ผมล่ะไม่เข้าใจจริงจิ๊ง ว่าน้องโบ้ททำไมถึงมีท่าทางใจดีกับนายนี่นัก ตอนแรก ๆ ที่ครอบครัวของนายเรืองวิทย์ย้ายมาน้องโบ้ทก็ยังไม่เป็นขนาดนี้

ต่อมาก็เห็นเริ่มแอบชะเง้อคอมองนายเรืองวิทย์และหาเรื่องคุยด้วยอยู่เป็นประจำ แม้จะชอบทำปากเปราะไปหน่อยก็เหอะ

"'วิด'มันขึ้นมาหน่อยสิครับพี่ 'วิด' หน่อย"

นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ ต่อมกวนประสาทของน้องโบ้ทก็ทำงานทันทีเมื่อเห็นนายเรืองวิทย์ดึงต้นหญ้าออกจากกระถางเก่าอย่างทุลักทุเลพอสมควร สงสัยจะเป็นเพราะรากมันชอนกระถางแน่นนั่นแหละ

เจ้าตัวหันมามองตาขุ่นพร้อมขมุบขมิบปากด่าอะไรงึมงำ อันที่จริงนายเรืองวิทย์ก็น่าจะชินกับฝีปากน้องโบ้ทได้แล้วนะ เพราะเจออย่างนี้เกือบทุกวัน จนบางทีผมคิดว่าบางทีหมออาจจะเหงาก็ได้ถ้าน้องโบ้ทเกิดไม่อยู่แบบปุบปับขึ้นมา

ในที่สุดเพื่อนบ้านของเราก็งัดต้นหญ้าออกจากกระถางเก่าและเอามาใส่ไว้ในกระถางใหม่ได้สำเร็จ เหลือแต่เปลี่ยนดินใส่ปุ๋ยเท่านั้น ผมเห็นว่าไม่มีอะไรน่าดูแล้วก็เลยเตรียมจะไถลตัวลงไปนอนเล่นใต้สระ แต่นายเรืองวิทย์ก็เดินเข้ามาจนใกล้รั้วแล้วโยนอะไรบางอย่างลงมาในบ้านของผมเสียก่อน

อ๋า!!! หญ้ากระตุกหนวดแมวของโปรดของผมนั่นเอง เนื่องจากการเปลี่ยนย้ายกระถางเมื่อครู่คงจะทำให้ใบมันขาดมาบ้างล่ะมั้ง นายเรืองวิทย์ก็เลยคิดว่าโยนให้เป็นลาภปากเต่าดีกว่าอยู่เปล่า ๆ

พอกำลังจะเงยหน้าขึ้นไปส่งสายตาขอบคุณเท่านั้นแหละ หมอนั่นก็คำรามขึ้นมาทันที "กินไปให้หายอยากนะมึง ไอ้เต่าเวร ทีนี้ก็จะไม่ได้กินแล้ว"

เอาเถอะ คราวนี้จะหยาบคายแค่ไหนสุดหล่อวิลลี่ก็ให้อภัยด้ายยย แหม…อุตส่าห์มีแก่ใจโยนของโปรดมาให้นิ

"พี่วิทย์ใจดีจังคร้าบ" น้องโบ้ททำเสียงเหมือนมอดตอดไม้ แถมลูกตาก็ดูเยิ้ม ๆ ยังไงชอบกล

ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบอะไร ได้แต่ลากถุงดินมาดึงด้ายปากถุงออก ในขณะที่น้องโบ้ททำเหลือบตาไปมาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มต้นแขนที่ไม่ค่อยจะมีกล้ามของอีกฝ่าย

จึ้ก จึ้ก…จึ้ก จึ้ก

"พี่วิทย์มีแฟนรึยังอ่ะ?"

นายเรืองวิทย์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตวัดตามองคนถามพร้อมกล่าวเสียงเรียบเหมือนจะเรียกความน่าเชื่อถือ "มีไม่มีแล้วเกี่ยวอะไรกับเด็กอย่างเราด้วย"

เด็กหนุ่มเจ้าของร่างล่ำสันทำหน้าอึดอัดพลางเสมองต้นไม้ใบหญ้าอยู่พักใหญ่ เอ๊…วันนี้อากาศมันก็ไม่ได้ร้อนมากนะ แต่ทำไมน้องโบ้ทหน้าแดงจัง

ด้วยความเป็นห่วง ผมจึงยอมสละเวลาละเลียดกับอาหารมื้อโปรดปีนกระดานขึ้นมายืดคอสังเกตการณ์ เผื่อน้องโบ้ทเกิดเป็นลมเป็นแล้วขึ้นมาจะได้ช่วยทัน(ส่งจิตช่วยนะ)

