ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Sound Of Soul(2)

by...Rai

วันนี้อติชาตินัดเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมที่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เพื่อนศึกษาอยู่ แม้จะเป็นช่วงปิดภาคเรียนแต่เพื่อนสนิทของเขาก็ยังต้องลงทะเบียนเรียนภาคฤดูร้อน

"ร้อนจะตายห่ะ เอ็งยังมีอารมณ์เรียนอีก" อติชาติบ่นเมื่อเจอหน้าธงชัยผู้เป็นเพื่อนสนิท

"ซัมเมอร์นี่ไม่เกี่ยวกับมีอารมณ์หรือไม่มีหรอกโว้ย ขืนไม่ลงเรียนมีหวังไม่จบสี่ปีแน่ ไหนเลยจะเหมือนเอ็งวะ เรียน ๆ เล่น ๆ แป๊บเดียวก็จบ"

"ใครใช้ให้เอ็งไปทำงานล่ะวะ ทางบ้านก็มีตังค์ส่งแล้วยังจะหาเรื่องใส่ตัวอีก"

"ข้าสนุกก็แล้วกัน พูดเรื่องทำงานแล้วก็นึกขึ้นมาได้ ไอ้ตุ้ยมันกำลังหาคนไปทำงานแทนมันอยู่"

"มันทำงานอะไรวะ?" อติชาติเลิกคิ้วเมื่อได้ยินชื่อเพื่อนสมัยเด็กอีกคน

"มันทำงานพิเศษร้านฟาสต์ฟู้ดช่วงปิดเทอมนี่แหละ แต่พอดีทางบ้านมันมีธุระ เรื่องย่ามันเสียหรือยังไงนี่แหละ มันเลยไปทำงานไม่ได้สักอาทิตย์นี่แหละ แล้วพอดีที่มันทำดันเป็นกะเย็น เลิกดึก หาคนแทนไม่ได้ เลยวานให้ข้าช่วยมองหาอยู่ เอ็งอยู่ว่าง ๆ ช่วงซัมเมอร์นี่หว่า ช่วย ๆ มันหน่อยเหอะ"

"ข้าไม่เคยทำว้อย" อติชาติออกตัวทันควัน "ทำอะไรเป็นที่ไหนกันเล่า"

"ก็หัดสิวะ ฝึก ๆ เอาไว้ เดี๋ยวปีหน้าก็จบแล้ว จะได้มีอะไรเขียนไว้ในใบสมัครกับเขามั่ง ไม่ใช่เขียนได้แต่งานอดิเรก ดูหนัง ฟังเพลง เล่นพนันบอลไปวัน ๆ" ธงชัยถือโอกาสสั่งสอน

"เดี๋ยวนี้เอ็งเปลี่ยนไปนะนี่" ชายหนุ่มมองหน้าเพื่อนอย่างประหลาดใจในความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องความคิดในการใช้ชีวิต จากเพื่อนที่เคยเฮฮาเตะบอล จีบหญิง ใช้ชีวิตอย่างไร้สาระในช่วงสมัยวัยรุ่น กลายมาเป็นคนที่เอาการเอางานอย่างเห็นได้ชัด

"คนเรามันก็ต้องโตกันบ้าง" เพื่อนสนิทยิ้มในหน้า เวลาที่ผ่านไปในมหาวิทยาลัยสำหรับบางคนอาจจะเป็นเพียงบันไดเพื่อออกสู่โลกกว้าง แต่สำหรับเขาแล้ว ชีวิตในมหาวิทยาลัยนี่คือโลกแห่งธุรกิจ อาจจะเป็นเพราะเขาเลือกสาขาเกี่ยวกับด้านการบริหารธุรกิจ ธงชัยเริ่มหาเงินได้เองจากการสมัครขายตรงตามคำชักชวนของรุ่นพี่ที่รู้จักตั้งแต่ตอนปีสอง ก่อนจะสนุกกับงานขายจนอดรนทนไม่ไหว ต้องร่วมหุ้นกับเพื่อนสนิทในสาขาวิชาที่มีอุดมการณ์เดียวกันว่าจะต้องเป็นเจ้าของกิจการในอนาคต พวกเขาเซ้งแผงร้านค้าในตลาดนัดวันหยุด จากการขายของกระจุกกระจิกที่หาซื้อยกโหลยกร้อยจากร้านค้าส่ง ก็พลิกแพลงเป็นงานฝีมือที่รับมาจากเพื่อนที่พอมีหัวทางศิลป์ ขายเอากำไรไว้ต่อทุน แต่ก็จ่ายให้เพื่อนในราคาที่ไม่น่าเกลียดนัก

