ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Strategies For Love (1) by...Rai ที่ผ่านไปนั้นเป็นเพียงบทนำเท่านั้น
ของจริงต้องเริ่มที่ตรงนี้ "แล้วจะนอนกันได้ยังไง ห้องเจ้าไทเตียงเล็กนิดเดียว" คุณเทศาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มอาศัยนอนห้องเดียวกับบุตรชายคนเล็กเจ้าของเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งเท่านั้น แค่บรรดาเครื่องเล่นนานาชนิดของเจ้าตัวที่วางกองเกลื่อนกลาดเต็มห้องก็แทบจะหาที่เดินไม่ได้แล้ว "ไม่เป็นไรครับ ผมนอนพื้นข้างล่างได้" นายซัมกล่าวอย่างอ่อนน้อม "ห้องแกไม่สะดวกกว่าหรือ?" ผู้เป็นบิดาเลิกคิ้วถามบุตรชายคนโตเจ้าของเตียงนอนขนาดหกฟุตมาตรฐาน "ครับ สะดวกกว่า" เวนไตยตอบเสียงเรียบ บิดาสรุปว่านั่นคือการตอบรับ ดังนั้นจึงไม่สนใจเรื่องดังกล่าวอีก คุณเทศาคิดแต่เพียงว่าหากให้เด็กหนุ่มได้พักพิงอยู่ในบ้านของตนในบางเวลา ก็ย่อมดีกว่าการจะให้เด็กที่มีปัญหาทางบ้านออกไปเตร็ดเตร่อยู่นอกบ้าน ซึ่งปัจจุบันมีสิ่งล่อลวงสารพัด และเขาก็มั่นใจว่าบุตรชายคนโตจะรับมือกับเรื่องนี้ได้แน่นอน แม้เวนไตยจะไม่ใช่เด็กเรียนดีหรือเยาวชนตัวอย่าง แถมยังมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นในช่วงวัยรุ่นบ่อยครั้ง แต่บุตรชายของเขาก็ไม่เคยสร้างปัญหาความเดือดร้อนร้ายแรงมาให้เขาปวดหัว และเมื่ออีกฝ่ายเติบโตขึ้นและมีวุฒิภาวะมากขึ้นเขาก็ยิ่งวางใจในตัวบุตรชาย นายซัมมองหน้าชายหนุ่มที่ยืนทำสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไรด้วยความเกรงใจ
"ถ้าพี่ไม่ชอบที่จะให้ผมนอนด้วย ผมก็
" เด็กหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ "พี่อนุญาตให้ผมนอนด้วยจริงหรือ ทั้งที่พี่ก็รู้ว่าผมน่ะ " นายซัมเว้นคำพูดไว้ให้อีกฝ่ายต่อเอาเอง เวนไตยหุบยิ้มแล้วเขม้นมองอีกฝ่ายเขม็ง "ใจคอน้องจะทำอะไรพี่ตอนหลับหรือไง?" นายซัมเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย แล้วก็รีบเปลี่ยนบรรยากาศทันที เด็กหนุ่มโบกมือปฏิเสธวุ่นวาย ก่อนจะบรรยายความด้วยลีลาโอเวอร์แอคติ้งเช่นเดิม "ไม่หรอกครับ ก็ผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่สักหน่อย แต่ผมกลัวใจพี่น่ะ ตอนนี้พี่ยังไม่คิดอะไรกับผมก็จริง เดี๋ยวนอนด้วยกันบ่อย ๆ แล้ววันหนึ่งพี่ดันเห็นผมน่ารักขึ้นมาในทันทีทันใด เกิดอารมณ์หื่นกามหน้ามืดตามัวไล่ปล้ำผม แล้วคิดหรือว่าผมจะร้องให้คนอื่นช่วย ผมก็ต้องสมยอมอ่ะดิ ด้วยสำนึกในพระคุณที่เคยให้ที่หลับที่นอน ยอมก็ยอมวะทำนองนี้ แล้วอีทีนี้พอพี่ได้ลองสักครั้งแล้วเกิดติดใจขึ้นมาผมก็ต้องกลายเป็นนายบำเรอของพี่ไปตลอดชีวิต" ชายหนุ่มฟังแล้วก็ส่ายศีรษะอย่างระอา "พี่ยังไม่สิ้นคิดขนาดนั้นหรอกน้อง" แม้จะนานนานถึงจะมานอนค้างสักหน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว แต่คุณเทศาก็อนุญาตให้หนุ่มน้อยเข้ามาพักในบ้านได้โดยมีข้อแม้ว่าต้องบอกทางบ้านซึ่งก็คือน้าวงศ์นั่นแหละไว้ก่อน จนบัดนี้ในห้องน้ำของบ้านที่หน้าบานกระจกซึ่งวางเรียงด้วยอุปกรณ์เครื่องใช้ประดามีอันได้แก่ น้ำยาสระผม ครีมนวดผม ยาสีฟันและอะไรต่อมิอะไรสารพัดนั้น แปรงสีฟันของนายซัมก็ถูกนำมาวางเรียงกับของคนอื่น ๆ ในบ้านคล้ายกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งอย่างไม่แปลกแยก เวนไตยเองก็เริ่มเคยชิน เพราะยามเมื่ออยู่รวมกลุ่มกันระหว่างสมาชิกภายในบ้าน เจ้าเด็กจอมยุ่งก็ดูเหมือนจะทำตัวกลมกลืนไปได้กับทุกคนภายในบ้าน พูดคุยหยอกล้อกับเขาและนายน้องไท เคารพและสงบเสงี่ยมกับบิดาและมารดาของเขา ชายหนุ่มมองสภาพของเด็กตรงหน้าแล้วให้นึกถึงเรื่องที่เพื่อนคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟัง "วันนั้นกำลังนอนเล่นผึ่งพุงอยู่เพลิน ๆ มีแมวที่ไหนก็ไม่รู้มาด้อม ๆ มอง ๆ ข้าอยู่ พอลุกขึ้นจะเดินไปหามัน มันก็วิ่งหนีหายไป แต่พอวันต่อไปมันก็มาอีก มาจนชินหน้ากันแล้วมั้ง ถึงขั้นคลุกข้าวให้กินมันก็กล้าเข้ามากิน ตอนหลังมันก็เลยมาทุกวัน แม่ข้าก็เอ็นดูมันนะ ทั้งตั้งชื่อให้ ซื้อปลอกคอให้ พาไปให้หมอตรวจและฉีดวัคซีนสารพัด ตอนนี้มันนอนอืดเป็นแมวอ้วนอยู่ในครัวบ้านข้าตลอดแล้ว แถมแม่ยังรักมันมากกว่าข้าเสียอีก" เขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเลี้ยงแมวน้อยที่เดินพลัดหลงมายังบ้านของตน
ทุกคนในบ้านต่างก็เอ็นดูกันถ้วนหน้า แต่ชีวิตคนนั้นไม่เรียบง่ายเหมือนสัตว์เลี้ยงที่จะอ้างความเป็นเจ้าของ
แค่สวมปลอกคอใส่กระพรวนให้มันแล้วจะทึกทักว่าเป็นเจ้าของมันแล้ว เด็กซัมยังมีพ่อมีแม่และมีครอบครัวของตนเอง
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสภาพครอบครัวของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร เพราะนายซัมไม่เคยปริปากเล่าอะไรให้ฟัง
แต่การที่มันมาใช้ชีวิตในบ้านของเขาเป็นส่วนใหญ่ทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้
