ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Pedigree by...เฟื่อง แสงไฟจากโคมเพดานส่งกระทบแหวนเพชรมากกะรัตเมื่อเจ้าของมือเรียวกรีดนิ้วไปรับของจากมืออวบขาว ซึ่งประดับไว้ด้วยแหวนเพชรมากกะรัตยิ่งกว่า "นี่เหรอคะ มาร์ค แอนโทนี่ของคุณพี่?" คนรับถามพลางพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ทำสีหน้าทะแม่ง ๆ ออกมาเมื่อเห็นภาพที่อยู่ในมือได้ถนัดตา คุณหญิงอรพรรณียิ้มละมุนด้วยความภาคภูมิใจในการแต่งแฟนซีของสุนัขสุดโปรดตน ก่อนจะลากเสียงยาว "นี่แหละค่า คุณน้องขา เป็นไงคะ? น่ารักน่าชังสมกับแม่ซูซาน่าของคุณน้องมั้ยคะ?" ผู้อ่อนวัยกว่ายิ้มปูเลี่ยน แน่ล่ะ ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วสุนัขพันธุ์ปั๊กก็เป็นที่นิยมอยู่ไม่ใช่น้อย แต่โดยส่วนตัวแล้วคุณหญิงงามพิศไม่ชอบสุนัขหน้าตาที่ไม่ค่อยปกติธรรมดาเท่าไหร่ สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเธอจึงเป็นสุนัขพันธุ์บอร์ซอย ซึ่งมีขนยาวสลวย รูปร่างประเปรียวสูงสง่า แล้วนี่แม่ซูซาน่าของหล่อนจะต้องมาจับคู่ตุนาหงันกับไอ้หมาอ้วนเตี้ย รูปร่างหน้าตาเหมือนถูกค้อนทุบอย่างนี้น่ะหรือ? แค่จินตนาการภาพแม่ซูซาน่าอันแสนงามต้องท้องโย้เสียรูปร่างเป็นเวลาหลายเดือน โดยมีลูกหมาหน้าตาอัปลักษณ์เป็นครอก ๆ ขดตัวอยู่ในนั้นคุณหญิงก็แทบจะลมจับ ผลประโยชน์ทางธุรกิจและในวงสังคมทำให้หล่อนต้องยอมอ่อนข้อให้คุณหญิงอรพรรณีมานักต่อนักแล้ว การอยู่ร่วมกับคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดเหนือใครทำให้คนฉลาดกว่าต้องยอมแกล้งโง่หลายต่อหลายครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไป เนื่องจากมันพัวพันถึงแม่ซูซาน่าที่หล่อนรักหนักหนาราวกับเป็นลูกสาวคนเล็กก็ไม่ปาน ไวเท่าความคิด ริมฝีปากเคลือบสีน้ำตาลอมชมพูสมวัยก็ขยับพลางยิ้มพราย "แต่แหม คุณพี่ขา เดี๋ยววันจันทร์หน้าพวกเราก็ต้องไปทัวร์ยุโรปกันตั้งสองอาทิตย์ ใครจะดูแลหนู ๆ พวกนี้ให้จับคู่กันล่ะคะ?" พูดไปแล้วก็ให้นึกชมตัวเอง ระยะเวลาที่ทั้งหล่อนและอีกฝ่ายกำลังเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ในยุโรป คุณหญิงงามพิศจะสั่งให้จัตรี ลูกชายคนเดียวของหล่อนพาแม่ซูซาน่าผู้แสนงามไปอยู่บ้านหลังอื่นเสียจนกว่าความคิดแผลง ๆ ของคุณหญิงอรพรรณีจะยุติลง หรือไม่ ก็ต้องใช้วิธีที่ง่ายกว่า ด้วยการจ้างคนไปลอบฆ่าไอ้หมาอัปลักษณ์นั่นให้ตายไปเลย หวังว่าถ้าชดใช้ด้วยการบริจาคเงินการกุศลสักรายการสองรายการ หล่อนคงไม่หลงเหลือบาปติดตัวไว้มากนักหรอกนะ ยังไม่ทันที่ความคิดเรื่องบาปบุญคุณโทษจะได้ข้อสรุป เสียงหวานจ๋อยก็ดังขัดจังหวะขึ้นจากริมฝีปากแดง ซึ่งบัดนี้กรีดยิ้มหวานไม่แพ้กัน "แหม คุณน้องขา ระหว่างที่เราไม่อยู่นี่เป็นโอกาสอันงามเลยนะคะ ไม่อย่างนั้นพวกเด็ก ๆ คงเขินแย่ถ้าต้องจับคู่กัน เอาอย่างนี้สิคะ ตาอั้มหลานชายคุณพี่กำลังปิดเทอมพอดี เดี๋ยวคุณพี่จะมอบหมายให้จัดการเรื่องนี้ ดีไม่ดีเรากลับมาอาจจะได้ข่าวดีว่าแม่ซูซาน่าท้องแล้วก็ได้นะคะ" คำพูดรัวเร็วเหมือนปืนกลเคลือบน้ำตาลทำให้คนฟังต้องนั่งกระพริบตาปริบ ๆ พร้อมโอดครวญอยู่ในใจ ตายละหว่า นี่แม่ซูซาน่าผู้แสนงามของฉันจะต้องเสียพรหมจรรย์ให้กับไอ้หมาหน้าตาทุเรศอย่างนั้นหรือ แล้วที่ฉันหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะให้ตุนาหงันกับพ่อคอลลินของหม่อมอุ่นเรือนล่ะ? "แต่ว่าคุณพี่คะ " คุณหญิงงามพิศเอียงคอพร้อมพยายามหาเหตุผลด้วยน้ำเสียงน่าเชื่อถือ "ดิฉันเข้าใจล่ะค่ะว่าทางคุณพี่มีคนไว้ใจได้อย่างน้องอั้มมาช่วย แต่ทางดิฉัน " "คุณน้องขา " เสียงหวานหยาดเยิ้มของคู่สนทนาแทรกขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันหวานหยด เสียจนน้ำตาลแทบจะตกผลึก "คุณพี่ได้ยินมาว่าหลานจัตรีนี่ก็ไม่ได้ไปทำงานทำการ ทั้ง ๆ ที่กลับจากเมืองนอกมาหลายเดือนแล้วนี่คะ ช่วยงานคุณแม่นิด ๆ หน่อย ๆ คงจะไม่เสียหาย หลังจากที่เรื่องนี้ประสบผล หลานจัตรีจะได้เข้ามาช่วยกิจการในส่วนที่คุณพี่จะร่วมหุ้นด้วย หรือคุณน้องว่าไงคะ?" ฝ่ายตรงข้ามทำอะไรไม่ได้นอกจากบังคับริมฝีปากตัวเองให้ยิ้มค้างกับประโยคกึ่งเหน็บแนมกึ่งบังคับนั่น ดูเอาเถอะ หล่อนมีทางเลือกที่จะขัดใจคุณหญิงอรพรรณีที่ไหนกัน ++++++ เด็กหนุ่มหน้ามุ่ยลงทันใจที่ได้รับคำบัญชาจากผู้เป็นป้า ก่อนจะทำเสียงออด "คุณป้า อาทิตย์หน้าผมจะไปเที่ยวหัวหินกับเพื่อนนะครับ" "แกก็เที่ยวได้ทั้งปี