นายเรืองวิทย์เองก็เหล่มองปฏิกิริยาของน้องโบ้ทอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น "จะพูดอะไรก็พูดมา ไม่พูดก็กลับบ้านไป"

อืม บรรยากาศรอบ ๆ ตัวมนุษย์ทั้งสองวันนี้ดูแปลก ๆ อยู่นะ ปกติน้องโบ้ทจะทำทะลึ่งทะเล้นใส่ในเรืองวิทย์ ในขณะที่อีกฝ่ายจะขยับปากด่างึมงำ แต่ทำไมวันนี้ทั้งสองคนดูเหมือนอึดอัดกึ่งเขินก็ม่ายรุ

นั่งนิ่ง ๆ ไปได้สักอึดใจใหญ่ ๆ ของหนุมาน น้องโบ้ทก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินคอตก ปีนรั้วกลับเข้าบ้าน ทิ้งให้นายเรืองวิทย์มองตามด้วยสายตาแปลก ๆ ที่เต่าอย่างผมคงจะต้องเก็บไปคิดอยู่นานถึงจะเข้าใจ

+++++

พอถึงวันรุ่งขึ้น น้องโบ้ทต้องไปเข้าค่ายรับน้องถึงสามวัน เล่นเอาผมเหงาหงอยไปทีเดียวเหมือนกัน โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ยังไม่ลืมว่ามีลูกชายอีกคน ถึงได้เอื้อเฝื้อเอาอาหารเม็ดมาโปรยให้ผมบ้าง

ตกเย็นวันที่สองสำหรับการเข้าค่ายรับน้องของน้องโบ้ท นายเรืองวิทย์ขับรถกลับจากที่ทำงานขณะที่คุณแม่กำลังดูแลให้อาหารผมอยู่ หมอนั่นไหว้คุณแม่ตามมารยาทแล้วถามออกมาหลังจากที่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไปชั่วครู่

"สองวันมานี่ไม่เห็นโบ้ทเลยนะครับคุณน้า"

"อ๋อ โบ้ทเขาไปเข้าค่ายรับน้องจ้ะ เย็นพรุ่งนี้คงกลับมาแล้วล่ะ" คุณแม่ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะขอตัวเข้าไปเตรียมอาหารเย็นในบ้าน

นายเรืองวิทย์ถอนหายใจเบา ๆ ด้วยสีหน้าเดียวกันกับน้องโบ้ทตอนสะพายเป้ออกจากบ้านไป (แต่กว่าจะออกได้ก็ยืนมองหน้าบ้านนายเรืองวิทย์อยู่ตั้งนาน ไม่รู้จะมองหาอะไร)

ไม่รู้นึกยังไงขึ้นมา อยู่ ๆ หมอนั่นก็เอาแขนเท้าระแนงรั้วยืนจ้องหน้าคู่ปรับเก่า(ผมนั่นเอง)

หะแรก ผมก็เตรียมหันซ้ายหันขวาหาทางหนีทีไล่ด้วยตัวเอง เผื่อนายเรืองวิทย์นึกอยากจะกินเต่าผัดเผ็ดขึ้นมา เพราะผมจะร้องแร่แห่กระเชอให้ใครช่วยไม่ได้อยู่แล้ว

แต่แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่ไม่ได้ย้ำความคิดสยองกับผมสักเท่าไหร่ หมอนั่นเพียงแต่จ้องดวงตาที่แข็งและเยียบเย็นของผมเขม็ง ก่อนจะคำรามลอดไรฟันออกมา

"แม่ง…นึกว่าจะหลบหน้า"

ผมฟังประโยคนั้นแล้วได้แต่กระพริบตาปะปริบ…ปะปริบ อย่างไม่เข้าใจ ผมน่ะไม่คิดแค่หลบหน้าหรอก แต่คิดจะหนีเลยด้วยซ้ำ แล้วนายเรืองวิทย์มันเอาที่ไหนมาพูดวะ เอ๊ย! ครับ

