Qiu Feng Xiao Se
(When The Fall Wind Blows)

 

 

Summary
แทบจะไม่มีสักวันที่เด็กหนุ่มจะไม่รู้สึกว่าบ้านตระกูลอู๋มีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่...ถ้าจะให้ปักใจเชื่อว่านายจ้างของเขาเป็นฆาตกรฆ่าพี่ชายและพี่สะใภ้ตัวเองนั้นก็ยากอยู่ จริงอยู่...อู๋เจียงหมิงเป็นคนพูดน้อย และติดจะเก็บตัว แต่อย่างน้อยลูกตาของชายหนุ่มก็โกหกไม่เป็น มันแสดงความรู้สึกของเจ้าของอย่างตรงไปตรงมาเสมอ เขาเชื่ออย่างนั้น แต่อะไรทำให้เขาแน่ใจถึงเพียงนี้...เจิ้งเสียนอี้เองก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน

 

 

Preview

 

เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นติด ๆ กันเมื่อตัวหัวจักรเริ่มแล่นออกจากสถานีที่เพิ่งจอดพักเมื่อครู่เพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป ผู้โดยสารที่แออัดกันอย่างเบียดเสียดจนถึงขึ้นนั่งบนขั้นบันไดรถตั้งแต่สถานีต้นทาง บัดนี้กลับบางตาไปกว่าครึ่ง ทำให้มวลอากาศในรถดูจะปลอดโปร่งน่าหายใจขึ้นอีกมาก
ภาพทหารต่างชาติบริเวณชานชาลาเมื่อครู่ที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ที่เพิ่งผ่านพ้นวัยกำดัดมาไม่กี่ฝนอดจะทอดลมหายใจออกยาวไม่ได้ ดวงตาสีดำขลับมองแผงหมู่ไม้ที่ดูราวกับจะวิ่งสวนกับตัวรถด้วยอย่างเลื่อนลอยเมื่อคิดถึงอนาคตอันใกล้ แผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลและมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี หากแต่ตอนนี้…ถึงกาลที่จะสิ้นสุดแล้วจริง ๆ หรือ?
แผ่นดินผืนนี้กำลังจะเปลี่ยนไป ประวัติศาสตร์ของจีนจะต้องพลิกหน้าใหม่ที่ไร้ซึ่ง…จักรพรรดิครองบัลลังก์!
เจิ้งเสียนอี้ตวัดสายตาของตนกลับมายังที่นั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งบัดนี้ว่างเปล่า ภาพของบ้านที่ผุดพรายขึ้นมาในความคิดทำให้อดจะรู้สึกหวิวใจไม่ได้ ชีวิตของเขาผูกพันกับปักกิ่งตั้งแต่เกิดจนโต มีทะเลสาบหูหนานเป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สอง มีซากอารยธรรมต่าง ๆ เป็นเหมือนพี่น้อง มีความจอแจคึกคักเป็นเหมือนเพื่อนสนิท
จำนวนสมาชิกครอบครัวถึงเจ็ดชีวิตในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ ทำให้เด็กหนุ่มต้องรับงานทุกอย่างที่พอจะหาได้ โดยเฉพาะเมื่องานนั้นเหมาะสม
กับความรู้ที่เรียนมาและมีค่าตอบแทนน่าพอใจ
'ดีกว่าเป็นกุลีอยู่ที่เมืองหลวงให้เสียดายความรู้ที่เรียนมาน่า เสียนอี้'
เสียงของเพื่อนสนิทพ่อดังขึ้นมาในความคิด 'อาสู'z คนนี้นอกจากจะอุ้มชูเขาและพี่น้องมาแต่เด็ก เมื่อยามเรียนจบยังจัดการหางานมาให้ทั้ง ๆ ที่อยู่ในยุคเข็ญใจ งานที่ว่าผู้จ้างวานเป็นคนรู้จักของตัวอาสูเอง บุพการีของเขาจึงวางใจให้ลูกชายคนโตออกจากบ้านไปทำงานต่างถิ่นเช่นนี้ได้
เด็กหนุ่มร่างโปร่งพยายามสลัดความหม่นเศร้าออกจากใจ แล้วจินตนาการถึงสภาพแวดล้อมใหม่ที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่จากนี้เป็นต้นไป จากการบอกเล่าของอาสู งานที่เขาต้องทำมีเพียงแค่เป็นพี่เลี้ยงเด็กไม่ถึงสิบขวบควบกับการสอนหนังสือ อาหารการกินและที่พักอาศัยจะถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ และยังได้ค่าแรงต่างหากทุกเดือน ซึ่งก็เหมาะสมกับฐานะนายจ้างของเขาเป็นอย่างดี
'ชาวนาผู้ร่ำรวย' คำคำนี้ถูกใช้กันอย่างกว้างขวางแม้จะไม่ตรงความหมายเท่าใดนัก เพราะส่วนใหญ่คนเหล่านั้นจะเป็นเจ้าของที่นามากกว่าที่จะไปทำนาด้วยตนเอง และนายจ้างของเขาก็คงถูกจัดอยู่ในประเภทนี้ด้วย
เจิ้งเสียนอี้บิดตัวไล่ความเมื่อยขบที่แล่นเข้าเกาะกินทุกส่วนของร่างกาย เขากอดสัมภาระซึ่งมีอยู่ชิ้นเดียวคือกระเป๋าเสื้อผ้าไว้แนบอกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะปิดเปลือกตาลงด้วยความตั้งใจที่จะหลับสักงีบ เนื่องจากรู้ดีว่ากว่ารถไฟที่ตนเองนั่งโดยสารอยู่จะแล่นถึงเจ้อเจียงนั้นกินเวลานับสิบชั่วโมงเลยทีเดียว
=l=l=l=
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อขบวนรถที่โดยสารมากลับเข้าสู่แสงสว่างเจิดจ้า
หลังจากที่แล่นทะลวงอุโมงค์ที่ถูกเจาะเป็นช่องยาวตลอดเทือกเขาเหยียนตัง จากการสอบถามเพื่อนร่วมทางที่นั่งอยู่เก้าอี้ด้านหลังจึงได้รู้ว่าตอนนี้ตัวรถได้เข้าเขตทางตอนเหนือของเจ้อเจียงแล้ว
เนื่องจากทางรถไฟในตอนเหนือของเจ้อเจียงนั้นจะสร้างเลียบริมแม่น้ำฟู่ฉุนซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของบริเวณนี้ แล้วเปลี่ยนเส้นทางที่หลงโหยวเพื่อมุ่งหน้าไปทางตอนใต้ เด็กหนุ่มจึงจำเป็นต้องลงสถานีดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ยังห่างจากชูโจวซึ่งเป็นอำเภอที่บ้านนายจ้างของตนตั้งอยู่เอาการ