ไม่รู้จะเที่ยวอะไรกันนักกันหนา" เสียงแหวของคุณหญิงอรพรรณีไม่มีความหวานเจือปนอยู่แม้แต่น้อย "เห็นแกนั่งกินนอนกินอยู่กับบ้านเฉย ๆ ป้าก็วานนิดวานหน่อยไม่ได้หรือไงกันหา!? ตาอั้ม" เสมอเทพก้มหน้าเงียบ ก่อนจะเบนสายตาไปยังสาวใช้ที่ทำเป็นหูหนวกตาบอดขณะกำลังจัดกระเป๋าให้คุณผู้หญิงของบ้านแทน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าผู้เป็นป้าจะใช้เขาทำอะไร ไม่มีสักครั้งที่เด็กหนุ่มเคยปฏิเสธ แต่กระนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ยังหาคำพูดมาทำลายน้ำใจกันอยู่ได้เรื่อย ๆ 'นั่งกินนอนกิน' เขาน่ะหรือนั่งกินนอนกิน ใช่ ถ้าเทียบกับเด็กวัยเดียวกันคนอื่น ๆ ใครต่อใครอาจจะมองว่าเขานั้นแสนสบายที่เกิดมาในตระกูลผู้ดี มีสมบัติล้นฟ้า แต่ถ้าเทียบกับพวกลูกหลานคนรวยด้วยกันแล้ว เสมอเทพรู้ดีว่าตนเป็นคนเอางานเอาการกว่ามาก เห็น ๆ อยู่ว่าเขาไม่เคยทำเรื่องเหลวไหล ไม่เคยใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย หนำซ้ำก็ยังมีผลการเรียนดีมาตั้งแต่เด็ก "ว่ายังไงตาอั้ม?" เสียงผู้เป็นป้าดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้อ่อนลงไปบ้าง "เราจะเป็นธุระให้ป้าได้รึเปล่า? เดี๋ยวป้าจะได้เตรียมของที่จำเป็นไว้ให้เรา" "ครับ" น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความไม่เต็มใจนัก สายตาคมกริบมองตรงมาอย่างจับผิดและหมายหัวพร้อม ๆ กัน "ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะว่าเรื่องนี้ต้องจริงจัง แกจะไปเล่น ๆ ไม่ได้ ยังไงก็ต้องให้พ่อมาร์ค แอนโทนี่ของฉันผสมพันธุ์กับหมาคุณหญิงงามพิศให้ได้รู้มั้ย?" "ครับ" เขารับคำเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจ พลางบอกกับตัวเองว่าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างเด็ดขาด นึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าถ้าพวกเพื่อน ๆ รู้ว่าเขาต้องยกเลิกทริปไปหัวหินเพียงเพราะต้องไปทำหน้าที่ควบคุมหมาผสมพันธุ์ พวกนั้นจะหัวเราะจนน้ำตาเรี่ยน้ำตาเล็ดขนาดไหน ++++++ จัตรีมองภาพมารดาที่กำลังกอดจูบสุนัขตัวโปรดขณะรอคนขับรถลำเลียงกระเป๋าเดินทางพร้อมยิ้มขำ ก่อนจะเอ่ยหยอก "ไม่แน่พอคุณแม่กลับมาแม่ซูซาน่าอาจจะท้องป่องแล้วก็ได้นะครับ" "พูดอะไรยะพ่อตรี!?" ผู้เป็นมารดาหันมาแหวใส่ แล้วถอนหายใจเฮือก "แม่ล่ะกลุ้มใจจริง ๆ ไม่รู้ว่าถ้ามันเป็นไปได้จริง ๆ ลูกมันจะออกมาน่าเกลียดแค่ไหน" "อาจจะน่ารักกว่าที่คิดไว้ก็ได้นะครับ" ชายหนุ่มพยายามชักจูงอีกฝ่ายให้มองโลกในแง่ดี ทั้ง ๆ ที่หลังจากดูรูปคู่ตุนาหงันแบบคลุมถุงชนของแม่ซูซาน่าแล้ว อย่าว่าแต่จะจินตนาการถึงหน้าลูกสุนัขเล็ก ๆ หน้าตาประหลาดที่กำลังจะเกิดมาเลย แค่ว่าเจ้าสองตัวนี้มันจะผสมพันธุ์กันได้อย่างไรยังเป็นที่สงสัย เพราะรูปร่างของทั้งคู่ต่างกันไม่ใช่น้อย ๆ คุณหญิงงามพิศเบ้ปากด้วยความขยะแขยง "แค่พูดแม่ก็ไม่อยากคิดแล้วตรีเอ๊ย ถ้ามีลูกออกมาจริง ๆ แม่คงจะยกให้คนอื่นหมด แล้วค่อยจับแม่ซูซาน่าใส่ตระกร้าล้างน้ำใหม่ คราวนี้จะจับคู่กับสายพันธุ์เดียวกัน เพ็ดดีกรีเยี่ยม ๆ ให้ได้เลย" "คุณหญิงอรจะยอมเหรอครับ? เดี๋ยวก็โกรธแย่ หาว่ารังเกียจลูกของหมาเขา" ชื่อนั้นทำให้คู่สนทนาค้อนลมค้อนแล้งไปหลายควั่ก "โอ๊ย! แค่คิดแม่ก็กลุ้มแล้ว นี่คุณหญิงแกเตรียมการไว้เลยนะว่าถ้าเผื่อมันมีลูกสักหกตัว จะแบ่งกันคนละตัว ที่เหลือจะไปแจกคุณพี่พิสมัย คุณหญิงสมจิต คนโน้นคนนี้ เชื่อเขาเลยจริง ๆ" ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ กับประโยคนั้น ก่อนจะรู้สึกถึงมือที่วางที่ไหล่ แล้วเงยหน้าขึ้นมาพบกับริ้วรอยแห่งความกังวลใจดวงตาของมารดา "นี่แน่ะตรี ยังไงก็ต้องขวางอย่างให้ทางนั้นเขาทำมิดีมิร้ายน้องได้นะลูก" คนฟังเหลือบมอง 'น้อง' ที่นั่งคอเชิดอยู่บนพื้น แล้วนึกอนาถใจ ว่าแต่คุณหญิงอรพรรณีมีรสนิยมแปลก แม่เขาเองก็แปลกใช่ย่อย ลูกตัวเองก็มีอยู่ทั้งคนยังยกระดับหมาขึ้นมาเป็นลูก สมแล้วที่คบกันกับคุณหญิงอรพรรณีได้ ++++++ ตามที่คุณหญิงอรพรรณีได้สั่งเอาไว้ เขาจะต้องขับรถไปที่บ้านมนัสวงศ์ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ผู้เป็นป้าได้ออกเดินทางไปยุโรป เพื่อแสดงมารยาทอันดีที่ 'ฝ่ายชาย' ควรทำ เสมอเทพถอนหายใจพลางเหลือบสายตามองภาพสะท้อนของเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ที่เดินพล่านไปมาในกระจกหลังอย่างหงุดหงิด