ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Sky Battle

by...Rai

สำเพ็ง ปีพุทธศักราช 2482

"ไอ้เด็กเวรตะไล" เสียงด่าทอของคนขับรถรางดังลั่นขณะก้มลงเขี่ยเศษกระจกที่พวกผมเอามาวางไว้บนรางรถ แม้จะไม่ได้หันกลับไปดูผลงาน แต่ผมก็คาดว่าเขาคงจะเอ่ยปากสรรเสริญต้นตระกูลของผมอย่างหงุดหงิดแน่นอน
เมื่อห่างจากระยะที่อีกฝ่ายจะวิ่งมาไล่เตะได้แล้ว ผมจึงหยุดแล้วหันกลับไปมองด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องตามประสาเด็กที่รอดตีนผู้ใหญ่ได้ แล้วผมก็เห็นคนขับรถรางยืนส่ายศีรษะอย่างระอาใจก่อนจะมองขึ้นไปบนฟากฟ้ายามบ่าย ตอนนี้ว่าวหลากสีลอยละล่องโฉบซ้ายโฉบขวาจนละลานตา ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นว่ามันสวยหรือน่ารำคาญ เพราะเข้าหน้าร้อนทีไรก็เข้าสู่ฤดูกาลของการเล่นว่าว ซึ่งพนักงานขับรถรางมักจะปวดหัวกับพวกผมและเด็กคนอื่นในละแวกนี้ที่มักจะเอากระจกไปให้รถรางบดเพื่อเอามาทำป่านคม

ว่าวป่านคมก็คือการแย่งชิงความเป็นหนึ่งบนห้วงเวหา พอตะวันบ่ายคล้อย แดดเริ่มอ่อน ลมเริ่มแรง ว่าวหลากแบบต่างสีก็ลอยเกลื่อนท้องฟ้า บรรดาเจ้าเวหาก็เริ่มยุทธวิธีทางอากาศ บังคับว่าวที่มีป่านคมเป็นอาวุธพุ่งขึ้นฟ้า โฉบซ้ายโฉบขวาไล่ตัดว่าวเล็กว่าวน้อยขาดลอยกระจุยกระจายเหมือนพยัคฆ์ล่าเหยื่อ คนพวกนี้มันจะโดนเจ้าของว่าวแช่งชักหักกระดูก บางทีเด็กตัวเล็ก ๆ โดนตัดสายป่านถึงกับร้องไห้โฮ

กลุ่มพวกผมอันประกอบด้วยเด็กวัยไล่เลี่ยกันราวสิบถึงสิบสองขวบประมาณหกหรือเจ็ดคนนั้นกำลังอยู่ในวัยแสวงหา ไม่ใช่แสวงหาความจริงแท้ของชีวิตหรือครับ มันยากเกินไป ก็แค่แสวงหาความสนุกสนานเท่าที่วัยพวกผมจะทำได้โดยไม่ต้องเปลืองสตางค์พ่อแม่ผู้ปกครอง

สำหรับการเล่นว่าวนั้นตอนที่ยังเด็กกว่านี้ผมก็สนุกกับว่าวสวย ๆ แค่เห็นมันขึ้นไปลอยลมก็ดีใจแทบตายแล้ว ผมยังจำว่าวคาวบอยตัวแรกที่พ่อซื้อให้ผมเมื่อสองปีที่แล้วได้ ที่เรียกว่าว่าวคาวบอยนั้นก็เพราะเป็นว่าวที่ปล่อยชายลงมายาว ๆ เวลาชักจะกระพือโต้ลมแพรด ๆ คล้ายคาวบอยในภาพยนตร์ที่ผูกผ้าพันคอผืนใหญ่ ๆ แต่เมื่อโตขึ้นผมก็เปลี่ยนเป็นนิยมว่าวป่านคม แต่ยังไม่มีปัญญามีว่าวป่านคมเป็นของตัวเองหรอกครับ อย่างมากก็เป็นลูกสมุนของพวกหนุ่ม ๆ แถวบ้าน ไปช่วยเขาหยิบโน่นหยิบนี่ตามแต่เขาจะสั่ง บางทีก็ช่วยส่งว่าว บางทีก็ช่วยถือกระป๋องป่านให้ แต่ก็ต้องคอยระวังไม่ไปเกะกะป่านคมของเขา ไม่งั้นโดนไล่ออกจากสนามไปนั่งกอดเข่าดูเขาอย่างเดียวไม่ได้ร่วมสนุกด้วย

ผมชอบดูว่าวป่านคมสู้กันเอง เพราะยามเมื่อว่าวป่านคมมาเจอกันก็จะถลาเข้าฟาดฟันกันชิงความเป็นใหญ่เหนือน่านฟ้า สนุกสะใจดีทั้งคนชักว่าวและคนเชียร์ ฝ่ายไหนเสียท่าโดนป่านคมตัดขาดก็รีบขึ้นว่าวตัวใหม่เพื่อแก้มือ สู้กันจนมืดค่ำหรือหมดทุนไปข้างหนึ่ง บางคู่นั้นนัดเจอกันใหม่วันรุ่งขึ้นก็ยังมี แต่ไม่มีการอาฆาตมาดร้าย แพ้-ชนะก็ถือเป็นเกมกีฬาแบบคนใจนักเลง และคนที่เล่นป่านคมนั้นก็มักจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เป็นเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกัน

วันนี้ผมเพลินกับการประลองว่าวจนฟ้าเริ่มมืด นึกขึ้นได้ว่าเลยเวลามื้อเย็นมามากโขแล้ว ผมแอบย่องเข้าบ้านเพราะรู้ดีว่าถ้าเจอกับพ่อตัวต่อตัวมีหวังต้องนั่งพับเพียบฟังคำเทศนายาวแน่นอน แต่พอเปิดประตูรั้วหลังบ้านก็ได้ยินเสียงพ่อแว่วมา

"อ้ายน้อยมันไปไหน พอโรงเรียนปิดเทอมใหญ่ทีไร ไม่เคยได้เห็นมันสักวัน"