ด้วยความที่เติบโตมาในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก เจิ้งเสียนอี้จึงออกจะผิดหวังแกมประหลาดใจอยู่ไม่น้อยเมื่อมาถึงสถานีปลายทางของตน สิ่งก่อสร้างที่เห็นตรงหน้าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเพิงพักหลบแดดหลบฝนสภาพเก่าคร่ำคร่าที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ ผิดกับความโก้หรูในเมืองหลวงลิบลับ หรือถ้าจะเทียบกับสถานีผ่าน ๆ มา ก็ยังนับว่าแย่กว่ามาก เด็กหนุ่มนึกค่อนรัฐบาลชิงอยู่ในใจที่นอกจากจะไม่สามารถกระจายความเจริญมาสู่ชนบทได้ หนำซ้ำเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางยังเสวยสุขอยู่กับภาษีที่ขูดรีดมาจากน้ำเหงื่อน้ำแรงของประชาชน อย่างนี้ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือ ที่บัดนี้ชิงจะอยู่ในสภาพจนตรอกต่อชาวต่างชาติเช่นนี้
อาจเป็นเพราะผู้โดยสารที่ลงสถานีหลงโหยวมีเพียงเขาคนเดียว ดังนั้น เมื่อตัวรถแล่นผ่านเลยไป จึงได้ทิ้งความรู้สึกเงียบงันอย่างประหลาดเอาไว้ ร่างในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวแบบสากลหันรีหันขวาง แล้วส่ายหน้าน้อย ๆ เมื่อพบกับป้ายบอกชื่อ 'สถานีหลงโหยว' เอียงกะเท่เร่แทบจะทรุดลงไปกับพื้นดิน
ตอนที่ยังอยู่ปักกิ่งนั้น ทางฝ่ายนายจ้างส่งโทรเลขยืนยันมาว่าจะมีคนมารับเขาทันทีที่รถจอดเทียบชานชาลาหลงโหยว เพื่อที่จะได้พาไปยังชูโจวอีกต่อหนึ่ง แต่สิ่งที่อยู่รอบตัวเขาในตอนนี้มีเพียงแมลงหวี่ที่บินตอมหน้าจนเด็กหนุ่มต้องยกมือตบด้วยความรำคาญ และสภาพภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ สลับกับทุ่งนาไปจนไกลสุดลูกหูลูกตา ทุกอย่างเงียบสงบราวกับไม่เคยรับรู้ถึงความวุ่นวายที่กำลังปะทุตัวขึ้นในเมืองหลวงและเมืองใหญ่อื่น ๆ
เมฆฝนสีเทาทะมึนที่ลอยตัวต่ำจนแทบจะเรี่ยยอดเขาทำให้อากาศร้อนอ้าวจนรู้สึกอึดอัด เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายราคาถูกเปียกชุ่มเสียจนแนบไปกับแผ่นหลังของผู้สวมใส่ เด็กหนุ่มเพิ่งจะมาประจักษ์ข้อเท็จจริงเรื่องความแตกต่างทางสภาพภูมิอากาศก็ตอนนี้ เจ้อเจียงนอกจากจะเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของปักกิ่งลงมามากแล้ว ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนยังมีฝนตกสม่ำเสมอมิได้ขาด ดังนั้นคนท้องถิ่นที่นี่จึงชินกับสภาพอากาศร้อนชื้นถึงครึ่งปี
สำหรับคนที่เกิดและโตในปักกิ่งอย่างเขาคงทรมานมิใช่น้อยกับอากาศแบบนี้ แต่เอาเถิด…ยังดีกว่าต้องเป็นบัณฑิตตกงานอยู่ในเมืองหลวงจริง ๆ นั่นแหละ
เจิ้งเสียนอี้ถอนหายใจออกมาอย่างนึกรำคาญหลังจากพยายามมองไปรอบตัวอยู่นาน เขาล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อหานาฬิกาพกแล้วพบว่าได้เลยเวลานัดไปเกือบชั่วโมงแล้ว และเขาก็เพิ่งจะเคยมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งแรกจะไปทิศทางไหนก็ทำได้ไม่ถูก จึงได้แต่จำใจต้องรออยู่จุดเดิม ร่างโปร่งทิ้งตัวลงนั่งบนกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมของตัวเอง แล้วพยายามนับเนินเขาที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นการฆ่าเวลา ซึ่งก็ได้ผลดีอยู่ไม่น้อย
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหอบหายใจทำให้เด็กหนุ่มหันไปมองก่อนจะขมวดคิ้ว ผู้มาใหม่เป็นชายชราใบหน้าเหลืองเซียวในชุดเสื้อคอจีนยาวแค่สะโพก กางเกงขาก๊วยขมุกขมอม และผมที่โกนทิ้งไปเสียครึ่งให้เหลือแต่หางเปียสองสียาวถึงเอวดูเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้อย่างดี ผู้คนในปักกิ่งและเมืองใหญ่ต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนหรือประยุกต์เครื่องแต่งกายของตนให้เป็นแบบตะวันตก ดังนั้นก็คงไม่น่าแปลกอะไรถ้าคนในมณฑลเล็ก ๆ ที่ไกลปืนเที่ยงอย่างเจ้อเจียงจะยังแต่งกายแบบอนุรักษ์อยู่ แต่กระนั้นเขาก็ยังอดจะรู้สึกขัดตาไม่ได้
ผู้ชรายิ้มให้เขาจนเห็นเหงือกแดงแจ๋ที่ไม่มีฟันประดับอยู่ แล้วพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง พร้อมยกมือยกไม้ประกอบ เจิ้งเสียนอี้ลากกระเป๋าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยเข้าใจคร่าว ๆ ว่าแกอาจจะเป็นคนที่ถูกจ้างมาให้พาเขาไปที่ชูโจว เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนจะแนะนำตัว
"ผมเจิ้งเสียนอี้ครับ ลุงใช่คนที่จะมารับผมรึเปล่า?"
ฝ่ายนั้นผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะใช้น้ำเสียงล้งเล้งพูดภาษาที่เขาไม่เข้าใจกลับมา เด็กหนุ่มกรอกตาทีหนึ่ง ภาษาถิ่นของชูโจวคือภาษาอู๋ และมีประชาชนอยู่ไม่น้อยที่พูดภาษากลางไม่ได้ คิดได้ถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกผวาขึ้นมาทันทีเมื่อจินตนาการไปว่า คนในบ้านที่เขาจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่อาจจะพูดภาษาจีนกลางกันไม่ได้เลยสักคนเดียว และเขาต้องใช้ชีวิตทั้งวันเหมือนกับคนใบ้!