ทั้งนึกโกรธไอ้หมาบ้านี่ที่ทำให้ป้าเขารักหนักหนาจนไม่ไว้ใจให้คนขับรถทำหน้าที่นี้ ทั้งนึกโกรธนึกน้อยใจป้าตัวเองที่ไม่เคยเห็นใจเขาเลยสักครั้ง ถ้าไม่ต้องมารับภาระบ้านี่ ป่านนี้เขาต้องกำลังสนุกอยู่กับการเตรียมตัวไปเที่ยวหัวหินกับเพื่อน ๆ อยู่เป็นแน่ หลังจากที่หยุดรอสักครู่ ประตูรั้วหน้าคฤหาสน์หลังงามก็เปิดออกโดยระบบอัตโนมัติ เขาขับรถผ่านสวนสวยเข้าไปจนถึงตึกสีขาวอันโอ่อ่า และพบว่ามีสาวใช้หน้าตาเอี้ยมเฟี้ยมยืนรออยู่แล้ว เสมอเทพคว้ากระเป๋ากีฬาขนาดเล็กขึ้นคล้องไหล่ แล้วหันไปผูกสายจูงเข้ากับปลอกคอของเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ ก่อนจะพามันเดินลงจากรถ ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากถามอะไร ผู้ที่รออยู่ก็รายงานขึ้นมาเสียก่อน "เชิญด้านในเลยค่ะ" เด็กหนุ่มทำหน้าพิลึก เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะก้าวเข้าไปสู่มิติลี้ลับก็ไม่ปาน "ให้ผมเข้าไปคนเดียวเหรอ?" "คุณตรีรออยู่ด้านในค่ะ" คราวนี้หลานชายคุณหญิงอรพรรณีค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้างเมื่อได้รับรู้ว่ามีคนอื่นมาช่วยแบ่งปันภาระนี้ แม้ว่าจะไม่เคยพบเจอกัน เพราะเขาตามคุณหญิงอรพรรณีเข้างานสังคมนับครั้งได้ แต่เขาก็รู้จักชื่อเสียงของจัตรีมาจากผู้เป็นป้า และเคยเห็นหน้าค่าตาของชายหนุ่มผู้นี้จากตามหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นคนลักษณะไหนเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว ขออย่างเดียว แค่ช่วยกันทำไอ้เรื่องบ้า ๆ นี่ให้จบลงเป็นพอ เสมอเทพเดินตามสาวใช้ผู้นั้นไปด้านในด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผิดกับเจ้าสุนัขพันธุ์ปั๊กที่จูงอยู่ เพราะมันค่อนข้างจะตื่นที่ มันหันซ้ายหันขวาล่อกแล่ก สลับกับการหยุดมองโน่นมองนี่เป็นระยะจนเด็กหนุ่มต้องกระตุกสายจูงบ่อย ๆ ห้องที่เขาถูกนำเข้ามานั้นดูเหมือนจะเป็นห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งโดยเน้นความสบายเป็นหลัก อันที่จริงเจ้าบ้านไม่ได้เต็มใจจะดำเนินการตามเจตนารมย์ของคุณหญิงอรพรรณีแม้แต่น้อย หากแต่ก็เกรงอีกฝ่ายจะว่าเอาได้ว่าไม่รักที่จะคบค้าสมาคมด้วย อีกทั้งไม่ว่าจะดีจะร้าย คุณหญิงงามพิศก็ต้องการจะปฏิบัติตัวในฐานะเจ้าบ้านให้สมบูรณ์ที่สุด น้ำหนักตัวทำให้เท้าของเขายวบหายลงไปในพื้นพรมหนานุ่มที่ปูห้องถึงหนึ่งนิ้ว ส่วนเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะหายตื่นสถานที่แล้วตะกรุยขาไปมาอย่างสนุกสนาน จนเด็กหนุ่มต้องส่งเสียงปราม "เดี๋ยวพรมบ้านเขาขาดฉันไม่มีเงินใช้นะเว้ย ต้องรอเจ้านายแกกลับมา" ว่าพลางก็เหลียวมองไปรอบ ๆ แล้วอดจะขมวดคิ้วไม่ได้ ตอนแรกเขาคิดว่าห้องนี้เป็นห้องนั่งเล่น เพราะเห็นเบาะนวมขนาดใหญ่หลายรูปทรงวางอยู่กับพื้น แต่พอพิจารณาดี ๆ แล้ว ดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่ห้องสำหรับมนุษย์ นอกเสียจากว่าคนที่มาใช้จะต้องการความเป็นส่วนตัวและความเรียบง่ายอย่างเหลือแสน เพราะนอกจากพื้นพรมที่นุ่มจนแทบจะเป็นเตียงได้ เบาะนวม กองผ้าสีขาวสะอาด ตู้ไม้ขนาดกระทัดรัดหนึ่งใบ แล้วก็เครื่องปรับอากาศแล้ว ไม่มีเครื่องเรือนหรือเครื่องอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อีกเลย เขามองไปรอบ ๆ พร้อมตั้งคำถามร้อยแปดกับตัวเอง หนึ่งในนั้นคือข้อสงสัยที่ว่าคุณหญิงงามพิศอาจจะเป็นพวกรสนิยมไม่ปกติเหมือนอย่างป้าเขาก็ได้ ถึงได้มีห้องแบบนี้อยู่ในบ้าน ข้อสันนิษฐานทั้งมวลต้องสะดุดกึกพร้อม ๆ กับที่เด็กหนุ่มผวาเฮือก เมื่อหางตาจับภาพเงาร่างที่ยืนเต็มกรอบประตู เขาหันไปหาอีกฝ่ายทั้งตัว แล้วพบว่าผู้มาใหม่คือชายหนุ่มที่มองแค่แวบแรกก็พอจะอนุมานได้ทันทีว่าเป็นบุตรชายเจ้าของบ้าน แต่ฝ่ายนั้นมายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเองก็ไม่รู้ได้ "ทำให้ตกใจเหรอ?" ฝ่ายตรงข้ามถามยิ้ม ๆ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหน้าม้านเล็กน้อย แล้วตอบไม่เต็มเสียงนัก "เปล่าครับ" มาถึงตรงนี้เสมอเทพเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าด้วยวัยวุฒิที่ด้อยกว่าทำให้เขาควรจะเป็นฝ่ายแสดงความเคารพอีกฝ่ายก่อน ฝ่ายนั้นรับไหว้ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง ขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่บนใบหน้าของอาคันตุกะพร้อมยิ้มละไม "มาตรงเวลาเป๊ะเลยนะ" เด็กหนุ่มไม่โต้ตอบหรือแสดงความเห็นใด ๆ ได้แต่คอยรั้งสายจูงของเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ที่เอาแต่กระดิกหางพั่บ ๆ พร้อมกระโดดไปมาอย่างระริกระรี้เมื่อเห็นคนแปลกหน้า พร้อมนึกค่อนในใจ ถ้าป้าเขาเลี้ยงไอ้หมาเวรนี่ไว้เฝ้าบ้าน ป่านนี้คงถูกขโมยยกเค้าไปนานแล้ว ภาพเจ้าสัตว์สี่ขารูปร่างอ้วนกลมเป็นลูกบอลกับใบหน้าย่น ๆ และคางยื่น ๆ ของมันทำให้จัตรีพ่นหัวเราะออกมาทางจมูกเมื่อคิดถึงคำสั่งของมารดาเมื่อเช้าวาน ไม่รู้ว่าถ้าคุณหญิงอรพรรณีเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฝ่ายนั้นยังจะกล้าหาทางต่อต้านไหม "หมาคุณล่ะครับ?" เด็กหนุ่มถามอย่างไม่อ้อมค้อมแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่อยากใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่นี่เพื่อคอยเฝ้าให้หมาผสมพันธุ์กัน ร่างสูงมองไปทางประตูห้อง ก่อนจะหันมาตอบคำถาม "เป่าขนอยู่ เมื่อกี้เขาเพิ่งพาไปอาบน้ำ เราเป็นหลานชายคุณหญิงใช่มั้ย? ชื่ออั้มรึเปล่า?" เมื่อคำตอบคือการพยักหน้า เขาจึงพูดผ่านรอยยิ้มเอื้ออารี "เรียกพี่ตรีก็ได้ ไม่ต้องเรียกคุณหรอก" เสมอเทพพยักหน้าแบบส่ง ๆ แสดงการรับรู้ พร้อมเอี้ยวตัวไปเปิดกระเป๋าที่สะพายมาด้วยเพื่อหยิบอะไรบางอย่าง แล้วส่งมันให้ชายหนุ่ม ฝ่ายตรงข้ามรับแผ่นกระดาษมาด้วยสีหน้างง ๆ ก่อนจะห่อปาก "อ๋อ เพ็ดดีกรี คุณหญิงให้แม่พี่ไว้แล้วนี่ วันนั้นเห็นถืออยู่ แต่พี่ไม่ได้อ่าน" เขาจงใจตัดต่อส่วนที่มารดาขยำกระดาษแผ่นนั้นจนเป็นก้อนกลมดิกทิ้งไปเสียเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้าน "คุณป้าบอกให้เอามาให้อีกรอบ" ชายหนุ่มพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะพิจารณากระดาษในมือ แล้วแกล้งเพ่งสายตาแบบคนแก่พลางอ่านเสียงดัง "ต้นตระกูลเป็นสุนัขในราชสำนักของเจงกีสข่าน " อ่านได้แค่ประโยคเดียวจัตรีก็ต้องขมวดคิ้ว แล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง "นี่มันกี่รุ่นวะเนี่ย?" ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ่านเพ็ดดีกรีฉบับยาวเหยียดที่มีเค้าโครงว่าจะมหัศจรรย์พันลึกตั้งแต่ประโยคแรกได้ต่อ เสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น พร้อม ๆ กับที่เด็กหนุ่มผู้เป็นอาคันตุกะอ้าปากค้าง เสมอเทพเบิกตามองสุนัขพันธุ์บอร์ซอยที่ถูกจูงเข้ามา แล้วสะบัดหน้าลงมองเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ที่ตัวเองคอยรั้งสายจูงไว้อยู่ ก่อนจะนึกอยากทำเสียงคร่อก ๆ ในคอ ด้วยขนาดของเจ้าหมาสองตัวนี้ต่างกันลิบ จากการคะเนทางสายตา คู่ตุนาหงันของเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ สูงถึงสองฟุตครึ่ง ในขณะที่มันเองสูงแค่หนึ่งฟุต เวร เวร และเวร เป็นเพียงคำเดียวที่ดังขึ้นในสมองของเด็กหนุ่ม ทำไมโชคชะตาช่างเล่นตลกกับเขาเช่นนี้ เกิดมาดูโลกยังไม่ทันได้ทำบัตรประชาชนบุพการีทั้งคู่ก็ตายจากไปพร้อมกัน ทิ้งเขาไว้ให้อยู่ในการดูแลของผู้เป็นป้าที่แสนจะมีรสนิยมไม่ปกติ ในวัยหนุ่มเช่นนี้เขาควรจะได้เที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ ในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน แต่ทำไมตอนนี้เขาถึงต้องมารับหน้าที่ควบคุมหมาให้ผสมพันธุ์กัน? ที่แย่ที่สุดของที่สุด มันจะผสมพันธุ์กันได้ยังไง แล้วทำไมป้าโรคจิตของเขาถึงได้มีความคิดอุตริขนาดนี้ เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกด้วยความสยองขึ้นมากระทันหัน เมื่อความทรงจำในฤดูฝนปีที่สิบหกของชีวิตแวะเวียนเข้ามาทักทายอีกครั้ง ตอนนั้นคุณหญิงอรพรรณีต้องการจะให้เขาเรียนไวโอลินเพื่อจะได้เป็นที่เชิดหน้าชูตา เข้าวงสังคมชั้นสูงได้ แต่เสมอเทพเป็นเด็กที่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเล่นเพลงที่ฟังออกว่าเป็นเพลงได้เลยสักครั้ง ผู้เป็นป้าจึงยื่นคำขาดว่า "ถ้ายังเล่นไม่ได้อีกปิดเทอมนี้ฉันจะให้แกอยู่บ้านตลอด จะไม่ให้ออกไปเที่ยวไหนเลย คอยดูฉันสิตาอั้ม" แล้วเขาก็ได้แกร่วอยู่กับบ้านตลอดปิดเทอมจริง ๆ และไม่เคยคิดอยากจะแตะไวโอลินอีกเป็นครั้งที่สอง แม้คราวนี้ผู้เป็นป้าจะไม่ได้คาดโทษเอาไว้ว่าถ้าเขาทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จผลจะเป็นเช่นไร แต่เด็กหนุ่มก็รู้ชะตาชีวิตของตัวเองดี งานนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำให้แม่ซูซาน่าอะไรนี่ท้องให้ได้ "ท่าทางจะยากอยู่เหมือนกันนะเนี่ย" เสียงทุ้มของเจ้าบ้านดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวก็กำลังมองสุนัขทั้งสองที่ยืนอยู่คนละมุมห้องสลับกันไปมา "ต่อเก้าอี้คงได้มั้ง" เสมอเทพงึมงำ แต่ก็ยังไม่พ้นจากรัศมีการได้ยินของฝ่ายตรงข้ามที่ขำพรืดออกมาทันทีหลังจากที่ได้ยินประโยคดังกล่าว "ขืนซี้ซั้วไปต่อเก้าอี้ให้มันอึ๊บกัน หมาคุณหญิงโดนซูซาน่ามันกัดยับไม่รู้ด้วย อยู่ดี ๆ ใครจะยอมโด่งก้นเข้าหา" คำพูดแบบไม่มีทางคดทางเลี้ยวนั้นทำให้คนฟังสะอึกเล็กน้อย ในขณะที่ร่างสูงของชายหนุ่มตรงเข้าไปรับสายจูงมาจากสาวใช้แล้วปิดประตูห้อง ก่อนจะหันมายิ้ม ซึ่งดูแล้วออกจะเป็นยิ้มที่แปลกสักหน่อยในสายตาเสมอเทพ "เราต้องให้เจ้าสองตัวนี้ทำความสนิทสนมกันก่อนรู้มั้ย" ++++++ ภาพของสุนัขพันธุ์บอร์ซอยที่เยื้องยุรยาตรไปมาอย่างสง่างามอยู่ตรงมุมห้องอีกด้าน กับภาพอันแสนขัดกันของเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ ที่กำลังสะบัดหัวสะบัดหางหมายจะเล่นกับคู่ตุนาหงันของตัวเองจนน้ำลายหยดลงเปื้อนพรมหนานุ่มอยู่หลายแหมะ ทำเอาใครบางคนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ปฏิกิริยาตอบรับของฝ่ายหญิงยังเหมือนเดิมกับเมื่อวานเปี๊ยบ เด็กหนุ่มนึกถึงช่วงเวลาสิบชั่วโมงที่เขาเสียไปโดยไม่ทำอะไรอื่นนอกจากหายใจ กับเฝ้าดูความสัมพันธ์ที่หวังจะให้คืบหน้าของหมาทั้งสองตัว โดยฝ่ายหนึ่งคอยหนีด้วยความรำคาญ ในขณะที่อีกฝ่ายตามอย่างไม่ลดละหรือคิดจะเจียมสังขารตัวเอง คิดถึงตรงนี้เสมอเทพอดจะนึกน้อยใจขึ้นมานิด ๆ ไม่ได้ นี่คุณป้ารับอุปการะเขาทำไมกันนะ ทำไมไม่ปล่อยให้ญาติคนอื่นทำหน้าที่นี้แทน เพราะคุณป้าเองก็ดูจะไม่ได้ไยดีเขาเลยสักนิด เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าถึงกับให้เขายกเลิกการไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ เพื่อมาทำหน้าที่บ้าบอนี่ "พี่เล่าเรื่องตลกให้ฟังแก้เครียดดีกว่า อยู่ว่าง ๆ อย่างนี้คงเบื่อ" อยู่ ๆ เสียงมนุษย์ที่ต้องมารับชะตาเดียวกันก็ดังขึ้น เล่นเอาเด็กหนุ่มแทบสะดุ้ง แต่ก็ควบคุมสติได้ทัน "เอาสิครับ" เขาตอบแกน ๆ จัตรีกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเรื่อง "อันนี้เป็นคล้าย ๆ นิทานของจีนนะ พอดีเพื่อนพี่เขาเล่าให้ฟังอีกที" เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย พร้อมนึกในใจ จะเล่าก็รีบเล่าซะทีเถอะ "เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสมัยก่อนโน้นนนนน มีตาแก่คนหนึ่งเดินหาบหมวกฟางขายจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ระหว่างทางแกรู้สึกเหนื่อยก็เลยหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วหลับไปด้วยความเพลีย ระหว่างที่แกหลับไป พวกลิงที่อยู่บนต้นไม้ก็พากันลงมาขโมยหมวกที่แกหาบขาย พอตาแกคนนี้ตื่นขึ้นมาก็พบว่าหมวกของตัวเองหายไปหมด เหลือแต่ใบที่สวมไว้อยู่บนหัว เหลือบมองขึ้นไปบนต้นไม้ถึงได้เห็นว่าพวกลิงมันขโมยของแกไป แกก็เลยนึกรำพันในใจว่าความจริงแล้วลิงเป็นสัตว์ที่ชอบเลียนแบบ พวกมันเป็นแกใส่หมวก ก็เลยขโมยไปใส่บ้าง คิดได้ดังนั้นตาแกก็เลยถอดหมวกที่ตัวเองใส่อยู่แล้วเขวี้ยงลงกับพื้น พวกลิงเห็นอย่างนั้นก็เลยทำตาม หมวกทุกใบร่วงลงมาอยู่ที่พื้น คราวนี้ตาแก่ก็เลยเก็บหมวกไปขายอย่างสบายใจ" คนเล่าหยุดอยู่แค่นั้น เล่นเอาอีกฝ่ายอดจะขมวดคิ้วนิด ๆ ไม่ได้ "จบแล้วเหรอครับ?" "ยัง" ฝ่ายนั้นตอบหน้าตาเฉย "จะดูว่าเราสนใจฟังรึเปล่า" "ฟังอยู่ครับ" เสมอเทพกัดฟันงึมงำ "หลาาาาาาาายปีผ่านมา" ชายหนุ่มแกล้งลากเสียงยาว "หลานชายของตาแก่คนนั้นรับหน้าที่หาบหมวดฟางขายแทนปู่ จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ระหว่างทางก็รู้สึกเหนื่อยก็เลยหยุดนอนพักใต้ต้นไม้ต้นเดียวกับกับที่ปู่เคยพัก พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าหมวกที่หาบขายหายไปหมด มองไปบนต้นไม้ก็พบว่าพวกลิงนั่นเองที่ขโมยไปใส่ เจ้าหนุ่มนี่จำคำที่ปู่เคยบอกได้ ก็เลยถอดหมวกตัวเองโยนลงพื้น แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเพราะไม่มีลิงสักตัวโยนหมวกตาม ในขณะที่เจ้าหนุ่มนี่กำลังงงเต๊ก ก็มีลิงตัวหนึ่งลงมาจากต้นไม้แล้วพูดกับเด็กหนุ่มว่า 'พวกข้าก็มีปู่เหมือนกันเว้ย!'" คนเล่าพูดจบประโยคก็หัวเราะก๊ากออกมาเองอย่างชอบอกชอบใจ ในขณะที่เด็กหนุ่มทำหน้าพิลึก "ไม่ขำเหรอ? พี่ว่าขำจะตายนะเนี่ย เล่าเองยังขำเอง" จัตรีถามอย่างแปลกใจ "ทำไมลิงถึงพูดได้?" "โธ่น้อง! มันนิทาน ตอนเด็ก ๆ ไม่เคยอ่านนิทานเหรอ?" เด็กหนุ่มไม่โต้ตอบ ได้แต่นั่งเท้าคางอย่างเซ็ง ๆ ไม่ว่ามันจะเป็นนิทานหรือเปล่าเขาก็ไม่ขำสักนิดก็แล้วกัน "เฮ้ย!" เสียงร้องอุทานเบา ๆ เรียกสติเขาให้กลับมา ภาพตรงหน้าทำให้ริมฝีปากที่เมื่อครู่ปิดสนิท คลี่ยิ้มออกมาได้นิด ๆ "ซูซาน่ายอมให้เข้าใกล้แล้วเห็นมั้ย" ฝ่ายเจ้าบ้านพูดขึ้นมาอีก พร้อมทั้งถือวิสาสะโอบไหล่เด็กหนุ่มโดยไม่ขออนุญาต แต่เสมอเทพก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะคิดว่าฝ่ายตรงข้ามคงกำลังอยู่ในอารามดีใจเหมือนกัน "เก้าอี้ ๆ" เขาลุกขึ้นอย่างกระวีกระวาดจะเรียกสาวใช้ให้หยิบของที่ต้องการ แต่ก็ถูกนิ้วแข็ง ๆ ฉุดข้อมือไว้เสียก่อน "จะไปไหน?" "ก็จะไปหาเก้าอี้ไงครับ" เด็กหนุ่มตอบใสซื่อ จัตรีกดไหล่เล็กลงไปเหมือนเดิม แล้วบุ้ยใบ้ไปยังโทรศัพท์ภายในที่เด็กหนุ่มเพิ่งจะสังเกตเห็น "เดี๋ยวจะโทรเรียกให้เอง" ผู้เป็นอาคันตุกะหันไปอีกทางเพื่อซ่อนใบหน้าปูเลี่ยน ๆ ของตัว ถึงตอนนี้เขารู้ยิ่งกว่ารู้ว่าทำไมคุณหญิงงามพิศถึงสนิทกับป้าของตนได้ ที่แท้ก็เป็นพวกโอเว่อร์ไม่สร่างเหมือนกันนี่เอง ไม่รู้ว่าจะติดโทรศัพท์ภายในไว้ในห้องนังซูซาน่าทำไมนะ หรือว่าถ้านังซูซาน่าเกิดหิวขึ้นมามันจะกดโทรศัพท์เรียกคนใช้ให้เอาอาหารมาเสิร์ฟได้หรือไงกัน! เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองสามครั้ง และหลังจากที่ได้รับการอนุญาตจากนายที่อยู่ข้างใน สาวใช้คนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กในมือ "คุณตรีเรียกหาโต๊ะทำอะไรเหรอคะ?" หล่อนถาม พลางส่งของในมือให้ชายหนุ่มที่ตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด "ไอ้สองตัวนี้มันจะได้อึ๊บกันสะดวก ๆ ไง" คราวนี้แม่สาวใช้ถึงกับเบิกตากว้าง แล้วทำเสียงกระซิบกระซาบ "คุณตรีคะ! ก็คุณผู้หญิงสั่งไว้ว่า " "เออน่า เราออกไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเอง" เสียงที่ว่ากระซิบนั้นถึงแม้จะไม่ดัง แต่ก็ไม่ได้เบาเสียงจนเด็กหนุ่มจะจับความไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง (พร้อมกับหมาอีกสองตัว) เสมอเทพจึงอดจะถามด้วยความกังวลไม่ได้ "คุณหญิงมีอะไรไม่สะดวกใจหรือเปล่าครับ?" "ไม่มี" ฝ่ายเจ้าบ้านปฏิเสธเสียงชัดแจ๋วพร้อมยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอนหายใจออกยาว "ทำไมเหรอ?" "ก็ " เสมอเทพอึกอัก พลางมองร่างที่กำลังกางโต๊ะญี่ปุ่นไว้ใกล้ ๆ กับบริเวณที่เจ้ามาร์ค แอนโทนี่ และนังซูซาน่าเคล้าเคลียกันอยู่อย่างลังเล ก่อนจะต่อประโยคตัวเอง "ถ้าผสมพันธุ์เจ้าสองตัวนี้ไม่ได้ล่ะก็ ผมคงตายแน่ ๆ อาจจะถูกไล่ออกจากบ้านด้วยซ้ำ" แน่ล่ะ เรื่องมันออกจะเกินความจริงไปหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยนี่นา! "ไม่หรอกมั้ง" ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ "เราเป็นหลานคนโปรดคุณหญิงไม่ใช่หรือไง?" "ผมไม่ใช่หลานคนโปรดของคุณป้าหรอก" ฝ่ายนั้นตอบเสียงสะบัด จัตรีเลิกคิ้ว "ทำไมล่ะ? ถ้างั้นใครเป็นหลานคนโปรดของคุณหญิง" "พี่เค็งไง คุณป้าน่ะรสนิยมผิดมนุษย์มนา คนหน้าตาปกติอย่างผมเป็นคนโปรดไม่ได้หรอก" "เค็ง" ชายหนุ่มทวนคำ แล้วทำหน้านึกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยิ้มขำ "คุณกัญจมาศน่ะ? หน้าตาประหลาดตรงไหนกัน? เขาออกจะสวย" เขาหมายถึงหญิงสาวที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงสังคมชั้นสูง หล่อนมีผิวขาวใสอมชมพู ผมยาวสีดำขลับ ตากลมโตสดใส เรือนร่างเล็กกระทัดรัดดูเหมาะเจาะ เสมอเทพทำปากเบะ "อย่างนั้นยังว่าไม่ประหลาด แค่ชื่อก็พิลึกแล้ว คนอะไร ผิวบางจนเห็นเส้นเลือดข้างในชัดเลย ตาก็โปนอย่างกับปลาทอง แถมเวลาถ่ายรูปชอบทำปากเบี้ยว ๆ บูด ๆ ประมาณนึกว่าตัวเองน่ารักอีก คุณไม่รู้อะไร พี่เค็งน่ะมีรูปถ่ายตอนแต่งแฟนซีเป็นคอลเล็คชั่นเลย อยู่ดี ๆ ก็นึกอยากแต่งตัวเป็นกบขึ้นมาอย่างเนี้ย แถมลงไปถ่ายในสระบัวอีกต่างหาก คนปกติเขาทำกันที่ไหน" ชายหนุ่มรู้สึกขนลุกแกมสยองเมื่อได้ยินข้อเท็จจริงที่คาดไม่ถึง ก็กัญจมาศที่เขาเห็นตามงานสังคมและหน้าหนังสือพิมพ์ดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวที่มีคอนเซปต์ประจำตัวคือ สวย เริ่ด เชิด