ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Strategies For Love (3)

by...Rai

"พี่ไตยเชื่อเรื่องชะตากรรมหรือบุพเพสันนิวาสหรือเปล่า?" อยู่ดีดีนายน้องซัมก็เอ่ยถามขึ้น ขณะเดินเลือกซื้ออาหารสดและแห้งในแผนกซุปเปอร์มาร์เกตของห้างประจำ

เวนไตยเหล่มองนายตัวแสบอย่างไม่ค่อยวางใจ ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนอีก ตั้งแต่เขากระด้างกระเดื่องกับมันเมื่อคราวที่แล้วก็ดูเหมือนมันจะมีทีท่าแปลก ๆ เขาชักกลัวว่ามันจะแก้แค้นด้วยแผนที่คาดไม่ถึง เพราะนับตั้งแต่คบกับมันมานี่ เขาจำเป็นต้องตั้งสติให้มั่นคงอยู่เสมอ ไม่งั้นคงได้กระโดดกัดหูตัวเองไปนานแล้ว

"เชื่อหรือเปล่าพี่?" นายซัมกระตุกแขนเสื้ออีกฝ่ายเป็นเชิงเร่ง

"ไม่ค่อยเชื่อ" ชายหนุ่มตอบแล้วหันหน้าไปทางชั้นอาหารกระป๋องที่ตั้งเรียงเป็นแถว ก่อนจะหยิบมาหนึ่งกระป๋องแล้วก้มหน้าก้มหน้าอ่านฉลากอย่างตั้งใจ ด้วยหวังจะให้อีกฝ่ายเลิกกวนใจเขาเสียที

ไอ้น้องซัมทำหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจะแย่งอาหารกระป๋องออกจากมืออีกฝ่ายมาถือไว้ "พี่ไม่เชื่อเหรอ แต่ผมว่าการที่คนเราจะได้พบเจอและรู้จักกันนี่มันต้องเป็นชะตากรรมที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว อย่างผมกับพี่นี่ไง ไม่นึกไม่ฝันจะได้เจอกัน แต่ก็สนิทสนมกันได้จนถึงทุกวันนี้"

ชายหนุ่มอยากจะเถียงว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและอีกฝ่ายนั้นไม่อยากเรียกว่าชะตากรรมนำพาหรอก น่าจะเรียกว่าเป็นเวรกรรมนำชักมากกว่า แต่ปากก็ยังรักษาน้ำใจอีกฝ่ายไว้ "อื่อ แล้วไง?"

"ผมคิดว่าการที่เรามีพบกันเนี่ย แสดงว่าสวรรค์ต้องกำหนดให้เราต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่บ้าง พี่ช่วยผม ผมก็ช่วยพี่ อย่างที่เขาเรียกว่าน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ทำนองเนี้ยะ พี่ไตยว่าอย่างนั้นไหม?"

"อื่อ แล้วไงต่อ?" ชายรุ่นพี่พยายามจะทำหน้าให้เข้มไว้ก่อน ถ้าขืนทำหน้าตาใจดีมีหวังต้องโดนมันกล่อมจนเคลิบเคลิ้มเป็นแน่

"ทีนี้พี่ก็ช่วยผมมาเยอะแล้ว ผมก็อยากจะช่วยพี่บ้าง พี่มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า?"

"ไม่มีครับ"

"ไม่มี?"

"เออ"

มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างขวาง "งั้นก็ดีแล้ว คือว่าผมรู้สึกเกรงใจพี่ไตยเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นไปได้แล้วก็ไม่อยากจะรบกวนเลย แต่ตอนนี้ผมจำเป็นจริง ๆ เลยอยากให้พี่ช่วยอะไรผมสักอย่าง ได้ไหมครับ?"