อติชาติโคลงศีรษะอย่างไม่เข้าใจ เพราะชีวิตของเขาก็เหมือนกับเด็กทั่วไปที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง บิดาและมารดามีอาชีพรับราชการซึ่งปัจจุบันก็อยู่ในระดับสูงของกรมก่อนจะเกษียณในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาไม่เคยที่จะต้องกระเสือกกระสนหาเงินใช้เอง อาจจะเนื่องมาจากการพร่ำสอนของบุพการีที่ไม่ให้ใช้เงินเกินกำลังตน ดังนั้นแม้ฐานะทางบ้านจะไม่ถึงขั้นร่ำรวยเงินทอง แต่เขาก็ไม่เคยทุรนทุรายอยากได้ของใช้ราคาแพง ๆ เกินฐานะของตน

หากจะเปรียบชีวิตของคนทั้งคู่ในตอนนี้แล้ว ธงชัยดูเหมือนจะใช้ชีวิตอย่างฉูดฉาดและมีสีสัน ได้พบปะกับผู้คนมากมาย รู้จักการทำงานและวงการธุรกิจระดับย่อม ๆ แต่อติชาตินั้นมีชีวิตที่เรียบง่าย เหมือนกับเป็นแบบแผนของเยาวชนไทยทั่วไป ที่มีบุพการีคอยส่งเสียโดยไม่ต้องดิ้นรนหาเงินเอง คนที่เขาพบและพูดคุยอยู่ทุกวันก็คือคนในครอบครัว และคนในสถาบันการศึกษาที่เรียนร่วมกัน นอกจากนั้นแล้วล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้าทั้งสิ้น

"อ้าว…ทำไมกั้นบันไดวะ ตอนขึ้นมายังไม่เห็นมีอะไร" ธงชัยโวยวายเมื่อมีฉากกั้นบันไดระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง

"เอ็งพาข้าเดินผิดทางล่ะสิ" อติชาติเย้าเพื่อน

"ทุกทีมันไม่กั้นนี่หว่า" อีกฝ่ายเกาศีรษะ โดยปกติบันไดฝั่งที่พวกเขาเดินอยู่นี้แม้ไม่ค่อยมีคนเดินสักเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้ปิดอย่างเช่นวันนี้

"เสียงอะไรวะ?" อติชาติสะกิดเพื่อนพร้อมเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ

มีเสียงพูดดังแว่ว ๆ มาจากชั้นล่าง ทั้งคู่ชะโงกศีรษะลงไปมองก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่มีเสียงลอดมาพอจับใจความได้บ้าง

"การขึ้นบันไดนั้นต่างจากตอนลงบันได มือข้างหนึ่งให้จับราวบันไดไว้ ส่วนอีกข้างนั้นเราต้องยกไม้เท้าขาวขึ้นระดับนี้ให้ปลายไม้เท้าชนกับขั้นบันไดให้รู้ว่ายังมีขั้นบันไดอยู่ ถ้าไม้เท้าไม่กระทบกับอะไร แสดงว่าถึงชานพักหรือถึงชั้นที่ต้องการแล้ว"

"เขาทำอะไรกันวะ?" อติชาติถามเพื่อนด้วยความสงสัย

ธงชัยเกาคาง พร้อมกับคาดเดา "สงสัยเป็นพวกพี่ที่เรียนปริญญาโทนั่นแหละ ที่มหาวิทยาลัยของข้านี่เขาเปิดสอนสาขาการศึกษาพิเศษ พวกนี้เขาจะเรียนไปเพื่อไปสอนคนพิการ ทั้งเด็กพิการทางหู ทางตา เด็กออทิสติก หรือเด็กพิเศษ นี่สงสัยกำลังสอนเรื่องการใช้ไม้เท้าสำหรับคนตาบอด"

อติชาติมองคนกลุ่มใหญ่ข้างล่างด้วยความสนใจ เขาเห็นบางคนทดลองหลับตาแล้วเดินขึ้นบันไดโดยใช้ไม้เท้าขาว ทำให้เขานึกถึงเรื่องของพีรพลขึ้นมาทันควัน จะเป็นอย่างไรถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงอะไร ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นอุดหูตัวเอง

"เอ็งเป็นอะไรวะ?" เสียงของเพื่อนยังลอดเข้ามาในหู

ชายหนุ่มลดนิ้วลง โลกแห่งความเงียบนี่เป็นอย่างไรกันนะ ความเงียบที่พีรพลสัมผัสอยู่ทุกวันนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ด้วยความอยากรู้ ทำให้เขารอจนกลุ่มคนที่เรียนการใช้ไม้เท้าขาวหยุดพัก เขาเดินเก้ ๆ กัง ๆ ไปหาพี่ผู้หญิงท่าทางใจดีคนหนึ่ง พร้อมกับเล่าเรื่องของพีรพลให้อีกฝ่ายฟัง ก่อนจะตบท้าย

"ผมอยากรู้ว่าถ้าต้องการสื่อสารกับเขาให้รู้เรื่องควรจะทำอย่างไรครับ?"

'พี่แดง' นักศึกษาปริญญาโทสาขาการศึกษาพิเศษยิ้มให้กับชายหนุ่มด้วยสีหน้ายินดี "พี่เพิ่งเคยเจอคนที่อยากเรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนพิการทางหู ถ้าน้องคิดจะพูดคุยสื่อสารกับเพื่อนให้รู้เรื่องและเข้าใจ น้องต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงพูดเหมือนอย่างคนปกติทั่วไป จึงทำให้ไม่สามารถพูดได้ แต่สายตาของเขาเป็นปกติ จึงใช้การสื่อสารด้วยภาษามือ"

"อย่างที่ผมเคยเห็นในรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งหรือครับ"

"ใช่แล้วค่ะ การสื่อสารด้วยภาษามือ จะต้องใช้การเคลื่อนไหวของมือเป็นหลัก และใช้กิริยาอาการของหน้าตา การเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ เป็นท่าที่ทำง่าย มองเห็นได้ชัดเจน มีความหมายใกล้เคียงธรรมชาติ ทำให้เกิดความเข้าใจ คนปกติทั่วไปไม่สนใจที่จะเรียนรู้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับคนหูหนวก เพราะพื้นฐานของคนไทยนั้นขี้อาย การพูดคุยที่ต้องชูมือไปมาและแสดงความรู้สึกทางสีหน้าเป็นข้อจำกัดในสังคมไทย แค่คนไหนพูดแล้วทำไม้ทำมือประกอบมากเกินไปก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างแล้ว ดังนั้นการจะส่งภาษามือในที่สาธารณะมักจะทำให้เกิดความอับอาย"

"แต่เพื่อนผมเป็นคนหน้าด้าน" ธงชัยแอบเหน็บแนม

พี่แดงหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยต่อ "นอกจากภาษามือแล้ว พวกคนหูหนวกนี่ยังสามารถอ่านริมฝีปากได้ด้วย แต่ต้องอาศัยการฝึกมากเป็นพิเศษ เพราะภาษาไทยเรามีคำที่ขยับปากเหมือนกันอยู่มาก เท่าที่พี่ฟังดูแล้ว บางทีน้องอาจจะสื่อสารกับเพื่อนได้ด้วยการพูดช้า ๆ และทำท่าประกอบ รวมถึงการแสดงสีหน้า จะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้น"

อติชาติฟังอย่างตั้งใจ จนเพื่อนสนิทต้องเอ่ยปากทักหลังจากเดินห่างออกมาจากกลุ่มของพี่แดงแล้ว

"เอ็งเป็นอะไรของเอ็งวะ อยู่ดีดีก็ดันสนใจเรื่องคนหูหนวก"

"สงสัยว่างมากเกินไปมั้ง" ชายหนุ่มตอบกลั้วหัวเราะ

"ถ้าว่างมากก็ไปทำงานแทนไอ้ตุ้ยมันจะดีกว่า ข้าจะได้โทรไปบอกมันว่าหาคนได้แล้ว มันจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล"

*****

ร้านขายอาหารจานด่วนแฟรนไซส์จากต่างประเทศที่ทุกคนรู้จักกันดีตั้งเรียงรายอยู่ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เป็นแถว คนทุกเพศทุกวัยเดินเข้าออกเพื่ออุดหนุนอย่างเนืองแน่นราวกับแจกฟรี เมินหน้าหนีข้าวแกงราคาต่ำกว่ากันเกินครึ่งอย่างไม่แยแส

ในห้องแต่งตัวของร้านอาหาร อติชาติเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเครื่องแบบของทางร้านสีสัดสดใสมีโลโก้ของร้านติดไว้เห็นเด่นมาแต่ไกล

งานพิเศษครั้งแรกในชีวิตของชายหนุ่ม ทำให้เขาได้รู้จักผู้คนที่มีชีวิตแตกต่างจากตัวเองออกไป จากเดิมที่สนิทสนมคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมโรงเรียน เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยซึ่งมีวิถีการดำเนินชีวิตใกล้เคียงกัน แต่สำหรับเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ทำงานร่วมกับเขาในตอนนี้กลับผิดแผกไปอย่างสิ้นเชิง หลายคนทำงานเพื่อประทังปากท้องของตนและครอบครัว ไม่ใช่เพียงเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตดังที่เขาเข้าใจในตอนแรก

"ค่าเช่าห้อง ค่าข้าว ค่าเสื้อผ้า แล้วยังต้องเตรียมเงินค่าลงทะเบียนเรียนอีก คนที่ขอเงินทางบ้านใช้จ่ายเขาไม่รู้หรอกว่ามันลำบากขนาดไหน" พิณพรหมยกนิ้วขึ้นแจงรายละเอียดค่าใช้จ่าย

อติชาติมองคนพูดอย่างสนใจ แม้จะอยู่ในชุดเครื่องแบบพนักงานที่เหมือน ๆ กันกับคนอื่นในร้าน แต่เด็กสาวตรงหน้ากลับดูโดดเด่นด้วยผิวขาวผ่องใส หน้าตาสะสวยมองแล้วเพลินตาเพลินใจ โดยเฉพาะประกายตาที่แฝงความทะเยอทะยานจะถีบตนเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เขาไม่ค่อยได้พบสายตาที่มุ่งมั่นเช่นนี้ในตัวของเด็กสาววัยเดียวกันมากนัก

"แล้วทางบ้านพิณ ไม่ช่วยอะไรบ้างเลยหรือ?" เขาถามด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ

เด็กสาวยักไหล่ "แค่ไม่ต้องส่งเงินกลับบ้านก็ดีถมไปแล้ว ถ้าพิณไม่เข้ากรุงเทพมาหางานทำเพื่อส่งเสียตัวเองเรียน คงต้องช่วยแม่ขายของในตลาดตั้งแต่เรียนจบมอหก แล้วก็คงจะใช้ชีวิตจนแก่ตายในตลาดที่บ้านนอกนั่นแหละ"

อติชาติอดทึ่งในความกล้าหาญและมุ่งมั่นของคนตรงหน้า ชีวิตของเขาไม่ค่อยได้สัมผัสกับผู้หญิงแบบพิณพรหมเท่าไรนัก เพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เขารู้จักในมหาวิทยาลัยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหาเงินตั้งแต่อยู่วัยเรียนเพราะฐานะทางบ้านอำนวยให้ใช้จ่ายได้อย่างฟุ่มเฟือย หลายคนจึงมีของใช้ยี่ห้อดัง ราคาแพงลิบลิ่ว เพื่อบ่งบอกสถานะของตน

พิณพรหมเปิดหูตาเขาให้กว้างขึ้นกับวิถีการดำเนินชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำ แต่ก็ทำให้เขามืดบอดลงในเวลาเดียวกัน

เขาเรียกมันว่าความรัก ความรักที่ทำให้ตาบอดและลุ่มหลง เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ได้อย่างไร จากภาพที่เห็น จากสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ทำให้เกิดความทึ่ง ความเห็นใจ ความสงสาร ความรู้สึกหลากหลายที่ประดังมาในคราวเดียวกันก็แปรเปลี่ยนเป็นความหลงใหลโดยไม่รู้ตัว สายตาของเขาแอบมองพิณพรหมตลอดเวลาที่เจ้าหล่อนเผลอ

"พิณจะต้องทำได้ดีกว่านี้แน่ ไม่ต้องนั่งขายของในตลาดเหมือนแม่ ไม่ต้องเหนื่อยเหมือนคนพวกนั้นด้วย" เด็กสาวบุ้ยใบ้ไปยังนอกร้านที่มีสภาพสับสนและวุ่นวาย

ที่ทางเดินเท้านั้นแม่ค้าพ่อค้าหลากวัยเริ่มเข็นรถมาตั้งขายของบนนั้น เนื้อที่บริเวณดังกล่าวได้รับอนุญาตให้ขายของได้ในเวลาหกโมงเย็นเป็นต้นไป ดังนั้นเมื่อได้เวลาราวห้าโมงสี่สิบห้า ขบวนรถเข็นก็โผล่ออกจากซอยต่าง ๆ มุ่งหน้าแทรกตัวมากับรถยนต์บนท้องถนนจนดูน่าหวาดเสียว ราวกับขบวนมดที่เดินไปหาโถน้ำตาลเป็นทิวแถว

คนในรถยนต์คันใหญ่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำมีสีหน้ารำคาญเมื่อต้องเจอกับคาราวานรถเข็นนับสิบที่เจ้าของทั้งดันและลากอย่างไม่กลัวอุบัติเหตุ รถเข็นบางคันต้องบรรทุกลูกชายลูกสาวตัวน้อยที่ไม่รู้ว่าจะฝากใครให้ช่วยดูแลยามที่พ่อแม่ต้องออกมาทำมาหากินกันทั้งคู่ เด็กตัวเล็ก ๆ นั่งบนรถเข็นมองสภาพรอบตัวอย่างสนุกสนาน ในขณะที่ผู้เป็นแม่พยายามลากรถให้ไปถึงจุดหมายอย่างเร็วที่สุด โดยมีผู้เป็นพ่อดันท้ายรถเข็น พร้อมกับอีกมือที่ดึงลากรถเข็นอีกคันจนเหงื่อโทรมกาย

สินาภาเข็นรถที่บรรทุกลังเสื้อผ้าก้าวไปตามท้องถนนตามแต่จะมีช่องว่างให้แทรกตัวเคลื่อนผ่านไปได้ ใบหน้าของหญิงสาวผู้บกพร่องทางการได้ยินแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาถูกจนนวลเนียนและมีสีสัน เหงื่อเม็ดเล็กซึมที่ตีนผมยามเมื่อออกแรงดันรถเข็นขนาดใหญ่ให้ขึ้นไปตั้งบนบริเวณทางเดินเท้าที่จับจองไว้ได้สำเร็จ

