ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Pedigree 2

by...เฟื่อง

comment

เจ้าสุนัขหน้าย่นกระโดดระริกระรี้ลงจากรถทันทีที่สาวใช้บ้านมนัสวงศ์เปิดประตูหลังให้ ผิดกับเจ้าของรถที่ยังนั่งสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วระบายออกมาช้า ๆ อยู่นาน ก่อนจะก้มลงสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วน วันนี้เขาแต่งตัวรัดกุมนะ ไม่ใส่เสื้อเชิ๊ตให้แกะกระดุมง่าย แต่เป็นเสื้อยืดแล้วสวมแจ๊กเก็ตยีนส์ทับอีกทีทั้งที่อากาศกลางเดือนเมษายนร้อนจนตับแทบแลบ กางเกงก็ยีนส์แบบกระดุม แถมยังคาดเข็มขัดทับอีกต่างหาก จะได้ถอดยาก ๆ หน่อย

เสมอเทพถอนหายใจครั้งสุดท้ายออกมาหนักหน่วงเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนเจ้าสาวในคืนส่งตัวเข้าหอก็ไม่ปาน ช่วยไม่ได้…ยังไงถ้าเขาเลิกทำงานนี้จะต้องถูกคุณหญิงอรพรรณีแพ่นกระบาลออกจากบ้านแน่ แต่จะไม่ให้เตรียมการป้องกันเลยก็กระไรอยู่ เกิดไอ้คุณจัตรีมันหน้ามืดขึ้นมา จะให้สู้ก็คงไม่ไหว ก็ขนาดร่างกายของเขากับจัตรีต่างกันพอควร มาถึงตรงนี้เด็กหนุ่มนึกเสียใจตะหงิด ๆ ที่เมื่อตอนเด็ก ๆ ตัวเองไม่ยอมกินนมทั้งที่มารดาเคี่ยวเข็ญหนักหนา หนำซ้ำออกกำลังกายก็ไม่ได้ออกเป็นจริงเป็นจังอะไร ได้แต่วิ่งเล่นกับเพื่อนไปตามประสาเท่านั้น

แม่หนอแม่…ไม่น่ามาด่วนจากไปเลยจริง ๆ อย่างน้อยถ้าเผื่อแม่ยังอยู่ เขาก็ไม่ต้องเร่ร่อนมาพึ่งใบบุญของคุณหญิงอรพรรณีหรอก

ความคิดนี้ทำให้เสมอเทพต้องถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ล้านแปดของวัน แล้วต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างตัว

"กลุ้มใจอะไรแต่หัววัน?"

เขาหันขวับไปทางต้นเสียงที่เปิดประตูรถเข้ามานั่งอยู่ตรงเบาะข้าง ๆ เมื่อไหร่ไม่รู้ได้ แล้วพูดผ่านริมฝีปากสั่นระริกเหมือนคนถูกผีหลอกตอนกลางวันแสก ๆ "คุ…คุณ…คุณตรี"

"บอกแล้วว่าให้เรียกพี่ก็ได้" ฝ่ายนั้นว่า ก่อนจะพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วเอามือลูบคางเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก "เห็นเชอร์รี่เข้าไปบอกว่าวันนี้คุณอั้มทำตัวแปลก ๆ แล้วก็แปลกจริง ๆ ด้วยสิ"

สายตาที่ไล่ขึ้นลงไปมาบนร่างเขาทำให้เสมอเทพเกร็งยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ "ก็…ไม่ได้แปลกอะไรนี่ครับ"

"เหรอ? แต่งตัวอย่างกับวัยรุ่นอเมริกันเมื่อสามสิบสี่สิบปีที่แล้ว นึกยังไง อยากเป็นผู้นำแฟชั่นย้อนยุคเหรอ?"

คราวนี้เด็กหนุ่มรู้สึกหน้าร้อนฉ่า ๆ เมื่อถอดความเอาคำพูดของอีกฝ่ายออกมาได้เป็นคำเดียว…

เชย

เขานึกคันปากยิบ ๆ อยากจะโต้ออกไปว่า 'ก็เพราะผมกลัวโดนคุณปล้ำน่ะสิโว้ย!' แต่ใครจะกล้าพูด

ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเขาต้องทำให้ไอ้หมาสองตัวนี้ผสมพันธุ์กันให้ได้ ชีวิตจะได้พ้นความวิบัติที่ประเดประดังกันเข้ามาเสียที เสมอเทพหมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่าถ้าไอ้มาร์ค แอนโทนี่ มันทำเป้าได้เมื่อไหร่ เขาจะพานังซูซาน่าไปร้านสัตวแพทย์เพื่อตรวจดูทันทีว่ามันท้องหรือยัง

"แล้วจะนั่งอยู่ในนี้นานมั้ย เครื่องก็ดับไปตั้งนานแล้ว ดูสิ…เหงื่อออกเต็มเลย"

คนพูดไม่พูดเปล่า แต่ยังเอื้อมมือมาเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากให้เขาอีก เล่นเอาหลานชายคุณหญิงอรพรรณีขนลุกพรึ่บทันตา แล้วรีบถลันเปิดประตูหนี ก่อนจะหันมาปั้นยิ้มให้กับจัตรีที่นั่งทำหน้างง ๆ อยู่

"เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะครับ ป่านนี้สองตัวนั่นอาจจะไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ได้"

++++++++

ห้องส่วนตัวของนังซูซาน่าที่เขาเข้ามาขลุกอยู่อย่างไร้ความระแวดระวังถึงสองวันเต็ม ๆ วันนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายที่ไร้รูปร่างขึ้นมาเสียเฉย ๆ โดยเฉพาะเมื่อจัตรีเป็นผู้ปิดประตู…ถึงแม้ฝ่ายนั้นจะไม่กดล็อคก็เถอะ

"ดีกันแล้วนี่" เสียงฝ่ายเจ้าบ้านอุทานผ่านรอยยิ้มพอใจ เมื่อเห็นสุนัขทั้งสองตัวเคล้าเคลียกันเหมือนเมื่อวาน

"โต๊ะอยู่นั่นไง…ไอ้โง่" เสมอเทพขมุบขมิบปากด่าหมาฝ่ายตัวเอง เพราะเมื่อวานมาร์ค แอนโทนี่ ดูเหมือนจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง วันนี้มันจังทำใจเย็น เลียแข้งเลียขาฝ่ายหญิงแต่อย่างเดียว ซึ่งก็ได้แต่วิ่งต้วมเตี้ยมเลียแข้งเลียขาจริง ๆ เนื่องจากความสูงของมันไม่อำนวยที่จะให้ทำอย่างอื่นเสียเลย

เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบที่ข้างแก้ม แล้วใจเต้นตุ้บ ๆ เพียงเพราะว่าเห็นเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ มุดจมูกผ่านขนสีขาวอันยาวสลวยไปยังหว่างขาหลังของฝ่ายหญิง เขากระซิบบอกตัวเองในใจ

ใกล้แล้วโว้ย…ใกล้แล้วโว้ย…

อาการที่แปลกไปทำให้จัตรีมุ่นคิ้ว ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง "เป็นอะไร? หน้าแดงเชียว อึดอัดเหรอ? พี่ว่าอั้มถอดแจ๊กเก็ตกับเข็มขัดดีกว่านะ ในนี้ก็ไม่ได้หนาวอะไร"

ว่าพลางก็เอื้อมมือมาหมายจะช่วยอีกฝ่ายถอดแจ๊กเก็ต แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเสมอเทพถอยหนีไปหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ

"เอ่อ…" เด็กหนุ่มติดขัดแกมรู้สึกผิดเมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามวิ่งเล่นอยู่บนใบหน้าฝ่ายตรงข้าม "ผมว่าในนี้มันแคบ บรรยากาศก็ไม่เป็นธรรมชาติ อะไรต่ออะไรคงไม่ลื่นไหลนัก ถ้ายังไงเราปล่อยให้ไอ้สองตัวนี้ลงไปวิ่งเล่นในสวนดีกว่า คุณตรีว่างั้นมั้ยครับ?"