"บอกมาก่อน" ไอ้พี่ไตยยังคงบล๊อคหน้าเข้มเช่นเดิม

เจ้าน้องซัมทำหน้าขัดใจก่อนจะร่ายยาวเป็นชุด "โธ่ พี่ไตยอ่ะ พี่ไตยก็รู้ว่าผมน่ะมีความใฝ่ฝันอยู่อย่างเดียว พี่ไตยจะช่วยน้องคนนี้หน่อยไม่ได้หรือครับ ถ้าผมได้สมรักสมหวังแล้ว ผมจะไม่ลืมพี่ไตยเลย ครบรอบวันเกิดแซยิด วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์จะพาพี่จ้าวไปกราบคาราวะทุกปี นะพี่นะ ตอนนี้ผมอึดอัดใจมากเลยครับที่เห็นภาพบาดตาบาดใจของคนที่ผมรักกับมารหัวใจ มันจุกอยู่ในอก กินไม่ได้ นอนไม่พอ ร่างกายซูบซีดผ่ายผอมตรมตรอมใจ"

เวนไตยมองภาพนายน้องซัมตบพุงของตัวเองปุ ๆ แล้วอดจะอมยิ้มไม่ได้ เพราะเมื่อครู่พวกเขาเพิ่งกินข้าวในศูนย์อาหารของห้าง แถมนายน้องซัมยังเบิ้ลสองจานอีกต่างหาก

นายซัมเห็นอีกฝ่ายมองเหมือนจะจับผิด แต่ด้วยสปิริตของจอมโอเวอร์แอคชั่น ทำให้สีหน้าและแววตาสลดลงทันควันเหมือนลูกหมาโดนทิ้ง เฮ้อ! ก็ไอ้พี่กล้วยนั่นอยู่ดีดีก็ดันหายหน้าหายตาไปเสียดื้อ ๆ ไม่รู้ว่าเปลี่ยนใจไปแล้วหรือยัง เพราะไม่เจอที่สนามมาหลายวันแล้ว ทั้งที่ปกติจะเห็นมาเกาะขอบสนามทำตาเล็กตาน้อยตาเชื่อมตาหวานกับนายน้องโออยู่ทุกวี่ทุกวัน ไม่รู้ว่าโดนใครสั่งเก็บโทษฐานทำให้สนามบอลเยิ้มไปด้วยน้ำตาลไปแล้วหรือไงก็ไม่ทราบได้ ทำให้แผนการที่เขาจะให้อีกฝ่ายช่วยเหลือเป็นมือที่สามเลยต้องค้างเติ่ง ในเมื่อหาใครที่ไหนไม่ได้แล้ว ก็มีที่พึ่งสุดท้ายนี่แหละวะ

"นะ พี่ไตยนะ พี่ไตยไม่ต้องทำอะไรมากเลย ช่วยเหลือน้องนุ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือเป็นการทำบุญทำกุศลแก่คนตกทุกข์ได้ยาก ชาติหน้าฉันใดจะได้พบเนื้อคู่แต่เนิ่น ๆ ไม่ต้องรอให้เหนียงยานเสียก่อน จะเข้าตำราพบไม้งามเมื่อขวานบิ่น โคแก่กินหญ้าอ่อน หัวล้านได้หวี ไม่เห็นน้ำอย่าตัดกระบอกไม่เห็นกระรอกอย่าโก่งหน้าไม้ น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา" นายซัมกำลังนึกหาสำนวนไทยมาประกอบการบรรยาย แต่เห็นชายหนุ่มตรงหน้าทำหน้ามึน ๆ จึงคิดว่าล่อหลอกให้งงแต่เพียงนี้คงเพียงพอแล้ว ดังนั้นจึงวกเข้าประเด็นหาวัตถุประสงค์ที่ตนต้องการทันที "แค่ดักฉุดน้องโอไปเก็บไว้สักวันสองวัน จะข่มเหงกระทำชำเราแบบหนังน้ำเน่าก็ได้ ตบจูบตบจูบแบบหนังพิศาลก็ดี เดี๋ยวผมดูต้นทางให้ งานนี้พี่ไตยมีแต่ได้กับได้ เว้นแต่จะยอมเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างเสียเอง คราวนี้เราก็จะถ่ายภาพคู่เก็บเอาไว้แบล็คเมล์ ไม่ให้น้องเขาไปยุ่งกับพี่จ้าวอีก ถ้าขัดขืนก็ส่งรูปให้พี่จ้าวดู แต่พี่ไตยไม่ต้องห่วงผมจะเอาสีดำคาดตาพี่ไตยไว้ ใครก็จำไม่ได้ร๊อก"