ขณะที่ผู้ดูแลความเรียบร้อยของแผงหาบเร่ ลากสายไฟมาต่อวางให้กับผู้เช่าเนื้อที่ค้าขาย หญิงสาวก็รีบจัดแผงขายของอย่างรวดเร็ว แกะถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาจากร้านค้าขายส่งย่านประตูน้ำ สลัดสองสามทีแล้วแขวนบนราว พร้อมกับเลือกเสื้อผ้าที่กำลังเป็นที่นิยมสวมให้กับหุ่นพลาสติกแล้ววางโชว์ไว้หน้าแผง ขณะกำลังง่วนกับการจัดร้าน หางตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนยืนยิ้มเผล่อยู่ที่ข้างแผง

<อ้าว พี มาได้ไงวันนี้?> หญิงสาวส่งภาษามือถามไถ่

<มาซื้อของใช้นิดหน่อย เลยแวะมาหา>

<เรียกว่าแวะได้ไงกัน แถวนี้ห่างจากบ้านเธอตั้งมาก>

<งั้นคิดถึงก็ได้> พีรพลยิ้มประจบ

<เหงาล่ะสิ> หญิงสาวเอ่ยอย่างเห็นใจ ก่อนจะเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายสลดลงเล็กน้อย <ช่วงปิดเทอมไม่มีงานจ้างพิมพ์ล่ะสิ ถ้าว่างก็มาขายของด้วยกันไหม?>

<พ่อไม่ให้ทำหรอก> พีรพลยิ้มแห้งประกอบท่าทางภาษามือ

<ฉันก็รู้หรอกน่า แค่เผลอชวนเท่านั้นแหละ> สินาภาเข้าใจดีว่าทางบ้านของพีรพลนั้นเป็นห่วงลูกชายคนเดียวที่พิการทางหูมากขนาดไหน หญิงสาวเคยพบกับบิดาและมารดาของเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็ทราบว่าคนทั้งคู่ประคบประหงมบุตรชายราวกับไข่ในหิน กว่าที่พีรพลจะทำงานรับจ้างพิมพ์เช่นในปัจจุบันนั้นต้องผ่านหลายด่านอยู่เหมือนกัน

"พ่อกับแม่เลี้ยงลูกได้ พีไม่ต้องทำงานหรอก" บิดาของพีรพลซึ่งทำงานเป็นพนักงานบริษัทในระดับผู้จัดการเอ่ยอย่างไม่พอใจเมื่อทราบว่าบุตรชายต้องการทำงานหาเลี้ยงตัวเองหลังเรียนจบในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนโสตศึกษา และปฏิเสธที่จะไม่เรียนต่อในวิทยาลัยที่เปิดสอนเด็กผู้มีความบกพร่องทางร่างกายโดยเฉพาะ

คุณสัญญาก็เหมือนมนุษย์เงินเดือนโดยทั่ว ๆ ไป ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้บริษัทด้วยความขยันขันแข็งเพื่อหวังเงินเดือนที่สูงขึ้น โบนัสประจำปีที่จะช่วยให้ครอบครัวมีรายได้ส่วนเกินมากขึ้น เขาออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ถึงที่ทำงานก่อนลูกน้องทุกคน และเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากบริษัท การที่เขาทำงานหนักทุกวันนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายของครอบครัว แม้ว่าบุตรชายเพียงคนเดียวของตนจะไม่สมประกอบเช่นเด็กคนอื่น แต่เขาก็หวังจะให้อีกฝ่ายมีความสุขเท่าที่เขาจะชดเชยให้กับความพิการนั้นได้

พีรพลอ่านริมฝีปากของผู้เป็นพ่อแล้วหน้าเสีย จิตราซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ต้องจับแขนเด็กหนุ่มไว้เพื่อสร้างความมั่นใจแล้วกล่าวโต้ตอบอย่างฉะฉาน

"แล้วพี่สัญกับพี่ดาจะอยู่กับลูกไปจนตราบฟ้าดินสลายได้หรือไง หนูไม่ได้แช่งพวกพี่นะ แต่ถ้าอีกสิบปีหรือยี่สิบปีข้างหน้า เมื่อไม่มีพี่ทั้งสองคนแล้ว น้องพีจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่เคยทำงาน?" เนื่องจากหญิงสาวสนิทสนมกับคุณชนิดาเพราะทำงานที่เดียวกันมาเกือบสิบปี ได้เห็นพีรพลตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ดังนั้นหล่อนจึงกล้าที่พูดออกมาตรง ๆ "หนูรู้ว่าพี่สัญห่วงลูก กลัวว่าลูกจะเหนื่อย กลัวว่าลูกจะโดนคนดูถูกเหยียดหยาม กลัวว่าสังคมข้างนอกจะไม่ยอมรับคนพิการ แต่งานที่หนูหาให้นายพีทำนี่ก็ไม่ใช่งานตรากตรำอะไรหนักหนา ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไร ไม่ต้องเจอหน้าใครให้เขามาสมเพชเวทนา นั่งทำอยู่กับบ้านไม่ต้องออกไปไหนให้พวกพี่เป็นห่วง แล้วอีกอย่างเด็กจะได้มีอะไรทำ ไม่ใช่ว่าเรียนจบมาแล้วให้มานั่งอยู่กับบ้านเฉย ๆ เดี๋ยวก็ได้เหงาเฉาตายไปเสียก่อน"