ก่อนที่ความคิดของเขาจะเตลิดไปไกล ร่างผอมเกร็งของผู้สูงวัยก็คว้ากระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมของอีกฝ่ายขึ้นมาไว้ในมือแล้วค่อย ๆ เดินไต่เนินเขาลงไปอย่างระมัดระวังหากแต่คงความคล่องแคล่ว พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองที่คนฟังพอจะอนุมานได้ว่าคงไม่แคล้วจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาเป็นแน่
ภาพที่เห็นเมื่อไต่ดินนุ่มชื้นลงมาถึงตีนเขาก็คือเกวียนเทียมลาตัวเล็ก ๆ ที่จอดรออยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ชายชราที่เดินนำอยู่เหวี่ยงกระเป๋าเขาไปด้านหลังอย่างไม่ปราณีปราศรัย แล้วขึ้นประจำที่คนขับ ก่อนจะหันมาโบกไม้โบกมือพร้อมส่งภาษาล้งเล้งเป็นสัญญาณให้คนแปลกถิ่นขึ้นนั่งอยู่บนเกวียน ส่วนตัวแกเองจุดฝิ่นขึ้นสูบอยู่พักหนึ่งราวกับเป็นการเรียกเรี่ยวแรงให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงจะออกเดินทางได้
ดวงตาสีดำขลับมองเจ้าลาผอมที่ลากรถอย่างขยันขันแข็งขณะนึกขำอยู่กับสภาพโยกเยกกระเด็นกระดอนของตัวเอง ริมฝีปากคู่นั้นขยับไหวเล็กน้อยก่อนจะปิดสนิทเหมือนเดิมอีกครั้ง หะแรก เจิ้งอี้เสียนนึกอยากจะถามสารถีชราผู้นี้ว่าเขาต้องนั่งอย่างนี้อีกกี่ชั่วโมงจึงจะถึงจุดหมาย แต่แล้วนึกถึงอุปสรรคในการสื่อสารได้ จึงได้เปลี่ยนใจสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ตัวเองด้วยการเบนสายตาไปชื่นชมต้นไม้ใบหญ้าข้างทางแทน
=l=l=l=
ดวงอาทิตย์สีส้มอมชมพูกำลังย้อยเรี่ยลงไปหาเหลี่ยมเขาด้านตะวันตกเมื่อลาตัวน้อยลากเกวียนที่มีผู้โดยสารถึงสองคนมาหยุดที่ตีนเขาลูกหนึ่ง เด็กหนุ่มแตะลิ้นเข้ากับริมฝีปากแห้งผากของตนเอง พลางหรี่ตามองขั้นบันไดนับร้อยที่ทอดสูงขึ้นไปจนถึงยอดเขาอย่างอ่อนเพลีย แล้วให้นึกอยากหันหลังจับรถไฟกลับปักกิ่งเสียเฉย ๆ เขานั่งเกวียนมากว่าหกชั่วโมงโดยไม่มีน้ำล่วงผ่านลำคอสักหยด แล้วตอนนี้…ยังต้องลากสังขารตัวเองขึ้นไปตามขั้นบันไดที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดตรงหน้า?
ลางสังหรณ์ของเขาทำงานได้อย่างแม่นยำเมื่อเจ้าของเกวียนเดินลงมาลากกระเป๋าของเขามาไว้บนพื้นด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงซึ่งอาจเป็นฤทธิ์ของฝิ่นอีกบ้องที่แกหยุดสูบกลางทาง ราวกับไม่รู้รสความเหน็ดเหนื่อยได้สักเศษเสี้ยวของที่เขาเป็นอยู่ แกส่งพยายามส่งภาษาสื่อสารกับเด็กหนุ่มอีกครั้งพลางชี้ไปยังยอดเขาตรงหน้า ซึ่งเจิ้งเสียนอี้อนุมานได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะบอกให้เขาขึ้นบันไดไปด้วยตัวเองเพราะตัวแกเองปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาลุล่วงลงไปแล้ว
เด็กหนุ่มย้ำความคิดนี้กับตัวเองอีกครั้งเมื่อเกวียนที่ตนนั่งโดยสารมาถึงกว่าหกชั่วโมงหันเลี้ยวกลับสู่ทิศทางเดิมทันทีที่เท้าเขาแตะถึงพื้น เขาบังคับตัวเองไม่ให้มองขึ้นไปดูว่าบันไดนี้สิ้นสุดที่ตรงไหน หากแต่จะพยายามก้าวขึ้นไปทีละขั้นด้วยสภาพจิตใจร่าเริงราวกับกำลัง…เดินชมสวน!
=l=l=l=
มือเล็กจับราวบันไดขั้นสุดท้ายแน่น แต่ก็ดูเหมือนมันจะช่วยอะไรได้ไม่กี่มากน้อยเมื่อเขารูดตัวลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น เจิ้งเสียนอี้หอบหายใจจนตัวโยนพลางยกมือขึ้นกุมหน้าอก เสื้อที่สวมอยู่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาไม่รู้ว่าการที่เมฆฝนบนฟ้ายังคงลอยทะมึนอยู่อย่างนั้นโดยที่ฝนยังไม่ตกเสียทีมีข้อดีหรือข้อเสียกันแน่
ร่างโปร่งพยายามควบคุมจังหวะการหายใจให้เป็นปกติ หากแต่ก็ทำได้ยากเย็นเต็มทีเมื่อพบว่าตัวเองกำลังสูดอากาศอย่างตะกรุมตะกราม กว่าจะลากกระเป๋าปีนขึ้นมาถึงบนนี้ได้ก็แทบแย่ หนำซ้ำเด็กหนุ่มไม่เคยชินกับอากาศที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำบนเขา จึงได้รู้สึกเหมือนว่ากำลังจะตายเพราะหายใจไม่ออกเช่นนี้
เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดพลางล้มตัวลงนอนแผ่หราลงไปกับผืนดินที่เตียนเรียบด้วยฝีมือมนุษย์ แล้วบอกตัวเองให้หายใจเข้ายาวและช้าซึ่งมันก็ทำให้อาการหอบเหนื่อยลดลงไปได้บ้าง แม้ว่าขาทั้งสองข้างของเขาจะอ่อนยวบราวกับไม่มีกระดูกก็ตาม
กว่าจะมาถึงจุดหมายได้ ความมืดก็โรยตัวเข้าปกคลุมทุกทิศ จะมีแต่ท้องฟ้าเท่านั้นที่เป็นสีแดงเรื่อด้วยเมฆฝน แมลงกลางคืนกรีดร้องระงม แต่กระนั้น เด็กหนุ่มก็ตระหนักดีว่าตัวเองยังชะล่าใจเกินไปที่คิดว่าได้มาถึงที่หมาย เพราะจุดที่เขานอนอยู่นี้เป็นแค่ลานโล่งกว้างใหญ่และห่างจากตัวคฤหาสน์ที่มีแสงไฟลอดออกมาอยู่ข้างหน้าไกลนัก
เด็กหนุ่มพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองในคอ แล้วหลับตาลงหลังจากตัดสินใจเด็ดขาดว่าเขาจะสิ้นสุดการเดินทางอันแสนทรมานของตัวเองไว้แค่ตรงนี้ น้ำและข้าวไม่ตกถึงกระเพาะมากว่าค่อนวันทำให้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายถูกใช้ไปในการขึ้นบันไดมาถึงยอดเขา
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นพร้อมบทสนทนาน้ำเสียงตกตื่นทำให้คนที่เกือบจะเคลิ้มหลับด้วยความอ่อนเพลียเผยอเปลือกตาขึ้นช้า ๆ ประสาทสัมผัสทุกส่วนกลับเข้าสู่ภาวะปกติทันที เมื่อสายตามองผ่านความมืดจับภาพของร่างบึกบึนสองร่างที่โน้มตัวอยู่เหนือศีรษะตัวเองพร้อมพูดอะไรกันบางอย่างด้วยภาษาถิ่นที่เจิ้งเสียนอี้ไม่เข้าใจสักนิด และก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว ก็รู้สึกว่าร่างของตัวเองลอยขึ้นสูงจากพื้นและไปพาดอยู่บนไหล่บึกบึนของหนึ่งในคนแปลกหน้า
"เฮ้ย!"