ร่างสูงทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะโปรยยิ้ม "งั้นเหรอ? อั้มว่าอย่างนั้นพี่ก็ตามใจอั้ม"

++++++

อากาศยามสายแก่ทำให้ผู้แต่งตัวไม่ถูกกาละเทศะเป็นวันที่สองถึงกับเหงื่อไหลย้อยเป็นทาง แม้ว่าจุดที่เขาและเจ้าบ้านนั่งอยู่จะเป็นซุ้มชิงช้าใต้ร่มไม้ใหญ่ เสมอเทพมองภาพเจ้าสุนัขสองตัวที่หยอกเย้าเคล้าคลอกันด้วยความสนิทสนมที่ค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อย ๆ แล้วนึกหงุดหงิดหัวใจ เขาอยากจะถอดไอ้แจ๊กเก็ตบ้านี่เขวี้ยงหัวใครสักคน แต่ติดอยู่ที่ หนึ่ง…กลัวจะโดนชายหนุ่มเจ้าของบ้านทำมิดีมิร้ายแม้ว่าจะอยู่ในสวนก็ตาม และสอง…ซึ่งสำคัญกว่า คือเขากลัวจะเสียเชิง เพราะวันนี้ดูเหมือนจัตรีจะมีความสงสัยมากขึ้นว่าทำไมเขาถึงยังเลือกใส่เสื้อผ้าแนวนี้อยู่ พอเจ้าตัวถาม เขาก็ตอบชัดถ้อยชัดคำ

'เพราะชอบครับ'

"พี่ว่าอั้มถอดเสื้อเหอะ ท่าทางร้อนเอาเรื่องอยู่นี่" เสียงแนะนำนั้นเจือไว้ด้วยความหวังดีจนเด็กหนุ่มเกือบจะคล้อยตามอยู่แล้ว ถ้าคนพูดไม่เอื้อมมือมาช่วยเข้าดึงแจ็กเก็ตถึงตัว

หลานชายคุณหญิงอรพรรณีเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว และเพิ่งจะนึกได้ว่ากิริยาที่แสดงไปเมื่อครู่นี้ด้อยมารยาทอย่างไม่ควรเป็นที่สุด จึงได้แต่แก้ตัวด้วยสีหน้าปูเลี่ยน ๆ

"ไว้อย่างนี้แหละดีแล้วครับ พอดีผมอยากลดน้ำหนัก ให้เหงื่อออกอย่างนี้น้ำหนักลดเร็วดี"

จัตรีเพ่งมองร่างในชุดแจ็กเก็ตและกางเกงยีนส์เนื้อหนา พลางทำหน้าทะแม่ง ก่อนจะออกความเห็น "พี่ว่าเราก็ผอมอยู่แล้วนะ จะลดอะไรอีก ดูสิเนี่ย" ว่าพลางเอื้อมมือมาจับต้นแขนเล็กเขย่า "ออกกำลังกายอะไรบ้าง…"

คำพูดของเขาชะงักอยู่แค่นั้นเมื่อเจ้าตัวสลัดแขนหนีอีกครั้ง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอยากเย็นเมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าของคู่สนทนา เขาเสเบือนหน้าไปทางนังซูซาน่าและเจ้ามาร์ค แอนโทนี่ที่วิ่งไล่กันอยู่รอบโขดหินใหญ่ ในขณะที่สมองครุ่นคิดหาคำแก้ตัวจนหัวแทบระเบิด

"พี่ว่าสองวันนี้เราแปลก ๆ ไปนะ มีอะไรไม่สบายใจก็ปรึกษาได้นะ"

"ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ คุณตรีอย่าสนใจเลย" เขาก้มหน้า ไม่ยอมสบตาคู่สนทนา

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงต่ำ "ไปได้ยินอะไรแปลก ๆ มาหรือเปล่า?"

เสมอเทพหันหน้าขวับไปมองคนพูดทันที แล้วแกล้งตีหน้าซื่อเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามถอนหายใจหนัก ๆ "อะไรแปลก ๆ ครับ? ทำไมคุณตรีถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?"

"ไม่รู้สิ แต่พี่รู้สึกอย่างนั้น ว่าแต่เราได้ยินข่าวลืออะไรแปลก ๆ มารึเปล่า?"

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่โผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อแจ๊กเก็ตอีกครั้ง แล้วส่ายหน้าปฏิเสธทั้ง ๆ ที่ใจจริงอยากจะถามให้รู้ดำรู้แดงไปเสียให้กระจ่าง แต่ใครจะไปกล้าถามออกไปโต้ง ๆ ว่า 'คุณตรีเป็นไบฯเหรอครับ?' ทั้ง ๆ ที่ความจริงเขาก็ออกจะอึดอัดอยู่ไม่น้อยที่ต้องสร้างกำแพงหนาปึ้กขึ้นมากั้นระหว่างตัวเองกับคนที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอดี เพราะนั่นเท่ากับว่าเขาได้ฟันธงตัดสินไปเรียบร้อยแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน

"ต้องได้ยินอะไรแปลก ๆ มาแน่ ๆ อั้มดูง่ายจะตาย" จัตรีว่าพลางหรี่ตา "ไหนบอกมาซิว่าได้ยินใครเขาว่าอะไรมา"

"ไม่มีหรอกครับ พอดีผมมีเรื่องเครียด ๆ อยู่ พอสมองเครียดมันก็เลยส่งผลกระทบไปถึงลำไส้ เพราะงั้นท้องก็เลยผูก แล้วยิ่งเลยเครียดหนักว่าเมื่อไหร่จะมันจะหายผูกซะ…"

เสมอเทพพูดได้แค่นั้นแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อผู้แก่อาวุโสกว่าแทรกขึ้นมาด้วยเสียงเรียบ ๆ "อันที่จริงไอ้ข่าวลือนั่นน่าจะได้ยินมาตั้งนานแล้วนะ เพิ่งรู้สิถึงแปลก"

เด็กหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตกกับประโยคนั้น ก่อนจะหันไปหาคนพูดพร้อมทำปากพะงาบ ๆ "ข่าวลือ…ข่าวลืออะไรครับ?"

"อ้าว?" ฝ่ายตรงข้ามทำเสียงสูง แล้วเลิกคิ้วเหมือนหลากใจเสียเต็มประดา "ก็ข่าวลือว่าพี่เป็นไบฯไม่ใช่หรือไง เห็นลือกันให้แซ่ดในหนังสือพิมพ์ ถึงได้บอกว่าเพิ่งรู้นี่สิแปลก"

น้ำเสียงเรียบเรื่อยในประโยคหลังราวกับว่าเรื่องที่พูดออกมาเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหลือประมาณนั้นเกินขีดความรับได้ของคนฟังอยู่สักนิด ร่างในชุดยีนส์เนื้อหนาขัดกับอากาศเดือนเมษายนจึงได้ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาพร้อมถามลั่น

"คุณรู้ได้ไง!?"