"ไม่ไปกัดจิ้งหรีดก็คงไปเล่นว่าว" เสียงแม่ชี้แจงกิจกรรมยามว่างของผมให้พ่อฟัง เพราะเด็กนักเรียนอย่างผมนั้น กิจกรรมนันทนาการตอนปิดภาคเรียนฤดูร้อนก็ไม่พ้นปลากัด จับจิ้งหรีดมาปั่นให้กัดกัน เล่นร่อนรูปจากซิกาแร็ต หรือเล่นว่าวนี่แหละ

"เปลืองสตางค์แท้ ๆ" เสียงพ่อพึมพำ

มันก็จริงอยู่หรอกครับเพราะว่าวที่ทำขายกันมีอยู่สามขนาดคือเล็ก กลาง และใหญ่ ราคาตัวละ 1, 2 และ 3 สตางค์ตามลำดับ ตัวเล็กมีไว้ให้เด็กเล่น ชักขึ้นยากต้องต่อหางช่วย ส่วนที่เขามักจะเอาไปเล่นทำป่านคมนั้นต้องขนาดตัวละสองหรือสามสตางค์ ปีนี้ผมกะว่าจะต้องทำว่าวป่านคมที่เฉียบ ๆ ให้ได้สักตัว ก็เลยต้องลงทุนซื้อว่าวตัวใหญ่สักหน่อย

ขนาดของว่าวมีความสำคัญในการเล่นป่านคมอยู่ไม่น้อย ว่าวเล็กมีกำลังน้อยแต่บังคับง่าย ส่วนว่าวตัวใหญ่นั้นกินลมดี มีแรงตัดสายป่านหนักกว่า แต่ราคาแพงกว่าแถมยังบังคับยาก ถ้าป่านไม่เหนียวพอมันก็จะขาดลอยไปกับลมได้

"มันจะคว้าว่าวใครเขาได้ฮึ มีแต่เสียสตางค์ค่าว่าวให้คนอื่นคว้าไปกิน เล่นว่าวให้มันลอยลมก็น่าจะพอแล้ว" เสียงพ่อยังบ่นมาอีกเมื่อรู้ว่าผมคิดจะเล่นคว้าว่าว

ผมก็ได้แต่ถอนใจ มันก็จริงอย่างที่พ่อผมว่านั่นแหละ เพราะคนแถวนี้เขาเซียนคว้าว่าวทั้งนั้น คนหนุ่มแถวสำเพ็ง เยาวราช ราชวงศ์ วัดสามปลื้มไปจนถึงพาหุรัด บ้านหม้อ เล่นว่าวป่านคมกันเป็นแถว ดังนั้นยามเย็นผมจึงมักจะได้ชมการประลองเจ้าเวหาเป็นประจำ

เซียนว่าวในย่านสำเพ็งนี้ที่มีชื่อก็คงจะเป็นเฮียกัง เฮียกังนั้นมีชื่อเต็ม ๆ ว่านายกังวาน เป็นลูกจีนที่เกิดในประเทศไทยอายุราวยี่สิบเศษ ทางบ้านทำกิจการช่างทองอยู่ในตลาดสำเพ็ง แต่ตัวแกเป็นเสมียนในสำนักงานฝรั่งแถวริมถนนอัษฎางค์ชื่อว่าร้านสยามอาร์กีเต็ค ซึ่งเป็นเอย่นต์จำหน่ายสุราต่างประเทศแทบทุกยี่ห้อ นับว่าเป็นพวกคนหนุ่มที่มีอนาคตไกลและรายได้สูง เพราะแค่กิจการในครอบครัวนั้นก็เงินทองเหลือเฟือ เมื่อแกสนใจการเล่นคว้าว่าวจึงเป็นที่เชื่อขนมกินได้ว่าไม่เป็นสองรองใครแน่
เฮียกังเป็นขวัญใจของพวกเด็ก ๆ ในย่านนั้น เพราะแกเป็นคนใจดี ไม่ขี้โมโหหรือรำคาญในยามที่พวกเราเหล่าเด็ก ๆ จะวิ่งตามแกไปเป็นพรวนเพื่อคอยขึ้นว่าวให้บ้าง หรือคอยเป็นลูกมือตอนที่แกทำป่านคม ใบหน้าสีขาวเผือดตามเผ่าพันธุ์ของแกนั้นมักจะประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ เว้นแต่ตอนประลองว่าวนั่นแหละถึงจะได้เห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของแก

*****

ผมยังจำวันนั้นได้ดี ตามปกติการเล่นคว้าว่าวจะเริ่มกันตอนบ่ายแก่ ๆ หลังสี่โมงเย็น แดดเริ่มอ่อนลมพัดแรง เฮียกังเลิกงานแล้วตรงดิ่งกลับมาบ้านทันทีเพื่อประกาศศักดาเจ้าเวหาหลังจากที่โค่นใครต่อใครมานับไม่ถ้วนนับแต่เริ่มฤดูร้อนปีนี้
เย็นวันนั้นมีว่าวชักมาจากสถานที่ไกลพอดู ไกลขนาดไม่เห็นตัวคนชักว่าวและสถานที่ที่ว่าวตัวนั้นถูกชัก ว่าวตัวนี้มีลายเป็นรูปสายฟ้าฟาดสีแดงเพลิงขนาดใหญ่ เฮียกังกำลังมันมือขาดคู่ต่อสู้พอดี ก็บังคับว่าวโผนเข้าใส่อย่างไม่รีรอ ด้วยฝีมือระดับเซียนเวหาย่านสำเพ็ง เฮียกังสามารถทาบบนได้เช่นเคย แต่พอผ่อนสายป่านสู้กันไม่ทันไร เจ้าสายฟ้าฟาดก็พิชิตป่านคมของเฮียกังขาดอย่างไม่น่าเชื่อ เฮียกังกัดกรามกรอดแล้วรีบผูกว่าวตัวใหม่ขึ้นไปแก้ตัวทันที

