ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Strategies For Love (2) by...Rai ยามเย็นลมพัดโชย ต้นหญ้าที่โผล่ตัวขึ้นมาเป็นกระจุก ๆ บนสนามกีฬาของโรงเรียนมัธยมยังอุตส่าห์โบกใบสะบัดตามลม ทั้งที่มีจำนวนพื้นที่สีเขียวเหลือน้อยจนแทบนับต้นได้ ทีมนักกีฬาฟุตบอลประจำโรงเรียนยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อรับฟังโอวาทจากหัวหน้าทีม "เมื่อมีน้องซัมมาอยู่ในทีมแบบนี้ พี่ก็สบายใจขึ้นมาอีกเยอะ ขอให้ทุกคนร่วมกันเล่นเพื่อโรงเรียนของเรา" นายพี่กู้ปลุกใจลูกทีมเสียงแข็งขัน นายซัมหรี่ตามองภาพสมาชิกของทีมในสนามแล้วหัวเราะหึ หึ ใครจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน แต่เป้าประสงค์ของเขานั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าทีมบอลของโรงเรียนจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกเขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น แผนการสลายความสัมพันธ์ของพี่จ้าวกับน้องโอภาคสองถูกวางขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมานั่นเอง ครั้งนี้แม้จะยากสักนิดเพราะไม่สามารถหาคนมาสมรู้ร่วมคิดได้ แต่ไม่เป็นไร ซัมซะอย่าง เล่นเดี่ยวก็ได้ และก้าวแรกของแผนเขาจะให้ชื่อว่าซัมเดอเรลลากับน้องโอใจร้าย เหอ เหอ เหอ "เกิดอะไรขึ้นนี่ รองเท้าของผมมีตะปูซ่อนอยู่ด้วย" นายซัมตะโกนเสียงดัง เรียกความสนใจจากทุกคนในทีม "มีอะไรหรือน้องซัม" นายพี่กู้รีบเข้ามาถามไถ่ผู้เป็นความหวังของทีม "ใครบางคนเอาตะปูมาใส่รองเท้าของผมครับพี่กู้" นายซัมพูดแล้วเริ่มทำตาแดง ๆ ให้เป็นที่น่าสงสาร ก่อนจะล้วงตะปูขนาดสี่นิ้วชนิดตอกฝาโลงขึ้นมาชูให้ทุกคนเห็นจะจะ เสียงนักฟุตบอลฮือฮา เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในชีวิตจริง ก็เคยเห็นฉากแบบนี้แต่ในละครหรือการ์ตูนเท่านั้นนี่หว่า "ผมคิดว่าคงมีบางคนที่ไม่อยากให้ผมเข้ามาร่วมทีม เพราะเกรงว่าตัวเองจะไม่เด่นเป็นดาวรุ่งอย่างเช่นเคย" นายซัมปรายตามองไปทางนายน้องโออย่างเป็นนัย ๆ แต่ดูเหมือนคนในทีมจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เพราะต่างทำหน้าเหรอหรากันทั้งนั้น นายซัมรู้สึกขัดใจขึ้นมานิด ๆ เลยพล่ามต่อ "แต่วิธีแบบนี้มันช่างต่ำต้อยไร้มโนธรรมเสียจริง ๆ ถ้าเท้าของผมโดนตะปูขึ้นสนิมตัวนี้ตำ แล้วเกิดเป็นบาดทะยักขึ้นมา ถึงกับต้องตัดขาทิ้ง กลายเป็นคนพิการ แล้วใครจะเลี้ยงดูผม พี่กู้ต้องหาตัวคนทำมาให้ได้นะครับ ไม่งั้นผมไม่ยอมจริง ๆ ด้วย" "ไม่มีใครเขาคิดจะแกล้งซัมหรอกน่า" นายพี่จ้าวเอ่ยปากขึ้นหลังจากชมบทบาทการแสดงของนายน้องซัมมาพักหนึ่ง "แล้วตะปูตัวนี้มันเข้ามาอยู่ในรองเท้าผมได้ยังไงกัน พี่จ้าวจะบอกว่าผมแกล้งเอามันมาใส่ไว้เองอย่างนั้นหรือ ผมจะทำแบบนั้นไปทำไมกัน" "กูจะไปรู้ได้ไงวะ?" นายพี่จ้าวพึมพำ ก่อนจะพูดเสียงดัง "ซัมอาจจะเผลอไปวางทิ้งไว้ แล้วอาจจะมีใครบางคนเผลอทำตะปูร่วงใส่ในรองเท้าก็เป็นได้ อาจจะเป็นคนงานที่กำลังซ่อมตึกแปด หรือพวกเด็กแผนกช่างทำถุงใส่ตะปูขาด ลองคิดแบบนี้ไม่ดีกว่ารึ ดีกว่าจะหาทางโทษคนอื่นเขา" เสียงคนรอบข้างทำเสียงเป็นเชิงเห็นด้วยกับความเห็นมั่วแหลกของนายพี่จ้าว นายน้องซัมเบะปากแล้วมองพี่จ้าวอย่างงอน ๆ "ก็ได้ คิดอย่างพี่จ้าวพูดก็ได้ แต่ผมว่าจะต้องมีใครบางคนไม่อยากให้ผมลงเล่นให้ทีมโรงเรียนเราแน่ ๆ" นายพี่จ้าวพยักหน้า เขาเองก็คนหนึ่งล่ะที่ไม่อยากให้มันลงเล่น นี่แค่หนังตัวอย่างเจ้าน้องซัมมันยังร้ายและโอเวอร์ขนาดนี้ เดี๋ยวสักพักคงจะมีลวดลายอะไรมาสำแดงอีกเป็นแน่แท้ ดูท่าว่าพวกนายกู้จะยังไม่สำนึกว่าตัวเองได้วางระเบิดทีมตัวเองด้วยไดนาไมท์พิเศษที่ชื่อว่านายน้องซัมแล้ว ***** "หัวเอ็งไปโดนอะไรมาวะไอ้เวน?" นายวินทักเพื่อนเมื่อเห็นศีรษะของเวนไตยมีผ้าก๊อซปิดอยู่ "อุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นแหละ ว่าแต่เย็นนี้ไปร้านหนังสือลุงหนวดอีกหรือเปล่า?" "วันนี้ไม่ว่างว่ะ ต้องกลับไปนั่งปั่นรายงาน" เวนไตยทำหน้าผิดหวัง "ทำไม ติดใจลุงหนวดหรือไง?" นายวินถามเพื่อนอย่างล้อ ๆ "ติดใจลูกสาวลุงหนวดมากกว่า" เวนไตยตอบยิ้ม ๆ พร้อมทำตาลอย ๆ นายวินแหกปากร้องลั่น ชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความฉุน "เฮ้ย! ทำงี้ได้ไงวะไอ้เวน ข้าอุตส่าห์พาเอ็งไปเป็นเพื่อนช่วยลุ้น แต่ไหงดันมาหักหลังกันได้วะ?" "ไม่ใช่โว้ย ฟังข้าก่อน ที่ข้าบอกว่าติดใจนั่นข้าหมายถึงลูกสาวอีกคนของลุงหนวดเขาต่างหาก" ชายหนุ่มพยายามอธิบาย นายวินมองเพื่อนอย่างไม่ไว้ใจ "ลุงหนวดเขามีลูกสาวคนเดียวคือยายแตงกวาโว้ย เอ็งอย่ามามั่ว แสดงว่าเมื่อวานเอ็งแอบดอดกลับไปที่ร้านอีกหนล่ะสิ ทีนี้พอได้เจอยายแตงกวาแล้วก็ติดใจใช่ไหม ไอ้เพื่อนทรยศ" "ไอ้ห่ะวิน ฟังข้าอธิบายก่อน เมื่อวานข้าลืมของที่ฝากไว้ พอกลับไปก็เจอสาวสวยนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์" "ยายแตงกวา?" "ไม่ใช่โว้ย เขาชื่อข้าว แล้วข้าก็เจอหน้ายายแตงกวาของเอ็งแล้วด้วย เห็นลุงหนวดเรียกทั้งคู่ว่าลูก แสดงว่าตาลุงมีลูกสาวสองคน" "คนเดียว ข้าขอยืนยันว่าแกมีลูกสาวคนเดียว ยายแตงกวาเป็นคนบอกข้าเอง" "แล้วคนที่เมื่อวานข้าเจอเป็นใครกันเล่าวะ" นายไตยเกาหัวแกรกด้วยความงุนงง ก่อนจะแหกปากร้องลั่นเมื่อเกาไปโดนแผลที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวาน ***** นายซัมลอบมองนายพี่จ้าวที่ขยันเดินตามติดนายน้องโออย่างหมั่นไส้ เมื่อวานนี้ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะตัวเองยังหัวเดียวกระเทียมลีบ อุตส่าห์แสดงบทบาทนางเอกละครหลังข่าวภาคค่ำขนาดนั้นแล้วยังไม่ประสบผล สงสัยต้องเล่นบทร้ายแล้วละมั้ง พอคิดได้ดังนั้น นายซัมจึงกำเศษตังค์ไปหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์ข้างโรงอาหาร "สวัสดีคร้าบพี่ไตย นี่น้องซัมสุดหล่อพูดนะครับ เมื่อวานไม่ได้เจอหน้ากัน คิดถึงผมไหมเอ่ย?" "ไม่คิดถึงครับ" นายไตยตอบแบบไม่ถนอมน้ำใจ จนได้ยินเสียงนายน้องซัมฟ่อดแฟ่ดมาตามสาย "คนใจร้าย เรารึอุตส่าห์คิดถึ้งคิดถึง
แต่ติดที่ต้องซ้อมบอลตอนเย็นเลยไม่ได้แวะไปบ้านพี่ ไว้หลังแข่งบอลแล้วต้องไปนอนค้างสักเดือนให้หายคิดถึง
ผมไม่อ้อมค้อมล่ะครับ เย็นนี้พี่แวะมาที่โรงเรียนผมหน่อยดิ" "พี่ไตยอ่ะ ไม่อยากเห็นการก้าวบันไดสู่การเป็นนักเตะดาวรุ่งของน้องสุดที่รักหรือครับ มาเยี่ยมมายลตั้งแต่สเต็ปแรกเลยดีกว่าพี่ นับตั้งแต่การเข้าสู่ทีม การฝึกซ้อม ชีวิตชายชาตรีที่อาบเหงื่อต่างน้ำ เอาเลือดและน้ำตาเข้าแลก มาหน่อยเถอะนะพี่ไตย นะ นะ นะ" "วันนี้พี่จะไปซื้อหนังสือ" นายไตยพยายามหาข้ออ้างซึ่งก็เป็นเหตุผลที่เขาคิดไว้ตั้งแต่แรกนั่นแหละ ยังไงวันนี้ก็ต้องไปเห็นหน้าสาวผมยาวคนนั้นให้ได้ ถึงไม่เจอหน้าเห็นแค่ดาดฟ้าของร้านก็ยังดี ความรักนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง ทำให้หัวใจพองฟูเต็มไปด้วยความหวังตลอดเวลา "หนังสืออะไร แถวโรงเรียนของผมก็มีร้านหนังสือนะพี่ ร้านใหญ่ซะด้วย ไว้ซ้อมเสร็จแล้วเราค่อยเกี่ยวก้อยไปสู่ฝันด้วยกัน" นายซัมพยายามเกลี้ยกล่อมหาคนร่วมสานฝัน เพราะแผนเมื่อวานดูเหมือนจะไม่ราบรื่นเท่าที่คิด ดังนั้นต้องหาผู้ช่วยมาเป็นมือที่สามสำหรับนายน้องโอกับพี่จ้าว ซึ่งใครจะเหมาะเท่าไอ้พี่ไตยเป็นไม่มีแล้ว คนใจดีไม่มีเถียงแบบนี้ต้องรีบใช้ประโยชน์ให้คุ้ม "ไม่เอาเฟ้ย พี่ตั้งใจจะไปที่ร้านนั้นแล้ว" เวนไตยยังยืนยันเช่นเดิม "งั้นไปซื้อหนังสือเสร็จแล้วแวะมาที่โรงเรียนผมสิ" นายซัมต่อรอง ยังไงเสียวันนี้ต้องมีไอ้พี่ไตยเป็นมือที่สาม อุตส่าห์เขียนบทเตรียมไว้ให้แล้ว "เสียเวลา พี่ต้องนั่งรถย้อนไปย้อนมา กว่าจะถึงโรงเรียนน้องคงจะค่ำซะก่อนแล้ว เท่านี้แหละนะ ไว้วันหลังเราค่อยนัดอีกทีก็แล้วกัน" ชายหนุ่มตัดบทแล้วตัดสัญญาณการติดต่อทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ทันตัดพ้อต่อว่าสารพัดสารพัน นายซัมกุมขมับจนปัญญาหาคนมาร่วมแผนไม่ได้ เพราะไอ้พี่ไตยไม่ยอมให้ความร่วมมือเหมือนเช่นเคย มันจุปากอย่างขัดใจ "ชิ เดี๋ยวนี้ชักแข็งข้อแล้วนะ