"ไม่รู้ก็บ้าแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ทุกวัน" ฝ่ายนั้นยังตอบเสียงเอื่อยเฉื่อยเหมือนเดิม แถมตวัดขานั่งไขว่ห้างกระดิกปลายเท้าพั่บ ๆ อย่างสบายอกสบายใจอีกต่างหาก

"ไม่ใช่ คุณรู้เรื่องที่…"

หลานชายคุณหญิงอรพรรณีชะงักคำพูดตัวเองไว้แค่นั้นเพราะรู้สึกกระดากปากเล็ก ๆ แต่คู่สนทนาก็ต่อประโยคให้อย่างรู้ทัน

"ทำไมถึงรู้สาเหตุที่อั้มทำตัวแปลก ๆ น่ะเหรอ? ก็บอกแล้วว่าเราน่ะดูง่าย อยู่ ๆ ก็เล่นแต่งตัวแบบนี้มา แถมยังทำตัวแปลก ๆ กับพี่อีก ทำไม…กลัวโดนปล้ำเหรอ?"

เสมอเทพรู้สึกหน้าร้อนฉ่า ๆ กับท้ายเสียงของ 'ทำไม…กลัวโดนปล้ำเหรอ?' เพราะมันเหมือนจะสื่อออกมาเป็นประโยคที่ว่า 'โธ่…พี่ไม่รสนิยมต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างนั้นหรอกน้อง'

เด็กหนุ่มจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามเขม็ง แต่เสียงถามกลับอ่อน ๆ อ่อย ๆ เนื่องจากไม่กล้าถามเต็มปากนัก "คุณตรีเป็นจริง ๆ เหรอครับ?"

"อั้มอยากรู้ความจริงจริง ๆ เหรอ?"

จัตรีตีหน้าขรึมเสียจนร่างโปร่งคิดว่าเขาอาจจะโกรธที่ถูกกล่าวหาอะไรพล่อย ๆ อารามตกใจกลัวกับเรื่องที่ทวีเกียรติเล่าทำให้เขาลืมคิดถึงข้อเท็จจริงข้อหนึ่งไป เรื่องที่ลือกันในวงสังคมใช่ว่าจะเป็นเรื่องจริงเสียทั้งหมด แค่ว่านักข่าวมีจิตวิทยาในการใช้ความอยากรู้อยากเห็นของคนให้เป็นประโยชน์ในการเขียนข่าวเท่านั้นแหละ ข่าวยิ่งคาวเท่าไหร่ก็ยิ่งขายดีเท่านั้น ดีไม่ดีจัตรีอาจเป็นแค่หนุ่มไฮโซจอมเจ้าชู้คนหนึ่งที่ถูกนักข่าวเหม็นขี้หน้าแล้วกลั่นแกล้งด้วยการกุเรื่องที่ว่าชายหนุ่มมีรสนิยมทางเพศไม่ปกติขึ้นมาเขียนข่าวก็ได้

เสียงถอนหายใจหนักหน่วงทำให้เขากลับสู่สถานการณ์จริงอีกครั้ง เสมอเทพจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันนิด ๆ อันเป็นผลมาจากความเครียดที่สมองกำลังได้รับ แล้วแทบจะถอนหายใจตามออกมาดัง ๆ เมื่อฝ่ายนั้นส่ายหน้าช้า ๆ อย่างเอือมระอา

"ข่าวลือยังไงก็ข่าวลือล่ะนะ นั่งเทียนเขียนกันทั้งนั้น"

คราวนี้เขาถอนหายใจออกมาจริง ๆ อย่างน้อยถ้าเจ้าตัวยืนยันขนาดนี้เขาก็ปลอดภัยล่ะ เพราะถึงแม้ไอ้คุณจัตรีมันมีรสนิยมไม่ปกติจริงๆ ก็คงไม่กล้าทำอะไรเขานักเพราะตัวเองก็ออกปากไว้แล้วนี่ว่ามันเป็นข่าวลือ

อากาศเดือนเมษายนทำให้เสมอเทพรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในเตาอบขึ้นมาอย่างปุบปับ เขานึกขันกับอาการตีตนไปก่อนไข้ของตัวเองพลางค่อย ๆ ถอดแจ็กเก็ตหนาหนักออกจากตัว ปากก็ละล่ำละลัก

"ขอโทษจริง ๆ นะครับที่เข้าใจคุณตรีผิด"

"อืม ไม่เป็นไร" จัตรียิ้มหวาน "คนเราก็ต้องมีกลัวกันบ้างเป็นธรรมดา แต่จะกลัวต่อไปพี่ก็ไม่ว่าหรอกนะ"

รอยยิ้มนั้นสะกิดใจคนมองอย่างไรชอบกลจนเสมอเทพต้องรีบสวมแจ็กเก็ตที่เกือบจะถอดพ้นตัวอยู่แล้วเข้ามาอีกครั้ง แล้วพูดไม่เต็มเสียงนัก เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่พูดเหมือนกัน

"คงไม่แล้วมั้งครับ ก็คุณตรีอุตส่าห์ยืนยันว่าเป็นข่าวลือ ผมก็…"

"ข่าวลือไง" ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะยักคิ้วแผล่บ "เพราะความจริงพี่ไม่ชอบผู้หญิงเลยต่างหาก"

++++++++++++

เสียงแหวกน้ำดังถนัดหูพร้อม ๆ กับที่ผืนน้ำแตกกระจายไปทั่วบริเวณจนได้กลิ่นคลอรีนคลุ้ง ร่างสูงพุ่งร่างให้จมดิ่งจนเฉียดก้นสระ ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยตัวให้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ แล้วนอนนิ่งอย่างสบายอารมณ์ เขาเหลือบตามองฟ้าสีสดใสพร้อมนึกหากิจกรรมที่ควรจะทำกันตัวเองว่าง เขาควรจะไปดูหนังสักเรื่อง นัดเพื่อนกินข้าว หรือไปเดินช้อปปิ้งดี?

ร่างที่กำลังปล่อยให้ความหนาแน่นของน้ำโอบอุ้มตัวอยู่ถึงกับสะดุ้งเมื่อหางตาจับภาพคนที่กำลังยืนกระมิดกระเมี้ยนอยู่ที่ขอบสระได้ จัตรีตวัดเท้าลงแตะพื้นกระเบื้องปูลายพระอาทิตย์แบบยิปซีที่ก้นสระ แล้วขมวดคิ้วใส่แขกไม่ได้รับเชิญ

"เชอรี่! มายืนทำลับ ๆ ล่อ ๆ อะไรน่ะเรา!? ฉันเกือบหัวใจวายจมน้ำตายแล้วนะ"

"หนูนึกว่าคุณตรีเห็นแล้ว" หล่อนแก้ตัวเสียงอ่อย

"เห็นแล้วฉันจะตกใจหรือไง? มีอะไร?"

เด็กสาวก้มหน้าตอบอย่างเกรง ๆ "ป้าเอียดให้มาเรียนว่ากลางวันนี้จะทำก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ค่ะ"

ชายหนุ่มพยักหน้าส่ง ๆ แล้วโบกมือไล่ ก่อนจะอุทานอย่างเพิ่มนึกขึ้นได้ "เออ ทำแค่ที่เดียวพอนะ"

คราวนี้อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา "อ้าว? แล้วไม่ทำเผื่อคุณอั้มหรือคะ?"