เพียงครึ่งชั่วโมงเจ้าสายฟ้าฟาดตัวร้ายตัดสายป่านคมของเฮียกังจนเสียว่าวไปถึง 5 ตัว ป่านคมหมดไปหลายกระป๋อง เจ้าของว่าวรูปสายฟ้าฟาดก็ไม่ยอมสาวว่าวกลับ ยังคงปล่อยให้ว่าวส่ายไปมาผงาดเหนือฟากฟ้าอาณาเขตของเฮียกังเหมือนเยาะเย้ย
เฮียกังฉุนขาดเพราะหมดว่าวไปหลายตัวแล้วก็ยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ใคร่ครวญสักพักก็กวักมือเรียกพวกผมที่ยืนตั้งคอดูการต่อสู้ให้เข้ามาใกล้ แล้วกระซิบบอกให้เริ่มยุทธการลูกดิ่ง

ผมมองหน้าเฮียกังอย่างไม่เชื่อหู เพราะไม่เคยที่เฮียกังผู้สุภาพจะลงมือด้วยวิชามารแบบนี้ เนื่องจากลูกดิ่งเป็นหนึ่งในยุทธการที่ใช้กันในหมู่พวกนักเล่นว่าวที่เกกมะเหรก มันคือการสอยว่าวที่อยู่สูง ๆ ด้วยก้อนอิฐขนาดเหมาะมือที่ผูกกับปลายเชือกแล้วขว้างไปทาบสายป่านเพื่อสาวลงมา แต่เผอิญว่าวรูปสายฟ้าตัวนี้อยู่สูงมาก เฮียกังเลยวานให้ผมใช้หนังสะติ๊กยิงลูกดิ่งขึ้นไปเป็นการผ่อนแรง

"ฉันเองก็ไม่อยากทำหรอกนะ" เฮียกังออกตัว "ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของว่าว แค่อยากรู้ว่าสายป่านของเขาทำด้วยอะไรเท่านั้นเอง"
ผมพยักหน้าเห็นด้วยเพราะความอยากรู้เหมือนกัน ดังนั้นเราสองคนก็เลยเริ่มยุทธการสอยว่าวกัน เฮียกังขึ้นว่าวตัวใหม่ขึ้นส่ายล่อเจ้าว่าวสายฟ้า พออีกฝ่ายเห็นก็โฉบเข้าหาทันที สายป่านของว่าวคู่ต่อสู้จะตกคล้องช้าง คือมันจะตกย้อยลงมา ผมก็ยิงก้อนอิฐผูกเชือกหรือที่เราเรียกว่าลูกดิ่งพาดสายป่านเจ้าว่าวสายฟ้า แล้วสาวลงมาตามแผน ได้ทั้งตัวว่าวและป่านคม สงสัยว่าเจ้าของว่าวคงจะด่าเฮียกังแหลกราญ แต่ไม่ได้ยินเสียอย่าง เฮียกังเลยทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวเสียอย่างนั้นแหละ

ว่าวสายฟ้าที่พวกเราสอยลงมาได้นั้นเป็นว่าวขนาดใหญ่ 3 สตางค์ จึงมีพลังมากกว่าว่าวที่เฮียกังใช้ซึ่งมีขนาด 2 สตางค์ ส่วนป่านคมนั้นอาจจะผสมกากเพชรหรือไข่ตุ๊กแกหรืออะไรที่เฮียกังเองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน วันนั้นพอพิจารณาว่าวเสร็จ ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพราะเริ่มจะเย็นมากแล้ว

วันต่อมาขณะที่พวกเรากำลังเล่นว่าวกันอยู่ก็เห็นเด็กหนุ่มรุ่น ๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมผู้ใหญ่ท่าทางระแวดระวัง พอมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงเด็กคนนั้นก็ชี้หน้าเฮียกังอย่างฉุน ๆ

"นายรึที่สอยว่าวฉัน!? เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า"

ตอนแรกเฮียกังทำหน้ากังขา แต่เมื่อเห็นว่าวรูปสายฟ้าฟาดในมือของอีกฝ่ายก็ต้องทำหน้าปูเลี่ยน ๆ เพราะไม่นึกว่าคู่แข่งเมื่อวานที่ตนใช้วิชามารเข้าช่วยจะเป็นเด็กวัยรุ่น แต่ด้วยที่อายุมากกว่าชั้นเชิงจึงมากกว่า ดังนั้นจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันควัน
"ฉันเพิ่งเคยเห็นป่านคมขนาดนี้เป็นครั้งแรก เลยเสียมารยาทสักหน่อย ฉันชื่อกังวานเป็นลูกร้านทองที่นี่แหละ"

พอเห็นท่าทีอ่อนน้อมของเฮียกัง เด็กคนนั้นจึงเปลี่ยนสีหน้า "ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่สอยว่าวแบบนี้ไม่เป็นสุภาพชนเลยนี่นา"

"ฉันขอโทษจริง ๆ" เฮียกังยังขอโทษขอโพยไม่ขาดปาก แล้วก็ชวนให้อีกฝ่ายดูเทคนิคการเล่นป่านคมของแก พร้อมถามเทคนิคการเล่นของอีกฝ่าย สักพักผู้ใหญ่ที่มาด้วยก็เอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ

"คุณเสี่ยขอรับ เดี๋ยวจะเย็นไปกว่านี้ อาเอี๊ยกับอาไหน้จะเป็นห่วง"

สีหน้าเจ้าของว่าวสายฟ้าขุ่นลงทันควัน "รำคาญนัก วันหลังก็ขังฉันอยู่แต่ในบ้านเลยสิ"

พวกผมกับเฮียกังมองทีท่าของคนทั้งคู่อย่างสงสัย เด็กหนุ่มหรือที่ผู้ใหญ่คนนั้นเรียกว่า 'คุณเสี่ย' ก็หันมาร่ำลาพวกผม