พี่ไตยนะพี่ไตย จำไว้เลย" ***** "ไอ้ขนุนหนังเอ๋ย เวลาเรียนก็ไม่ยอมมาเรียน แต่พอเวลาเลิกเรียนก็ดันเสือกจะมาโรงเรียน ลำบากฉันอีก" "ก็ตอนเช้ามันปวดหัวนี่หว่า"
น้องชายในชุดกีฬาที่ก้าวเดินลงจากรถบ่นอุบอิบ "ขืนบอกก็คอขาดน่ะสิ ว่าแต่พี่กล้วยจะรอตรงไหนล่ะ?" คนที่ถูกเรียกว่า 'พี่กล้วย' ยักไหล่ "ใครบอกว่าฉันจะรอแก ถีบหัวแกลงจากรถแล้วฉันก็จะไปเดินผึ่งแอร์เหล่สาวในห้างแถวนี้แหละ หาทางกลับบ้านเองเถอะน้องรัก" "เดี๋ยวกลับไปบ้านจะฟ้องแม่" "เอะอะอะไรก็ฟ้องแม่ยันเตเลยนะไอ้ขนุน เลิกกี่โมงล่ะ เดี๋ยวจะแวะกลับมารับ วันนี้นับว่าเป็นวันโชคดีของแกนะที่ฉันไม่มีนัดกับสาวที่ไหน ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าฉันจะมาเป็นสารถีขับราชรถเสยแกทั้งขาไปขากลับแบบนี้" ***** ขณะวิ่งรอบสนามเพื่ออบอุ่นร่างกาย นายซัมแกล้งเบียดนายน้องโอจนเซแซ่ด ๆ เพราะขนาดตัวที่ต่างกันทำให้ร่างผอม ๆ เล็ก ๆ ของนายน้องโอแทบจะลอยขึ้นจากพื้นก่อนจะตกลงสู่พื้นสนามดังพลั่ก "พี่ขอโทษครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ" นายซัมตีหน้าตายแล้วยื่นมือทำท่าจะฉุดร่างของนายน้องโอขึ้นจากพื้น แต่ก็แกล้งปล่อยหลุดกลางคัน จนนายน้องโอล้มก้นจ้ำเบ้าอีกหน "มือพี่ลื่นน่ะน้อง" นายซัมให้เหตุผลด้วยสีหน้าเป็นปกติ ทั้งที่ในใจนั้นยิ้มกริ่ม "ไม่เป็นไรครับ" นายน้องโอพยายามยิ้มทั้งที่ยังจุกอยู่ นายซัมหัวเราะด้วยความสะใจเงียบ ๆ วันนี้นายน้องโอต้องได้รับบทเรียนซะบ้างแล้วที่ดันจะมาเป็นคู่แข่งของสุดหล่ออย่างเขา ให้เจ้าเปี๊ยกมันรู้กันบ้างว่าใครเป็นใคร เหอ เหอ เหอ และเมื่อถึงคราวต้องซ้อมยิงประตู และรับลูก นายซัมเกาะติดนายน้องโอหมับ "ให้พี่ซ้อมกับน้องโอนะครับ ถ้าพี่ยิงลูกผ่านมือน้องโอได้พี่จะภูมิใจมากเลยครับ" นายซัมทำเสียงออดอ้อนจนน่าขนลุก "ผมรับลูกฟุตบอลไม่ค่อยเก่งหรอกครับ" "ไม่ต้องถ่อมตัวเลยน้อง พี่อยากเล่นบอลกับน้องโอจะแย่อยู่แล้ว" นายซัมทำท่าถูไม้ถูมืออย่างหมายมั่นปั้นมือ "งั้นก็ได้ครับ" นายน้องโอยิ้มรับ ก่อนจะหันไปบอกนายขนุนที่เป็นเพื่อนสนิทให้จับคู่กับคนอื่นแทน นายซัมจัดวางลูกฟุตบอลไว้ตรงหน้าอย่างหมายมั่น เล็งเป้าหมายไปยังร่างเล็ก ๆ ของนายน้องโอที่ยืนตั้งท่ารับลูกอย่างไม่รู้ชะตากรรมของตนว่าวันนี้เห็นทีจะชะตาขาด ก่อนจะง้างตีนยิงสุดแรงเกิด นายน้องโอไม่เสียทีที่ขลุกกับลูกฟุตบอลมานาน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นดาวยิงตัวเอ้ของทีม แต่เรื่องรับลูกบอลก็ไม่ได้อ่อนด้อยนัก แต่ก็ไม่ทันเกมของนายซัมที่ตั้งท่าคอยโอกาสอยู่ เพราะในทันทีที่ยิงลูกแรกออกไป นายซัมก็เขี่ยลูกฟุตบอลอีกลูกที่เตรียมไว้ออกเล็งแล้วซัดเต็มข้อเท้า บอลลูกที่สองซึ่งเป็นลูกบอลพิฆาตพุ่งด้วยความเร็วและแรงด้วยพละกำลังอันเหลือเฟือที่เด็กหนุ่มร่างสูงมีอยู่ มันกระทบกับต้นขาของนายน้องโอที่ไม่คาดว่านายพี่ซัมจะยิงบอลอีกลูกออกมาในอีกอึดใจหลังจากลูกแรกถูกปล่อยออกไป ร่างของนายน้องโอทรุดฮวบ เรียกได้ว่าล้มทั้งยืนเลยด้วยซ้ำ "เป็นอะไรหรือเปล่าครับน้องโอ พี่นึกว่าน้องโอจะรับได้" นายซัมรีบวิ่งไปประคองนายน้องโอด้วยสีหน้าที่ปั้นมาเป็นอย่างดีแล้ว นายน้องโอเม้มริมฝีปากแน่นด้วยอาการชาดิกที่ต้นขา ก่อนจะฝืนยิ้มและกัดฟันพูด "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมขอพักสักครู่ก็แล้วกัน พี่ซัมซ้อมกับคนอื่นไปก่อนนะ" ***** "อูย" นายน้องโอสูดปาก เมื่อความชาในตอนแรกเปลี่ยนเป็นปวดนิด ๆ แล้ว "เป็นอะไรหรือเปล่าน้อง?" เสียงหนึ่งดังทักขึ้นข้างตัว นายน้องโอหันไปมองตามเสียงก็เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดนักศึกษายืนมองอยู่ ท่าทางการยืนเอียงมุมอย่างได้องศาตามที่เจ้าตัวฝึกฝนมาจนเป็นบุคลิกพิเศษเฉพาะตน ประกอบกับเงาของต้นไม้ส่องกระทบแว่นกันแดดรูปทรงประหลาดและทรงผมตามสมัยนิยม ทำให้ดูแปลกแยกกับบรรยากาศของโรงเรียนมัธยมเป็นยิ่งนัก "ครับ?" เนื่องจากเป็นคนคิดอะไรได้ช้ากว่าคนอื่น ทำให้นายน้องโอไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไรดี ได้แต่ยืนมองทำตาปริบ ๆ เมื่อหนุ่มนักศึกษาหรือนายพี่กล้วยเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร นอกจากทำหน้าพิกล ๆ เขาจึงถามคำถามที่ต้องการทราบ "พี่ถามอะไรหน่อยสิน้อง สนามฟุตบอลของโรงเรียนไปทางไหน?" นายน้องโอยืนนึกอยู่สักครู่ก่อนจะชี้ไปทางสนาม นายพี่กล้วยพยักหน้า ก่อนจะเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย "แต่งชุดแบบนี้ แสดงว่าน้องเล่นฟุตบอลด้วยล่ะสิ แล้วนี่เป็นอะไร?" "ศูนย์หน้าครับ" นายน้องโอเพิ่งจะตอบคำถามอีกฝ่ายได้เป็นประโยคแรก แต่ก็ดันตอบผิดวัตถุประสงค์ เล่นเอาคนถามทำหน้าพิลึก เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดกวนเขาหรือเปล่า เนื่องจากหน้าตาก็ดูซื่อ ๆ "เอ้อ---พี่หมายถึงน้องเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นทำท่าเจ็บ ๆ น่ะ" เด็กหนุ่มทำหน้าตกใจ "ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจจะตอบกวนพี่ คือผมเข้าใจว่าพี่ถามอย่างนั้นจริง ๆ" "แล้วสรุปว่าเป็นอะไรล่ะน้อง?" "โดนลูกบอลเตะอัดเข้าให้ครับ"
"ตอนแรกมันไม่เจ็บนี่ครับ" นายพี่กล้วยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม "แล้วนี่จะกลับไปที่สนามอีกหรือเปล่า?" "ครับ" "งั้นไปด้วยกันสิ พี่จะมารับน้องชายกลับบ้าน เขาก็เล่นบอลเหมือนกัน ชื่อไอ้ขนุน" ชายหนุ่มอธิบายให้อีกฝ่ายฟังพอสังเขป นายน้องโอพยักหน้าหงึก "อ๋อ ขนุนนี่เอง เป็นเพื่อนห้องเดียวกันครับ" "ดีเลย แล้วจะซ้อมกันถึงกี่โมงล่ะ?" "ปกติก็ทุ่มหนึ่งแหละครับ" "ว้า นี่เพิ่งหกโมงเอง สงสัยต้องรออีกนาน" ชายหนุ่มบ่นพึมพำหลังจากยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู "แต่บางวันก็เลิกเร็วนะครับ ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะเลิกเร็วกว่าปกติก็ได้" นายน้องโอพูด พร้อมกับคิดในใจว่าสงสัยวันนี้เขาคงต้องเลิกซ้อมแล้ว เพราะดูท่าอาการเจ็บจะไม่ดีขึ้น "เจ็บมากงั้นหรือ?" นายกล้วยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตัวเอียง ๆ "นิดหน่อยเองครับ" "มาพี่ช่วย" นายกล้วยรับอาสา ที่จริงเด็กตรงหน้าตัวนิดเดียว แค่ช้อนตัวขึ้นอุ้มก็ไม่หนักแรง แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าเช่นนั้นอีกฝ่ายคงจะอาย ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นประคองไปแทน "ที่จริงก็ไม่เจ็บเท่าไรหรอกนะครับ คิดว่าเดี๋ยวคืนนี้ประคบนิดหน่อยก็คงไม่เป็นไรแล้ว" นายน้องโอเอ่ยปากชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ชายหนุ่มหันไปมองก็เห็นเพียงเสี้ยวหน้าของนายน้องโอ แล้วชายหนุ่มก็ต้องค่อย ๆ ถอดแว่นสีชาของตนเองออกเพื่อมองอีกฝ่ายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ภาพที่เห็นในระยะใกล้ทำให้เขานึกชื่นชมผิวหน้าเนียนของอีกฝ่าย เด็ก ๆ ก็ดีแบบนี้แหละ ใบหน้านั้นแม้จะคล้ำแต่ก็ขึ้นนวล ประกอบกับอีกฝ่ายคงได้ออกกำลังกายอยู่เสมอจึงทำให้ผิวพรรณดูผ่องใส