ครั้นจะเอ่ยปากถามไถ่ก็ใช่ที่ เพราะเขาถือว่าทุกคนควรมีความเป็นส่วนตัว เรื่องอะไรที่อีกฝ่ายต้องการให้เขารับรู้รับฟัง
สักวันมันก็คงจะบอกเขาเอง นับตั้งแต่วันที่มันร้องไห้ในคืนนั้นแล้ว จนบัดนี้เขายังไม่เคยเห็นไอ้น้องซัมแสดงอาการหงอยเหงาเศร้าซึมอีกเลย
เห็นแต่รอยยิ้มร่าเริงตลอดเวลาเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน "หือ?" เวนไตยมองหน้าคนพูดด้วยความสงสัย "ก็นี่ไง" เจ้าตัวก้มศีรษะเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อจะอวด "มีกลิ่นแซมพูเดียวกับพี่ไตยกับน้องไท" ชายหนุ่มยิ้มแล้วขยี้ผมที่ตัดสั้นของอีกฝ่ายอย่างแรงด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นไส้ "เหม็น ไปห่าง ๆ ไป๊" "เพิ่งสระเมื่อวานเอง ดูสิผมเสียทรงหมด" นายซัมบ่นแล้วลูบผมที่ยุ่งเหยิงจากมือของอีกฝ่ายให้เข้าที่ "หมดหล่อกันพอดี เดี๋ยวพี่จ้าวมาเห็นเข้าจะเสียภาพพจน์อันดีหมด" "ยังไม่ตัดใจอีกหรือน้อง?" "พี่รู้จักนิยามของคำว่า 'อก' หรือเปล่า?" เวนไตยยิ้มนึกอยากแหย่อีกฝ่ายเล่น
"รู้สิ นิยามของคำว่า 'อก' ก็คือ ผู้ชายวัดเป็นศอก ผู้หญิงวัดเป็นนิ้วและ "เดี๋ยวนี้ชักมีลูกเล่นนะพี่" นายซัมพึมพำพร้อมทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะเฉลยคำตอบของตัวเอง "นิยามคำว่า 'อก' นั้นในวัยรุ่นมักจะเปราะบาง หักบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยเข็ด ก็อย่างว่านั่นแหละคนเรามันก็ต้องมีความหวังอยู่ด้วยกันทุกคน ถึงจะเป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ก็เหอะ มีคนมาให้เราแอบรักดีกว่าไม่มีใครเลยไม่ใช่หรือครับพี่?" ชายหนุ่มสะดุดใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย เขาคิดว่ามันคงจะเหงาอยู่ไม่น้อย "งั้นเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไม่ดีกว่าหรือน้อง มีอะไรให้ผูกพันให้รักได้เหมือนกัน แถมยังไม่เจ็บเวลาอกหักอีกด้วย" "บาปน่ะสิครับพี่ เลี้ยงสัตว์เพื่อจะให้ตัวเองได้รักและถูกรักนี่มันน่าสมเพชมากกว่า ผมคิดว่าผมอยู่แบบนี้ดีแล้ว แถมหมาแมวน่ะอายุมันสั้นกว่าเราอยู่แล้ว ขืนมันตายไปผมมิยิ่งเสียใจมากกว่าหรือ ถ้าคิดจะเลี้ยงหมาน่ะผมว่าอยู่กับพี่ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ดีกว่า ถึงไม่รักผมแต่ก็ไม่ได้เกลียดไม่ใช่หรือพี่" ***** เด็กหนุ่มมองตามที่เพื่อนบอกก็เห็นนายน้องโอกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งรอบสนามอยู่คนเดียว โดยผู้ร่วมทีมคนอื่นก็ยืนรวมกลุ่มเข้าแถวกันอยู่ที่ข้างสนาม "เอ็งเดินไปก่อน เดี๋ยวข้าตามไปทีหลัง" นายจ้าวบอกเพื่อนแล้วเดินแยกเข้าไปยังขอบสนาม จวบจนร่างของนายน้องโอวิ่งเข้ามาใกล้จึงโบกมือเรียก "พี่จ้าวมาทำอะไรตรงนี้?" นายน้องโอชะลอฝีเท้า แล้วเหลือบตามองกลุ่มผู้ร่วมทีม เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมองอยู่จึงเดินเข้าไปหานายพี่จ้าว "พี่กำลังจะเดินไปที่ห้องประชุม เห็นโอวิ่งอยู่คนเดียวเลยแวะมาดู โดนทำโทษหรือไง?" นายน้องโอพยักหน้า "เข้าแถวช้าไปหน่อย โดยโดนสั่งวิ่งรอบสนาม" "กี่รอบกันล่ะ?" นายน้องโอยิ้มแล้วชูนิ้วขึ้นสองนิ้วเป็นคำตอบ "แปลว่าสองรอบ หรือใจยังสู้กันหือ?" "เฮ้! ไอ้จ้าว เอ็งมารบกวนนักบอลข้าอีกแล้ว" เสียงหนึ่งดังขึ้น ทั้งคู่หันกลับไปก็เจอนายกู้ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลของโรงเรียนกำลังเดินตรงมาหา "เดี๋ยวข้าก็จับเอ็งลงสนามเสียเลยนี่ มาอยู่ได้ทุกวัน" นายน้องโอทำหน้านิ่วเมื่อเห็นรุ่นพี่ทำหน้าเครียดเดินเข้ามา "ผมต้องไปแล้วนะพี่" นายจ้าวเรียกอีกฝ่ายไว้ "วันนี้พี่มีประชุมยังไม่รู้เลิกเมื่อไหร่ ไว้คืนนี้จะโทรไปหานะ" "ครับ" นายน้องโอยิ้มพร้อมกับโบกมือให้ก่อนจะเริ่มออกวิ่งต่อ นายกู้เดินมาถึงแล้วชี้หน้าเพื่อนที่ยังยืนยิ้มค้างอยู่ที่ขอบสนามพร้อมทำเสียงดุอย่างไม่จริงจังนัก "เอ็งนี่ไม่มีอะไรทำแล้วหรือไงวะถึงได้เดินผ่านสนามบอลวันละหลาย ๆ รอบนี่" "ทางผ่านโว้ย ว่าแต่ปีนี้กะได้แชมป์หรือเปล่าวะ เห็นซ้อมหนักแต่ทำไมลงแข่งไม่ค่อยชนะเลยนะเอ็ง" นายจ้าวตอบพร้อมกับชวนคุย "ไม่ค่อยมีตัวเก่ง ๆ เลยนี่หว่า ยังดีปีนี้มีพวกมอสี่ฝีตีนดีอย่างไอ้เจ้าโอลงสนามบ้าง พวกเพื่อน ๆ เราขอลาออกจากทีมไปดูหนังสือสอบกันเสียเยอะ" นายกู้บ่นพึม ก่อนจะถามเพื่อนรุ่นเดียวกันแต่อยู่คนละห้องเรียนด้วยความเป็นห่วง เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะต้องเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้วยกันทั้งคู่ "แล้วเอ็งล่ะดูหนังสือไปถึงไหนแล้ว ช่วงนี้งานกิจกรรมของโรงเรียนออกจะมาก" "อื่อ นี่ก็กำลังจะไปเข้าห้องประชุมกรรมการนักเรียนอยู่เหมือนกัน เตรียมจะเลือกคณะกรรมการนักเรียนชุดใหม่ แล้วข้าก็จะพ้นวาระได้หลุดพ้นแล้ว ไว้ถึงตอนนั้นข้าจะมาช่วยเตะบอลให้" "ให้มันจริงเถอะวะ" นายกู้หัวเราะ แต่ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "แต่เอ็งโดนหมายหัวห้ามลงแข่งนี่หว่า