เขาพยายามร้องโวยวาย แต่เสียงที่ดังขึ้นนั้นแหบแห้งเต็มทน เด็กหนุ่มพยายามดิ้นในขณะที่อีกฝ่ายยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ สลับกับหันมาพูดอะไรบางอย่างกับเขาเป็นระยะอยู่นาน จนท้ายที่สุดเจิ้งเสียนอี้จึงได้เข้าใจว่าฝ่ายนั้นกำลังจะพาเขาเข้าไปในตัวคฤหาสน์ที่อยู่ข้างหน้า
ร่างโปร่งสลัดศีรษะแรง ๆ เมื่อรู้สึกเวียนหัวผะอืดผะอม อันเป็นอาการที่เกิดจากสาเหตุหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นแรงกระเทือนจากจังหวะการเดินของชายผู้หวังดี ภาพกลับหัวที่มองเห็นอยู่โดยรอบเนื่องจากเขาถูกจับตัวพาดบ่า กลิ่นเหงื่อที่โชยออกมาจากตัวอีกฝ่าย และกระเพาะที่ว่างเปล่ามามากกว่าครึ่งวัน
ดวงตาอ่อนล้าเบิกโพรงเมื่อกล้ามเนื้อในช่องท้องบีบเกร็งเป็นจังหวะ เขาพยายามเอื้อมมือปิดปากตัวเอง แต่ก็สายเกินไปเมื่อระบบทางเดินอาหารขับน้ำย่อยสีเขียวอมเหลืองออกมาทางริมฝีปากและจมูก เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้นำทางหยุดเดินพอดี
เจิ้งเสียนอี้รู้สึกเหมือนโลกหมุนเมื่อถูกจับให้ยืนบนขาตัวเองอีกครั้ง เขาเกือบจะล้มพับไปถ้าคว้าท่อนแขนกำยำไว้ไม่ทัน เด็กหนุ่มไอโขลกก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปยิ้มแห้ง ๆ ให้กับผู้นำทางของตนที่แต่งกายในลักษณะเดียวกับชายชราเจ้าของเกวียน แล้วให้หน้าเสียเมื่อฝ่ายนั้นเอี้ยวตัวไปมองขากางเกงด้านหลัง ซึ่งบัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยของที่เขาขับออกมา
"เอ่อ…ขอโทษนะ" ร่างโปร่งพูดพลางมองโครงหน้าสี่เหลี่ยมอย่างหวาด ๆ โดยที่รู้ดีว่าสองคนนี้จะไม่เข้าใจที่เขาพูดอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มอ้าปากหวอเมื่อถูกหิ้วปีกเดินผ่านสวนเข้าไปยังห้องโถงด้านใน
ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกปล่อยไว้ที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ติดประตู เจ้าของร่างบึกบึนที่ให้เขาอาศัยเป็นพาหนะเข้ามาถึงคฤหาสน์มองเหลียวมองขากางเกงตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะหันมายิ้มขัน แล้วพูดอะไรบางอย่าง แม้ว่าอาคันตุกะจากปักกิ่งจะไม่เข้าใจ แต่ท่าทีเป็นมิตรของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกเบาใจไปได้มาก
สาวใช้คนหนึ่งยกถ้วยน้ำชามาให้ พร้อมทำตาโตจ้องหน้าเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกตัวแล้วเดินออกไปพร้อมชายสองคนนั้น ดวงตาดำสนิทกวาดมองไปรอบ ๆ แล้วให้รู้สึกทึ่งกับการตกแต่งภายใน ที่แม้จะเป็นแบบอนุรักษ์นิยม แต่ก็ทำให้ดูเรียบง่ายและหรูหราในคราวเดียวกันได้อย่างน่าทึ่ง
ภาพอักษรพู่กันที่แขวนอยู่เป็นระยะสลับกับภาพวาดต่าง ๆ ทำให้เขาอยากเดินเข้าไปพิจารณาอยู่ใกล้ ๆ นัก แต่ต้องจนใจเพราะกำลังขาตนเองในตอนนี้ ช่างไม่อำนวยแก่ความต้องการเอาเสียเลย เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งชื่นชมอยู่ไกล ๆ จากจุดที่ตัวเองนั่งอยู่
บานประตูถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏกายของชายชราร่างสันทัดในชุดเสื้อคอจีนยาวถึงครึ่งแข้งหรือที่เรียกกันว่าถังจวง และทรงผมแบบแมนจู ไหล่คู่นั้นงุ้มลงเล็กน้อยตามวัย แต่ดวงตาเป็นประกายสดใสที่จ้องมองเขาอย่างพิจารณาเป็นตัวบอกใบ้ได้อย่างดีว่าเจ้าตัวไม่ได้สูบฝิ่น
เจิ้งเสียนอี้รีบฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นยืนตามมารยาทที่ผู้อ่อนอาวุโสกว่าพึงปฏิบัติ และเกือบคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าของคฤหาสน์อยู่แล้ว ถ้าแกไม่แสดงตัวออกมาเสียก่อน
"สวัสดีครับคุณชายเจิ้ง ผมชื่ออู๋ฝู เป็นพ่อบ้านของที่นี่"
ภาษาจีนกลางที่ได้ยินทำให้ร่างโปร่งถึงกับยิ้มออก แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะออกเสียงได้ไม่ถูกต้องนัก แต่ก็ยังพอจับความกันได้
…อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนคุยแล้วล่ะน่า…
"ลุงฝู" เขาค้อมศีรษะให้ผู้สูงวัย
"เดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยอยู่ไม่น้อย ลำบากคุณชายแล้วจริง ๆ"
ไม่ว่าลุงฝูจะพูดตามมารยาท หรือจะพูดด้วยความเห็นใจจริง ๆ ก็ตาม เจิ้งเสียนอี้ก็ยังอดจะบ่นไม่ได้ "ตอนที่ยังไม่ถึงหลงโหยวก็ไม่ลำบากเท่าไหร่หรอกครับ ไม่สิ…ตอนถึงหลงโหยวแล้วก็ยังดีอยู่ จนกระทั่งมาถึงที่นี่ บันไดขึ้นเขาทั้งสูงทั้งชันเสียจนผมต้องพักนวดขาทุก ๆ ยี่สิบขั้นเลยนะครับลุง ผมเกือบจะมาไม่ถึงที่นี่อยู่แล้วถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือของพี่ชายสองคนนั่น"
คำบ่นยืดยาวไม่ได้ทำให้รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าที่ประดับไปด้วยริ้วรอยแห่งชีวิตลดลง หนำซ้ำพ่อบ้านชรายังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่ออาคันตุกะพูดจบ
"ลำบากคุณชายแล้วจริง ๆ เดี๋ยวอยู่ ๆ ไปก็จะชิน ผมเองก็ออกกำลังกายด้วยการเดินขึ้นลงเขารับน้ำค้างในตอนเช้าอยู่ทุกวัน"
เด็กหนุ่มแทบจะสำลักน้ำชาที่กำลังจิบกับประโยคนั้น ก่อนจะร้องถามอย่างตกใจ "ทางขึ้นลงเขามีทางเดียวคือบันไดนั่นหรือครับ?"