แล้วยังเครื่องหน้าที่ประกอบเป็นรูปหน้านั้นแม้จะแข็งตามประสาเด็กผู้ชายแต่นัยน์ตาที่ทอประกายสดใสคล้ายคนที่มองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลากลับกลายเป็นจุดเด่นที่สุดบนใบหน้า ทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนโยนอย่างประหลาด "ขอบคุณครับ" "หือ?" "ถึงสนามแล้วครับ" นายน้องโอยิ้มกว้าง ทำให้คนที่ประคองแทบไม่อยากปล่อยมือ นอกจากนัยน์ตาจะสดใสแล้ว รอยยิ้มยังทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นมาทันตาเห็นทีเดียว "พี่กล้วยทำไมมาเร็วจริง? ผมยังซ้อมไม่เสร็จเลย" เสียงนายขนุนมาก่อนตัว ก่อนจะเอ่ยทักเพื่อน "นายเป็นอะไรวะโอ?" "ตอนซ้อมโดนบอลพี่ซัมเข้า ตีนหนักดีจริง ๆ สมแล้วที่พี่กู้ฝากความหวังไว้" นายน้องโอเอ่ยปากด้วยความชื่นชม "โดนเขาเตะบอลอัดใส่แล้วยังมีหน้ามาชื่นชมเขาอีก ต่อมอะไรในสมองของนายผิดปกติหรือเปล่าวะ?" นายขนุนขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่านายพี่ซัมมีทีท่าแปลก ๆ กับเพื่อนของตนมาตั้งแต่แรกเข้าทีม แต่ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ "เฮ้ย! ทำอะไรกันอยู่ตรงนั้น ไอ้ขนุน" เสียงพี่กู้ตะโกนเรียกมาจากสนาม นายขนุนหันไปโบกมือให้พี่กู้เป็นทำนองว่าจะรีบไปหาในทันที ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนสนิท "ฉันต้องไปซ้อมต่อแล้ว แต่นายเจ็บขนาดนี้อย่าเพิ่งลงเลย เดี๋ยวฉันไปบอกพี่เขาให้ จะกลับบ้านเลยก็ได้นะ" "บ้านอยู่ไหนล่ะ?" นายพี่กล้วยถามหลังจากฟังน้องชายและเพื่อนสนทนากันได้สักพัก นายน้องโอบอกสถานที่ให้ พี่กล้วยพยักหน้าหงึก "ไปด้วยกันเลยดีกว่า ทางผ่านอยู่แล้ว" นายขนุนเหล่ตามองพี่ชายอย่างรู้ทัน แต่ก็รีบสนับสนุนทันที "งั้นก็ดี นายรอฉันเป็นเพื่อนพี่กล้วยก่อนนะ เดี๋ยวก็เลิกแล้ว" "แต่ว่า---" นายน้องโอนึกเกรงใจสองพี่น้อง "ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า พี่กล้วยบอกว่าเป็นทางผ่านก็เป็นทางผ่านสิ" ***** "นั่นใครน่ะขนุน?" นายซัมขมวดคิ้วมองสองร่างที่นั่งอยู่ตรงขอบสนามอย่างสนใจ เพราะดูเหมือนนายน้องโอจะพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างออกรส "พี่ชายผมเอง เขามารอรับกลับบ้าน พอดีนายโอเขาก็จะติดรถกลับไปด้วย" "ไหนว่าบ้านเอ็งอยู่ห่างกับนายโอคนละทิศเลยไม่ใช่หรือ?" นายพี่กู้เข้ามาคุยร่วมวง "ไม่รู้ พี่กล้วยเขาบอกว่าเป็นทางผ่านก็เป็นทางผ่านสิครับ" นายขนุนอมยิ้มด้วยรู้นิสัยพี่ชายว่าจะใจอ่อนกับคนหน้าตาดีไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นนายพี่ซัมยืนลูบคางอย่างใช้ความคิด เพราะยากนักที่จะเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของรุ่นพี่คนนี้ นายขนุนย่อมไม่รู้ว่าตอนนี้สมองของนายพี่ซัมกำลังทำงานอย่างวุ่นวาย นายซัมเองก็พอรู้มาคร่าว ๆ ว่าบ้านของเจ้าขนุนนี่ก็ไม่ใช่กระจอก
เพราะบิดาเป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียง เจ้าของโรงงานผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ใหญ่โต
แถมมารดาก็เป็นคนมีเชื้อสายผู้ดีเก่า ถ้าไอ้พี่ชายของนายขนุนเร่งเครื่องรุกเต็มที่ แถมมีเขามีแรงหนุนอยู่เงียบ ๆ งานนี้พี่จ้าวต้องอกหักแน่นอน และผู้ที่จะรักษาแผลใจให้พี่จ้าวจะเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกจากเขาเท่านั้น ดูเหมือนว่าฟ้าจะเริ่มเป็นใจให้กับความมุ่งมั่นของเขาเป็นแน่ ถึงได้ส่งไอ้หนุ่มไฮโซคนนี้มาเป็นเครื่องมือของเขาแทนไอ้พี่ไตยที่ตอนนี้เริ่มจะมีอาการกระด้างกระเดื่องแล้ว ***** ชายหนุ่มเดินตรงไปยังบอร์ดติดประกาศของมหาวิทยาลัย พร้อมกวาดสายตามองหาชื่อของตน แล้วเวนไตยก็ได้เห็นชื่อของเขาพร้อมกับมือขาว ๆ ที่จิ้มมาที่ชื่อหนึ่งใต้ชื่อเขา พอหันไปดูเจ้าของมือ ชายหนุ่มก็นึกว่าตัวเองฝันไป เพราะตรงหน้านั้นเป็นใบหน้าที่เขาคิดถึงมาตลอดสองวันที่ผ่านมา "อ้าว!" เสียงอีกฝ่ายอุทานด้วยจำเวนไตยได้ในทันที "คุณมาสอบที่นี่ด้วยหรือครับ?" นายไตยพยายามระงับอาการตื่นเต้นสุดกำลัง ทั้งที่อยากจะชูมือตะโกนร้องด้วยความดีใจให้สุดเสียง "อื่อ" อีกฝ่ายพยักหน้า เวนไตยเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองแล้วว่า ดูเหมือนเขาจะเคยทำบุญร่วมกันกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่ชาติปางก่อนเป็นแน่ ถึงได้เกิดเรื่องบังเอิญที่น่ายินดีแบบนี้ สงสัยว่าจะต้องเคยตักบาตรร่วมขันเดียวกันมาแน่เมื่อชาติที่แล้ว "ติดเหมือนกันเลยนะครับ สาขาเดียวกันด้วย" เขาชวนคุย แล้วชี้ไปที่ชื่อของตนคล้ายจะแนะนำตัว "เวนไตยครับ" อีกฝ่ายจิ้มไปที่ชื่อหนึ่งที่อยู่ถัดลงมา แล้วพูดยิ้ม ๆ อย่างมีไมตรี "สัสสะครับ" เวนไตยทำหน้างงยิ่งกว่าหมาหลงขึ้นทางด่วน "อะไรนะครับคุณ?" "ก็ชื่อสัสสะไงครับ ดีใจจริงที่ได้เพื่อนตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าเรียน เรียกผมว่าข้าวก็ได้นะครับ แล้วหัวคุณเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า พ่อผมเขายังบ่นจนถึงวันนี้เลยว่าคุณนี่หัวแข็งชะมัด" "ง่า---" สมองของเวนไตยยังคงตีบตันอยู่ จนไม่สามารถเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกจากปากได้ ***** โธ่! นายข้าวนะนายข้าวทำไมไม่เป็นผู้หญิงให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ ออกจะสวยขนาดนี้แล้ว มิน่าไอ้วินถึงได้ยืนยันแข็งขันว่าลุงหนวดมีลูกสาวคนเดียว ซึ่งวันนี้เขาได้พูดคุยกับลุงหนวดในฐานะเพื่อนลูกชาย จึงได้รู้ว่าคุณสักรินทร์มีบุตรฝาแฝด ลูกสาวคือนางสาวศสาหรือแตงกวา ส่วนลูกชายคือนายสัสสะหรือข้าวกล้า "ดีเลย ได้มีเพื่อนก่อนเรียนอีก ลุงยังคิดเลยว่าไอ้ข้าวมันจะหาเพื่อนไม่ได้เสียแล้ว" คุณสักรินทร์เอ่ยอย่างดีใจ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นบุตรชายเบือนหน้าไปอีกทาง เขาจึงหันไปทางเวนไตยที่ยืนยิ้มไม่ค่อยออกอยู่ข้าง ๆ แทน "ฝากไอ้ข้าวด้วยนะคุณ มันไม่ค่อยคุยกับใครเขานัก เลยหาเพื่อนยากสักหน่อย" แม้จะแปลกใจในประโยคคำพูดของลุงหนวด
เพราะรูปลักษณ์ของสัสสะนั้น ถ้ามองในสายตาของสาว ๆ ก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นหนุ่มรูปสวย
น่าจะมีเพื่อนมารุมล้อมมากมาย หรืออาจจะเป็นเพราะมีรูปร่างหน้าตาแบบนั้นเลยเป็นที่หมั่นไส้ของเพื่อนผู้ชายกระมัง
จึงไม่ค่อยมีเพื่อน ***** "ทำไมน้องโอถึงได้ทำแบบนี้ พี่ไม่คิดเลย" "ช่วยไม่ได้นี่ครับ พี่กล้วยทั้งหล่อทั้งรวย แถมยังเอาใจเก่งอีกต่างหาก ขับรถรับส่งทุกวันไม่ขาด คบกับพี่จ้าวต้องโหนรถเมล์จนแขนยาวเป็นลิง" นายน้องโอให้เหตุผล "ใช่แล้ว คบกับพี่แล้วน้องโอสบายใจได้ ยามกินพี่จะป้อน ยามนอนพี่จะปล้ำ เอ้ย ไม่ใช่---ยามนอนพี่ก็จะกล่อมนิทรา" นายพี่กล้วยโอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของโดยไม่เกรงอกเกรงใจคนรอบข้างที่มองอยู่ ก่อนจะพากันเดินหายลับไป นายซัมทนเห็นภาพพี่จ้าวของตนต้องเจ็บช้ำน้ำใจไม่ไหวจึงเข้าไปช่วยเหลือปลอบประโลม "พี่จ้าวครับ อย่าเสียใจไปเลย ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ถึงฐานะทางบ้านพี่จ้าวจะยากจนเข็ญใจแต่ผมก็ยินดีกัดก้อนเกลือกับพี่นะครับ" "น้องซัม พี่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนที่จริงใจกับพี่ที่สุดนี้คือน้องซัมนั่นเอง พี่ไม่ควรมองข้ามน้องไปเลยครับ" นายพี่จ้าวเกาะกุมมือนายน้องซัมหมับ พร้อมส่งสายตาแสดงความซาบซึ้ง แล้วใบหน้าคมคายของพี่จ้าวก็ค่อย ๆ แนบชิดใบหน้าของนายซัมทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด เสียงนาฬิกาปลุกดังกังวานขัดขวางความฝันอันหวานชื่น