"ไม่ต้อง เขาไม่มาแล้ว" เขาตอบพลางวักน้ำเล่นเหมือนไม่มีอะไรทำ

"ทำไมล่ะคะ?"

จัตรีชะงัก ก่อนจะยกมือเท้าเอวใต้น้ำ "ถามทำไมน่ะเรา มีอะไรทำก็รีบไปทำซะ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง"

ชายหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ ให้กับร่างที่เดินลับตาไปก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปนอนแผ่บนสปริงบอร์ด ดวงตาเหลือบมองท้องฟ้าสีครามใสก่อนที่ริมฝีปากจะจุดรอยยิ้มขึ้นมาอย่างนึกขัน เสมอเทพเป็นเด็กที่ตลกดีจริง ๆ แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหลานชายแท้ ๆ ของคุณหญิงอรพรรณีคนนั้น เพราะเด็กหนุ่มดูธรรมดาและติดดินอย่างนึกไม่ถึง

คราวนี้ร่างที่นอนเหยียดยาวระบายลมหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความเสียดาย ด้วยความที่เห็นเด็กหนุ่มมีปฏิกิริยาต่อสิ่งรอบตัวได้ตลกดีนั่นแหละเขาถึงได้เผยตัวตนออกมา ใบหน้าเอ๋อ ๆ ของเสมอเทพตอนนั้นก็ยังคงติดตาอยู่และทำให้หัวเราะได้ทุกเมื่อที่นึกถึง แต่คิด ๆ ไปก็เสียดายอยู่ไม่น้อยเพราะหน้าตาของฝ่ายนั้นตรงรสนิยมเขาพอดี

"คุณตรีคะ"

เสียงที่ดังแว่วขึ้นมาทำให้เขาสะดุ้ง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจนเกือบจะตกน้ำ จัตรีหันไปมองต้นเสียงแล้วเค้นเสียงหนัก ๆ "เชอรี่! ทำไมถึงชอบทำให้ฉันตกใจนักหา?"

เจ้าของชื่อก้มหน้างุด อุตส่าห์ให้สุ้มให้เสียงแล้ว ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะคุณตรีถึงไม่ตกใจ?

"มีอะไร?" ผู้เป็นถามเสียงห้วนอย่างรำคาญ ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินคำตอบ

"คุณอั้มมาแล้วค่ะ"

"ใครมานะ?" เขาตะแคงศีรษะถามอย่างไม่เชื่อหู

"คุณอั้มค่ะ"

"พาหมามาด้วยหรือเปล่า?"

แม่สาวเชอรี่พยักหน้า ก่อนจะเดินยอบตัวกลับเข้าบ้านไปเมื่ออีกฝ่ายโบกมือไล่ จัตรีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบเสื้อคลุมตัวนุ่มมาสวมด้วยอาการกระปรี้กระเปร่า แล้วเดินผิวปากเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี

…เด็กคนนี้น่าสนใจดีจริง ๆ ด้วย…

++++++++++++

เสียงลูกบิดประตูทำให้คนที่นั่งรออยู่ข้างในห้องเล็ก ๆ สะดุดลมหายใจตัวเองทันที แล้วยิ่งเกร็งตัวหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าผู้ที่เปิดเข้ามามีเพียงเสื้อคลุมขนหนูสีขาวคลุมร่างเอาไว้หลวม ๆ เผยให้เห็นแผงอกหนาที่มีหยาดน้ำเกาะพราว

อืม…อันที่จริงจัตรีก็เป็นผู้ชายที่มีรูปร่างสมส่วนจนน่าอิจฉาเหมือนกันนะ ท่าทางจะไปออกกำลังกายตามฟิตเนสเป็นประจำ ฟิตเนส…ก็แน่ล่ะ เป็นเกย์นี่หว่า เสมอเทพแทบจะไม่อยากคิดถึงสภาพของบรรดาชายหนุ่มมากหน้าหลากตาที่ไปฟิตเนสเดียวกับจัตรี โดยเฉพาะกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายในนั้น โอย…แค่คิดก็สยองแล้ว

เสียงกระแอมผ่านริมฝีปากที่ประดับด้วยรอยยิ้มขบขันทำให้หลายชายคุณหญิงอรพรรณีหลุดจากจินตนาการอันน่าสยดสยองทันที

"เอ่อ…คุณตรี…" อารามตกใจทำให้เด็กหนุ่มลืมยกมือขึ้นไหว้ ได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ อยู่อย่างนั้น ก่อนจะได้สติมองหาทางหนีทีไล่ แล้วพบว่าตัวเองกำลังจนตรอกอยู่ในห้องนังซูซาน่า ในขณะที่เจ้าของห้องกำลังสะบัดหัวสะบัดหางเล่นกับเจ้ามาร์ค แอนโทนี่อย่างเพลิดเพลิน

ไม่เพียงแต่เครื่องแต่งกายของเขาจะส่งให้เกิดปฏิกิริยาต่อร่างโปร่ง อาภรณ์ของเด็กหนุ่มในก็ทำให้จัตรีประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เนื่องจากวันนี้เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงยีนส์สบาย ๆ อย่างที่ชอบใส่

"คุณตรี…ทำไมแต่งตัว…" เด็กหนุ่มถามหลังจากพยายามไล่จับสติสตังให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้อย่างไม่ครบถ้วนนัก แต่ฝ่ายตรงข้ามก็รีบตอบขึ้นมาเสียก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค

"เนี่ยเหรอ?" ชายหนุ่มว่าพลางก้มลงมองสิ่งที่คลุมร่างตัวเองอยู่อย่างหมิ่นเหม่ ก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้คนถามเสียหวานจ๋อยเย็นเจี๊ยบจน…น่าขนลุก "ถอดง่ายดีไง"

อาการเกร็งตัวเฮือกอย่างฉับพลันของคนฟังทำให้เขาต้องกลั้นหัวเราะกึก ๆ ในคอ แล้วพูดต่อพร้อมแสร้งจ้องเสื้อผ้าของเด็กหนุ่มเขม็ง "ของอั้มก็ด้วยนะ"

เสมอเทพหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกหยอก แต่กระนั้นความกลัวที่แฝงอยู่ลึก ๆ กับมารยาททำให้เขาพูดได้เพียงแค่ "ผมว่าไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่ามั้ยครับ ในนี้แอร์เย็นเดี๋ยวจะเป็นหวัด"

พูดจบก็ถอยหนีแทบไม่ทันเมื่อบุตรชายเจ้าของบ้านทำท่าขยับผ้าคาดเอวพร้อมเดินเข้ามาหา แล้วพูดผ่านรอยยิ้มทะเล้นที่ประดับพราวอยู่บนหน้า "ไม่ต้องกลัวหรอก พอดีพี่ไม่มีรสนิยมบังคับขืนใจ"

"ไม่ได้กลัวครับ"

เด็กหนุ่มกัดฟันทำเสียงแข็ง การที่ฝ่ายตรงข้ามใช้คำว่า 'บังคับขืนใจ' ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าชายหนุ่มมั่นใจว่าตัวเองมีกำลังเหนือเขา ถูกล่ะว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาไม่ผิด แต่เขาเองก็เป็นผู้ชายนี่นา ใครจะยอมเสียเชิงกัน ไอ้ที่เป็นอยู่นี่ก็อับอายตัวเองจนไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