"ที่จริงมีกระเช้าชักรอกครับ แต่ตอนนี้มันเสียเพราะเชือกขาด ทุกคนก็เลยต้องเปลี่ยนมาใช้บันได" คนพูดหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะค้อมตัวเล็กน้อย "วันนี้คุณชายเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวัน ผมจะพาขึ้นไปห้องพักก่อน ตอนนี้นายท่านไม่อยู่ เพราะท่านลงเขาไปทำธุระจะกลับมาในตอนเช้า"
คำพูดของฝ่ายตรงข้ามทำให้เจิ้งเสียนอี้เพิ่งจะนึกได้ว่าเขายังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหรือรู้เรื่องของนายจ้างแม้แต่น้อย จึงได้ถามขึ้นขณะกัดฟันเดินตามลุงฟูขึ้นบันไดไปชั้นสอง
"ท่านเป็นคนยังไงหรือครับ? ผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจถูกเวลาพบ"
ดวงตาของผู้ชราที่เหลียวกลับมามองนั้นฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง แต่ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว "นายท่านเป็นคนพูดน้อยและค่อนข้างจะเก็บตัว ใครต่อใครคิดว่าท่านดุ แต่จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนดีมีน้ำใจกว้างขวางมาก"
คนฟังจินตนาการถึงชายแก่เครายาวลักษณะเดียวกับลุงฝู แต่ท่าทางขึงขังและสง่ากว่า แต่ภาพนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไปเมื่อผู้ชราพูดประโยคต่อมา
"ท่านเคยเข้าไปเรียนในเมืองหลวงมาแล้ว ท่านยังหนุ่ม คุณคงจะไม่ลำบากเรื่องการวางตัวมากนัก"
คราวนี้ภาพที่ผุดขึ้นมาในสมองคือชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเขา ผมซอยสั้น และสวมเสื้อผ้าแบบตะวันตกอย่างที่เริ่มแพร่หลายกันในปัจจุบัน…
ความคิดทั้งมวลสะดุดลงกับที่เมื่อเด็กหนุ่มรู้สึกถึงดวงตาที่จ้องมองตนและหลบกลับไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขารู้สึกตัว ในชนบทที่ความเจริญยังรุกรานเข้ามาไม่ถึงเช่นนี้ การลอบมองคนแปลกหน้าในชุดเสื้อผ้าอย่างเขาไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด ดังนั้นเจิ้งเสียนอี้จึงได้แต่ยิ้มให้กับพ่อบ้านชราอย่างไม่ถือสา
ลุงฝูหัวเราะแห้ง ๆ พลางผลักประตูบานสุดท้ายที่อยู่สุดทางเดินให้อีกฝ่าย แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม "เชิญคุณชายพักผ่อนตามสบาย เดี๋ยวผมจะให้เด็กยกน้ำล้างหน้ากับถาดอาหารมาให้"
"เดี๋ยวครับลุง" ร่างโปร่งยึดข้อมือของคนที่กำลังจะเดินจากไปไว้ "แล้วเด็กที่ผมต้องดูแล…ผมหมายถึงนายน้อยน่ะ อยู่ไหนหรือครับ?"
"ตอนนี้นายน้อยหลับแล้ว" น้ำเสียงคนตอบแผ่วลงทันทีราวกับเกรงว่าจะทำให้คนที่ถูกอ้างถึงตื่น "พรุ่งนี้คุณคงจะได้พบพร้อมกับนายท่าน"
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แล้วหิ้วกระเป๋าเดินเข้าไปในห้องโดยที่ไม่ลืมจะขอบคุณผู้ชรา แล้วยิ้มให้เมื่อเห็นร่างงองุ้มที่กำลังเดินจากไปหันมาหาอีกครั้ง
"ผมลืมบอกไปว่าไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก นายท่านกับนายน้อยจะต้องชอบคุณมากแน่ ๆ"
เมื่อประตูปิดสนิท เจิ้งเสียนอี้กวาดสายตามองรอบ ๆ ห้องที่ตัวเองจะต้องใช้อาศัยอย่างพอใจ แม้ว่าขนาดของมันจะไม่ใหญ่ และไม่ได้มีเครื่องประดับหรูหรา แต่เครื่องเรือนที่มีแค่เตียง โต๊ะเขียนหนังสือ และตู้เสื้อผ้าก็เพียง
พอแก่ความต้องการของเขาแล้ว
=l=l=l=
เปลือกตาบางค่อย ๆ เผยอลืมขึ้น แล้วต้องหรี่กลับไปใหม่เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าที่แทรกตัวเข้ามาทางรอยแยกของหน้าต่างส่องแทงตา เจิ้งเสียนอี้บิดเนื้อบิดตัวไล่ความเมื่อยขบออกจากร่าง ก่อนจะลุกจากเตียงอย่างกระปรี้กระเปร่าขณะบอกตัวเองว่าไม่เคยนอนตื่นสายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ภาพที่เห็นเมื่อเปิดหน้าต่างออกไปคือเนินเขานับสิบ ๆ ลูกที่ทอดตัวติดกันเป็นพืด ในส่วนที่เป็นพื้นที่ราบอันน้อยนิดและตามตีนเขาแต่ละลูกนั้นสามารถอำนวยให้ชาวบ้านอาศัยทำไร่เพื่อยังชีพได้ ดังนั้น สีเขียวครึ้มของไม้ป่าบนเขาจึงถูกแทรกด้วยสีเขียวขจีของไร่ใบชาและใบหม่อนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของชูโจวเป็นระยะ ดูละมุนราวกับกำมะหยี่ลายสก็อต ที่แต่งแต้มด้วยจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ อันเป็นกระท่อมเจ้าของไร่อยู่เป็นพัก ๆ
ฉับพลันนั้นประกายตาสดใสก็หม่นลงในทันที ป่านนี้…แม่กับพี่สาวของเขาคงกำลังจะเดินกลับจากการขายขนมในตลาดที่เริ่มวายเมื่อยามสาย รายได้จากขนมของแม่ดูเหมือนจะพอจุนเจือครอบครัวมากกว่ารายได้ข้าราชการชั้นกลางค่อนล่างอย่างพ่อเสียด้วยซ้ำ
เงินเดือนของพ่อเคยเป็นรายได้หลักให้แก่ครอบครัว จนกระทั่งความคลอนแคลนในราชสำนักเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดกบฏอยู่ไม่ขาดระยะ ชีวิตข้าราชการและผู้คนส่วนใหญ่แขวนไว้อยู่บนความไม่มั่นคงกันทั้งสิ้น
เสียงเคาะประตูเบา ๆ สองสามครั้งทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ ทันทีที่บานประตูเปิดออกและพบกับใบหน้าเหี่ยวย่นของลุงฝู เจิ้งเสียนอี้ก็เบิกตา กว้างอย่างนึกขึ้นได้
เขาควรจะพบนายจ้างเช้านี้นี่นา นี่มันกี่โมงเข้าไปแล้ว!?!