"ฉันต้องกลับบ้านแล้ว ไว้วันหลังจะมาเล่นว่าวที่นี่อีก"

เฮียกังยิ้มแห้ง ๆ อาจจะเป็นเพราะยังไม่คุ้นกับท่าทีไว้ตัวของอีกฝ่าย ผิดกับพวกผมเองที่ไม่ได้รู้สึกอะไรมากเพราะเป็นแค่เด็กธรรมดาในตลาด แต่เฮียกังนั้นเป็นลูกของคนพอมีจะกินที่สร้างฐานะมาจากคนไม่มีเชื้อมีสาย จริง ๆ แล้วพวกเราควรจะเรียกแกว่าเสี่ยกังด้วยซ้ำ เพราะคนแถวนี้ต่างก็เรียกพ่อและแม่ของเฮียกังว่า "เถ้าเก่" และ "เถ้าเก่เนี้ย" ดังนั้นคนแถวนี้จึงมักจะให้ความเกรงใจเฮียกังอยู่กลาย ๆ แต่คุณเสี่ยกลับดูเหมือนจะมีฐานะสูงกว่าเฮียกังด้วยซ้ำ

ผมมารู้ทีหลังว่าฐานะของคุณเสี่ยสูงกว่าเฮียกังจริง ๆ เพราะเป็นครอบครัวผู้ดีเก่า พ่อของคุณเสี่ยเรียกว่า "อาเอี๊ย" ซึ่งเทียบได้กับคำว่าใต้เท้า

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือคุณเสี่ยนั้นเป็นลูกของเชียะคา (เมียคนใช้) แต่เรียกอาไหน้ (ท่านผู้หญิง) ว่าแม่ โดยเรียกแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองว่าอาเจ๊เหมือนคนในบ้านอื่น ๆ เพราะถือตามธรรมเนียมที่ว่า "เซียะคาแซเกี้ยอาเนี้ยไก๊" แปลว่า "ภรรยาคนใช้เมื่อคลอดบุตร บุตรนั้นให้ถือว่าเป็นบุตรภรรยาหลวง" แต่ตามสภาพที่เป็นจริง ฐานะของลูกที่เกิดจากเซียะคานั้นจะด้อยกว่าบุตรที่เกิดจากภรรยาหลวงของอาเอี๊ย

จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบได้ที่ว่าคุณเสี่ยกลับเป็นบุตรชายคนเดียวของบ้าน อาไหน้หรือแม้แต่เมียเล็ก ๆ ของอาเอี๊ยมีแต่ลูกผู้หญิง

"รักทั้งที่ไม่อยากรัก" ผู้ใหญ่คนหนึ่งเคยนินทาถึงอาไหน้ที่บ้านของอาเอี๊ยเข้าหูผมโดยบังเอิญ "เพราะเป็นลูกเซียะคาแท้ ๆ แต่กลับเป็นคนสืบทอดวงศ์ตระกูล ปากก็พร่ำว่าตัวเองทำบุญกินเจทุกวัน แต่กลับบังคับให้ลูกสูบฝิ่น เพราะกลัวเด็กจะอยู่ไม่ติดบ้าน"

*****

ช่วงปิดเทอมที่สนุกสนานของผมก็ยังดำเนินต่อไป แต่ตอนนี้คุณเสี่ยก็กลายมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ในกลุ่มเดียวกับพวกเรา คาดว่าครอบครัวของคุณเสี่ยคงพอจะรู้จักบ้านของเฮียกัง จึงพิจารณาให้คบได้กระมัง แต่ทว่าก็ยังต้องมีผู้ใหญ่มาคอยเฝ้าดูแลความปลอดภัยในฐานะบุตรชายคนเดียวของบ้านตระกูลใหญ่ที่สุดในละแวกนั้น

"คุณเสี่ยเรียนที่ไหนรึ?" เฮียกังชวนอีกฝ่ายคุยขณะทำป่านคมด้วยกัน

"บ้าน" คุณเสี่ยตอบติดจะรำคาญ

พวกผมได้ยินก็ทำตาโต "บ้านคุณเสี่ยเป็นโรงเรียนหรือ?"

"ใครว่ากัน?" คุณเสี่ยหัวเราะอย่างขบขัน "อาเอี๊ยให้ครูมาสอนฉันที่บ้านต่างหาก"

"งั้นก็สบายน่ะสิ" พวกเด็ก ๆ อย่างผมคิดได้แค่นี้เท่านั้นแหละ เพราะตอนที่เรียนที่โรงเรียนนั้นพวกผมจะทำอะไรก็ต้องอยู่ในกฏของโรงเรียนตลอด ถ้าอยู่บ้านก็น่าจะมีอิสระกว่า

"ใครว่าสบาย" คุณเสี่ยทำหน้าเหม็นเบื่อ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ

เฮียกังเห็นอย่างนั้นเลยชวนคุยต่อ "แต่ก็ได้เรียนภาษาอังกฤษด้วยละสิ เพราะเดี๋ยวต่อไปภาษาต่างประเทศจะสำคัญ"

"ก็นิดหน่อย แต่ตลกดี เพราะเวลาครูสอนจะแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีนก่อน อย่างประโยค แพท อีส อะ บอย ก็จะแปลว่า แพท ซื่อ อี๋ เก้อ หนาน ฮ๋าย จื่อ ฉันก็ต้องมาแปลเป็นภาษาไทยต่ออีกครั้งว่าแพทเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง"

เฮียกังหัวเราะเสียงดัง พวกผมที่ยังไม่ได้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษได้แต่มองด้วยความสงสัยว่ามันตลกที่ตรงไหนกัน และผมก็เริ่มรู้สึกได้ว่าระหว่างเฮียกังและคุณเสี่ยมีเรื่องพูดคุยกันมากขึ้น พวกเด็ก ๆ อย่างผมก็กลายเป็นคนนอกไปโดยปริยาย บางครั้งก็เห็นคนทั้งคู่มีสีหน้าเคร่งเครียดและเศร้าสร้อย แต่ด้วยความเป็นเด็กทำให้พวกผมมองข้ามสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไป เอาแต่วิ่งเล่นไปวัน ๆ เหมือนเช่นเดิม