คราวนี้จัตรีทำตาโต "ไม่กลัวจริงอ่ะ"

"ครับ"

เขาพยักหน้าหงึก ๆ กับตัวเอง พร้อมเคลื่อนตัวเข้าประชิดคนที่ยืนเกร็งอยู่เต็มที่ ในขณะที่เสมอเทพก็พยายามสู้ตาอีกฝ่ายเต็มที่ทั้ง ๆ ที่ความกลัวทำเอาหัวใจเต้นเป็นจังหวะถี่ยิน ไหน ๆ ก็มีหมาอยู่เป็นพยานอีกสองตัว ไอ้คุณจัตรีนี่คงไม่กล้าทำอะไรเขาหรอก…

…น่า

เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อจู่ ๆ คนที่จ้องตากันมาเป็นนานก็ทะลึ่งหน้าเข้ามาหอมแก้มเสียเต็มฟอด ก่อนที่เจ้าตัวจะเอามือมาขยี้ศีรษะเขาพร้อมหัวเราะชอบใจ

"ตกลงคราวนี้กลัวรึยัง?"

"คุณตรี!!" เด็กหนุ่มตะเบ็งเสียงลั่นเสียลั่นห้องจนเจ้ามาร์ค แอนโทนี่และนังซูซาน่าถึงกับชะงักอย่างการหยอกกันแล้วหันมามองตาแป๋ว

ความโกรธที่เริ่มกรุ่นอยู่ในดวงตาผู้เสียหายทำให้จัตรีรู้สึกว่าตัวเองชักจะล้อเล่นแรงไปหน่อย…สงสัยจะดีใจผสมคึกมากไปแฮะ

เขาอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายได้แต่อ้าปากหวอ ยังไม่ทันได้ระเบิดอารมณ์ออกมา ขยี้ศีรษะทุยนั่นอย่างเอ็นดูอีกครั้ง "เอาน่า ๆ ไม่ทำแล้ว โทษทีนะ ถือว่าถูกพ่อหรือแม่หอมก็แล้วกันนะ หรือไม่ก็คุณหญิงป้าก็ได้"

แค่ก ๆ ๆ

เสียงเสมอเทพสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าแดงก่ำ เขากำลังโกรธได้ที่อยู่แล้วเชียว นาน ๆ จะขึงตาใส่ร่างสูงแบบนั้นได้ แต่นั่นฝ่ายนั้นดันใช้คำเปรียบเทียบอย่างนึกไม่ถึง แค่ใช้คำว่า 'แม่' มาเปรียบเทียบก็ประหลาดพอแล้ว เพราะความจริงตามเพศของคนพูดนั้นคำว่า 'พี่ชาย' ฟังดูดีกว่าเป็นไหน ๆ ถึงแม้เขาจะเป็นลูกโทนก็เถอะ แต่นี่ยังล่อถึงคุณหญิงป้า…

เด็กหนุ่มตบอกตัวเองดังปั่ก ๆ เพื่อหวังจะให้หลอดลมทำงานได้อย่างปกติ แต่แล้วก็ต้องใช้มือลูบขนแขนที่กำลังตั้งชันของตัวเอง อันเกิดจากลูกตาวาว ๆ กึ่งขบขันของจัตรี บวกกับภาพจินตนาการที่คุณหญิงพรรณีกำลังหอมแก้มเขาอย่างรักใคร่ คิดแค่นี้ร่างโปร่งก็รู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมานิด ๆ ตั้งแต่จำความได้สัมผัสจากริมฝีปากของผู้เป็นป้ามีแต่เสียงตะแว้ด ๆ เท่านั้น อย่างอื่น…ไม่ต้องพูดถึง

"โห…ปลื้มจนขนลุกเลยเหรอน้อง น่าดีใจจัง" ตัวต้นเหตุเอ่ยสัพยอกขึ้นด้วยรอยยิ้มระรื่น แล้วรีบพูดต่อเมื่อฝ่ายตรงข้ามทำตาวาวขึ้นมาอีก "เอาน่า ๆ ล้อเล่นนิดหน่อย คราวหน้าไม่ทำแล้วถ้าอั้มไม่เต็มใจ"

"ไม่มีคำว่า 'ถ้า' ผมไม่เต็มใจทั้งนั้นแหละ!" เด็กหนุ่มตวาด แล้วรีบหาทางออกให้ตัวเองด้วยการหยิบสายจูงมาคล้องปลอกคอเจ้าสุนัขทั้งสองตัว เพื่อใช้มันเป็นใบเบิกทางพาตัวเองหนีลงไปในสวน

ให้ตายเถอะ…ให้ตายจริง ๆ โชคชะตาของเขาช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้ ทำไมชีวิตของหนุ่มน้อยอย่างเขาต้องมาทำงานบ้า ๆ อย่างนี้ แล้วเจอกับคนโรคจิตอย่างนี้ด้วย! คุณหญิงป้านะคุณหญิงป้า รู้ไหมว่าไอ้การที่ส่งเจ้ามาร์ค แอนโทนี่มาผลิตทายาทที่นี่ มันก็เท่ากับส่งหลานชายตัวเองมาเข้าปากเสือปากตะเข้ชัด ๆ

…หรือบางทีคุณหญิงพรรณีรู้แล้วแกล้งไม่รู้กันแน่หว่า…

++++++++

เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวภายในห้องนอนที่ดังขึ้นตามเวลาปกติของทุกคืนทำเอาร่างที่กำลังกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงถึงกับถอนหายใจเฮือก เขาปล่อยให้มันดังอยู่พักใหญ่ด้วยกำลังคิดอยากจะแกล้งทำเป็นไม่รับเสียอย่างนั้น แต่แล้วเมื่อจินตนาการถึงเสียงโทรศัทพ์ที่จะดังทั้งคืน และภาพเขาถูกเตะตูดออกจากบ้านในหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง เสมอเทพก็ต้องลุกขึ้นไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาหนีบไว้กับซอกคอด้วยอาการสุดเซ็ง

"ครับ"

เสียงคุ้นหูประเดิมประโยคแรกด้วยคำถามเดิมตลอดเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา "วันนี้ไปบ้านคุณหญิงมาหรือเปล่า?"

"ครับ"

"ดีแล้ว"

เขารู้สึกว่าน้ำเสียงของคุณหญิงอรพรรณีฟังดูพอใจขึ้นเล็กน้อย จะว่าไปมันก็เป็นอย่างนี้เกือบทุกคืนนี่นะ เพราะฉะนั้นคำถามต่อไปก็คือ…

"วันนี้ยัยเอียดเขาแกงอะไรให้กิน?"

บางทีเด็กหนุ่มก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาตะหงิด ๆ ว่าถ้าพวกไฮโซทั้งหลายได้ยินประโยคนี้ของ 'คุณหญิงป้า' ล่ะก็ จะทำหน้ากันอย่างไรหนอ?