"ผมคาดว่าคุณชายน่าจะตื่นแล้ว ก็เลยให้เด็กยกอ่างล้างหน้ามาให้"
พ่อบ้านเฒ่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอารี ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่สาวใช้ที่ยืนมองเด็กหนุ่มจากปักกิ่งด้วยดวงตาเบิกค้าง
"กลับไปทำงานได้แล้ว" แกตวาดเสียงแผ่ว พลางแย่งอ่างล้างหน้านั้นมาไว้ในมือเสียเอง
ร่างโปร่งเลิกคิ้วยิ้ม ๆ อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แล้วช้อนมือเข้าใต้อ่างกระเบื้องและดึงมันออกมาจากมือลุงฝูอย่างสุภาพ "อันที่จริงไม่ต้องลำบากลุงก็ได้นะครับ ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำเองได้"
"แล้วแต่ความสะดวกของคุณชาย" ฝ่ายตรงข้ามว่าพลางค้อมศีรษะเป็นเชิงขอตัว ปล่อยให้เจ้าของห้องได้ทำธุระส่วนตัวตามลำพัง
"ลุงครับ" เจิ้งเสียนอี้ร้องเรียก แล้วพูดต่อเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมามอง "ลุงเรียกผมว่าเสียนอี้ก็ได้นะครับ ไม่ต้องเรียกว่าคุณชายหรอก ผมห่างพ่อห่างแม่มาไกล มาที่นี่ขอนับถือลุงเป็นญาติผู้ใหญ่"
ประโยคนั้นเรียกแววเมตตาแกมเอ็นดูออกจากดวงตาของผู้สูงวัยที่กลับพูดแค่เพียง "ถ้าคุณชายเสร็จธุระแล้ว เชิญลงไปที่ห้องโถงเมื่อคืน นายท่านจะรออยู่ที่นั่น"
=l=l=l=

ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนทำให้เขาพลาดทิวทัศน์ในตัวบ้านไปอย่างน่าเสียดาย ดวงตาสีนิลเบิกกว้างขึ้นด้วยความสนใจขณะเดินผ่านสวนด้านใน พรรณไม้ต่าง ๆ กำลังผลิดอกออกใบต้อนรับฤดูร้อนกันสะพรั่ง เขาพิจารณาประตูวงโค้งซึ่งเป็นทางเดินเข้ามาด้านในอย่างชื่นชม ก่อนจะเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นประตูห้องโถงเปิดอ้าไว้รอรับ
เจิ้งเสียนอี้พาร่างสูงโปร่งของตนก้าวเข้าไปด้านในแล้วพบเพียงความว่างเปล่า เขาหมุนตัวอย่างลังเลก่อนจะสะดุดสายตาลงกับภาพเขียนอักษรพู่กันที่ประดับไว้ตามข้างฝา ท่อนขาที่เมื่อยขบในคืนที่ผ่านมาเป็นอุปสรรคทำให้เขาไม่ได้ชมศิลปะเหล่านี้ใกล้ ๆ ตอนนี้ยังพอมีเวลา เขาจึงคิดอยากจะทำตามที่ใจตัวเองนึกเสียหน่อย
คนจีนที่รู้หนังสือทุกคนรู้จักการใช้พู่กันสร้างสรรค์ศิลปะตัวอักษรและภาพวาดได้ดีเท่า ๆ กับการใช้ตะเกียบกินข้าว ส่วนความละเอียดอ่อนของผลงานนั้นขึ้นอยู่กับใจรัก ความถนัด ความเพียร และพรสวรรค์ของแต่ละคน ซึ่งเด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาไม่ค่อยมีทักษะในด้านนี้เสียเท่าไรนัก เมื่อเด็กเขาต้องร้องไห้จ้ายามถูกบิดาตีเพราะเขวี้ยงพู่กันลงพื้น
"การเขียนพู่กันไม่ได้เน้นความเร็ว หากแต่เน้นความงาม ความประณีต การส่งผ่านจิตวิญญาณของตัวเองใส่ปลายพู่กัน การฝึกความอดทนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าแค่เขียนพู่กันให้ดียังทำไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว"
เด็กหนุ่มจากปักกิ่งอมยิ้มกับตัวเองเมื่อคิดถึงประโยคนี้ จนหมึกหมดไปแท่งแล้วแท่งเล่า กระดาษหมดไปนับพันแผ่น เขาก็ยังไม่ได้ความอดทนที่พ่อต้องการมาเสียที
อักษรแต่ละภาพที่ประดับอยู่บนผนังฟ้องคนมองได้อย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ได้มาจากการเขียนของคนคนเดียวกัน หากแต่ทุกตัวอักษรล้วนแต่ถ่ายทอดพลังและอารมณ์ของเจ้าของลายมือได้อย่างชัดเจน
สมาธิของเขาสะดุดและสะบั้นลงทันทีเมื่อดวงตาจับภาพเงาร่างคนทางซ้ายมือได้ เขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาภาพนั้นทั้งตัว แล้วพบกับเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่บนเก้าอี้ที่บ่งตำแหน่งเจ้าบ้าน
เจิ้งเสียนอี้ถึงกับนิ่งงันไปกับภาพที่เห็น จากคำบอกเล่าของลุงฝูที่พูดไว้ว่านายจ้างของเขาเคยไปเรียนต่อในเมืองหลวง ทำให้ร่างโปร่งอนุมานเอาเองว่าฝ่ายนั้นคงจะรับเอาความเจริญและวัฒนธรรมตะวันตกที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวกับไฟไหม้ฟางมาเต็มที่ แต่ชายหนุ่มที่เขาเห็นกลับอยู่ในเสื้อตัวยาวแบบจีนที่ทอจากไหมเนื้อดี แม้จะไม่ได้โกนศีรษะจนเหลือเพียงครึ่ง แต่เส้นผมสีดำที่ดกหนาก็ยังยาวเหยียดและถักเป็นเปียแน่นจนเกือบถึงบั้นเอว ท่านั่งไขว่ห้างจิบน้ำชาและดวงตาคมกริบที่จับจ้องอยู่บนใบหน้าเขาทำให้อับจนคำพูดไปชั่วขณะ
แม้จะมีโครงร่างสูงตระหง่าน อกกว้าง ไหล่หนา และมือเท้าใหญ่อันเป็นมรดกทางสายเลือดของชาวนา แต่ชายตรงหน้าก็มีลักษณะคหบดีแห่งชูโจวซึ่งมีท่วงท่าเป็นผู้ดีเย่อหยิ่งเหมือนที่ใครต่อใครพูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันจนเด็กหนุ่มมีเวลาที่จะฉุกคิดและถามตัวเองว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ และก่อนที่เขาจะหาคำตอบได้ ริมฝีปากที่เหมือนกับชาไปชั่วขณะก็กลับมาทำงานได้อีกครั้งโดยที่เจ้าของยังไม่ทันได้บังคับ