เย็นวันหนึ่งคุณเสี่ยบอกว่าขออนุญาตทางบ้านให้สามารถอยู่ดูงานฉลองศาลเจ้าในตลาดได้ดึกกว่าเดิม เพราะปกติแล้วคนติดตามของคุณเสี่ยมักจะเตือนให้คุณเสี่ยกลับบ้านตั้งแต่เย็น

งานฉลองศาลเจ้าปีนี้ พวกพ่อค้าในตลาดร่วมลงขันหางิ้วชื่อดังมาแสดงให้ชม ผมเองก็มีภาระต้องไปจองที่นั่งให้ย่า พอคุณเสี่ยรู้ก็เบ้ปาก

"ว่าจะชวนไปกินผัดไทนายเที่ยงสักหน่อย"

พอได้ยินผมก็น้ำลายสอ เพราะผัดไทนายเที่ยงนี้ฝีมือหนึ่งไม่มีสอง ร้านนี้เป็นแผงตั้งอยู่ที่บาทวิถีปากตรอกสำเพ็ง ขายผัดไทและขนมเบื้องญวนตั้งแต่ตอนหัวค่ำไปจนถึงตีหนึ่งตีสอง คนยืนออกันเต็มหน้าแผงทุกวัน สั่งแต่ละทีต้องคอยนาน

"รอเดี๋ยวไม่ได้เหรอ ไว้ตัวเอกลงโรงแล้วจะรีบออกมาเลย" ผมมองหน้าคุณเสี่ยอย่างอ้อนวอน

"กว่างิ้วจะลงโรงก็ตั้งสองทุ่ม" คุณเสี่ยบ่นกระปอดกระแปด "ไปนั่งดูงิ้วกับย่าเลยสิ"

"ไม่เอา งิ้วไม่สนุก" ผมบอกตามที่ใจคิด เพราะเด็ก ๆ อย่างผมนั้นจะนั่งทนก็ตอนที่งิ้วเริ่มเบิกโรง เพราะตอนโหมโรงนั้นเขาจะมีการแสดงการต่อสู้แบบจีนและก็มีตัวตลกออกมาเล่นให้ดู แต่ตัวเนื้อเรื่องจริง ๆ นั้นเป็นเรื่องอิงพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์จีนต่าง ๆ เต็มไปด้วยการช่วงชิงอำนาจอย่างสามก๊ก แถมในโรงก็มีแต่ผู้หญิงมีอายุทั้งนั้น ส่วนใหญ่จะมาดูเพราะชอบงิ้วพระเอกที่เรียกว่า "เซียเซ็ง" ไม่ค่อยมีผู้ชายดูงิ้วเนื่องจากดารางิ้วไม่ว่าจะเป็นตัวพระตัวนางล้วนแต่เป็นเด็กผู้ชายอายุสิบกว่าขวบ จึงไม่เป็นที่ดึงดูดใจของบรรดาชายหนุ่มและชายชรา แต่เซียเซ็งจะเป็นที่ชื่นชมของหญิงมีอายุคล้ายกับแม่ยกที่ชมชอบพระเอกลิเก
การที่ต้องใช้เด็กอายุน้อย ๆ แบบนั้นมาเล่นเป็นพระเอกนางเอกเพราะในวัยขนาดนี้เสียงยังไม่แตก ดารางิ้วที่ขายดีจะต้องมีเสียงใส มีพลังร้องงิ้วได้เพราะพริ้งโดยไม่ใช้เครื่องขยายเสียง สามารถร้องแข่งกับเสียงปี่กลองได้สบาย

เฮียกังเห็นผมหน้าเสียเลยรีบบอกคุณเสี่ย "รอน้อยเขาหน่อยก็ได้"

"งั้นเปลี่ยนเป็นดูงิ้วกันดีไหม" คุณเสี่ยพูดคล้ายจะประชด

"ดี เรื่องนี้ฮวยตั่วสวย ร้องเสียงใสดี" เฮียกังพูดเป็นทำนองเย้าหยอก 'ฮวยตั่ว' ที่ว่าคือตัวงิ้วนางเอก

คุณเสี่ยมองหน้าเฮียกังอย่างไม่เชื่อหู "เคยมาดูกับเขาอย่างนั้นรึ?"

เฮียกังส่ายศีรษะแล้วพูดยิ้ม ๆ "ที่ตลาดเขาพูดกันว่าคณะนี้ทั้งเซียเซ็งและฮวยตั่วเสียงดีทั้งคู่ คนติดกันทั้งนั้น วันก่อนเถ้าเก่เนี้ยร้านอาหารให้สร้อยทองเซียเซ็งหนักตั้งห้าบาท"

"มีแต่ผู้หญิงนั่นแหละที่จะดูงิ้ว" คุณเสี่ยบ่นงึมงำ

*****

หลังจากที่หนังท้องตึงด้วยอาหารสารพัดที่เฮียกังและคุณเสี่ยผลัดกันซื้อหามาปรนเปรอผม ทำให้ผมเริ่มมีอาการหนังตาปรือ ขณะนั่งพักบนเก้าอี้ไม้หน้าร้านค้าที่ปิดหน้าถังไปแล้ว มีตำรวจออกเดินตรวจตราความสงบเรียบร้อยผ่านหน้าพวกเราไปหนึ่งนาย ผมมองตามด้วยความชื่นชม เพราะเครื่องแบบตำรวจสีกากี กางเกงขายาว เสื้อนอกคอตั้งกระดุม 5 เม็ดปล่อยชาย คาดเข็มขัดไว้นอกเสื้อ พกกระบองยาวนี้โก้น้อยเสียเมื่อไรกัน

"จะหลับแล้วหรือน้อย?" เฮียกังถามกลั้วหัวเราะหลังจากเห็นผมทำท่าจะเลื้อยลงกองที่เก้าอี้