ก็ช่วยไม่ได้นี่ บ้านเขาไม่ได้เป็นผู้ดีเก่าแก่มาอย่างตระกูลคุณหญิงงามพิศ ปู่เขาร่ำรวยขึ้นมาด้วยการขายเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เช่น น้ำตาล เกลือ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ถ้าจะพูดถึงกำพืดของต้นตระกูลล่ะก็ น่าจะเป็นแบบที่สมัยก่อนเขาเรียกว่า 'ไพร่' นั่นแหละ

"ข้าวผัดทิพรสครับ"

"ชื่อพิลึก" ฝ่ายนั้นว่า ก่อนจะทำเสียงแหว "หัดกินผักกินเนื้ออะไรที่มันมีประโยชน์หน่อยสิ เดี๋ยวไม่สบายมาต้องเดือดร้อนฉันพาไปหามดหาหมอนะยะ งานการยิ่งยุ่ง ๆ อยู่"

"คร้าบ ๆ"

"อ้อ มะรืนนี้น่ะ ไม่ต้องไปบ้านคุณหญิงก็ได้ เมื่อกี้คุยกับแม่น้องเค็ง เห็นว่าน้องเค็งจะไปดูแฟชั่นแต่ยังไม่มีเพื่อนไป เราน่ะไปด้วยกับพี่เขาหน่อย"

"คร้าบ"

เสียงตอบรับแบบเนือย ๆ เหมือนคนใกล้ตายหรือไม่ก็คนมีเรื่องทุกข์ใจขนาดหนักนั้นสะดุดหูผู้เป็นป้ายิ่งนัก เพราะปกติแล้วคุณหญิงรู้ดีว่าเสมอเทพไม่ค่อยชอบญาติผู้พี่คนนี้ของตนเท่าไหร่นัก จะเรียกว่าไม่ชอบก็ไม่ถูก น่าจะเรียกว่ารำคาญจึงจะตรงกว่า

คุณหญิงขมวดคิ้วกับตัวเองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามด้วยเสียงตะแว้ด ๆ ประจำตัว "เป็นอะไรยะ? เสียงซังกะตายเชียว หรือไอ้ธุระที่ฉันใช้เราไปทำน่ะมันหนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก แค่ธุระอย่างสองอย่างแค่เนี้ย"

เสมอเทพถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่ได้จนปลายสายสะดุ้งนิด ๆ ก็ไอ้ธุระบ้านี่น่ะมันทำเขาจะเป็นจะตายเชียวล่ะ ยิ่งนึกถึงไอ้สายตาวาว ๆ ด้วยความเจ้าเล่ห์ของจัตรีในวันนี้เขาก็แทบจะภาวนาให้เกิดน้ำท่วมหรือแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เขาจะได้ไม่ต้องไปบ้านมนัสวงศ์ในวันรุ่งขึ้น

"เป็นอะไรไปตาอ้น? หรือว่าเข้ากับลูกชายคุณหญิงงามพิศไม่ได้ วันนั้นป้าถามก็บอกว่าไม่มีอะไรนี่"

"ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ" เขาขยับปากไปตามอัตโนมัติทั้ง ๆ ที่ใจจริงอยากจะอ้อนวอนใจจะขาดว่า 'เลิกความคิดผสมพันธุ์ไอ้หมาเวรนั่นกับหมาคุณหญิงามพิศเสียทีเถอะ!'

"ไม่มีอะไรก็ดี นายจัตรีอะไรนั่นดูเหมือนจะเป็นคนจับจรด ไม่เอาการเอางาน แต่ยังไงก็มีหน้ามีตา ได้ปริญญามาจากเมืองนอก จะซื้อหรือได้มาเองก็ช่างหัวมันเถอะ คบไว้ไม่เสียหลาย ดีกว่าคบไอ้พวกทะโมนเพื่อนเราตั้งเยอะแยะ…แค่นี้ล่ะ ฉันจะต้องไปพอกหน้าก่อนนอน"

คนที่อยู่ทางยุโรปร่ายออกมายืดยาวก่อนจะตัดบทเอาเสียดื้อ ๆ อะไรบางอย่างทำให้เสมอเทพหลุดปากออกไปก่อนที่สายโทรศัพท์จะถูกตัด

"คุณป้าครับ คุณจัตรีน่ะเป็นเกย์…"

++++++

"เป็นอะไรไปอั้ม แอร์ไม่เย็น เพลงไม่เพราะ หรือไม่ชอบขี้หน้าคนขับ"

จัตรีถามพลางหัวเราะหึ ๆ ในคออย่างนึกขันกับอาการเอ๋อ ๆ ของฝ่ายตรงข้าม ถึงแม้เด็กหนุ่มจะนั่งเงียบ แต่เขาก็รู้ดีว่าคำตอบในใจอีกฝ่ายน่าจะเป็นตัวเลือกหลังสุด เอ…จะว่าไปอีกทีก็อาจจะไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นเสมอเทพจะยอมออกมากับเขาหรือ?

จะว่า 'ยอม' ก็ไม่ถูกนัก เนื่องจากเห็นว่าวันนี้เด็กหนุ่มมีอาการใจลอยผิดปกติ หนำซ้ำเขาเองก็เบื่อที่จะนั่งคอยเฝ้าหมาให้ผสมพันธุ์กันเต็มทน ก็เลยอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายยังทำท่าเหมือนหมาน้อยหลงทางอยู่จับขึ้นรถมาเสียเสร็จสรรพ

"อั้มอยากไปไหน?"

"ไปไหนก็ได้ครับ"

"งั้นเหรอ?" คนพูดยิ้มเจ้าเล่ห์ "งั้นเดี๋ยวพี่จะพาไปที่ดี ๆ เอามั้ยน้อง ประมาณครีโอพัตรา โพไซดอนอะไรทำนองเนี้ย"

ใบหน้าเบลอ ๆ ที่ชักเริ่มได้สติหันขวับมามองพ่อคนเจ้าความคิดทันที สติสตังของเขากลับอยู่กับเนื้อกับตัวเกือบจะครบถ้วนในวูบเดียวที่เห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากอีกฝ่าย ไอ้สถานที่ที่ถูกเอ่ยมาน่ะเขาไม่รู้หรอกว่ามันเป็นที่แบบไหน แต่ดูแล้วถ้าจัตรีบอกว่าเป็น 'ที่ดี ๆ' ล่ะก็ ย่อมไม่น่าไว้ใจแน่นอน

เฮ้ย!

"เฮ้ย!"

เสียงร้องในใจดังขึ้นพร้อมกับเสียงอุทานจากคนคนเดียวกัน เสมอเทพทำหน้าตาล่อกแล่ก หันรีหันขวางแล้วถึงกับเหงื่อตกเมื่อพบว่าตัวเองมานั่งเขลงอยู่บนรถยนต์คันงามของลูกชายคุณหญิงงามพิศตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ได้

ภาพในอดีตที่เพิ่งผ่านมาไม่เกินครึ่งชั่วโมงไหลวาบกลับเข้ามาในความสมองราวกับกดปุ่มเครื่องเล่นเทปอัตโนมัติ ตอนนั้นเขากำลังนั่งซังกะตายอยู่ในสวนสินะ ดูเหมือนจัตรีจะพูดอะไรบางอย่างแล้วเขาก็พยักหน้ารับอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นดูเหมือนจะมีคนจูงเขาไปที่ไหนสักแห่ง พอมารู้สึกตัวอีกทีก็ไอ้ตอนที่รถแล่นอยู่นี่แหละ ให้ตายเถอะ! หมอนี่นั่นแหละเป็นต้นเหตุอันดับสองที่ทำให้เขาต้องมีอันเบลอจัดขนาดนี้ ส่วนต้นเหตุอันดับหนึ่งก็…