"สวัสดีครับ…" เขานิ่งไปเล็กน้อยด้วยลังเลว่าจะใช้สรรพนามใดเรียกอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจ "อู๋เซียนเซิงฤ ผมเจิ้งเสียนอี้ มากจากปักกิ่งตามคำแนะนำของลุงเฉียว…เฉียวเหวินฉาย"
ลุงฝูเรียกนายจ้างเขาว่า 'นายท่าน' แต่สำหรับเขา นายจ้างก็คือนายจ้าง และลูกจ้างประเภทเขาก็มีความแตกต่างกับคนรับใช้อยู่ไม่มากก็น้อย การจะเรียกฝ่ายตรงข้ามว่า 'นายท่าน' เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในบ้านนั้น ออกจะทำให้เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง
ร่างสูงบนเก้าอี้ไม้ไม่คิดจะเอ่ยทักทาย หากแต่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเรียบเฉย ในขณะที่ดวงตาคู่นั้นยังคงไม่ละไปจากใบหน้าอีกฝ่าย
"เจียงหมิง"
"อะไรนะครับ?" เจิ้งเสียนอี้ถามอย่างไม่เข้าใจนัก
"ฉันให้เธอเรียกว่าเจียงหมิง…ซึ่งเป็นชื่อของฉัน…แทนคำว่าอู๋เซียนเซิงที่เธอใช้อยู่เมื่อครู่"
คนฟังพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ขมวดคิ้วแสดงความยุ่งยากใจออกมา สถานะของเขาและอู๋เจียงหมิงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จริงอยู่ว่าเขาไม่อยากใช้สรรพนามนอบน้อมอย่าง 'นายท่าน' แต่การจะเรียกชื่อของเจ้าตัวตรง ๆ อย่างสนิทสนมนั้น ก็ออกจะแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
ท่าทางกระสับกระส่ายเหมือนแขนขาตัวเองเป็นส่วนเกินที่เกะกะของเด็กหนุ่มคงจะทำให้นายของบ้านสังเกตเห็น จึงได้พูดขึ้นมาเป็นประโยคที่สอง
"เชิญนั่ง"
ร่างโปร่งเอ่ยขอบคุณ แล้วทำท่าจะเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกับประตูทางออก แต่อู๋เจียงหมิงก็เอ่ยขัดขึ้นมา พลางชี้ไปยังเก้าอี้ตัวแรกสุดของแถว
"นั่งตรงนั้นสิ*" น้ำเสียงนั้นเหมือนจะเป็นการสั่งอยู่กลาย ๆ จนเขาไม่สามารถปฏิเสธได้
สาวใช้คนหนึ่งยกน้ำชาเข้ามาให้แล้วเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่วายที่จะลอบมอง 'แขกใหม่' เสียทีหนึ่ง ในขณะที่เจ้าบ้านกล่าวเสียงเรียบ "ชาของที่นี่รสชาติเยี่ยมที่สุด เพราะเราคัดใบชาอย่างดีมาบ่มด้วยวิธีละเอียดอ่อน และใช้น้ำค้างที่รองในตอนเช้าชง ตอนนี้ชาดี ๆ หาดื่มได้ยาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ที่วัฒนธรรมการดื่มกาแฟของตะวันตกได้รับความนิยมสูง"
เด็กหนุ่มไม่ออกความเห็นหากแต่ยกชาขึ้นมาจิบพอเป็นพิธี แม้ว่าที่บ้านจะมีชาเป็นเครื่องดื่มหลักเช่นเดียวกับบ้านชาวจีนทั่วไป แต่เขาก็ไม่ใช่คอชาที่จะสามารถแยกรสและกลิ่นได้อย่างละเอียดอ่อน และจริงตามที่อู๋เจียง หมิงพูด ร้านน้ำชาหลายร้านต้องปิดตัวลงอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากคนชั้นสูงหันมานิยมดื่มกาแฟแบบตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความสงัดเข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง และคราวนี้ดวงตาคมกริบที่ยังจ้องมองมาทำให้เจิ้งเสียนอี้นึกค่อนผู้เป็นนายจ้างของตัวเองอยู่ในใจ จริงอยู่ การที่คนชนบทจะจ้องชาวกรุงในชุดตะวันตกอย่างเขาชนิดตาไม่กระพริบไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ร่างสูงก็ใช่ว่าจะเป็นพวกชาวนาหูหนาตาเล่อ กลับเป็นถึงคหบดีที่เคยเข้าไปร่ำเรียนถึงในเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ
แววตานั้นไม่ได้แฝงแววตื่นเต้นที่เห็นของแปลกใหม่ หากแต่เป็นแววค้นหา…พอใจ
"อาสูบอกว่าหน้าที่ของผมคือดูแลเด็กและสอนหนังสือ" เขาทำลายความเงียบขึ้นเพื่อลดความอึดอัดให้กับตัวเอง
"ใช่ ที่จริงงานเธอก็ไม่ได้หนักหนาถึงขั้นนั้น เพราะปกติหยุนเสียงเองก็มีพี่เลี้ยงประจำตัวอยู่ก่อน เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาเดินทางไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเก่า แต่คงจะกลับมาก่อนสิ้นเดือนนี้" ฝ่ายนั้นพูดพลางวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายวาว "ตั้งแต่มาถึงมีใครบอกเธอหรือยังว่าเธอมีลิ้นสำเนียงปักกิ่งที่ชัดเจนมาก"
"ยังครับ" เขาตอบแผ่ว จะว่าไป…ชายหนุ่มก็เพิ่งจะเป็นคนที่สองถัดจากลุงฝูที่พูดภาษากลางกับเขา เจิ้งเสียนอี้รีบพูดต่อเมื่อนึกอะไรได้ "ถ้าคุณไม่อยากให้นายน้อยติดสำเนียงปักกิ่ง ผมจะพยายามลด…"
ฝ่ายตรงข้ามแทรกขึ้นก่อนที่เขาจะพูดจบ "ฉันไม่ถือสาเรื่องนั้น"
คนพูดลุกเดินเข้าไปด้านในสักพักแล้วกลับออกมาพร้อมเด็กชายอายุประมาณห้าหกขวบที่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย หากแต่ร่างโปร่งก็ยังตาไวพอที่จะสังเกตเห็นเครื่องแต่งกายที่แตกต่างไปของเด็กน้อย
ฝ้ายดิบเนื้อหยาบ…ชุดไว้ทุกข์!