วีรกรรมวีรเวรเยอะเหลือเกิน เตะนัดไหนได้ดูมวยแถมทุกนัด อาทิตย์หน้าจะต้องไปเตะกับโรงเรียนไอ้ธานีแล้ว งานนี้มองไม่เห็นทางชนะเลยว่ะ ข้าเห็นเด็กใหม่ตัวโรงเรียนของมันปีนี้แล้วตัวยังกะควาย เทียบกับของเราแล้วยังกับเด็กแข่งกับผู้ใหญ่" นายกู้ส่ายศีรษะเมื่อนึกถึงผลการแข่งขันสัปดาห์หน้า ที่จริงลูกทีมของเขาก็ไม่ใช่คนตัวเล็ก ความสูงและน้ำหนักส่วนใหญ่ก็ได้มาตรฐานตามวัย แต่โรงเรียนคู่แข่งนี่สิไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาเลี้ยงลูกด้วยอะไรถึงได้ตัวใหญ่นักหนา "แข่งที่สนามโรงเรียนมันล่ะสิ?" นายกู้เหล่มองอีกฝ่าย "แหงล่ะ เพราะเอ็งนั่นแหละ เมื่อสองปีก่อนที่จัดเตะที่โรงเรียนเรา เอ็งดันไปก่อเรื่องต่อยกันกลางสนาม เขาเลยหมายหัวไม่ให้จัดที่โรงเรียนเราสามปีซ้อน" "ก็มันเล่นไม่แฟร์นี่หว่า ไอ้ธานีมันสอยข้าอยู่เรื่อย เลยอัดแม่งเข้าให้" นายจ้าวพูดหน้าตาเฉย นึกถึงเรื่องเมื่อสองปีก่อนที่เขายังเล่นฟุตบอลให้กับทีมของโรงเรียนแล้วโดนคู่แข่งสกัดดาวรุ่ง ดังนั้นเขาจึงแถมมวยคู่เอกกลางสนามให้คนดูเป็นพิเศษก่อนที่จะการแข่งขันนัดนั้นจะถูกยกเลิกไปในที่สุด หลังจากนั้นเขาก็อำลาสนามกลายมาเป็นหนึ่งในคณะทำงานของสภากรรมการนักเรียนแทน เพื่อนถอนหายใจด้วยความหนักอก "ข้าว่าเอ็งไปนั่งในห้องประชุมอย่างในตอนนี้น่ะดีแล้ว ไม่ต้องลงสนามหรอก ข้าขี้เกียจเป็นกรรมการห้ามมวย" "หวัดดีคร้าบพี่จ้าว พี่กู้ เย็นขนาดนี้แล้วยังไม่กลับบ้านกลับช่องอีกหรือครับ" เสียงสดใสดังขึ้นข้างหู แล้วนายซัมก็ปรากฏกายขึ้น เล่นเอานายจ้าวสะดุ้งเฮือกด้วยปฏิกริยาสะท้อนกลับ เพราะเขาถูกนายซัมตามล่าตามล้างมาเป็นเวลาเกือบสองปี ไม่หลอนก็เห็นจะประสาทแข็งเกินไปล่ะ "ว่าแต่คนอื่นเขานั่นแหละ แล้วน้องเองทำไมไม่กลับบ้านล่ะ?" นายกู้เอ่ยทักทายรุ่นน้อง "ถ้าว่างมากละก็มาเตะบอลให้โรงเรียนไหมน้อง รูปร่างขนาดน้องนี่พี่กำลังต้องการอยู่พอดี" ท้ายประโยคนายกู้มองอีกฝ่ายขึ้นลงด้วยความชื่นชม ถ้านักฟุตบอลในทีมตัวสูงขนาดไอ้น้องซัมก็เหมาะ พอฟัดพอเหวี่ยงกับทีมคู่แข่งได้สบาย "โหพี่มองแบบนี้ผมก็อายแย่ รูปร่างอย่างผมนี่ล้วนแต่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ ทั้งนั้นแหละครับ เว้นแต่พี่จ้าว ถ้าพี่จ้าวเซย์เยส ผมก็ยินดีจะมอบกายมอบใจให้ไม่อิดออดแม้แต่น้อย แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ผมมันขาวไป หน้าตาดีเกินไป รูปร่างดีเกินไป ไม่เตี้ย ไม่ผอม ไม่ดำเหมือนใครบางคน พี่จ้าวเลยมองผ่านเลยไป" นายซัมทำเสียงตัดพ้อต่อว่าอย่างไม่กระดากปาก แน่นอนอยู่แล้วว่ามันไม่เคยอายใครอยู่แล้ว นายกู้กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ลืมนึกไปว่าอีกฝ่ายมีฉายาเป็นที่รู้จักกันดีทั้งโรงเรียนว่าเป็นจอมโอเวอร์แอคติ้ง นายจ้าวหัวเราะหึหึในลำคอ อาจจะเป็นเพราะต้องรบรากับอีกฝ่ายมาเกือบสองปีแล้วก็เลยชักชิน "พี่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปประชุม ซัมอยู่คุยกับพี่กู้ไปก่อนก็แล้วกัน" "ตัดรอนกันง่าย ๆ เลยหรือพี่" นายซัมทำเสียงคล้ายกับน้อยใจ "เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ไม่รู้หรือไงว่าผมออกจะคิดถึ้งคิดถึง อยากอยู่ใกล้ อยากคุยด้วย แต่พี่ทำเหมือนผมไม่มีความหมาย ไม่มีค่าอะไรเลย" "พี่มีธุระจริง ๆ ไว้วันหลังจะคุยด้วย" นายพี่จ้าวเอ่ยปากตัดบทพร้อมโบกมือลา แล้วเดินจากไปโดยเร็ว โดยทิ้งให้นายน้องซัมยืนโบกมือหยอย ๆ "ครับ ผมจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่เราสองจะได้เคียงคู่กัน" นายซัมพึมพำ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหันไปเห็นนายพี่กู้ยืนมองอยู่ "มีอะไรหรือครับพี่?" "ที่พี่ชวนเข้าทีมน่ะ พี่ชวนจริง ๆ นะน้อง ไม่สนใจหรือ?" "ไม่ไหวมั้งพี่" นายซัมปฏิเสธพร้อมให้เหตุผล "ร่างกายผมค่อนข้างจะบอบบาง" นายกู้มองอีกฝ่ายอย่างไม่เห็นด้วย เพราะเท่าที่เห็นด้วยตานั้น นายซัมมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่น้อง ๆ ควาย แม้รูปร่างจะไม่ถึงกับล่ำบึ้กแต่มันก็ตัวสูงพอจะทำให้ทีมได้เปรียบเมื่อต้องการคนมาช่วยโหม่งลูกเข้าประตูฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงไม่ละความพยายามที่จะเกลี้ยกล่อม "พี่รู้มาว่าตอนที่น้องอยู่มัธยมต้นก็เลยเล่นฟุตบอลเป็นตัวโรงเรียน แถมช่วงหลังนี่พี่เห็นน้องป้วนเปี้ยนอยู่แถวสนามบอลบ่อย ๆ นึกว่าจะสนใจ พี่เห็นน้องสนิทกับนายโอไม่ใช่หรือ น่าจะลองเล่นด้วยกันนะ เผื่อจะเข้าขากันดี ทีมเราจะได้มีความหวังขึ้นมาบ้าง" "ใครว่าผมสนิทกับมัน" เสียงนายซัมกร้าวขึ้นกระทันหัน เล่นเอานายพี่กู้สะดุ้งโหยง ***** นายจ้าวยกมือไหว้บิดาและมารดาที่กำลังนั่งชมโทรทัศน์อยู่ในห้องชั้นล่าง ก่อนจะเดินออกไปยังส่วนที่เป็นครัว "วันนี้กลับค่ำเชียวนะ" พี่สาวทักน้องชาย ขณะนั่งเล่นกับแมวตัวอ้วนที่สุดของบ้านซึ่งเป็นตัวโปรดของเธอ โดยมีอีกสามสี่ตัวนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บริเวณเดียวกัน "เพิ่งจะทุ่มครึ่งเอง พี่จองสิกลับดึกกว่า" นายจ้าวยิ้ม เขาอ้างถึงพี่ชายคนก่อนหน้าเขา ที่ช่วงหลัง ๆ มานี่กลับบ้านค่ำมืดทุกวัน "เขามีกิจกรรมในมหาวิทยาลัย แต่เราน่ะต้องเตรียมดูหนังสือสอบไม่ใช่หรือ?" "สบายอยู่แล้วน่ะพี่ คะแนนสอบหนที่ผ่านมาก็พอจะลอยลำแล้ว" น้องชายอ้างถึงคะแนนการสอบในครั้งแรก "อย่าประมาทนักนะเรา ถ้าปีนี้มีแต่คนได้คะแนนสูง ๆ คณะที่หวังไว้อาจจะปิ๋วก็ได้นะ" "ถ้าไม่ได้ผมก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่พี่จุงสอนสิ" พี่สาวทำเสียงเข้ม "แล้วใครจะมีปัญญาส่งแกเรียน มหาวิทยาลัยเอกชนหน่วยกิตไม่ใช่ถูก ๆ นะ ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐบาลได้ ทางบ้านจะได้ไม่ลำบาก อย่าทำตัวเหลวไหลนักล่ะเรา" "คร้าบ คร้าบ คร้าบ รับรองไม่เหลวไหลให้เสียประวัติของบ้านหรอกน่า" นายจ้าวยิ้มให้กับพี่สาว ก่อนจะก้มตัวลงอุ้มลูกแมวที่เดินเข้ามาถูสีข้างกับขาของเขา "จริงไหมน้องโอ พี่จ้าวน่ะชัวร์อยู่แล้ว" "แกนี่แปลกตั้งชื่อแมวว่าน้องโอ" พี่สาวบ่นพึม น้องชายหัวเราะก่อนจะปล่อยลูกแมวลงพื้น "ดีกว่าชื่อที่พี่จุงตั้งแหละน่า จรณชัย สุทธิชัย ศศินา เอาชื่อผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์มาตั้งชื่อแมว" "เรื่องของฉัน" พี่สาวไม่เถียงกลับ ก็เวลาดูโทรทัศน์แล้วเห็นผู้ประกาศข่าวนั่งตัวตรงแหน่วจ้องมองดูผู้ชมนี่มันเหมือนแมวที่กำลังมองเป๋งมาที่หล่อน เวลาตั้งชื่อให้แมวนั้น สาวจุงก็อาศัยความคล้ายคลึงเป็นหลัก อย่างเจ้าจรณชัยตัวโปรดของหล่อนนั้นตอนเอียงคอนั้นเหมือนผู้ประกาศข่าวคนนั้นไม่มีผิด ส่วนเจ้าสุทธิชัยนั้นตอนแรกกะจะตั้งชื่อว่าไตรรงค์เพราะมีสามสี แต่เผอิญเจ้านี่ดันมีผิวหนังด้านตรงเหนือหน้าผากทำให้ขนไม่ขึ้นหย่อมหนึ่ง งั้นก็สุทธิชัย หยุ่นก็แล้วกัน จำง่ายดี ยังมีแม่ศศินาขนสีขาวปลอดซึ่งตัวนี้นั้นมารดาของหล่อนเป็นคนช่วยตั้งเพราะชอบผู้ประกาศข่าวสาวคนนี้ตอนอ่านสะเก็ดข่าวเป็นยิ่งนัก เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะสนทนา นายจ้าวคว้าหูโทรศัพท์แล้วก็ต้องยิ้มหน้าบานเมื่อได้ยินเสียงจากปลายทาง "สวัสดีครับโอ" นายจ้าวทักทายไปตามสายโทรศัพท์ นึกแปลกใจที่อีกฝ่ายโทรศัพท์มาหาตน เพราะทุกครั้งมักจะเป็นเขาที่โทรไปหา "พี่จ้าวครับ" เสียงนายน้องโอฟังดูแปร่งหู ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบถาม "ทำไมทำเสียงแบบนั้นล่ะโอ มีอะไรหรือเปล่าครับ?" นายน้องโอเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะรัวคำพูด "พี่จ้าวครับ ผมจะทำยังไงดีล่ะครับ เมื่อตอนเย็นที่ซ้อมกันพี่อาร์มเขาข้อเท้าพลิก ทางทีมเลยขาดคนเล่นไปคนหนึ่ง อาทิตย์หน้าจะแข่งแล้วด้วย" "ทีมไม่มีตัวสำรองหรือครับ?" "ไม่มีครับ พอรุ่นพี่มอหกลาออกจากทีมไปตอนเริ่มต้นเทอมปลาย ทีมเราก็เหลือแต่ผู้เล่นตัวจริงทั้งนั้น" "แล้วนายอาร์มเขาหายไม่ทันหรือไง?" "เห็นพี่กู้บอกว่าคงไม่ทันแล้ว" "นี่เจ้ากู้เขาให้โอโทรมาหาพี่อย่างนั้นหรือ?" นายจ้าวเดาด้วยความสงสัย "เขาก็รู้นี่นาว่าพี่ลงแข่งไม่ได้ เพราะเขาหมายหัวเอาไว้แล้ว" "ครับ พี่กู้ให้ผมโทรมาบอกให้พี่ช่วยไปคุยกับคนคนหนึ่งครับ พี่กู้เขาอยากได้คนนี้ร่วมทีมมาก และบอกว่ามีพี่จ้าวคนเดียวที่คุยกับเขาได้" นายพี่จ้าวรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อนึกถึงเรื่องที่ไอ้นายกู้คุยเมื่อตอนเย็น "อย่าบอกนะว่าให้พี่ไปชวนนายซัมมาเตะบอล" ทางปลายสายเงียบไปชั่วครู่ "ไม่ได้หรือครับ?" นายจ้าวถอนหายใจพรืด ชักสงสัยว่าไอ้เจ้านายอาร์มนี่มันขาแพลงขาพลิกจริงหรือเปล่าวะเนี่ย หรือไอ้เจ้ากู้มันอยากให้นายซัมลงแข่งจริง ๆ ถึงกับหลอกนายน้องโอให้โทรศัพท์มาหาเขา ***** ชายหนุ่มที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้าง ๆ เด็กทั้งสองคนหันไปมองแล้วขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เจ้าน้องไทเริ่มมีพัฒนาการสร้างสรรค์ดีขึ้นจนเขาเริ่มหวั่น ๆ ว่าน้องชายเขาจะกลายเป็นนายซัมคนที่สองไปแล้ว "ปูไต่ครับ ปูไต่" นายซัมทาย แล้วทำท่าปูไต่แขนเด็กชาย จนเจ้าตัวหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ก่อนจะเฉลย "ม่ายช่าย ม่ายช่าย นี่เป็นหนูคร้าบ" นายซัมทำหน้าสงสัยแต่ก็ยังอมยิ้มอยู่ "หนูอะไรกันครับ?" "ก็หนูกับราชสีห์ในนิทานไงครับ เมื่อวันก่อนนี้คุณครูเขาให้แสดงท่าทางของสัตว์ ผมเลยเล่นหนูกับราชสีห์ ทำเป็นหนูแล้วไต่ ไต่ ไต่ตัวราชสีห์" "แล้วใครเป็นราชสีห์กันล่ะครับ?" "ก็คุณครูสิครับ คุณครูเอื้อยซ้วยสวย" นายน้องไททำหน้าเคลิ้ม เมื่อนึกถึงตอนที่นิ้วของเขาไต่ไปตามผิวเนื้อของคุณครูคนสวย เวนไตยที่ได้ยินถึงกับสะดุ้งโหยง สงสัยน้องเขาจะแก่แดดแก่ลมเกินไปแล้วมั้งเนี่ยตั้งแต่คบกับนายซัม "แล้วห้องน้องไทไม่มีเด็กผู้ชายน่ารัก ๆ มั่งหรือครับ" นายซัมทำท่าจะชี้ทางเดินสายใหม่ให้กับเพื่อนรุ่นเยาว์ "ไม่รู้ครับ ไม่ได้มอง มองหน้าเขามากมาก เดี๋ยวได้ท้าชกกันที่หลังโรงเรียน" เด็กชายไทวะยักไหล่ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนรักสงบ แต่พอรบก็ไม่ขลาด เพราะเจ้าหนูไทวะขึ้นชื่อด้านการชกต่อยกับเพื่อนเป็นประจำ ครั้งแรกแม้จะชกชนะแต่ก็โดนมารดาทำโทษซ้ำหลังการประลองหมัด เนื่องจากเจ้าตัวกลับมาถึงบ้านด้วยเสื้อผ้ายับย่นและสกปรก แต่ต่อมาได้อาจารย์สอนสั่งดี เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาอย่างโชกโชน ซึ่งก็คือพี่ชายของตนเองนั่นแหละ พี่ชายตัวดีแนะนำวิธีการที่จะไม่ต้องกลับมาโดนมารดาเฆี่ยน โดยพอเริ่มต้นท้าต่อย เด็กชายไทวะก็ขอเวลานอกจากคู่ชกแล้วถอดเสื้อนักเรียนพับวางไว้เป็นอย่างดี พอราวีเสร็จจึงค่อยสะบัดไล่รอยยับแล้วใส่ก่อนกลับบ้าน เป็นอันรอดจากไม้เรียวของแม่ไปได้ทุกครั้ง นายซัมทำหน้าเจ้าเล่ห์ "งั้นตาพี่ทายน้องไทมั่ง ทายสิว่าตัวอะไร " เด็กหนุ่มออกท่าออกทาง "พี่รักน้องครับ โอ๊ย น้องรักพี่ครับ โอ๊ย" เด็กชายไทวะเกาศีรษะแกรก "ตัวอะไรอ่ะพี่ซัม ไม่เห็นเข้าใจเลย" "โห น้องไท ดูให้ดีสิครับ" ว่าแล้วเจ้าตัวก็แสดงให้ดูอีกรอบ "พี่รักน้องนะครับ โอ๊ย น้องก็รักพี่ครับ โอ๊ย" คราวนี้ชายหนุ่มที่นั่งมองอยู่ก็ชักสงสัยเหมือนกันว่าเจ้าตัวแสบมันเล่นอะไรกันแน่ จนในที่สุดเด็กชายไทวะก็ต้องยกมือยอมแพ้ "พี่ซัมกำลังเลียนแบบสัตว์อะไรกันครับเนี่ย?" "เม่นเกย์จูบกันไง" เจ้าตัวตอบลอยหน้าลอยตา เด็กชายอ้าปากค้างด้วยนึกไม่ถึง แถมยังไม่เข้าใจคำเฉลยอีกด้วย ส่วนพี่ชายนั่งกุมท้องหัวเราะ "คิดได้ไงนี่น้อง เม่นเกย์จูบกัน สร้างสรรค์จริง ๆ" เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เด็กชายไทวะรีบวิ่งไปหน้าบ้านเพื่อต้อนรับแขกตามประสาเจ้าบ้านที่ดี "สวัสดีคร้าบ พี่โอ พี่จ้าว" "สวัสดีครับน้องไท พี่ซัมมาที่บ้านนี้หรือเปล่าครับ?" นายน้องโอทักทายเจ้าบ้านตัวน้อยอย่างยิ้มแย้ม "พี่ซัมอยู่ในบ้านครับ" "ใครมาหรือไท?" เวนไตยตะโกนถามน้องชาย "พี่โอกับพี่จ้าวคร้าบ" สิ้นเสียงนายน้องไท ก็มีเสียงย่ำเท้าตึงตังดังลั่น แล้วร่างสูงโปร่งของนายซัมก็โผล่ออกมาจากตัวบ้าน "หวัดดีครับพี่จ้าว แรงคิดถึงของผมส่งไปถึงจริง ๆ ด้วยแฮะ" นายจ้าวยิ้มบาง ๆ ตามแบบฉบับของตน ก่อนจะกล่าวทักทายชายหนุ่มเจ้าของบ้าน "ผมมารบกวนบ้านพี่ไตยหน่อยนะครับ" "ไม่เป็นไรหรอกน้อง วันหยุดไม่มีอะไรทำกันอยู่แล้ว มาอยู่กันเยอะ ๆ ก็ดี" เวนไตยเอ่ยปากอย่างใจดี แต่ในใจก็ชักจะกังวลว่าไอ้เด็กกลุ่มนี้มันจะหาเรื่องปวดหัวอะไรมาให้เขาอีกหรือเปล่าวะเนี่ย ***** "วันก่อนผมก็ปฏิเสธพี่กู้ไปแล้วนี่ครับ" นายซัมเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย เมื่อได้รับฟังคำร้องขอจากพี่จ้าวสุดที่รัก "เผอิญในทีมเขามีปัญหาขาดคนเล่น พี่ว่าซัมน่าจะเหมาะ เพราะได้ข่าวว่าตอนมอต้นก็เคยเล่นเป็นตัวโรงเรียนเหมือนกันนี่" คำชมดังกล่าวทำให้นายซัมต้องแอบปลื้มอยู่ในใจ "นะครับพี่ซัม" เสียงของนายน้องโอทำให้สีหน้านายซัมที่เริ่มจะดี ขุ่นลงไปอีก "ไม่ดีมั้งครับน้องโอ พี่ไม่ได้เล่นมาตั้งนานแล้ว จะเป็นตัวถ่วงของทีมเสียเปล่า ๆ" "แต่ผมเชื่อฝีมือพี่ซัม" นายน้องโอมีสีหน้ามั่นใจ สงสัยว่าจะต้องถูกไอ้คุณพี่กู้กล่อมมาอย่างเต็มที่แล้วเป็นแน่ "ถ้าพี่ซัมลงเล่น ทีมเราอาจจะมีสิทธิชนะได้" นายจ้าวมองสีหน้าของคนรักของตนกับนายน้องซัมสลับกัน พร้อมกับนึกในใจว่าสองคนนี้ช่างแตกต่างกันเสียจริง ๆ คนหนึ่งก็แสนจะใสซื่อบริสุทธิ์ แต่อีกคนก็เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวสารพัด "โออย่าคาดคั้นเขานักสิ" นายพี่จ้าวเตือนนายน้องโอเสียงเบา "แต่ผมอยากให้พี่ซัมลงเล่นจริง ๆ นี่ครับ" นายน้องโอหันไปบอกพี่จ้าว นายซัมมองคนทั้งคู่ด้วยความหมั่นไส้แกมอิจฉาในความสนิทสนม สมองนายซัมกำลังคิดใคร่ครวญ ถ้าเขาปฏิเสธก็ดูเหมือนจะไร้น้ำใจเกินไป แต่ถ้าเขายอมเหนื่อยวิ่งไล่ลูกฟุตบอลในสนามมันก็น่าจะได้อะไรตอบแทนบ้างสิ อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะมีรางวัลเป็นพี่จ้าวใส่กล่องผูกโบว์ก็ยังดี นายจ้าวเห็นสายตาของนายน้องซัมที่มองมาถึงกับเสียวสันหลังวาบ
นึกหวั่นอยู่ในใจว่าเขาคงจะต้องเตรียมปวดหัวกับเจ้าน้องซัมอีกแล้วมั้ง ระยะเวลาเกือบสองปีที่มีนายน้องซัมมาป้วนเปี้ยนข้างกายไม่ได้ทำให้เขาเกิดภูมิคุ้มกันแต่อย่างใด "พี่ครับ พี่นี่แหละคือชายหนุ่มในฝันของผม" นายซัมกุมมืออีกฝ่ายสารภาพรักทันทีที่สมองประมวลความรู้สึกของตนเองได้ เล่นเอานายพี่จ้าวผงะรีบชักมือออก อุทานได้สั้น ๆ คำเดียวว่า "เฮ้ย!" และหลังจากนั้นนายน้องซัมก็กลายเป็นเงาที่คอยตามหลอกหลอนไอ้พี่จ้าวตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในโรงเรียน นายซัมปักใจแน่วแน่ว่าตนเองจะต้องลงเอยกับไอ้พี่จ้าวให้จงได้
เพราะจะหาใครในรัศมีรอบข้างที่รูปร่างหน้าตาดี แถมยังเก่งทั้งการเรียนและกิจกรรม
นับตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรกจนถึงบัดนี้นั้น ข้อเสียเพียงประการเดียวที่พบก็คืออีกฝ่ายดันไปชอบไอ้นายน้องโอแทนที่จะชอบเขาเท่านั้นเอง "ขอผมคิดดูก่อนนะพี่ ช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่นัก กลัวว่าจะทุ่มเทให้ไม่เต็มที่" "เล่นตัวนักนะเรา" เวนไตยเอ่ยปากขัดคอขึ้น "เห็นน้องว่างมาเที่ยวเล่นที่บ้านพี่อยู่ทุกเย็นเลยนี่นา เอาเวลาว่างไปเล่นกีฬาก็ดี" นายซัมตีหน้าเคร่ง "พี่เห็นผมแบบนี้ก็คิดว่าผมทำอะไรไม่จริงจังล่ะสิ ผมจะบอกอะไรให้ ถ้าผมคิดจะทำอะไรแล้วก็อยากจะให้ผลลัพธ์มันออกมาดีที่สุด ดังนั้นมีร้อยก็ต้องทุ่มเต็มร้อย ทั้งแรงกายแรงใจต้องใส่ให้หมดอย่าให้เหลือ จะได้ไม่ต้องมาสำนึกทีหลังว่าที่เราล้มเหลวนั้นเป็นเพราะเรายังทำไม่เต็มที่ ถ้าลุยจนเต็มพิกัดแล้วผิดหวังนี่สิผมจึงจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างศิโรราบ นี่แหละวิถีของนักสู้อย่างผม" คนที่นั่งล้อมวงฟังอยู่เกือบเผลอปรบมือให้ เพราะนึกว่าเป็นการปราศรัยหาเสียง "ว่าแต่น้องจะให้คำตอบเขาเมื่อไรกันล่ะ จะแข่งอาทิตย์หน้าแล้วไม่ใช่หรือ?" เวนไตยถามอย่างสงสัย "ตอนนี้แหละ เพราะผมมีวิญญาณของความเป็นผู้นำ ประกอบกับสปิริตของนักสู้ ทำให้คิดเร็ว ตัดสินฉับไว วิสัยทัศน์กว้างไกล ไม่เชื่องช้า ไม่ทาสี ตามองดาวเท้าติดดิน---" เวนไตยสะกิดขัดจังหวะเพราะชักเอียนกับวาทะของอีกฝ่ายแล้ว "แล้วคำตอบล่ะน้อง?" "ถ้าเป็นพี่จ้าว ถึงไหนถึงกัน" "อ้าว เกี่ยวอะไรกับพี่?" นายจ้าวมีสีหน้างุนงง "พี่จ้าวครับ ผมนั้นรู้เรื่องพี่จ้าวทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ชอบ อาหารที่โปรด สัตว์เลี้ยงที่รัก เกมส์ที่เล่น หนังสือการ์ตูนที่อ่าน แล้วผมจะไม่รู้เลยหรือว่าพี่จ้าวนั้นก็เก่งเรื่องฟุตบอลเหมือนกัน ระยะเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์พี่คิดว่าผมจะสู้ได้ด้วยตัวคนเดียวหรือครับ ผมต้องการเทรนเนอร์ฝีมือเยี่ยมอย่างพี่จ้าว ถ้าพี่จ้าวโอเค ผมก็เซย์เยส" "นายกู้เขาก็ฝึกให้ได้ไม่ใช่หรือ?" นายพี่จ้าวพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง "หรือถ้ายังไง ก็ให้ผมช่วยก็ได้นี่ครับ" นายน้องโอขันอาสา สายตาของนายซัมตวัดผ่านนายน้องโออย่างเหี้ยมเกรียมวูบหนึ่ง "ถ้าพี่จ้าวไม่ตกลง ผมก็ไม่เล่น" นับว่าเป็นโชคร้ายหรือโชคดีก็ตามที่นายน้องโอไม่ทันเห็นสายตาอีกฝ่ายเพราะตอนนั้นเด็กหนุ่มหันกลับไปมองพี่จ้าวเป็นเชิงปรึกษา "ได้ไหมครับพี่? แต่ช่วงนี้พี่จ้าวต้องเตรียมดูหนังสือสอบไม่ใช่หรือครับ?" นายพี่จ้าวกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ถ้าปฏิเสธก็เหมือนจะทำให้นายน้องโอเสียน้ำใจ แต่เขายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ "แค่อาทิตย์เดียวก็คงได้มั้งครับ" "อาทิตย์เดียวก็พอแล้วครับ" นายซัมลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมปาดน้ำลายที่มุมปากอย่างหมายมั่น เล่นเอานายพี่จ้าวเสียวสันหลังวูบ "ขอให้แคล้วคลาดเถอะกู" นายจ้าวพึมพำกับตัวเองอย่างหวาด ๆ ***** ดังนั้นในตอนเย็นวันถัดมาหลังเลิกเรียน นายพี่จ้าวจึงต้องสวมชุดกีฬามายืนรวมกลุ่มกับพวกนักฟุตบอลของโรงเรียน ท่านประธานนักเรียนสำรวจผู้เล่นในทีม ก่อนจะกระซิบกับเพื่อน "ไอ้ห่ะกู้ นึกยังไงวะถึงคิดจะเอาไอ้น้องซัมมาเล่นบอล ข้านับคนของเอ็งแล้วมันก็ครบพอจะเล่นนี่หว่า" "แล้วเอ็งไม่เห็นเหรอว่านักกีฬาเราตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้น มีไอ้น้องซัมยืนหัวโด่แบบนี้มันน่าลุ้นกว่ากันเยอะ" "ถ้าเอ็งอยากได้นักบอลตัวใหญ่ ๆ เดี๋ยวข้าลงให้ก็ได้ บอกปฏิเสธไม่เอามันเถอะวะ วันแข่งข้าจะปลอมตัวลงสนามให้ดีไหม?" นายจ้าวยื่นข้อเสนอ "พูดเป็นการ์ตูนไปได้ เอ็งมีอคติกับไอ้น้องซัมมากเกินไปหรือเปล่า
เขารับปากลงเล่นแล้วอยากให้เอ็งช่วยฝึกให้ มันลำบากเอ็งนักรึ" นายกู้ชักฉุนขึ้นมาตะหงิด
ๆ เพราะคิดว่าความเห็นดังกล่าวเป็นการขัดขวางความเจริญของ "เอ็งไม่เข้าใจหรอก" นายจ้าวชักอ่อนใจ เพราะถ้าใครไม่เคยประสบกับพฤติกรรมของนายน้องซัมชนิดตัวต่อตัวแล้วย่อมไม่มีทางเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายนั้นร้ายกาจขนาดไหน กว่าเขาจะประคองตัวรอดพ้นเงื้อมมือของนายน้องซัมมาเจอนายน้องโอได้นี่ก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ จวนเจียนจะเสียท่าอยู่หลายครั้งเพราะเล่ห์เหลี่ยมสารพัดที่นายน้องซัมจะหามาทุ่มใส่ให้ปวดกบาลอยู่เป็นนิจ ***** "ทำไมวันนี้ทำไมถึงทำตัวว่างได้วะ ทุกทีหลังเลิกเรียนเห็นรีบกลับบ้านทุกที" นายวินเอ่ยปากทักเพื่อนที่ยืนหน้ามุ่ยหลังจากลงจากรถโดยสารประจำทางมาด้วยกัน "แล้วทำไมต้องทำหน้ายุ่งขนาดนี้ด้วยวะ" "ก็ใครจะนึกว่าเพื่อนจะพามาเลือกซื้อหนังสือไกลถึงนี่ละโว้ย ข้าว่าไอ้หนังสือที่ว่านี่ที่ร้านหนังสือในมหาวิทยาลัยมันก็มีไม่ใช่หรือ? ถ่อมาถึงนี่ไกลจะตายชัก" เวนไตยไม่ตอบคำถามแรกแต่กลับตอบคำถามที่สองแทน "เหอะน่า อย่าเพิ่งบ่น" นายวินอมยิ้มเป็นปริศนา ก่อนจะพาเพื่อนสนิทเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านหนังสือที่เป็นตึกแถวสองคูหาริมถนน เวนไตยสังเกตว่ามันไม่ใช่ร้านหนังสือประเภทแฟรนไซส์ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน การตกแต่งภายในร้านก็ยังจัดแบบเป็นกันเองไม่ได้มีพนักงานขายเดินกันวุ่นวายเหมือนอย่างร้านใหญ่ ๆ ที่เคาน์เตอร์เก็บเงินนั้นมีชายหนวดเฟิ้มกำลังทอนเงินให้ลูกค้าพร้อมพูดคุยอย่างเป็นกันเอง "ว้า!" เสียงนายวินร้องอย่างผิดหวังเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งเก้าอี้ด้านหลังเคาน์เตอร์สูงนั้นไม่ใช่คนที่ต้องการพบ แล้วชายหนุ่มก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ร้านอย่างมีความหวัง "เอ็งมองหาอะไรวะ?" "สาวสวยโว้ย เมื่อวันก่อนข้ามาธุระแถวนี้ แล้วเจอร้านนี้โดยบังเอิญ ก็ว่าจะแวะซื้อหนังสือการ์ตูนสักเล่ม ที่ไหนได้ดันได้เจอภาพเจริญตาเจริญใจด้วย สาวเก็บเงินร้านนี้สวยจริง ๆ ยิ้มเก่ง คุยเก่ง น่ารักดีว่ะ" "ข้าเห็นแต่ลุงหนวดนั่งเก็บเงินนี่หว่า" "นั่นพ่อเขา" "เจอแค่หนเดียวรู้ไปหมดเชียวนะเอ็ง" "หลายหนแล้ว หลังจากวันนั้นข้าก็มาซื้อหนังสือพิมพ์ที่ร้านนี่ทุกวัน" "เจริญจริงนะเอ็ง บ้านเอ็งกับร้านหนังสือห่างกันสุดกู่ ซื้อหนังสือพิมพ์แต่ละทีใช้เวลาเดินทางร่วมสามชั่วโมง ข้าละนับถือจริง ๆ" "ก็น้องแตงกวาเขาคุยสนุก ไม่รู้วันนี้จะเข้ามาที่ร้านหรือเปล่า?" "แล้วใจคอเอ็งจะคอยเขารึ?" "ถามดูก็รู้แล้ว" "กล้าหาญเกินไปแล้วเอ็ง ถามหาลูกสาวเขากับพ่อเชียวรึ?" "ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือหรือวะ ไป เข้าไปกับข้าหน่อย ข้าได้บทสวดมนต์นะเมตตามาแล้ว เขาบอกว่าให้จ้องหน้าคนที่เราจะพูดด้วยแล้วท่องสามจบ รับรองรักใคร่ลูบหัวลูบหางประดุจเป็นลูกเป็นหลานเชียวนะเอ็ง" นายวินพูดเสียงสั่นนิด ๆ ก่อนจะเดินนำเวนไตยตรงไปยังเคาน์เตอร์ซึ่งด้านหลังจัดวางชั้นเป็นช่องเพื่อรับฝากกระเป๋าของลูกค้าก่อนเข้าไปเดินเลือกซื้อหนังสือภายในร้าน เวนไตยฝากหนังสือเรียนและสมุดจดงานไว้กับลุงหนวด ก่อนจะรับป้ายพลาสติกหมายเลขมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง แล้วมองดูเกลอรักที่กำลังสวดนะเมตตา อาจจะเพิ่งสวดได้สองจบครึ่ง แต่เนื่องจากยืนมองหน้าอีกฝ่ายนานเกินไปแถมยังทำปากขมุบขมิบอีกต่างหาก เจ้าของร้านถึงกับกระดิกหนวดเป็นเชิงถามไถ่ "จะฝากของหรือเปล่า?" "หา! เมตตานัง เอ้ย! ไม่ใช่สิ ท่องถึงไหนแล้ววะเนี่ยกู?" นายวินพึมพำเหงื่อตก เพราะดูเหมือนบทสวดจะไม่สัมฤทธิ์ผล "ถ้าไม่ฝากของก็ขยับออกไปหน่อย คนเขาจะซื้อของ" ลุงหนวดพูดเสียงเนิบ แถมกระดิกนิ้วไล่ให้นายวินไปยืนหลบคนที่เข้ามาจ่ายเงินค่าหนังสือ เวนไตยเห็นเพื่อนทำหน้าเจื่อน ๆ ก็เลยดึงให้ออกเดินไปตามชั้นหนังสือ "ไหนว่านะเมตตาไงวะ?" "ก็ข้าเพิ่งสวดได้สองจบเองนี่หว่า แต่เวลาจ้องหน้าแล้วรู้สึกเสียววาบ ๆ เลยว่ะ" "เพราะเอ็งมีจิตคิดอกุศลกับลูกสาวเขา" "นี่แหละน้าเขาถึงว่ากันว่าคนที่มีลูกสาวสวยมักจะมีพ่อดุ" นายวินบ่นพึมพำไปตามประสา ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นส่งให้เวนไตย "ติวเข้มสอบเข้าปริญญาโท ไม่ซื้อสักเล่มหรือวะ?" เวนไตยรับหนังสือแล้ววางลงบนชั้นตามเดิม "สอบเสร็จไปตั้งนานแล้วโว้ย ผลสอบจะออกอยู่พรุ่งนี้มะรืนนี้แล้ว" "กว่าจะเรียนจบตรีก็หืดขึ้นแล้วเอ็งยังจะหาเรื่องเรียนต่ออีก ไม่เหนื่อยหรือไงวะไอ้เวน?" "ที่จริงข้าเองก็ไม่ได้อยากเรียนต่อเท่าไรนักหรอก อยากจะออกไปหางานหาเงินมาช่วยทางบ้านบ้าง แต่พ่อเขาบอกว่าตอนนี้ยังพอมีปัญญาส่งเสียให้เรียนก็อยากจะให้ข้าเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเดี๋ยวนี้คนจบปริญญาโทกันจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว" "เอ็งก็ยังดีที่พ่อแม่ยังมีแรงส่งเสียให้เรียน แต่ข้าคงต้องตะเกียกตะกายหางานทำหลังเรียนจบแล้วแหละว่ะ เพราะยังมีน้อง ๆ ที่บ้านรอคิวเรียนกันอีกเป็นแถว ข้าจบไปสักคน ทางบ้านก็คงจะเบาแรงไปได้บ้าง" ***** นายวินเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายฉบับวันพรุ่งนี้แล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน โดยมีเวนไตยเดินตามหลังไปช่วยลุ้นอีกแรง ได้ยินเสียงนายวินท่องบทสวดนะเมตตางึมงำพร้อมจ้องหน้าลุงหนวดขณะชำระเงิน เนื่องจากยังท่องไม่จบ นายวินจึงไม่ยอมปล่อยมือจากธนบัตรใบละยี่สิบบาท ชั่วขณะนั้นทั้งคนขายและลูกค้ายืนจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วพลังนิ้วของลุงหนวดก็เป็นฝ่ายได้ชัยชนะเมื่อสามารถกระตุกธนบัตรจากมือนายวินไปได้ แล้วนายวินก็รวบรวมความกล้าเผยอปากขึ้นเอ่ย "คุณลุงครับ วันนี้แตงกวาเขาไม่อยู่หรือครับ?" เสียงเหรียญที่เป็นเงินทอนวางฟาดกับเคาน์เตอร์ดังลั่น จนเวนไตยสะดุ้งเฮือก "ไม่อยู่ ไปเรียนหนังสือ" เป็นคำตอบสุดท้ายจากลุงหนวดที่หลุดออกจากปาก