"อิ่มจนท้องจะแตกแล้ว" ผมหัวเราะยิงฟัน

"กินเข้าไปมากขนาดนี้ได้ยังไงกันฮึ?" คุณเสี่ยเอ่ยอย่างขัน ๆ

ผมคิดว่าคุณเสี่ยนั่นแหละที่น่าสงสัยกว่า เพราะกินเหมือนแมวดม ตัวถึงได้ผอมนัก แต่ก็ได้คิดอยู่ในใจไม่กล้าพูดออกมา สักพักผมก็เริ่มสัปหงก ได้ยินเสียงทั้งคู่คุยกันอย่างไม่ปะติดปะต่อเท่าใดนัก

"ไม่เห็นอยากจะอยู่ที่บ้านเลย" คุณเสี่ยพูดคล้ายจะระบายอารมณ์ นัยน์ตากลมโตบนใบหน้าซีดเหลืองนั้นเปล่งประกายแวววาวในความมืด

"คนที่เขาอยากเกิดเป็นลูกเศรษฐีอย่างคุณมีตั้งมาก"

"ลองมาเกิดจริง ๆ แล้วจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีสักนิด ลูกเซียะคาอย่างฉันนี่ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงถูกปล่อยทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หรือถ้าอาไหน้มีลูกผู้ชายสักคน ฉันคงไม่ถูกยกให้สูงขนาดนี้หรอก"

เสียงเฮียกังถอนใจยาว ก่อนจะถามเบา ๆ "ยังสูบอยู่หรือเปล่า?"

"อาไหน้เขาให้คนหามา ไม่สูบก็เกรงใจ"

"ไม่ใช่ติดไปแล้วรึ?"

"ไม่รู้สิ เพราะไม่เคยขาดมันสักที" เสียงคุณเสี่ยกลั้วหัวเราะแกน ๆ

"เขาว่าไม่ดีต่อร่างกายนะ"

"อาไหน้บอกว่าสูบแล้วจะทำให้ความคิดแล่น สุขุมขึ้น อาเอี๊ยก็สูบ"

"แล้วจริงหรือเปล่า?"

"นิดหน่อย เพราะตอนสูบก็ไม่คิดทุรนทุรายอะไร ให้อยู่บ้านก็อยู่ไป ดีตรงที่ไม่ต้องคิดอะไรนั่นแหละ"

เสียงคุณเสี่ยหาวเบา ๆ แทรกขึ้น

"ง่วงหรืออยากฝิ่น?"

"ง่วงมั้ง ดึกมากแล้วนี่ น้อยก็หลับแล้วมั้ง"

"ยังครับ" ผมรีบผงกหัวให้เห็น ทั้งคู่หัวเราะกันเสียงดังเมื่อเห็นท่าทางของผม

"จะหลับก็หลับเถอะ เดี๋ยวจะปลุกตอนจะกลับบ้าน ไม่ปล่อยเราทิ้งให้นอนที่นี่ถึงเช้าหรอก" เฮียกังลูบศีรษะผมเบา ๆ

ผมหลับไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบ ตื่นมาอีกทีก็เห็นคุณเสี่ยฟุบหลับไปแล้ว ศีรษะพิงกับไหล่เฮียกัง พอผมทำท่าจะส่งเสียงปลุกก็เห็นเฮียกังทำหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเอง แล้วโบกมือให้ผมลุกขึ้น

ผมทำตามภาษาใบ้ของเฮียกัง ค่อย ๆ ลุกจากเก้าอี้โดยไม่ทำเสียงดัง ก่อนจะหันไปเห็นเฮียกังอุ้มคุณเสี่ยไว้กับอก หน้าขาว ๆ ของคุณเสี่ยเกลือกกับอกของเฮียกัง สองแขนก็โอบรอบคอแกไว้เหมือนเด็กเล็ก ๆ เกาะคอพ่อ

"น้อยกลับบ้านไปก่อน เดี๋ยวพ่อกับแม่เป็นห่วง" แกพยักเพยิดกับผม

ด้วยความที่กลัวทางบ้านจะดุ ผมก็เลยตาลีตาเหลือกวิ่งกลับบ้าน แต่ก็ยังเหลือบเห็นเฮียกังค่อย ๆ อุ้มคุณเสี่ยออกเดินอย่างระมัดระวัง

*****

หลังจากคืนนั้นผมก็ไม่เห็นเฮียกังมาชักว่าวเล่นเหมือนเคย แถมคุณเสี่ยก็หายตัวไปด้วย กีฬาทางอากาศของผมจึงจืดชืด จนผมหันไปสนุกกับการกัดจิ้งหรีดแทน

วันหนึ่งขณะที่ผมเดินกลับจากการเลือกซื้อจิ้งหรีดที่ตลาด ผมก็เจอเฮียกังเดินหงอย ๆ ผ่านมา สภาพทรุดโทรมจนแทบจำไม่ได้ พอถามก็ได้ความว่าทางบ้านของคุณเสี่ยไม่อนุญาตให้คุณเสี่ยออกจากบ้านมาพักหนึ่งแล้ว

"น้อยช่วยไปดูหน่อยเถอะ" เฮียกังเอ่ยไหว้วานผมด้วยเสียงแห้ง ๆ

"แล้วทำไมเฮียไม่ไปดูเองล่ะ?"