อู๋เจียงหมิงก้มลงกระซิบอะไรบางอย่างอยู่นาน เด็กน้อยจึงยอมโผล่หน้าออกมาทีละน้อย เผยให้เห็นหางเปียยาวและดวงตาสุกใสกลมโตที่เป็นประกายวูบขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าของ 'ครูใหม่' ได้ถนัดตา ร่างเล็กทำท่าจะก้าวเดินออกมา แต่แล้วก็กลับอาศัยแผ่นหลังกว้างเป็นที่กำบังกายเหมือนอย่างเดิม
ผู้เป็นนายของบ้านระบายลมหายใจออกยาว ก่อนจะหันมาพูดกับเด็กหนุ่ม "หยุนเสียงค่อนข้างจะกลัวคนแปลกหน้า แต่อีกไม่นานเขาก็จะคุ้นกับเธอ"
เจิ้งเสียนอี้พยักหน้ารับ พร้อมพยายามยิ้มให้เด็กชายซึ่งบัดนี้เปลี่ยนสถานะมาเป็นลูกศิษย์ หากแต่ฝ่ายนั้นกลับคอยหลบหน้าอยู่เหมือนเดิม
เขาคิดว่าตัวเองไม่ผิดที่นึกอยากรู้สาเหตุการแต่งชุดไว้ทุกข์ของอู๋หยุน
เสียง เพียงแต่ก็รู้กาละเทศะพอว่าไม่ควรถามออกมาในเวลานี้
"แล้วผมควรจะสอนอะไร…นายน้อย…บ้างครับ?"
"เธอเรียกเขาว่าหยุนเสียงจะดีกว่า" ผู้เป็นนายจ้างว่าพลางดึงร่างหลานชายให้นั่งตัก อู๋หยุนเสียงลอบมองเด็กหนุ่ม แล้วรีบหลบสายตาด้วยการซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง
"หยุนเสียงอ่านเขียนเป็นอยู่แล้ว ฉันอยากให้เธอสอนสิ่งที่เขาควรจะรู้ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม การคำนวณ…รวมถึงศาสตร์แขนงใหม่ ๆ จากตะวันตกที่เธอร่ำเรียนมา ทำได้ใช่ไหม"
"ครับ" เจิ้งเสียนอี้รับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้เขาจะคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนฉลาดล้ำเลิศ แต่ก็มั่นใจว่าการสอนหนังสือเด็ก…โดยเฉพาะเด็กเพียงคนเดียวคงไม่เกินความสามารถตัวเองไปได้
ชายหนุ่มพยักหน้า ริมฝีปากบางที่ยกยิ้มเล็กน้อยแสดงถึงความพอใจของเจ้าตัว "ดี ถ้าเธอตกลงอีกสักพักลุงฝูจะเอาหนังสือสัญญามาให้ลงชื่อ เธอจะพักผ่อนสักสองสามวัน หรือจะเริ่มทำงานเลยก็ตามใจ เดี๋ยวฉันจะต้องลงเขา อีกสองสามวันถึงจะกลับ"
=l=l=l=
เสียงแง้มประตูนั้นไม่ว่าจะแผ่วเบาสักเพียงไหน แต่เจ้าของห้องที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในฉากผ้าไหมก็ยังคงได้ยิน แม้ไม่หันกลับไปมองชายหนุ่มก็ยังรู้ดีว่าผู้ที่เข้ามานั้นไม่มีใครอื่น
"เป็นยังไงบ้าง?"
"คุณชายเจิ้งลงชื่อเรียบร้อยแล้วครับ" ชายชราตอบพลางเดินเข้าไปช่วยร่างสูงที่เพิ่งก้าวออกจากฉากจัดผมเปียให้เรียบร้อย ดวงตาที่ฟ้าฟางไปตามวัย หากแต่ยังแจ่มใสกับทุกสรรพสิ่งรอบตัวปรากฏริ้วรอยแห่งความกังวล
"คุณชายรอง"
เสียงแหบแห้งจากการกระซิบดังขึ้น เมื่ออยู่แต่เพียงลำพัง ลุงฝูถนัดที่จะเรียกฝ่ายตรงข้ามด้วยสรรพนามนี้มากกว่าคำอื่น
เจ้าตัวเลิกคิ้วพลางสบตาผู้สูงวัยผ่านบานกระจกเงา "มีอะไรหรือลุง?"
พ่อบ้านเฒ่าหลบสายตาอีกฝ่ายด้วยอาการลังเล หากแต่อู๋เจียงหมิงก็พูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน
"เขาคล้ายใช่ไหม? หยุนเสียงเองก็ยังมีปฏิกิริยาตอนเห็นเขา แปลกดีนะ คนหนึ่งอยู่ที่เจ้อเจียง อีกคนอยู่ปักกิ่งแท้ ๆ"
คู่สนทนาพยักหน้าช้า ๆ "ทุกคนในบ้านมีปฏิกิริยาตอนที่เห็นคุณชายเจิ้งทั้งนั้น"
ชายหนุ่มหัวเราะในคอ "ไม่ตกใจกันบ้างก็คงจะแปลกเต็มที ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ลุงว่าไหม?"
ผู้ชราเดินเข้าไปหยิบหวีมาสางผมให้เจ้านายอย่างเบามือ แกสบตาอีกฝ่ายในกระจกเงา แล้วกระแอมในคอเล็กน้อย "หวังว่าคุณชายคงจะไม่…"
"เรื่องนั้นมันจบไปนานแล้ว จะรื้อฟื้นขึ้นมาทำไมกัน!" น้ำเสียงเฉียบขาดดังขัดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ
เฒ่าฝูหลบตาฝ่ายตรงข้าม "ถ้าคุณชายว่าอย่างนั้นผมก็ค่อยเบาใจ ที่พูดไปอย่างนั้นก็เพราะเป็นห่วงเท่านั้นเอง"
"ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่ว่าเขาจะคล้าย…หรือจะเหมือน ก็ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น อีกอย่างเขาก็เป็นผู้ชายด้วย"
แม้น้ำเสียงของชายหนุ่มจะหนักแน่น แต่คนฟังก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ ถ้าจิตใจของคุณชายรองของแกมั่งคงเหมือนดังคำพูด ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย
=l=l=l=