"ตะรางนะน้อง" ชายหนุ่มขัดคออีกฝ่ายทันควัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชักจะเริ่มน้ำลายแตกฟอง และความคิดของมันเริ่มจะเข้าข่ายอาชญากรรม

"พี่ไตยอ่ะ พี่ไตย" ไอ้น้องซัมทำเสียงงอด ๆ เป็นมอดกัดไม้

"พี่ว่าน้องน่าจะคิดอะไรที่มันสร้างสรรค์มากกว่านี้นะ อย่างเช่น…ตัดใจไปเลยดีกว่า แบบนี้ไม่ลำบากด้วย"

นายน้องซัมจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู "พี่ไตยให้ผมตัดใจอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นแบบนั้นฆ่าผมให้ตายเสียดีกว่า"

เวนไตยกำลังจะเอ่ยปากรับอาสาฆ่ามันอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับคร่ำครวญต่อ

"ผมเองก็มีที่พึ่งอยู่แค่นี้ ถ้าพี่ไม่ช่วยผม ผมก็ขอตายอยู่ตรงนี้แหละ" พูดจบ ไอ้น้องซัมก็ทำท่าเอากระป๋องในมือทุบหัวตัวเองพร้อมคร่ำครวญ "เจ็บครับ เจ็บ พี่ไตยจะปล่อยให้ผมเจ็บหรือครับ"

เวนไตยแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เพราะถึงตอนนี้คนที่เดินจับจ่ายข้าวของก็เริ่มจะหยุดยืนมองเขาและไอ้น้องซัมตัวแสบที่ยืนเอาปลากระป๋องทุบหัวตัวเองอยู่โป๊ก ๆ

"พี่ไตยใจร้ายยยย"

ชายหนุ่มพยายามโปรยยิ้มให้กับไทยมุงที่เริ่มจะหนาตาขึ้นเรื่อย ๆ หากแต่ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้ เพราะดูท่าทางไอ้น้องซัมเหมือนพวกเมายาบ้า แต่ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านเนิ่นนานไป คงมีใครสักคนไปเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้ามาลากตัวเขากับนายน้องซัมออกไปจากห้างเป็นแน่

"เฮ้ย! ซัม อายเขาน่า"

"พี่อายหรือครับ น้องกำลังจะตาย แต่พี่กลับอาย ผมรู้สึกผิดหวังในตัวพี่จริง ๆ" พูดพลางก็โขกปลากระป๋องกับศีรษะตัวเองอีกครั้ง "โอ๊ย! เจ็บครับเจ็บ"

เวนไตยละล้าละลังสักพักก่อนจะตัดสินใจคว้ามืออีกฝ่ายที่กำลังประทุษร้ายตัวเองอยู่ไว้แน่น แล้วจ้องหน้าอีกฝ่าย "ดูปากพี่นะน้อง กลับ-ไป-คร่ำ-ครวญ-ที่-บ้าน"

"คำตอบล่ะพี่?"

"กลับไปบ้านก่อน" เวนไตยถอนหายใจอย่างปลงตก ถ้ามีใครถามว่าเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสหรือเปล่านั้น เขาจะยืนยันหัวชนฝาเลยว่า ไม่มี๊ ไม่มีแน่นอน เพราะอยู่มาจนบัดนี้ยังไม่เจอใครที่ว่าสักคน แต่ถ้าถามเรื่องเจ้ากรรมนายเวร เขาคงเชื่ออย่างสนิทใจว่า ชาติที่แล้วเขาอาจจะเผลอถีบไอ้เจ้าน้องซัมลงหลุมแล้วตอกเสาเข็มทับ ชาตินี้มันถึงที่จองล้างจองผลาญอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้

*****

"ผมรู้แล้วล่ะว่ายังไงพี่ก็ต้องช่วยผม" นายซัมเอ่ยปากขณะเดินออกมาจากแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ต สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เวนไตยไม่พูดไม่จาอะไร เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำพรวด ๆ

นายน้องซัมแทบจะวิ่งตาม "พี่ไตยโกรธผมเหรอ?"

ชายหนุ่มหยุดเดิน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสะกดอารมณ์ "พี่จะโกรธน้องทำไมครับ น้องไม่เคยทำเรื่องเสียหายอะไร เป็นคนดี คิดดีทำดี แต่พี่เป็นคนผิดที่ไม่ได้ตามใจน้อง แล้วพี่จะหาเรื่องอะไรมาโกรธน้องล่ะครับ"

เด็กหนุ่มหน้าสลดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมีโทสะจริง ๆ ให้อีกฝ่ายด่าเขาเสียยังดีเสียกว่า

"ทำไมพี่ไตยพูดแบบนี้?"

"พี่ไม่ชอบการต่อรองแบบที่ซัมทำเมื่อกี้ พี่อาจจะเป็นคนที่มีความอดทนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีมากจนถึงกับทนได้กับทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่พี่เห็นว่าไม่ถูกไม่ควร พี่ก็ไม่อยากให้ซัมเห็นผิดเป็นชอบ เพราะพี่เห็นซัมเป็นน้อง ถึงได้เป็นห่วงเป็นกังวล แต่อย่าทำให้ความหวังดีของพี่กลายเป็นว่าซัมถือไพ่เหนือพี่ทุกอย่าง ซัมอยากจะทำอะไรแล้วพี่ต้องยอมเสมอ พี่จะเห็นด้วยเฉพาะเรื่องที่ไม่ทำร้ายคนอื่น และไม่ทำร้ายตัวของซัมเช่นกัน"

เวนไตยพูดอย่างระมัดระวัง เขาต้องการเพียงตักเตือน แต่ไม่ได้ต้องการให้อีกฝ่ายหนีห่างจากเขา เพราะด้วยวัยอย่างนายน้องซัมแล้ว ยังต้องการคำแนะนำจากใครบางคนที่ไว้ใจได้และไม่คิดหาผลประโยชน์จากเด็กตรงหน้า ด้วยรูปลักษณ์และสภาพครอบครัวของนายซัมในตอนนี้ ดูเหมือนจะน่าเป็นห่วงหากเขาไม่ดูแลและเอาใจใส่ เพราะสังคมทุกวันนี้มันเหลวแหลกและอันตรายเกินไป เขาปรารถนาให้ตนเป็นที่ปรึกษาและที่พึ่งพาของอีกฝ่าย มากกว่าที่จะเห็นเด็กตรงหน้าหันไปหาที่พึ่งอย่างอื่น

ชายหนุ่มสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย เห็นนายน้องซัมยืนนิ่งเงียบไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ สักพักอีกฝ่ายก็เอ่ยปากเสียงเบา

"ผม…ผมขอโทษครับ"

เวนไตยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ "กลับบ้านกันเถอะ นายไทเขารอซัมไปเล่นด้วยไม่ใช่หรือ?"

"ผมยังไปบ้านพี่ได้อยู่หรือครับ?"

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?"

"ก็ผมเป็นคนไม่ดีแล้วนี่ครับ เดี๋ยวนายไทจะติดนิสัยแย่ ๆ จากผม แล้วพี่ไตยก็โกรธผมอีก"

"ทำอย่างกับว่าเมื่อก่อนเราเป็นคนดีนักนี่" ชายหนุ่มยิ้มอย่างระอา "พี่เคยโกรธเราหรือไง?"