นายซัมงัวเงียตื่นด้วยความเสียดายความฝันที่แสนจะวิเศษ แต่เด็กหนุ่มก็ยังคงมีความหวังอันเรืองรองว่าความฝันจะต้องกลายเป็นความจริงในไม่ช้านี้แน่ ***** นายพี่จ้าวนั่งจับข้อเท้าของนายซัมเพื่อฝึกความแข็งแรงและยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อท้อง โดยให้นายซัมยกตัวขึ้นลงหรือที่เรียกว่าการทำซิทอัพ "เดี๋ยวนี้เขามาทุกวันเลยนะพี่" นายซัมเริ่มต้นก่อกวน พี่จ้าวเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม "ซัมพูดถึงใคร?" นายซัมทำหน้าบุ้ยใบ้ไปทางขอบสนาม "หมอนั่นไง พี่ชายเจ้าขนุน" เด็กหนุ่มรุ่นพี่หันไปมองตามที่อีกฝ่ายบอก "เขามารอรับน้องชายเขาไม่ใช่หรือ?" "พี่จ้าวคิดอย่างนั้นจริง ๆ หรือ แสดงว่าช่วงหลังนี่ไม่ค่อยได้กลับบ้านพร้อมน้องโอ" "โอเขาเกี่ยวอะไรด้วย?" "อ้าว น้องโอเขาไม่ได้บอกอะไรพี่เหรอ ก็หมอนั่นไปส่งน้องโอที่บ้านทุกวั๊นทุกวัน ทั้งที่บ้านก็ไปกันคนละทาง แถมเวลามานั่งรอน้องชายแต่ดันมองไปทางเพื่อนน้องตลอดแบบนี้ ไม่น่าสงสัยบ้างเลยหรือพี่" นายซัมจุดเชื้อไว้ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ก็พอจะสังเกตได้ว่า ไอ้พี่จ้าวเริ่มหันไปมองนายน้องโอและพี่ชายนายขนุนด้วยสายตาพิจารณามากขึ้น ***** "พี่กล้วยจะไปไหนหรือครับ?" นายน้องโอถามพร้อมกับเหลียวมองหาเพื่อนก็เห็นว่า นายขนุนกำลังยืนแวะดูเสื้อโดยไม่สนใจคนที่เดินนำไปก่อน ดังนั้นนายน้องโอจึงต้องหยุดรอ "ไอ้ขนุนนี่มันหยุดดูของทีไร ไม่เคยบอกกันก่อนเลย เดี๋ยวปล่อยให้ขึ้นรถเมล์กลับเองดีไหมเนี่ย" ผู้เป็นพี่บ่นงึมงำ ก่อนจะหันไปคุยกับนายน้องโอต่อ "ที่ว่าอาทิตย์หน้าจะไม่ได้มารับมาส่งแล้ว เพราะพี่ต้องไปธุระต่างจังหวัด ไปดูไร่กับพ่อน่ะครับ" "ไร่อะไรหรือครับ?" "ไร่สับประรดครับ พอดีทางโรงงานกำลังจะขยาย เลยต้องหาแหล่งผลผลิตเพิ่มเพื่อมาป้อนโรงงาน พ่อก็เลยพาพี่ไปดูงานเพื่อศึกษาไว้ เพราะยังไงก็คงต้องรับสืบช่วงกิจการของทางบ้านอยู่ดี" "แล้วทางมหาวิทยาลัยล่ะครับ? พี่ไม่ต้องไปหรือ?" "ยังต้องไปสิครับ เพราะยังไงก็ต้องเรียนให้จบ แต่คงจะต้องโดดเรียน ถือว่าเป็นการไปศึกษานอกสถานที่ก็แล้วกัน แต่ถ้ากลับมาจากต่างจังหวัดพี่ก็จะมารับโอเหมือนเดิมนะครับ" คำพูดของชายหนุ่มทำให้คนฟังรู้สึกทะแม่ง ๆ เพราะการที่นายน้องโออาศัยรถของไอ้คุณพี่กล้วยกลับบ้านทุกวันนี้นั้น เจ้าตัวเข้าใจมาโดยตลอดว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายมารับน้องชาย แล้วเขาก็เป็นเพียงผู้ติดตามที่โดยสารกลับไปด้วย แต่เมื่อได้ฟังแบบนี้กลับคิดไปได้อีกทางว่าการที่ชายหนุ่มขับรถพาไปส่งบ้านทุกวันนั้นเป็นความตั้งใจอย่างแท้จริง โดยมีนายขนุนผู้เป็นน้องชายเป็นส่วนเกินที่จำเป็นต้องนำติดรถกลับบ้านไปด้วย นายน้องโอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดด้วยความเกรงใจ "ขอบคุณนะครับที่ขับรถพาผมไปส่งบ้านทุกวัน อันที่จริง พี่กล้วยไม่ต้องแวะไปส่งผมที่บ้านก็ได้นะครับ เพราะมันคนละทางกับบ้านพี่ จะทำให้พี่กลับบ้านค่ำ แล้วผมก็เกรงใจพี่ด้วย" "ไม่เห็นต้องเกรงใจอะไรเลย ก็พี่เต็มใจนี่นา" นายพี่กล้วยพูดพร้อมส่งสายตามีความหมาย แม้นายน้องโอจะมีนิสัยค่อนข้างซื่อ แต่สายตาแบบนี้ เขาได้เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ใช่จากคนตรงหน้า "แต่---" นายน้องโอทำท่าอึดอัด "มีอะไรหรือเปล่า หรือมีใครบอกไม่ให้มากับพี่?" ชายหนุ่มรุ่นพี่พูดดักคอทั้งที่ไม่เคยรู้เรื่องระหว่างนายน้องโอและรุ่นพี่ที่โรงเรียน "ไม่ใช่ครับ เขาไม่ได้บอกอะไร" เด็กหนุ่มแสนซื่อโพล่งขึ้นมาอย่างลืมตัว ก่อนจะก้มหน้างุดเมื่อรู้ว่าหลุดปากพูดออกไปแล้ว "ใครหรือ?" นายพี่กล้วยหน้าตึงขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าตนเองกำลังมีคู่แข่ง "พี่ที่รู้จักกันน่ะครับ เขาแค่เป็นห่วง" นัยน์ตากลมโตฉายแววลึกซึ้งวูบหนึ่งเมื่อนึกถึงคนที่เจอเมื่อตอนเย็น พี่จ้าวยังคงเอาใจใส่เขาเสมอต้นเสมอปลาย เพียงแต่ช่วงนี้ต้องคร่ำเคร่งกับการดูหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย และยังต้องเป็นโค้ชพิเศษให้กับพี่ซัมอีก ทำให้เวลาที่แม้แต่จะโทรศัพท์ถึงกันต้องลดน้อยลงไปด้วย "พี่อาจจะไม่มีเวลาให้โอมากนัก แต่ทุกอย่างยังไม่เปลี่ยนนะครับ" ประโยคสั้น ๆ แต่มักจะย้ำเสมอในยามที่เจอกัน ***** "เอ็งไปคนเดียวเถอะ" เวนไตยเอ่ยปากอย่างหมดอารมณ์จะต่อปากต่อคำด้วย นายวินถอนหายใจด้วยความเป็นห่วงเพื่อน "คิดอะไรมากนักวะ ผิดหวังมานักต่อนักแล้วไม่ใช่หรือวะ ยังไม่ชินอีก" "แต่มันไม่ใช่กรณีแบบนี้นี่หว่า ข้าอุตส่าห์หมายมั่นปั้นมือไว้ รูปร่างหน้าตาแบบนี้สเป๊คข้าเลยนะเนี่ย แต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นอะไรก็ต้องถอดใจก่อนแล้ว" "หรือเอ็งจะสู้ต่อ เพราะไหน ๆ ก็ชอบไปแล้วไม่ใช่หรือ?" "ข้าไม่ใช่พวกนิยมอย่างว่านี่หว่า" นายไตยปฏิเสธลั่น "นึกว่าคบกับเจ้าเด็กนั่นมาก ๆ แล้วจะเป็นไปแล้วเสียอีก" "มันไม่เหมือนกันหรอก เด็กซัมนั่นเหมือนน้องชายข้า ถึงมันจะเป็นอะไร ข้าก็ยังเห็นมันก็ยังเป็นน้องอยู่วันยังค่ำแหละวะ" "ถ้าคิดแบบนี้ได้ก็ไม่เห็นจะต้องมานั่งทุกข์ร้อนอะไรเลยนี่หว่า ถ้าไม่คิดจะชอบนายข้าวอะไรนั่นอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้อีก เป็นเพื่อนกันก็ได้นี่วะ แต่เท่าที่ฟังเอ็งเล่ามาทั้งหมดนี่ ข้าว่าเอ็งกับนายข้าวนี่ทำตัวเหมือนพวกนกลัฟฟิงกัล" "เป็นไงวะ?" "ก็ไอ้นกประเภทนี้ทั้งตัวผู้ตัวเมียมันมีรูปทรงสีสันเหมือนกันทุกอย่าง นอกจากคนจะดูไม่ออกว่าตัวไหนตัวผู้ตัวเมียแล้ว พวกมันเองก็ดูไม่ออกเหมือนกัน" "อ้าว แล้วพวกมันทำยังไงกันวะ แบบนี้ก็ยุ่งตายห่ะน่ะสิ" "ก็พอถึงเวลาจับคู่ ตัวผู้ก็จะวิ่งพุ่งเข้าชาร์จไปหาตัวที่มันนึกว่าเป็นตัวเมีย ถ้าหากเป็นไม้ป่าเดียวกันอีกฝ่ายก็จะชาร์จกลับมาบ้าง แต่ถ้าเป็นตัวเมียก็จะไม่ชาร์จตอบ แต่จะยืนเฉย ๆ" "ถ้านายข้าวชาร์จกลับมาตอนที่ข้ามองหน้าเขาก็คงจะดีหรอกวะ แต่นี่เขาเล่นยืนนิ่ง ๆ ข้าก็นึกว่าเป็นผู้หญิงน่ะสิ" เวนไตยบ่นพึมพำกับตัวเอง "แล้วนายข้าวนี่หน้าเหมือนยายแตงกวาหรือเปล่าวะ เห็นบอกว่าเป็นฝาแฝดกัน" "เอ็งไปที่ร้านหนังสือนั่นตั้งหลายหนยังไม่เคยเจอหน้าข้าวเขาเลยรึไง?" "ยังไม่เคยเจอเลยว่ะ ก็เลยอยากรู้ไงว่าเขาจะสวยเหมือนยายแตงกวาหรือเปล่า ขนาดทำให้ใครบางคนหลงเพ้อไปได้ตั้งหลายวัน" "ไม่ต้องมาแซวข้านักหรอกวะ ข้าวกับแตงกวาเขาหน้าตาไม่เหมือนกันเปี้ยบหรอก แฝดคนละเพศแบบนี้เหมือนพี่น้องกันมากกว่า แค่มีบางส่วนของใบหน้าที่คล้ายกันเท่านั้นเอง ข้าวเขาตัวสูงกว่ายายแตงกวาเยอะ" เวนไตยทบทวนความจำ นอกจากความสูงที่ได้ตามมาตรฐานของชายไทยทั่วไป เครื่องหน้าของสัสสะนั้นหากจะว่าไปแล้วก็คมเข้มกว่าศสาอย่างเห็นได้ชัด หากอีกฝ่ายตัดผมสั้นแบบผู้ชายทั่วไป เขาอาจจะไม่เข้าใจผิดจนเกิดเรื่องทำร้ายความรู้สึกของตัวเองแบบนี้ก็เป็นได้ อุตส่าห์เก็บกลับไปนอนฝันถึงอยู่หลายคืน ตอนนี้ถ้าฝันก็คงเป็นฝันร้ายแล้วกระมัง แม้ตกลงใจว่าจะเป็นเพื่อนกับสัสสะเพราะดูเหมือนลุงหนวดกับแตงกวาจะสนับสนุนเต็มที่ ทำเหมือนกับว่านายข้าวหนุ่มหน้าสวยจะไม่เคยมีเพื่อนมาก่อนหน้าที่จะพบเขา ซึ่งเขาเองก็นึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ประกอบกับท่าทางหมางเมินของนายข้าวที่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติก็ทำให้รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที คล้ายกับอีกฝ่ายจะมีปมบางอย่างอยู่ในใจ ซึ่งเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก *****
|