"เหงาที่ไหนกัน อะไรต่อมิอะไรเราก็หาไว้ให้ลูก" คุณสัญญาชี้ไปทางเครื่องอำนวยความสะดวกเท่าที่เขาจะสรรหามาประดับบ้าน "ถ้าพีอยากเรียนต่อวิทยาลัย พ่อก็จะส่งให้"

<พีไม่อยากเรียนต่อหรอก เพราะรู้ว่าถึงจบระดับวิทยาลัย ก็ไม่มีงานดีดีให้คนหูหนวกทำ> เขาส่งภาษามือ ซึ่งคุณชนิดาต้องแปลให้สามีฟังอีกครั้ง เพราะอีกฝ่ายนั้นทำงานหนักจนไม่มีเวลาเรียนรู้ภาษามือที่ใช้สื่อสารกับบุตรชาย ผิดกับคุณชนิดาที่พยายามขวนขวายเรียนรู้ภาษามือจนสามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง

"ฉันก็เห็นด้วยกับจิตราเขานะคุณ" คุณชนิดากล่าวเสริม "ถ้าพีเขาไม่อยากเรียนต่อ แล้วอยากหางานทำ งานที่จิตราเขาหาให้นี่ก็นับว่าเหมาะกับพี ทำอยู่กับบ้านก็ได้ ไม่ต้องไปแบกไปหามให้เหนื่อยยาก แล้วลูกจะได้รู้ค่าของเงินด้วย ถ้าหากเขาได้หาด้วยตัวเอง"

คุณสัญญามีสีหน้าอ่อนลงเมื่อได้ฟังเหตุผลจากผู้เป็นภรรยา แต่ก็ยังบ่นไม่วาย "ถ้าเห็นดีเห็นงามกันทั้งแม่ทั้งลูก พ่อจะไปว่าอะไรได้ แต่จะคุ้มกันไหมนี่ นั่งพิมพ์งานทั้งวันจะได้เงินกี่บาทเชียว เดี๋ยวก็ปวดหลังปวดเอวปวดตาอีก จะพอค่าหมอค่ายาหรือเปล่าก็ไม่รู้"

ทุกวันนี้แม้เงินทองที่ได้จากงานรับจ้างพิมพ์รายงานจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้พีรพลมีเงินส่วนตัวที่สามารถใช้จ่ายโดยไม่ต้องแบมือขอบิดามารดาทุกครั้งไปเหมือนแต่ก่อน ดังนั้นในวันหยุดหรือเมื่อมีเวลาว่างนาน ๆ ครั้งเขาจึงมักจะออกไปหาสินาภา และหาอาหารกินนอกบ้านกับเพื่อนสนิท วันนี้อยู่ในช่วงที่มีงานน้อย เนื่องจากปิดเทอมจึงไม่มีรายงานให้พิมพ์ เขาจึงมีเวลาว่างมาก บางครั้งที่อยู่ว่าง ๆ คนเดียว เด็กหนุ่มกดแป้นพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์เคลื่อนที่ เตรียมที่จะกดปุ่มส่งให้กับใครบางคน แต่ก็เปลี่ยนใจลบข้อความนั้นทิ้งเสียทุกทีไป เขายังไม่กล้าพอที่จะสร้างความสนิทสนมกับชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง แต่ก็ยอมรับว่าตนเองมักจะคิดถึงพี่เต้อย่างเพ้อฝันไปตามจินตนาการ จนบางทียังนึกโกรธตัวเองที่ฟุ้งซ่านไปได้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่พี่เต้อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาสักนิดเดียว แม้เพียงความเป็นเพื่อนก็อาจจะไม่มีให้ด้วยซ้ำไป เพราะนับตั้งแต่พบกันที่โรงภาพยนตร์แล้ว ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากอีกฝ่ายอีกเลย นึกได้เพียงเท่านี้ จิตใจก็พาลห่อเหี่ยวลงทันที

<พีรอเดี๋ยวนะ จัดของเสร็จแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน>

<แล้วไม่เฝ้าร้านหรือไง?> พีรพลเอ่ยถามด้วยความสงสัย

<ฝากแผงข้าง ๆ เขาดูให้ก็ได้ แป๊บเดียวเอง ช่วงนี้คนยังไม่ค่อยเยอะเท่าไร> สินาภาบุ้ยใบ้ไปทางแผงขายนาฬิกาที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ

จัดของยังไม่ทันเสร็จ ก็มีลูกค้าหยุดดูเสื้อผ้าที่วางแสดงบนแผงด้วยความสนใจ ก่อนจะถามราคา

สินาภายกเครื่องคิดเลขกดตัวเลขบอกราคาแล้วชูให้อีกฝ่ายเห็น

"ลดหน่อยเถอะน่า รายแรกนะแม่ค้า จะได้ขายดีไง แถมยังเคยซื้ออยู่เป็นประจำ" หญิงสาวผู้เป็นลูกค้าต่อรอง

แม่ค้าผู้พิการทางหูอ่านริมฝีปากแล้วยิ้ม ก่อนจะกดตัวเลขบนเครื่องคิดเลขอีกครั้งแล้วชูให้เห็น

"ลดได้แค่นี้เองเหรอ?" ลูกค้าทำหน้าเย้า ๆ ก่อนจะเหลือบไปมองทางเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าแผง "วันนี้พาแฟนมาขายด้วยกันเหรอ? หน้าตาหล่อเชียว"

สินาภาส่ายหน้าแล้วยิ้ม ก่อนจะพับเสื้อใส่ถุงแล้วส่งให้

"แหม ยังไม่ทันบอกว่าตกลงเลย แม่ค้าก็พับใส่ถุงให้แล้ว นี่ให้ฟรีหรือเปล่า?" ลูกค้าประจำพูดสัพยอก ก่อนจะจ่ายเงินให้ตามราคาของ

หญิงสาวผู้พิการเก็บเงินใส่กระเป๋าคาดเอว แล้วเขียนโน้ตฝากร้านกับเจ้าของแผงข้าง ๆ ซึ่งพยักหน้าตอบรับอย่างใจดีหลังจากอ่านจบ

"ไปเหอะ เดี๋ยวจะช่วยดูให้"

*****

"เต้เห็นโต๊ะนั้นหรือเปล่า คุยกันจนตาลายเชียว" พิณพรหมกระซิบบอกเพื่อนร่วมงานด้วยสีหน้าระบายยิ้มอย่างขบขัน "ผู้ชายหน้าตาออกจะดี๊ดี ไม่น่าเป็นใบ้เลย"

อติชาติจึงมองตามคนพูด แล้วเขาก็เห็นพีรพลกำลังสื่อสารกับเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยภาษามืออย่างรวดเร็วจนน่าปวดหัว

โลกนี้ช่างกลมเสียจริง

"เห็นคนพวกนี้แล้ว พิณรู้สีกว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาร่างกายครบสามสิบสอง ไม่ได้พิการอย่างพวกเขา ผู้หญิงคนนั้นขยันด้วยนะเต้ พิณเห็นเขาตั้งแผงขายเสื้อตรงหัวมุมนี่แหละ แต่ผู้ชายนี่ไม่เคยเห็นมาก่อน สงสัยแฟนกันมั้ง แต่หน้าตาดีเชียว ถ้ายืนเฉย ๆ หรือนั่งเฉย ๆ จะไม่รู้เลยนะว่าเขาเป็นใบ้"

"คนนั้นผมรู้จัก"

"ใคร? ผู้ชายที่เป็นใบ้นี่นะ เต้ไปรู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่?" หญิงสาวถามด้วยความสนใจ

"เขารับพิมพ์งานที่มหาวิทยาลัย ผมเคยไปจ้างเขาพิมพ์ แล้วหลังจากนั้นก็เจอกันอีกครั้ง เลยได้คุยกันบ้าง แต่จะเรียกว่าคุยกันก็ไม่ถูก ก็ใช้เขียนสื่อสารกันพอรู้เรื่อง ยังแลกอีเมล์กับเบอร์โทรศัพท์ไว้ แต่ผมไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้ติดต่อกลับไป"

พอเล่าถึงตอนนี้ อติชาติก็เกิดความคิดประการหนึ่งขึ้นมา "เดี๋ยวผมมานะพิณ ขอไปทำธุระนิดหน่อย"

พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวของพนักงาน แล้วหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ขึ้นมาพิมพ์ข้อความสั้น ๆ

*****

พีรพลสะดุ้งเมื่อระบบสั่นของโทรศัพท์ทำงานในขณะที่กำลังสื่อสารกับเพื่อนสนิทอย่างออกรส เขาล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดอ่านข้อความที่เพิ่งได้รับอย่างดีใจเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งข้อความปรากฏอยู่ ก่อนจะอ่านข้อความที่ส่งมาด้วยความประหลาดใจ

/สวัสดีครับน้องพี ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มาแอบกินข้าวแล้วไม่ชวนพี่เลย/

เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ อย่างตั้งใจ จนสินาภาต้องตีมือเขาโดยแรง

<มองหาอะไรหรือพี? แล้วใครโทรศัพท์มาหา?>

<พี่เต้> พีรพลตอบเพื่อน แล้วส่งโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายอ่านข้อความ