"ฉันไปไม่ได้หรอก ไปถึงหน้าบ้านก็โดนตะเพิดกลับทุกที"

ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจว่าทำไมเฮียกังถึงได้เข้าพบคุณเสี่ยไม่ได้ จนได้มาฟังเรื่องเล่าจากอ้ายเปีย

"ข้าก็ได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาพูดกันหนักหูเลยนะว่า คุณเสี่ยหนีออกจากบ้านไป โดยมีเฮียกังจัดหาที่พักให้ พวกบ้านของคุณเสี่ยตามหาให้วุ่นวายอยู่เป็นอาทิตย์ เพราะทั้งคู่แอบไปเช่าบ้านอยู่กันแถบชานเมือง แต่ความแตกเพราะคุณเสี่ยเสี้ยนยา เฮียกังต้องออกไปหาซื้อฝิ่นให้คุณเสี่ย พอพวกบ้านคุณเสี่ยเจอตัวก็พากลับแล้วไม่ปล่อยให้ออกจากบ้านอีก แถมสั่งห้ามไม่ให้คบหากับเฮียกังอีกต่อไปแล้ว หาว่าเป็นต้นเหตุให้คุณเสี่ยคิดหนีออกจากบ้าน"

"เขาจับคุณเสี่ยใส่ตรวนรึไง?" ผมสงสัย

"ยิ่งกว่านั้นอีก เขาว่าทางบ้านให้คุณเสี่ยพี้ยาจนติดหนักขึ้น ตอนนี้ไม่มีปัญญาไปไหนมาไหนหรอก เพราะขาดฝิ่นไม่ได้"

ผมได้แต่แปลกใจว่าทำไมทางบ้านคุณเสี่ยจึงต้องทำแบบนั้น แต่พอเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามพ่อดูก็ได้ความว่า "ติดฝิ่นยิ่งกว่าตีตรวนอีกอ้ายน้อยเอ๋ย ถ้าบ้านมียาฝิ่นอยู่มากมายแล้วเจ้าตัวยังจะคิดไปทุรนทุรายนอกบ้านอีกรึ อย่างพวกพระเอกนางเอกงิ้วพวกที่ค่าตัวสูง ๆ นั้น เจ้าของคณะจะบังคับให้สูบฝิ่นจนติด เชื่อว่านอกจากจะทำให้เสียงแตกช้าแล้วยังทำให้รู้อยู่ไม่หนีหายไปไหน"

ผมฟังแล้วแต่คิดตามด้วยความหดหู่ แบบนี้ก็ไม่ต่างกับการถูกกักขังเท่าไรนัก มิน่าเล่าคุณเสี่ยถึงได้อยากหนีออกจากบ้านนัก

*****

ไม่ใช่เฉพาะเฮียกังที่ไม่สามารถเข้าพบคุณเสี่ยได้ แม้แต่เด็ก ๆ อย่างพวกผมก็ไม่สามารถเล็ดลอดเข้าในในบ้านหลังมโหฬารนั้นได้เช่นกัน พวกเราไม่ได้ข่าวคุณเสี่ยอีกเลย ต่อมาผมก็ได้ยินข่าวไม่ค่อยดีนักว่าเฮียกังแอบไปติดสาวแถวเทเวศน์ บ้านช่องไม่ค่อยกลับ ทว่าผมก็ไม่ค่อยเชื่อใจข่าวนั้นเท่าใดนัก แต่ข่าวที่แน่นอนที่สุดก็คือเตี่ยกับแม่ของเฮียกังพยายามเร่งให้แกแต่งงาน ถึงขนาดไปเจรจาขอหมั้นสาวเจ้าไว้ ทั้งที่เฮียกังไม่รู้เห็นด้วย แต่พอแกรู้เข้า คราวนี้แกออกไปทำงานแล้วไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย
เฮียกังหายหน้าหายตาไปหลายวันจนพวกผมชักเป็นห่วง เพราะห้วงเวหาก็มีคนมาท้าทายอยู่ทุกเย็นแต่กลับไม่มีว่าวของแกขึ้นไปประลอง แต่ไม่นานนักแกก็กลับมาก่อนวันแต่งงานจะเริ่มสองวัน ช่วงสองวันนี้แกไม่ทำอะไรนั่งเหม่อลูกเดียว

"เฮียหายไปไหนมาตั้งหลายวัน?" ผมทักทายแกด้วยคำถามที่อยากรู้

"ไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ" เฮียกังพูดเสียงเนือย คล้ายกับปลงกับชีวิตเต็มทน

"ผมยังเข้าไปหาคุณเสี่ยไม่ได้เลย" ผมรายงานผลการทำงานที่แกไหว้วาน "คนยามไม่ยอมให้ผ่านเข้าประตู แค่เกาะรั้วมันยังไล่ตะเพิดเลย"

เฮียกังหลับตานิ่ง "ช่างมันเถอะ ต่อไปน้อยก็ไม่ต้องไปที่บ้านนั้นแล้วนะ"

"เฮียไม่อยากเจอคุณเสี่ยแล้วหรือ?"

คำตอบที่ได้คือความเงียบพักใหญ่ ก่อนจะพูดคล้ายกับพึมพำ "วันก่อนฉันเอาการ์ดแต่งงานไปฝากให้คนเฝ้าประตู ถ้าเขาเห็น เขาก็คงไม่อยากเจอฉันแล้ว"

ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เฮียกังพูดเท่าใดนัก ได้แต่นั่งมองสภาพคนหมดอาลัยตายอยากของแกอย่างปลง ๆ จากคนหนุ่มที่มีชีวิตชีวา กลับกลายเป็นแบบนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยเหตุใดกัน

เฮียกังเหลือบตามองดูท้องฟ้าสีสดใสด้วยสายตาที่หม่นหมอง ดูไม่ออกว่าเป็นสีหน้าของคนที่จะเป็นเจ้าบ่าวเลยแม้แต่น้อย สักพักแกก็ผุดลุกขึ้น นัยน์ตาเบิกโพลง ผมมองตามก็เห็นว่าวตัวหนึ่งลอยอยู่บนฟากฟ้า

ว่าวรูปสายฟ้าฟาดที่ร่อนอยู่เหนือเวหานั้นโฉบไปมาเหมือนจะรอคนมาสอย ผมได้แต่ชะเง้อมองด้วยความสงสัยว่าเจ้าของว่าวสายฟ้านั้นจะเป็นคุณเสี่ยจริงหรือไม่