"เราว่าอะไรนะตาอั้ม!?" เสียงแหลมสูงของคุณหญิงอรพรรณีผู้เป็นป้าก้องอยู่ในหูจนเด็กหนุ่มเกือบจะสะดุ้งเอาจริง ๆ แต่เมื่อคืนเขาดันมองโง่มองโลกในแง่ดีไปหน่อย คิดว่าเสียงอย่างนี้ของคุณหญิงป้าน่าจะเกิดจากอาการตกใจและเป็นกังวลมากกว่า

"ผมบอกว่าคุณจัตรีเขาเป็นเกย์ครับคุณป้า เพราะฉะนั้น…"

"แกรู้ได้ยังไง?" ทางปลายสายถามก่อนที่เขาจะได้ทันรายงานจบ

"ก็เจ้าตัวเขาบอกเองนี่ครับ" เสมอเทพตอบซื่อ ๆ

คราวนี้เสียงถอนหายใจอย่างหงุดหงิดดังมาตามสาย "แกนี่มันโง่หรือซื่อกันแน่หา? ใครเขาจะมาประกาศปาว ๆ ว่าตัวเองเป็นเกย์ แค่ในข่าวสังคมบอกว่าเป็นบงเป็นไบฯอะไรนั่นฉันก็ไม่เชื่อแล้ว บ้านนี่น่ะมันผู้ดีเก่ากันทั้งก๊ก ใครเขาจะยอมให้ลูกชายเป็นเกย์"

"แต่คุณป้าครับ…" เสมอเทพแย้งเสียงอ่อย ๆ ใครว่าผู้ดีผิดเพศไม่ได้กันเล่า!

"เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว" ฝ่ายนั้นตัดบท พร้อมกำชับ "แล้วอย่าเที่ยวไปพูดให้ใครเขาฟังล่ะ เดี๋ยวฉันจะมองหน้ายัยคุณหญิงงามพิศไม่ติด"

นึกขึ้นมาแล้วมันน่าหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายนัก ท่าทางเขาจะเป็นเด็กที่ไม่มีใครรักเอาเสียจริง ๆ ด้วย ถึงขนาดบอกไปว่าจัตรีเป็นเกย์ คุณหญิงอรพรรณีกลับไม่ห่วงสวัสดิภาพของหลานชายที่ตัวเองอุตส่าห์ขึ้นโรงขึ้นศาลแย่งสิทธิในการเลี้ยงดูกับญาติคนอื่น ๆ เลยสักนิด

เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ทำให้คนที่กำลังบังคับพวงมาลัยอยู่หันมามอง แล้วเลิกคิ้วถามยิ้ม ๆ ดูแล้วเท่ห์ไม่หยอก…ถ้าเจ้าตัวไม่ใช่เกย์

"เป็นอะไรเหรออั้ม? อึไม่ออกอีกแล้วรึเปล่า?"

"ครับ" ตอบไปส่ง ๆ อย่างนั้น แล้วเริ่มกังวลอีกครั้งเมื่อสังเกตว่าเส้นทางที่รถกำลังวิ่งอยู่นั้นไม่คุ้นตาตนเลยสักนิด "เอ่อ…สรุปว่าคุณตรีจะไปไหนเหรอครับ?"

"อ้าว โพไซดอนไง เดี๋ยวขึ้นสะพานตรงนี้แป๊บเดียวก็ถึง" ชายหนุ่มพูดหน้าตาย แล้วหัวเราะหึหึในคออย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามทำตาเหลือก

"ล้อเล่นน่า แกล้งขับรถพาเราวนเล่นแค่นั้นแหละ เดี๋ยวไปเอ็มโพเรี่ยมกัน"

พอได้ยินอย่างนั้นเสมอเทพค่อยหายใจได้ทั่วท้อง แต่ก็ยังไม่วายคอยเหลือบมองเจ้าของรถเป็นระยะด้วยสายตาระแวดระวัง

+++++++

หญิงสาวสองคนบนบันไดเลื่อนฝั่งตรงข้ามที่เพิ่งสวนกันไปเหลียวมองกลับมาอยู่นานก่อนจะหันไปซุบซิบกันอย่างไม่กลัวเสียมารยาท เสมอเทพรู้ดีว่าผู้ที่อยู่ในหัวข้อสนทนาของหล่อนทั้งสองย่อมไม่ใช่เขาอย่างแน่นอน แต่เป็นผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขานี่ต่างหาก นะ…ก็เข้าใจอยู่ จัตรีน่ะเป็นคนที่เข้าขั้นหน้าตาดีมากเลยทีเดียว ผิวของชายหนุ่มเป็นสีขาวละเอียดอมชมพูเลือดฝาด ร่างสูงโปร่ง เครื่องหน้าคมสันแถมดูระบายยิ้มอยู่เป็นเนืองนิจ หนำซ้ำยังได้ลงคอลัมน์สังคมในหนังสือพิมพ์เป็นประจำ ถ้าไม่สะดุดตาผู้คนก็แปลกเต็มทีล่ะ เด็กหนุ่มก้มลงสังเกตตัวเองแล้วขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าถุงเสื้อผ้าที่ถืออยู่เต็มมือทั้งสองข้างทำให้เขาดูเหมือนคนรับใช้ที่ตามเจ้านายมาช้อปปิ้งพิกล

เปล่า…เสื้อผ้าที่อยู่ในถุงพวกนี้ไม่ใช่ของเขาเลยสักชิ้น เสมอเทพพึ่งจะประจักษ์เดี๋ยวนี้เองว่าที่เขาเคยคิดว่าจัตรีเป็นผู้ชายเจ้าสำอางค์และดูจับจรดนั้นยังน้อยเกินไป เขาหาคำจำกัดความให้กับผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จะว่าไปอาจเป็นเพราะในชีวิตเขาไม่เคยเห็นผู้ชายที่จุกจิกเรื่องสิ่งละอันพันละน้อยของตัวเองมากเท่าลูกชายของคุณหญิงงามพิศมาก่อนก็เป็นได้ จัตรีเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ และได้ของติดมากลับมาทุกร้าน จนเขาอดจะเสนอตัวช่วยถือไม่ได้ เสื้อเชิ้ตบางตัวที่ชายหนุ่มซื้อสามารถเป็นค่าขนมเพื่อนบางคนของเขาได้สักสองเดือนด้วยซ้ำ นอกจากนั้นเขายังถูกจัตรีลากเข้าร้านน้ำหอมแล้วถูกใช้เป็นตัวลองกลิ่นอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นตอนนี้เสมอเทพรู้สึกไม่ผิดอะไรกับคนที่เพิ่งตกถังน้ำหอมเน่า ๆ มาเลยสักนิด

กลิ่นกาแฟต้มใหม่ ๆ ที่โชยกรุ่นมากระทบจมูกทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วรู้สึกน้ำลายสอ เนื่องจากกระเพาะของเขาประท้วงอยู่เงียบ ๆ มานานแล้ว

"หอม" เด็กหนุ่มว่า

จัตรีหันมามองคนพูดแล้วลดเสียงลงกระซิบขณะพยักเพยิดไปยังผู้ชายที่ยืนเกาะบันไดเลื่อนเหนือขึ้นไปสองสามขั้น "คนข้างหน้าเขาตดมั้ง"

เสมอเทพอดจะขำพรืดออกมากับมุขอุบาทว์ของหนุ่มไฮโซคนดังไม่ได้ ความหดหู่เรื่องที่ตัวเองไม่เป็นที่รักของคุณหญิงป้าเบาบางไปเยอะ "ผมว่ากลิ่นกาแฟต่างหาก"

"กินกาแฟด้วยเหรอ?"