+++++++

วันถัดมาผมยิ่งเหงาหงอยเศร้าสร้อยมากกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนเย็นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องออกไปงานศพคนรู้จักหรืออะไรสักอย่าง ผมจึงต้องเคว้งคว้างเปล่าเปลี่ยวเอกา ขณะต้องทำตั้งสองหน้าที่ คือเป็นวิลลี่เต่าสุดหล่อ กับเป็นหมาเฝ้าบ้านไปพร้อมสรรพ(ทำไมพระเจ้าไม่ทรงทำให้ผมเห่าได้นะ?)
นอนอาบแดดก็แล้ว แทะผักบุ้งกินก็แล้ว ขูดตระไคร่บาง ๆ ที่เริ่มเกาะตามผนังบ่อออกมากินเป็นของว่างก็แล้ว ผมก็ยังเบื๊อเบื่ออยู่ดี คุณตาสำรวยข้างบ้านก็ช่างกระไร ทีวันเสาร์อาทิตย์อย่างนี้ไม่ยักจะคิดเปิดเพลงให้ชาวบ้านฟังด้วย วันธรรมดาล่ะเปิดเอา ๆ

เฮ้อ~ สงสัยพอน้องโบ้ทกลับมาผมคงต้องบอก(ด้วยสายตา)ให้หาเจ้าสาวมาให้ผมสักคนแล้วมั้ง เอาแบบอวบขาว หรือผอมเพรียวดีล่ะนี่…

กำลังคิดถึงว่าที่ภรรยาสุดที่รักอยู่เพลิน ๆ ก็รู้สึกว่ามีเสียงอะไรดังแว่ว ๆ อยู่หน้าบ้าน ด้วยความที่ผมซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ตัวเอง(เป็นหมาเฝ้าบ้าน)เป็นอย่างดี จึงได้รีบปีนขึ้นมาบนแผ่นกระดานเผื่อจะได้หาช่องทางป้องกันได้ทัน(มั้งนะ) แต่แล้วก็พบว่าเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ดังขึ้นหน้าบ้านเกิดจากเด็กทะโมนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผมเคยเห็นพวกนี้ชอบมายืนมองผมตรงหน้ารั้วบ่อย ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ก็อย่างนี้แหละครับ คนของประชาชน ใคร ๆ ก็ต้องอยากเห็นอยากรู้จักเป็นธรรมดา

"เฮ้ย นี่ไง ๆ โห…ตัวมันใหญ่กว่าตอนที่ข้าเห็นเมื่อเดือนก่อนอีกนะโว้ย" ไอ้เด็กหัวเกรียนแบบนักเรียนรัฐบาลคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

อีกคนที่อ้วนกว่ามีสีหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย "เอายังไงดีวะ?"

"เข้าไปตอนนี้เลย เมื่อกี้ข้าเห็นเจ้าของบ้านเพิ่งขับรถออกไปเอง" ไอ้เด็กที่ดูจะมีอายุมากที่สุดพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ก่อนจะเร่ง "เฮ้ย! เร็วดิ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"

ใครคนหนึ่งเอื้อมมือมาเกี่ยวตะขอประตูรั้วออก ทำให้ผมยืดคอออกมาเต็มที่ อันที่จริงผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ดูน่ากลัวน่าเกรงขามอะไรหรอก แต่ผิวหยาบ ๆ กับดวงตาแข็งเย็นของผมทำให้บางคนบอกว่ารู้สึกขยะแขยง ซึ่งผมภาวนาว่าไอ้เด็กพวกนี้จะรู้สึกแบบนี้บ้าง ผมไม่รู้หรอกว่ามันต้องการอะไร แต่ถ้าลงอีแบบนี้ก็ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ

แต่ดูเหมือนคำภาวนาของผมจะไม่สำฤทธิ์ผลเพราะจู่ ๆ ไอ้หัวเกรียนก็เดินตรงรี่เข้ามาคว้าตัวผมหมับ ผมพยายามจะกัดมันนะ แต่ทิศทางมันไม่ให้เอาเสียเลย ดังนั้น สัญชาติญาณจึงบอกให้ผมหดหัวและแขนขาเข้าไปอยู่ในกระดองด้วยความรักชีวิต

"เฮ้ย ไปเร็ว" ใครคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนที่เสียงฝีเท้าวิ่งตุบตับจะตามมา

ผมหัวสั่นหัวคลอนอยู่ในอุ้งมือไอ้เด็กเวรอย่างไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ไม่รู้พวกมันจะเอาตัวผมไปทำอะไร มันอาจจะเป็นเด็กห่ามประเภทต้มน้ำเดือดไว้รอท่าแล้วโยนเต่าอย่างผมลงไปเพื่อดูปฏิกิริยาอันแสนจะทรมานให้เป็นที่บันเทิงอารมณ์ก็เป็นได้

ผมไม่รู้ แต่ผมกลัว

"เฮ้ย! จะทำอะไร!?" เสียงคุ้นหูที่ดังกรรโชกขึ้นมาทำให้ผมหายใจได้ทั่วท้องขึ้น แต่ก็ยังไม่กล้าโผล่หัวออกไปอยู่ดี

"ไอ้ห่ะ มีคนเห็นแล้วว่ะ" เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น

เสียงผู้ช่วยชีวิตของผมยังคงดังต่อไป "หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เด็กเวรพวกนี้นี่!"