"ว่าวคุณเสี่ยมั้ง" ผมกระตุกแขนเฮียกัง "เอาว่าวขึ้นสู้เถอะเฮีย"

เฮียกังยืนมองว่าวบนฟ้าไม่ขยับไปไหน แม้ว่าว่าวรูปสายฟ้านั้นจะโฉบไปมาคล้ายท้าทาย

"คุณเสี่ยเขาคอยเฮียอยู่ไม่ใช่หรือ?" ผมเร่งเฮียกัง

เฮียกังหันกลับมายิ้มให้ผม ช่างเป็นยิ้มที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย "อย่าเลยน้อย เรื่องของคุณเสี่ยน่ะจบแค่นี้แหละดีแล้ว"

ผมนิ่งอึ้ง ตอนนั้นรู้สึกโกรธเฮียกังขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ว่าวรูปสายฟ้าร่อนเหนือฟ้าได้พักใหญ่ แล้วก็ถูกสาวกลับไป เหลือเพียงผืนฟ้ากว้างที่ดูโดดเดี่ยวอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

*****

ในวันแต่งงานของเฮียกังซึ่งเป็นลูกเจ้าของพ่อค้ามีฐานะในตลาด บรรยากาศครึกครื้นด้วยเสียงปี่กลองและประทัดอื้ออึง ผมยืนมุงดูบรรยากาศของงานกับเพื่อน ๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ สักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิดข้างหลัง

"อ้ายหนู"

ผมหันไปดูก็เจอชายรูปร่างคุ้นตา นึกไม่นานก็จำได้ว่าเป็นคนในบ้านของคุณเสี่ยที่เคยติดตามมาดูแลคุณเสี่ยอยู่เนือง ๆ

"มีอะไรหรืออาเจ่ก?" ผมถามอย่างสงสัย

"คุณเสี่ยฝากของมาให้" คนของคุณเสี่ยพูดจบก็ยื่นว่าวขนาดใหญ่รูปสายฟ้าส่งให้ผม

"ให้ผมหรือ?" ผมงงยิ่งกว่าเดิม

"เราชื่อน้อยใช่ไหมล่ะ? คุณเสี่ยบอกว่าฝากให้เด็กชื่อน้อย ส่วนป่านคมนี่ให้เสี่ยกัง" ตอนท้ายแกส่งกระป๋องที่พันด้ายป่ายคมส่งให้ผม มือผมชะงักไม่กล้ารับเมื่อเห็นกลุ่มด้ายสีแปลกตาคล้ายถูกย้อมด้วยเลือดแดงฉาน

"อะไรน่ะอาเจ่ก? แล้วคุณเสี่ยทำไมไม่มาล่ะ?"

สีหน้าชายคนนั้นสลดลงอย่างเห็นได้ชัด "คุณเสี่ยมาไม่ได้แล้วล่ะอ้ายหนู แล้วต่อไปคุณเสี่ยก็จะไม่เล่นว่าวอีกแล้ว เอาป่านคมนี่ส่งให้เสี่ยกังแล้วบอกตามนี้ก็แล้วกัน"

อีกฝ่ายเมื่อพูดจบก็ยัดด้ายป่านคมใส่มือผมแล้วเดินกลับออกไป ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที รีบวิ่งแหวกทางคนเข้าไปในบ้านของเฮียกังที่ชุลมุนวุ่นวายเพราะกำลังเตรียมขบวนเดินทางไปบ้านเจ้าสาว เสียงคนร้องห้ามพยายามดึงตัวผมไว้ เฮียกังเดินออกมาจากตัวบ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

"เฮีย คุณเสี่ยเขา…" ผมหยุดคำพูดเพียงเท่านั้นเพราะเฮียกังพรวดพราดออกมาประชิดตัวเมื่อเห็นผมถือว่าวตัวโตอยู่แนบอก ว่าวสายฟ้าที่ขาดรุ่งริ่งเพราะถูกเบียดแทรกจากคนจำนวนมากขณะที่ผมวิ่งเข้ามา

"เอามาจากไหน?"

"คนของคุณเสี่ยเอามาให้ แล้วบอกว่าคุณเสี่ยจะไม่เล่นว่าวแล้ว แล้วเอานี่ให้เฮียด้วย" ผมยัดกระป๋องด้ายป่านคมสีแดงเข้มใส่มือแก

เฮียกังมองกระป๋องด้ายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะวิ่งพรวดพราดออกจากบ้านไป โดยไม่มีใครรั้งตัวไว้ได้ทัน เสียงญาติพี่น้องของเฮียกังร้องลั่นด้วยความตกใจที่เจ้าบ่าววิ่งหนีหายไประหว่างพิธี ก่อนจะจับตัวผมมาซักซ้อมหาสาเหตุ ซึ่งผมก็ได้แต่ยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

*****

สำเพ็ง ปีพุทธศักราช 2483

ปิดเทอมคราวนี้แม้จะมีการต่อสู้บนอากาศระหว่างว่าวหลากสี แต่เมื่อขาดว่าวรูปสายฟ้าของคุณเสี่ยและว่าวของเฮียกัง ผมรู้สึกเหมือนกับว่าความสนุกสนานได้หายเหือดไปหมดแล้ว

ข่าวการฆ่าตัวตายของคุณเสี่ยเมื่อปีที่แล้วจางหายไปจากวงสนทนาของชาวบ้านร้านตลาดไปนานแล้ว การที่เฮียกังล้มเลิกพิธีแต่งงานในครั้งนั้นสร้างความร้าวฉานระหว่างครอบครัวของตนและฝ่ายหญิง แต่เฮียกังก็ไม่สนใจและไม่แยแส ยังคงใช้ชีวิตและทำงานเหมือนเช่นเคย แต่ทว่ากลับไม่ยอมจับสายป่านเล่นว่าวอีกต่อไปเพราะไม่มีใครที่จะทำให้เฮียกังสนุกกับการเล่นว่าวได้อีกแล้ว

ผมเองก็คิดเช่นเดียวกัน

จบ

comment