"ของโปรดเลยครับ ต้องกินอย่างน้อยวันละสองแก้ว ถ้าช่วงอ่านหนังสือกินทั้งวัน"

คนฟังทำหน้าพิลึก แล้วเดินนำไปร้านอาหารที่ตกแต่งไว้อย่างเก๋ไก๋ "กาแฟน่ะกินมากไม่ดีนะอั้ม เดี๋ยวฉี่เหม็น แล้วทำให้ผิวเสียหมดด้วย"

คำอธิบายนั้นทำเอาคนฟังรู้สึกทะแม่ง ๆ พิกล อย่างแรก…ฉี่ใครไม่เหม็นบ้างล่ะ? ไม่ใช่ว่าไม่กินกาแฟแล้วจะฉี่ออกมาเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์เสียหน่อย อย่างที่สอง…ทำไมเขาจะต้องกลัวผิวเสียด้วย?

คำถามนี้ทำให้คนคิดขนลุกวะวาบ ๆ ถึงแม้แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยใส่ใจเรื่องของพวกเกย์อะไรมากแต่ก็พอรู้คร่าว ๆ ว่าเกย์แบ่งเป็นสองอย่างคือเกย์คิงกับเกย์ควีน ตอนแรก ๆ เขาคิดว่าจัตรีจะจัดตัวเองให้อยู่ในประเภทแรก แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว

ตามความคิดของเด็กหนุ่มนั้น เกย์คิงก็คือฝ่ายที่ทำหน้าที่ 'ผู้ชาย' ส่วนเกย์ควีนเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่เป็น 'ผู้หญิง' ดังนั้นเมื่อเห็นคนที่ตัวเองสันนิษฐานว่าจะเป็นเกย์คิงทำตัวรักสวยรักงามเช่นนี้ก็อดจะแปลกใจไม่ได้

จัตรีส่งเมนูคืนให้พนักงานของทางร้าน ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วยิ้ม ๆ เมื่อพบว่าใครบางคนลอบมองตัวเองอยู่เป็นนาน แต่ก็หลบตากลับไปทันทีที่เขาหันมา

"มีอะไรเหรอ? หรือว่าอั้มตระหนักถึงความหล่อของพี่เข้าให้แล้ว?"

"อันนั้นรู้มานานแล้วครับ" เสมอเทพตอบไปตามประสาซื่อ แล้วต้องรีบแก้คำพูดตัวเองเสียใหม่เมื่อเห็นดวงตาพราวระยับของฝ่ายตรงข้าม "คือหมายความว่ารู้มานานแล้วครับว่าคุณตรีหน้าตาดี ไม่ได้มีความหมายอะไรนอกเหนือไปจากนั้นเลยสักนิด"

"เหรอ? งั้นจ้องพี่ทำไมล่ะ?" ถามพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดู

หลานชายคุณหญิงพรรณีอ้ำอึ้งอยู่เป็นนานเพราะกำลังคำนึงถึงมารยาทอันควร แต่ในที่สุดความสอดรู้สอดเห็นอันเป็นพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของมนุษย์ก็เอาชนะสิ่งที่สังสร้างขึ้นมาจนได้ จึงได้ตัดสินใจโพล่งถามออกไป

"คุณตรีเป็น…เกย์คิงหรือเกย์ควีนครับ?"

ชายหนุ่มอึ้งไปประมาณสามวินาที ก่อนจะหัวเราะเสียงดังจนโต๊ะข้าง ๆ หันมามองเมื่อเห็นดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ของคนถาม เสมอเทพชักจะหน้าอุ่นวาบ ๆ เมื่อตระหนักว่าโต๊ะตัวเองชักจะเป็นจุดสนใจขึ้นมา เขาไม่เห็นเข้าใจสักนิดว่าจัตรีขำอะไรนักหนา แต่สิ่งที่เขาถามคงจะน่าขำมาก ร่างสูงถึงได้หัวเราะไม่หยุด

คนถูกถามใช้นิ้วปาดน้ำตาออกที่ไหลเรี่ยราดมาจากการหัวเราะเมื่อกี้ แล้วหยุดหายใจชั่วครู่ ก่อนจะถามกลับด้วยสีหน้าจริงจัง "อั้มอยากรู้จริงเหรอ?"

สีหน้าที่เปลี่ยนไปกระทันหันทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเครียดตามไปด้วย แต่โชคดีที่จัตรีไม่ยักถามเขาว่า 'อยากรู้ไปทำไม' ดังนั้นเสมอเทพจึงได้แต่พยักหน้า

"อยากรู้จริง ๆ น่ะ?" จัตรีถามอีกด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดกว่าเดิม

เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง "แต่ถ้าคุณตรีไม่อยากบอก…"

"อยากสิ แต่ไว้กลับบ้านแล้วค่อยบอกนะ"

"บอกตอนนี้ไม่ได้เหรอครับ?" ถามพลางกวาดสายตามองไปรอบร้าน หรือว่าเรื่องอย่างนี้มันเป็นความลับมาก

"ถ้าอั้มอยากรู้ขนาดนั้นพี่ว่ากลับบ้านแล้วค่อยบอกดีกว่า เอาในห้องนอนพี่ก็แล้วกัน บอกแบบเนื้อแนบเนื้อ จะได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งไปเลย"

แค่นั้นเสมอเทพก็บรรลุทันทีว่าหลงกลชายหนุ่มเข้าให้แล้ว เขาบ่นงึมงำกับตนเองในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

"พูดเล่นหรอกน่า ใครจะกล้าทำ เดี๋ยวคุณหญิงได้ลากคอพี่เข้าตารางพอดี ไปทำมิดีมิร้ายกับหลานชายสุดที่รักของท่านเข้า"

บุคคลที่สามที่ถูกเอ่ยถึงทำให้เสมอเทพถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก้มหน้านิ่ง "ผมไม่ใช่หลานรักของคุณป้าเสียหน่อย จะเป็นจะตายยังไงท่านคงไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ"

น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของฝ่ายตรงข้ามสะดุดหูจัตรีนัก แต่พอเขาจะอ้าปากถามเท่านั้นเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมาเสียก่อน

"ลืมบอกไป พรุ่งนี้ผมมาไม่ได้นะครับ"

"อ้าว ทำไมล่ะ?"

"จะต้องไปดูแฟชั่นโชว์เป็นเพื่อนพี่เค็ง"

"อ้าว พี่นึกว่าไม่สนิทกันเสียอีก ไปดูที่ไหนล่ะ?"

เด็กหนุ่มบอกชื่องานที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ก่อนจะบ่น "แล้วใครว่าสนิทกันล่ะ คนประหลาดอย่างพี่เค็งน่ะไม่มีเพื่อนคบมากกว่า คุณป้าถึงได้สั่งให้ผมไปด้วย ตกลงพรุ่งนี้ผมไม่ไปบ้านคุณนะครับ"

จัตรียิ้มหวาน "อืม พี่คงคิดถึงอั้มน่าดู ไม่ได้เจอกันตั้งวันนึง"

คนฟังขนลุกพรึ่บขึ้นมาทันที เอ…จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ พรุ่งนี้เขาไม่ต้องมาเจอจัตรี จะได้ไม่ต้องคอยมานั่งร้อน ๆ หนาว ๆ อยู่ตลอดเวลาด้วย


++++++
End of part 2