"เอาไงดีวะ?"

"โยนทิ้งแม่งแล้วรีบ ๆ วิ่งหนีเหอะ"

ประโยคสุดท้ายผมพอจะเดาได้ราง ๆ ว่าเป็นไอ้เด็กอ้วนพูด เพราะจำเสียงกระหืดกระหอบตลอดเวลาของมันได้ แต่สมองของผมยังประมวลผลไม่ทันเสร็จ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหวี่ยงลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ ซึ่งนั่น…ทำให้ผมใจหายใจคว่ำมากกว่าเดิม เพราะแรงเหวี่ยงอาจจะทำให้ผมถึงขั้นกระดองแตกก็เป็นได้

เอาวะ…ผมนึกในใจ…จะตายก็ตาย เกิดชาติหน้ายังไงก็ขอให้ได้เป็นเต่าหล่อ ๆ อย่างนี้อีกก็แล้วกัน อย่าเป็นมันเลยคน มีแต่เรื่องวุ่นวายรกสมอง

แล้วผมก็แทบจะอุทานออกมาเป็นภาษาเต่าด้วยความแปลกใจเมื่อรู้สึกว่ากระดองตัวเองไม่ได้กระแทกเข้ากับกำแพงหรือพื้นคอนกรีตอย่างที่คิดไว้ หากแต่เป็นอุ้งมือใครบางคนที่น่าจะเจ็บมากกว่าเพราะถูกกระดองแข็ง ๆ ของผมกระทบเข้า

"เอี้ยเอ๊ย!" ใครคนนั้นสบถออกมาเบา ๆ พร้อมถอนหายใจออกมาเหยียดยาวอย่างโล่งอก

ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกยกจนลอยขึ้นอีกครั้ง แล้วเจอกับหน้านายเรืองวิทย์ซึ่งจ่ออยู่ตรงกระดองในระยะใกล้

ดวงตาดุดันจนเป็นประกายกร้าวที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันบัดนี้เจือความอ่อนโยนและรอยยิ้มนิด ๆ ทำให้หน้าตาเจ้าตัวน่ามองขึ้นมาก

"เกือบแล้วไหมล่ะมึง ไอ้จ่อย"

วิลลี่ต่างหากล่ะ ผมเถียงคอเป็นเอ็น แต่ก็ไม่วายนึกขอบคุณนายเรืองวิทย์อยู่ในใจอย่างรู้คุณคน

เราเดินกลับบ้านมาด้วยกันท่ามกลางเสียงผิวปากของนายเรืองวิทย์ อันที่จริงจะเรียก 'เรา' ก็ไม่ถูกหรอก เพราะผมน่ะอยู่ในมืออีกฝ่ายที่เดินเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนมึนหัวไปหมด

แต่แล้วอยู่ ๆ สารถีจำเป็นของผมก็หยุดกึก ตามมาด้วยเสียงที่คุ้นหูยิ่งกว่า

"พี่วิทย์!" น้องโบ้ทนั่นเอง ตะเบ็งลั่นเชียว "จะเอาไอ้จ่อยไปไหน?"

ไหน ๆ น้องโบ้ทกลับมาแล้วเหรอ? ผมยืดคอออกไปดูเพื่อความแน่ใจ แล้วพยายามฉีกยิ้มให้กับใบหน้าตื่นตระหนกของเด็กหนุ่มร่างกำยำ เพื่อให้ฝ่ายนั้นคลายใจว่าผมยังปลอดภัยดีอยู่

นายเรืองวิทย์หน้าตูมขึ้นมาทันควัน "ฉันไม่ได้เอาไอ้จ่อยของนายไปต้มยำทำแกงที่ไหนซะหน่อย มีเด็กมาขโมยมันไปแล้วฉันช่วยกลับมาได้ต่างหาก พับผ่าสิ…ยังไม่ทันรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร คบเด็กสร้างบ้านจริง ๆ กู"

ท้ายประโยคเหมือนจะพึมพำกับตัวเอง แต่น้องโบ้ทของผมก็ยังอุตส่าห์จะได้ยิน เห็นได้จากสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันควัน

น้องโบ้ทก้าวเข้ามาหา ในขณะที่ผมเพิ่งจะมีโอกาสพิจารณาว่าตอนนี้เรามายืนอยู่ตรงรั้วหน้าบ้านพอดี พอหันกลับไปมองอีกทีก็เห็นน้องโบ้ททำหน้าแดงอีกละ

เอ…นายเรืองวิทย์เองก็มีสภาพไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นี่นา หรือว่าสองคนนี้จะนึกถึงเรื่องเมื่อบ่ายวันนั้น(ซึ่งผมก็ยังไม่รู้สักทีว่าเรื่องมันเป็นยังไง)

"ถ้างั้นก็…ขอบคุณมากครับพี่" น้องโบ้ทว่าพลางยื่นมือออกมาขอตัวผมคืนด้วยท่าทีเขิน ๆ

นายเรืองวิทย์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมาในขณะที่ยังไม่ปล่อยมือจากกระดองผม "วันนั้นจะพูดว่าอะไร?"

เด็กหนุ่มน้องชายผมก้มหน้าที่แดงก่ำของตัวเองลงทันทีเหมือนกับเจอประโยคจี้ใจดำยังไงอย่างงั้นแต่ก็พอจะทำให้ผมนึกได้ว่าบ่ายวันนั้นน้องโบ้ททำท่าจะพูดอะไรบางอย่างกับนายเรืองวิทย์ แต่ก็ไม่ได้พูด ซึ่งก็ทำให้ฝ่ายหลังมีท่าทีผิดหวังอยู่ไม่น้อย

เมื่อเห็นน้องโบ้ทยังก้มหน้านิ่งเหมือนเดิม เพื่อนบ้านของเราก็ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วพูดเสียงห้วน "ไอ้การคอยแกล้งคอยแหย่คนที่ตัวเองชอบน่ะ เด็กมหา'ลัยเขาไม่ทำกันแล้วนะ มันน่ารำคาญ งี่เง่า ปัญญาอ่อนด้วย เพราะงั้นจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลย"

ฝ่ายตรงข้ามอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู แต่ยังเงียบอยู่เหมือนเดิม จนนายเรืองวิทย์ที่หน้าแดงไม่ผิดกันต้องส่งสายตาดุ ๆ ประจำตัวให้พร้อมกระตุ้น "เร็ว!"

"ผม…"

น้องโบ้ทอิดออด! โอ้ เกิดมาไม่เคยเห็นน้องโบ้ทดูประหม่าอย่างนี้มาก่อน ปกติปากไวอย่างกับอะไรดี เสียดายที่ผมเป็นเต่า ไม่อย่างนั้นคงจะรีบหากล้องถ่ายรูปมาบันทึกช็อตเด็ดนี้ไว้แล้วสิน่า

อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกถึงฝ่ามืออันอบอุ่นของน้องโบ้ทกอบกุมมือของนายเรืองวิทย์(ซึ่งคงยังถือผมอยู่ในมือ) นายเรืองวิทย์จ้องหน้าน้องโบ้ทเขม็ง ในขณะที่ฝ่ายนั้นกำลังอ้ำอึ้ง โดยมีฉากหลังเป็นบ้านของทั้งคู่ และพระอาทิตย์สีชมพูที่ย้อยเรี่ยหลังคาบ้าน…

อา…อย่างกับฉากพระเอกสารภาพรักกับนายเอกยังไงอย่างงั้น ติดอยู่ว่าทั้งคู่เป็นผู้ชายน่ะสิ ผมเลยต้องลุ้นว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน เพราะเรื่องสารภาพรักมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
…มั้ง…

"ผม…" น้องโบ้ทพูดออกมาได้คำเดียวแล้วเงียบไปอีก

เสียงสูดลมหายใจเรียกความกล้าและความมั่นใจดังขึ้นถนัดหู ก่อนที่น้องโบ้ทจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำยิ่งกว่า

"ผมชอบพี่ครับ"

น้องโบ้ทหน้าแดงยิ่งกว่าแดงหลังจากได้พูดปะรโยคนั้นออกไปแล้ว ในขณะที่ผมเหลือบมองใบหน้ากึ่งบึ้งกึ่งยิ้มของนายเรืองวิทย์อย่างงง ๆ ทำไมน้องโบ้ทถึงบอกว่าชอบนายเรืองวิทย์ แล้วทำไมนายเรืองวิทย์ถึงต้องทำหน้าเหมือนดีใจหว่า?

หรือว่า…

++++++
End.