พร้อมกับสายตาเหี้ยมเกรียมจนคนถูกมองรู้สึกหนาวยะเยือก "ครับ ครับ ครับ" นายวินผงกศีรษะรับทราบคำตอบคล้ายกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เวนไตยจึงเป็นฝ่ายดันหลังเพื่อนออกจากร้าน พอหลุดออกมานอกร้าน เวนไตยถึงกับกุมท้องหัวเราะลั่นแล้วลูบหลังลูบไหล่เพื่อนอย่างเวทนา "ขวัญเอ้ยขวัญมาอยู่กับเนื้อกับตัวนะลูกวิน" นายวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ข้าสงสัยว่าพ่อยายแตงกวานี่ต้องเคยเป็นทหารผ่านศึกหรือนักรบรับจ้างแหง ๆ มองตาทีไรเป็นได้เสียวสันหลังวาบทุกที" "ก็แค่พ่อหวงลูกสาวธรรมดาแหละว้า กลับบ้านไปนอนตั้งสติก่อนดีกว่ามั้งเอ็ง" เวนไตยพูดเมื่อทั้งคู่เดินมาจนถึงป้ายรถเมล์ "เออ ดีเหมือนกัน" นายวินพยักหน้า แล้วก็หันไปร่ำลาเพื่อนเมื่อรถโดยสารประจำทางสายที่ต้องการมาจอดพอดี เมื่อเพื่อนรักขึ้นรถไปได้แล้ว เวนไตยก็ควานหาเศษสตางค์เพื่อเตรียมเป็นค่าโดยสารสำหรับรถโดยสารประจำทางแต่เนิ่น ๆ เพราะกลัวจ่ายช้าแล้วพนักงานเก็บค่าโดยสารจะค้อนใส่ แต่ทว่าพอล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก็ต้องสะดุดกับบางสิ่ง เมื่อควักออกมาก็เห็นป้ายพลาสติกติดหมายเลขซึ่งเป็นของร้านหนังสือของลุงหนวดจอมโหดนั่นเอง "ชิบหายแล้ว ลืมหนังสือเรียนกับสมุดจดงานไว้ที่ร้านนี่หว่า" พอคิดได้ดังนั้นจึงสาวเท้าย้อนกลับไปยังร้านหนังสือ หวังไว้ในใจว่าเจ้าของร้านคงจะมีอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่แล้ว เวนไตยชะงักเท้าเมื่อพบว่าคนที่นั่งหลังเคาน์เตอร์เก็บเงินไม่ใช่ลุงหนวดหน้าเหี้ยม แต่กลับเป็นสาวผมยาวมันดำขลับ กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเพลินอยู่ และเมื่อเขาเดินไปเกาะหน้าเคาน์เตอร์เหมือนต้องมนต์สะกด คนคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ ชายหนุ่มไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ บุพเพสันนิวาส คู่แท้ พรหมลิขิต หรือเรื่องอะไรที่ออกไปทำนองนี้ แต่ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวใส คิ้วคมเข้ม นัยน์ตากลมโตใสแจ๋วในกรอบขนตายาว จมูกโด่งพองาม และริมฝีปากสีชมพูอ่อนได้รูปสวยของคนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ทำให้เวนไตยรู้สึกเหมือนหายใจขัด ๆ อยู่ในอก "หือม์?" ลูกกะตาใสเป็นประกายแวบ ๆ นั้นเหมือนจะถามไถ่ แล้วเวนไตยก็เหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งวนทั่วร่าง เสียงมันดังวิ้ง ๆ อยู่ในหัว และก่อนที่สมองจะประมวลอะไรออกมาได้ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าถ้าเขายังขืนจ้องใบหน้าเนียนใสกับนัยน์ตากลมโตคู่นี้อีกต่อไป ร่างของเขาอาจจะระเบิดตูมออกมาด้วยอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกายที่พุ่งขึ้นก็เป็นได้ แต่ถ้าจะละสายตาไปก็ให้รู้สึกเสียดาย ขณะลังเลว่าเขาควรจะขยับตัววิ่งหนีหรือเริ่มต้นอ้าปากพูดอะไรออกมาดี ก็ให้ขัดใจสมองช่างคิดการต่าง ๆ ได้ช้าเสียนี่กระไร เมื่อไม่รู้ว่าจะหลบหน้าอีกฝ่ายไปไหนได้หรือควรจะเอ่ยประโยคใดขึ้นมาก่อน เวนไตยจึงตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ที่หน้าเคาน์เตอร์นั่นเอง "เกิดอะไรขึ้นกับตัวเราวะเนี่ย?" เวนไตยพึมพำหาคำตอบกับตัวเองขณะนั่งกองอยู่บนพื้นร้าน "มีอะไรหรือข้าว?" เสียงลุงหนวดดังขึ้นแว่ว ๆ เหนือศีรษะ "นั่นใครมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ?" เวนไตยสะดุ้งสุดตัว ชายหนุ่มทะลึ่งตัวลุกขึ้นทันควัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ลุงหนวดเจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ หลังจากนั้นก็เป็นเสียงหลายเสียงที่บังเกิดขึ้นแทบในคราวเดียวกัน โป๊ก!!! --- เป็นเสียงวัตถุสองสิ่งกระแทกกันอย่างแรง "โอ๊ย!" ลุงหนวดเจ้าของร้านหงายหลังพร้อมกุมหน้าผาก "เจี๊ยก!!" นายไตยร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ พร้อมเอามือกุมกระหม่อมตัวเอง "พ่อ!!" เสียงสาวผมยาวตาโตตะโกนแว่ว ๆ ประสานกับเสียงใส ๆ ของใครอีกคน พอเวนไตยหายมึน เขาจึงพบว่ารอบตัวเขานั้นนอกจากลุงหนวดกับสาวผมยาวแล้ว ยังมีหญิงสาวในชุดนักศึกษาอีกคนยืนทำหน้าเหมือนจะอมยิ้ม "ทำอีท่าไหนล่ะพ่อ?" สาวในชุดนักศึกษาพูดกลั้วหัวเราะ ขณะคลึงผ้าเช็ดหน้ากับหน้าผากของบิดาที่เป็นรอยแดง "พ่อก้มลงไปดูท่าปกตินี่แหละ แต่หมอนี่ดันเสยขึ้นมาเต็มที่ เห็นดาวเลย" ลุงหนวดตอบเสียงขุ่น ๆ "ดี จะได้ไม่ต้องรอถึงกลางคืน เดี๋ยวนี้จะหาดูดาวในกรุงเทพยากจะตายไป ข้าวไปพยุงหมอนั่นหน่อยสิ สงสัยจะหัวแตกหรือเปล่า เพราะพ่อเราหัวแข็งกว่าคนอื่นเขาเสียด้วย" ตอนท้ายสาวแตงกวาอดจะแขวะบิดาของตนไม่ได้ "ไม่เป็นไรครับ" เวนไตยเอ่ยปากเมื่อสาวผมยาวเจ้าของสาเหตุอาการวูบวาบของเขาทำท่าจะเข้ามาดูบาดแผลบนศีรษะให้เขา ชายหนุ่มจึงได้สังเกตว่าอีกฝ่ายตัวสูงกว่าที่คิด ทั้งสวยทั้งหุ่นดีเลยแฮะ *****
|