<เขาอยู่แถวนี้เหรอ?> สินาภามีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้กัน

<ไม่รู้สิ ถ้าไม่อยู่แถวนี้แล้วจะรู้ได้ไงว่าเรากินข้าวกันอยู่>

<พี เดี๋ยวเราต้องกลับไปดูแผงขายของแล้วนะ> สินาภาเตือนเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทยังคงปักหลักมองหาคนที่อยู่บริเวณนั้นอย่างตั้งใจ

พีรพลมีสีหน้าผิดหวังเมื่อไม่เห็นคนที่ต้องการเจอ แต่เมื่อเห็นท่าทางเร่งร้อนของเพื่อนที่ต้องกลับไปค้าขาย เขาจึงตัดใจเดินออกจากร้าน พนักงานประจำร้านยืนกล่าวขอบคุณอยู่ที่ประตูทางเข้าออก พีรพลใจลอยเสียจนพนักงานของร้านต้องสะกิดให้สนใจ

เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบพนักงานคือคนที่เขามองหาอยู่ เขากระตุกมือสินาภาจนอีกฝ่ายแทบล้มทั้งยืน

"เดี๋ยวเพื่อนก็ล้มหรอก" อติชาติหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ "ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย เผอิญมาทำงานพิเศษที่นี่ เลยไม่ค่อยมีเวลา"

มือที่หยิบปากกาและกระดาษสั่นเทาด้วยความยินดี

/ทำงานที่นี่นานแล้วหรือครับ?/

อติชาติส่ายศีรษะ "ไม่นานหรอก แล้วทำไม่กี่วันด้วย ทำแทนเพื่อนเขาน่ะ บังเอิญจริง ๆ ที่เจอกัน แล้วพีมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ?"

/เพื่อนผมขายของอยู่แถวนี้ ชื่อสินาภา/

ชายหนุ่มยิ้มพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงทักทาย "สวัสดีครับ ขยันจังเลยนะครับ ไว้วันหลังจะแนะนำเพื่อนไปช่วยอุดหนุน"

สินาภายิ้มตอบอย่างอาย ๆ แม้ว่าอติชาติจะไม่ใช่ชายหนุ่มรูปงาม แต่รอยยิ้มกว้างขวางที่เปิดเผยจริงใจทำให้ใบหน้าที่แสนจะธรรมดากลับดูมีเสน่ห์ขึ้นมาทันที ผิดกับพีรพลที่รูปกายภายนอกนั้นเด่นสะดุดตาเพศตรงข้ามราวกับดารานักร้องวัยรุ่นสมัยนี้ แต่เมื่อทุกคนรู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินก็ต้องลดความสนใจลงไปทันที

"แล้วพีจะกลับบ้านแล้วหรือ?"

พีรพลพยักหน้า ทั้งที่ใจจริงอยากจะอยู่ต่อ

"ค่ำแล้วนี่นา กลับบ้านระวังด้วยก็แล้วกัน ไว้วันหลังพี่จะติดต่อไปใหม่นะ"

*****

หลังเดินออกมาจากร้านอาหารสักพัก สินาภากระทุ้งศอกใส่เพื่อนอย่างสัพยอก <ท่าทางพี่เต้เขาจะเป็นคนดีอย่างที่พีเล่าให้เราฟัง>

พีรพลยิ้มอย่างปลาบปลื้มราวกับเป็นคำชมสำหรับตน เพื่อนสนิทเห็นดังนั้นก็ได้แต่มองด้วยสายตาที่แฝงความเป็นห่วง เพราะเท่าที่ได้เห็นนั้น ดูเหมือนเพื่อนของหล่อนจะเป็นฝ่ายหลงใหลได้ปลื้มไปฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วย แต่หญิงสาวก็ยอมรับว่าพี่เต้หรืออติชาตินั้นเป็นคนที่น่าสนิทสนมด้วย เพราะท่าทางที่แสดงออกกับคนพิการอย่างพวกตนนั้นดูเป็นธรรมชาติ ราวกับกำลังคุยกับคนปกติ ไม่ได้เก้อกระดากแม้จะมีคนรอบข้างมองด้วยสายตาพิศวง

แต่ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ก็ตาม เรื่องของความรักนั้นจะบังคับหรือฝืนใจกันคงเป็นไปไม่ได้ หญิงสาวได้แต่หวังว่าเพื่อนของตนคงจะสามารถทำใจกับความผิดหวังได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก และถ้าหากหล่อนมีอำนาจสามารถบันดาลให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ตามที่ต้องการแล้ว สินาภาไม่อยากให้การพบกันของคนทั้งคู่เกิดขึ้นเลย เพราะรู้ดีว่าตอนจบคงจะไม่สวยงามเท่าใดนัก โดยเฉพาะกับคนด้อยโอกาสในสังคมอย่างพีรพล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต การงาน และความรักที่ผิดปกติเช่นนี้

*****


(End Of Part 2)

comment