หยิ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าหล่อนมีรสนิยมไม่ธรรมดาอย่างนี้ หรือว่าผู้หญิงนี่ไม่ธรรมดากันทุกคนนะ? ดีแล้วล่ะที่เขา "ถ้าคุณหญิงเขาไม่รักไม่เอ็นดูอั้ม เขาคงไม่เอาอั้มมาอยู่ด้วยหรอก เชื่อพี่เหอะ" ใบหน้าที่หม่นไปเล็กน้อยของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขารีบพูดอะไรออกมาสักอย่างทันที แต่แล้วก็นึกด่าตัวเองในใจเมื่อวงหน้านั้นยิ่งสลดลงยิ่งกว่าเดิม "ทำอะไรครับ!?" วงแขนที่อยู่ดี ๆ ก็เอื้อมมาวางพาดที่ไหล่ทำให้เสมอเทพร้องอุทานออกมา แล้วกระถดตัวหนีเมื่อเห็นแววตาแปลก ๆ ของฝ่ายตรงข้าม "ก็เห็นทำหน้าน่าสงสาร กลัวจะเหงาไง" ประโยคนั้นทำให้คนฟังถึงกับอึ้งไปพร้อมกับพยายามประมวลความคิดกับตัวเอง ปกติแล้วผู้ชายจะพูดอย่างนี้กับผู้ชายด้วยกันไหมหว่า? ถ้ากับพวกเพื่อนเขาล่ะก็ไม่มีทาง แต่นี่ เขาไม่ค่อยได้วิสาสะกับคนอายุมากกว่านัก อาจจะเป็นเรื่องปกติก็ได้ "แง่ง!!!" "เอ๋ง เอ๋ง เอ๋ง เอ๋ง!!" การสรรเหตุผลของเด็กหนุ่มหยุดลงกระทันหันเมื่อได้ยินเสียงร้องที่ดังลั่นห้องของเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ ซึ่งบัดนี้กระโดดแผล็วลงจากโต๊ะญี่ปุ่น ในขณะที่นังซูซาน่ายังยืนอยู่ที่เดิม แต่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก เสมอเทพร้อง 'อ๋อ' ในใน แล้วนึกชมสุนัขตัวโปรดของป้าตัวเอง ไอ้หมานี่บทมันจะฉลาดก็ฉลาดกว่าที่คิดไว้ เห็นได้ชัดว่ามันรู้ยิ่งกว่ารู้ว่าโต๊ะญี่ปุ่นตัวนั้นมีไว้เพื่อประโยชน์อันใด เขาย่อตัวลงกับพื้นเมื่อเจ้าตัวดีวิ่งหางหูตกเข้ามาใกล้ แล้วพยายามสำรวจบาดแผลที่มันได้รับด้วยสีหน้ากังวล แต่แล้วก็แทบจะถอนหายใจออกมาดัง ๆ เมื่อเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ ไม่มีหลักฐานการบาดเจ็บแม้กระผีกริ้น แล้วอย่างนี้มันจะร้องไปหาอะไรกัน ไอ้หมาขี้ขลาด ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเอาซะเลย! "เป็นยังไงบ้าง? โดนซูซาน่ากัดเอาหรือเปล่า?" จัตรีถามพลางย่อตัวลงมานั่งเสมอกันบ้าง ในขณะที่เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกทะแม่ง ๆ อีกครั้ง ปากก็ถามถึงหมา แต่ทำไมมือเจ้าตัวถึงมาวางแหมะไว้บนหัวเข่าเขาได้หว่า? ++++++ "เฮ้ย! ไอ้อั้ม เป็นไรวะ? ไม่เจอแค่ไม่ถึงอาทิตย์หน้าโคตรโทรม หรือว่าคิดถึงคุณหญิงป้าของเอ็งมาก" ทวีเกียรติเอ่ยปากทักเพื่อนสนิทเป็นประโยคแรกเมื่ออีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกพนักงานประจำร้านให้นำเมนูอาหารมาให้ "เอ็งอย่าพูดถึงเขาได้มั้ย? ข้ายิ่งกลัว ๆ อยู่" ฝ่ายตรงข้ามงึมงำเสียงแผ่ว ราวกับกลัวว่าผู้ที่ถูกเอ่ยถึงจะได้ยินแล้วปรากฏกายออกมาจริง ๆ ทวีเกียรติยิ้มขำพลางส่ายหน้า "กลัวป้าไม่เปลี่ยนเลยนะเอ็ง แล้วนัดออกมามีอะไร ไหนว่ามีธุระสำคัญ ยังไงมื้อนี้เอ็งต้องเลี้ยงนะเว้ย" "เออ ๆ รู้แล้ว" หลานชายคุณหญิงอรพรรณีแกล้งทำเสียงรำคาญขณะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ แล้วหยิบหนังสือเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ออกมาให้อีกฝ่าย "เผื่อเอ็งจะรีบใช้" "จะรีบคืนทำไมว้า" เพื่อนสนิทว่าพลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปรับ "เดี๋ยวคืนหลังกลับจากไปหัวหินก็ได้ ข้าไม่รีบร้อนอะไรสักหน่อย" มาถึงประโยคนี้เขาก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถอนหายใจออกยาว แล้วพูดไม่เต็มเสียงนัก "คืนตอนนี้แหละดีแล้ว ข้าคงไม่ได้ไปหัวหินกับพวกเอ็ง ดีไม่ดีปิดเทอมนี้อาจจะไม่ได้ออกไปข้างนอกอีก" "เฮ้ย! อะไรจะรุนแรงขนาดนั้น โดนคุณหญิงป้าคาดโทษอะไรเอาไว้อีกหรือไง?" เสมอเทพทำหน้าเศร้า คิดเอาไว้ว่าจะไม่ปริปากเรื่องที่ตัวเองต้องรับหน้าที่ผสมพันธุ์หมาจนไม่ได้ไปเที่ยวหัวหินกับเพื่อน ๆ แต่ความอัดอั้นที่พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้เขาอยากจะเล่าให้ใครสักคนฟังบ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะหลังจากที่ความหวังจะเผด็จศึกนังซูซาน่าของเจ้าหมาอัปลักษณ์นั่นล้มเหลว ถ้าคุณป้ารู้คงต้องโกรธอย่างไม่ต้องสงสัย และเขา อาจจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลยจนกว่าจะเปิดเทอม โอ ชีวิต! "เฮ้ย! ว่าไง เอ็งไปทำอะไรไว้ คุณหญิงป้าถึงได้ไม่ยอมให้ไปเที่ยวหัวหิน" "ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ เอ็งก็รู้ว่าข้ากลัวเขายิ่งกว่าหนูกลัวแมว" เขาตอบ ก่อนจะมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาเคลือบแคลงแกมอ้อนวอน "ถ้าข้าเล่าเอ็งอย่าเอาไปบอกคนอื่นนะเว้ย แล้วก็ห้ามหัวเราะด้วย" "เออ เล่ามา" "คุณหญิงป้าให้ข้า " เด็กหนุ่มหยุดอยู่แค่นั้นเมื่อพนักงานของทางร้านเอาอาหารที่สั่งมาขึ้นโต๊ะให้ ก่อนจะพูดเสียงแผ่วกว่าเดิม แม้ว่าจะเหลือกันอยู่สองคนแล้วก็ตาม "คุณหญิงป้าให้ข้าเอาไอ้มาร์ค แอนโทนี่ ไปผสมพันธุ์กับหมาเพื่อนเขาว่ะ" คนฟังเบิกตากว้างแล้วกัดฟันแน่น แต่เพื่อนสนิทก็ยังรู้ทันจึงได้เหวี่ยงปลายเท้าไปเตะหน้าแข้งอีกฝ่ายเต็มแรง "บอกว่าห้ามหัวเราะ" "ก็กำลังพยายามกลั้นอยู่นี่ไงเล่า!" ทวีเกียรติว่า แล้วพยายามปั้นสีหน้าเห็นอกเห็นใจ ทั้ง ๆ ที่อยากจะปล่อยก๊ากออกมาเต็มแก่ "น่าสงสารจริง ๆ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะที่ทำให้เอ็งไม่ได้ไปเที่ยวหัวหิน?" "อืม" "ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวพวกข้าเที่ยวเผื่อ" บทสรุปง่าย ๆ เล่นเอาเสมอเทพรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจเพื่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "แค่นี้เหรอวะ?" "เออ" ฝ่ายนั้นว่าพลางทำเสียงกึก ๆ อยู่ในคออันเกิดจากการกลั้นหัวเราะ แต่แล้วก็ต้องล้มเหลวเมื่อเจ้าตัวก้มหน้าลงขำพรืดออกมา "ดีออกนะเว้ย เรียนจบมาเอ็งจะได้เปิดฟาร์มผสมพันธุ์หมา" "ไอ้เวรนี่ " ทวีเกียรติรีบยกมือปรามก่อนที่ฝีปากตระไกรของเพื่อนสนิทจะได้ทำงานไปมากกว่านั้น "หมาเพื่อนคุณหญิงป้าเอ็งพันธุ์อะไรวะ? ข้าขอเดา ด้วยรสนิยมไม่ปกติของคุณหญิงป้าเอ็ง มันต้องต่างกับไอ้มาร์ค แอนโทนี่สุดขั้ว งั้นพุดเดิ้ลอ่ะ ดูเข้าแก๊ปโฉมงามกับเจ้าชายอสูรเปี๊ยบเลย เขาชอบอย่างนี้ไม่ใช่รึ?" "ของป้าข้าเป็นบุษบากับจรกาต่างหาก แต่เป็นบุษบาสหัสวรรษ ถือคติ กูสวย กูเริ่ด เพราะงั้นกูก็เลยเชิด เพราะงั้นกูก็เลยหยิ่ง" เสมอเทพใส่แอคติ้งเต็มที่ เพื่อระบายความอัดอั้นที่สะสมมานาน "พันธุ์อะไรของเอ็งวะน่ะ?" "บอร์ซอย" เขาตอบพร้อมยักคิ้ว เมื่อเห็นเพื่อนสนิทอ้าปากพะงาบ ๆ เพราะดันไปเผลอจินตนาการถึงหน้าตาของลูกสุนัขที่(อาจ)จะลืมตาขึ้นมาดูโลกในไม่ช้า "เจ้าของเขายอมเหรอวะ" ทวีเกียรติทำหน้าสงสัยไม่หาย "แต่เป็นเพื่อนกับคุณหญิงป้าเอ็ง ก็น่าจะมีรสนิยมไม่ปกติเหมือน ๆ กันมั้ง" ฝ่ายตรงข้ามทำคอย่น "เจ้าของเขาคงไม่ค่อยยอมหรอก แต่เอ็งก็รู้ ใครจะขัดคุณหญิงป้าข้าได้ นี่เขาก็ไปทัวร์ยุโรปด้วยกันอยู่น่ะเนี่ย" "ใครวะ? เจ้าของหมาบอร์ซอยผู้โชคร้ายคนนั้น" "คุณหญิงงามพิศ นามสกุลอะไรข้าก็จำไม่ได้" "งามพิศ มนัสวงศ์" ทวีเกียรติตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจในตัวเอง เพราะไม่เคยพลาดข่าวแวดวงไฮโซสักครั้ง ผิดกับเพื่อนสนิทที่แม้จะจัดเป็นสมาชิกของสังคมเลิศลอยนี้ แต่ก็ไม่สนใจความเป็นไปของมันเท่าใดนัก "ประมาณนั้นมั้ง" เสมอเทพตอบเนือย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพูดรัวเร็วเมื่อระบายความอัดอั้นของตนออกมา "เอ็งรู้มั้ย แค่ไปบ้านนั้นสองวันข้าก็เส้นประสาทแทบจะแตก วันแรกอยู่ที่นั่นสิบชั่วโมง วันนี้อยู่แปดชั่วโมง เพราะโชคดีที่บอกบ้านนั้นเอาไว้ว่านัดเอ็งกินข้าวเย็น ไม่งั้นทั้งข้าวเที่ยวข้าวเย็นข้าต้องกินที่นั่นหมด ขี้ข้าก็เคยขี้ที่นั่นมาแล้ว สงสัยว่าอีกหน่อยข้าวเช้าก็ต้องกินที่นั่น แล้วก็ต้องนอนที่นั่นด้วย ไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตข้าจะต้องมาลำบากลำบนขนาดนี้เพราะต้องคอยผสมพันธุ์หมา ดีที่ลูกคุณหญิงงามพิศก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงหัวเดียวกระเทียมลีบ รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม" "เบื่อนักก็ผสมพันธุ์กันเองสิ" เพื่อนสนิทเอ่ยด้วยน้ำเสียงทะลึ่งทะเล้น เด็กหนุ่มทำท่าขยะแขยง "ลูกคุณหญิงเขาเป็นผู้ชายโว้ย จะผสมพันธุ์กันได้ไง" "ข้ารู้ ชื่อคุณจัตรี มนัสวงศ์ ได้โทมาจากอังกฤษ แต่เขาซุบซิบกันว่าซื้อปริญญามารึเปล่า เพราะเห็นลอยชายไปมาไม่ทำการทำงานเสียที" "ก็รู้ดีนี่หว่า" "คนอย่างข้าไม่เคยไม่รู้เรื่องราวในสังคมไฮโซ" ทวีเกียรติยักคิ้วแผล่บ พร้อมยิ้มประหลาด "แถมยังรู้ด้วยว่าไอ้คุณจัตรี มันเป็นไบฯ" ข้อมูลที่เพิ่งผ่านสมองเข้าไปเมื่อครู่ทำให้คนฟังอ้าปากค้าง การกระทำเมื่อวานของผู้ถูกเอ่ยถึงย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอย่างรวดเร็ว หรือว่าหมอนั่นแต๊ะอั๋งเขา!?! ++++++ |