"เคย ตั้งหลายหน ตอนเจอกันแรก ๆ พี่ไตยก็ไม่ชอบผม ตอนวิดีโอเจ้าขุนทองพี่ไตยก็โมโหว่าผมแกล้งน้องโอ เมื่อกี้ก็โกรธ"

"ก็มันน่าโมโหไหมล่ะ?" เวนไตยนึกไปถึงครั้งแรกที่เจออีกฝ่าย แล้วความโชคร้ายก็ถาโถมเข้าหาอย่างไม่หยุดยั้ง ชีวิตที่เคยสงบสุขกลับต้องวุ่นวายจนแทบตั้งตัวไม่ติด ก่อนจะหยุดคิดเพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับสิ่งที่ล่วงมาแล้ว "เอาล่ะ…กลับบ้านกันได้แล้ว"

แต่นายน้องซัมก็กระตุกแขนชายหนุ่มแล้วทำหน้าแปลก ๆ "เดี๋ยวก่อนพี่"

"เป็นอะไร?" ชายหนุ่มถามอย่างประหลาดใจ

"พี่ไตยครับ ผมปวดท้องขี้" นายน้องซัมรายงาน ก่อนจะยกมือแบบนักเรียนอนุบาล "ขออนุญาตไปอุจจาระครับคุณครู"

เวนไตยทำหน้าเบื่อโลก ชีวิตเขาคงจะหายเหงาไปอีกนานเพราะมีมันอยู่ร่วมโลกนี่แหละ "ไปสิ พี่รออยู่ตรงนี้แหละ"

นายน้องซัมทำตาประหลับประเหลือก "ไปด้วยกันก็ต้องมาด้วยกันสิ จะปล่อยผมไปคนเดียวได้ไง ห้างนี้วังเวงจะตายไป เดี๋ยวผมถูกทำมิดีมิร้ายขณะเดินไปห้องน้ำจะว่ายังไงกัน ความบริสุทธิ์ที่อุตส่าห์เก็บมานานสิบหกปีฝ่า ๆ มีอันต้องสูญสิ้นเพราะชายใจโหด"

"เออ…ไปก็ไป" เวนไตยตัดบทก่อนที่มันจะเริ่มพล่ามมากไปกว่านี้

นายน้องซัมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะสาวเท้าเดินอย่างรวดเร็ว

"ห้องน้ำอยู่ทางนี้ไม่ใช่เรอะ?" เวนไตยสะกิดอีกฝ่ายให้มองป้ายชี้บอกทาง

"ไม่เอา ผมจะเข้าห้องน้ำชั้นบน ห้องน้ำชั้นนี้ไม่ค่อยสะอาด เร็วหน่อยสิพี่ มันจะเล็ดออกมาเซย์ฮัลโหลเอเวอรี่บอดี้อยู่แล้ว"

ชายหนุ่มเกาศีรษะแกรก ให้มันได้อย่างนี้สิเอ้า

ในที่สุดเขากับมันก็มายืนแออัดกันในลิฟต์ของห้าง นายน้องซัมท่าทางจะสุดอั้น เพราะยืนตัวแข็งไม่คุยแจ้ว ๆ เหมือนเคย ชายหนุ่มแอบอมยิ้มเมื่อเห็นไอ้ตัวป่วนสงบได้เสียที

แต่สักพักกลิ่นบางอย่างก็ค่อย ๆ แผ่กระจายจากจุดเริ่มต้นที่หาต้นตอไม่พบ จนพริบตาเดียวก็เหม็นไปทั่วห้องเล็ก ๆ ที่แออัดยัดทะนานกันอยู่

คนในลิฟต์ก็เริ่มมะลันดูแกมะแลดูกันว่าใครเป็นเจ้าของกลิ่น มีเพียงเวนไตยที่รู้ดีว่าต้นเหตุแห่งกลิ่นสยบวิญญาณคือใคร แต่เมื่อเหล่มองไปทางนายน้องซัมก็เห็นมันทำหน้าเหมือนจะหาต้นเหตุของกลิ่นเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ด้วย

ตีบทแตกอีกแล้วไอ้น้องซัม

แล้วนายซัมก็เจอเหยื่อในที่สุด คนที่ซวยและกลายเป็นเหยื่อกรรมในครั้งนี้เป็นเด็กหนุ่มหัวเกรียนในชุดนักเรียนมัธยมปลาย วัยไล่เลี่ยกับเขา ที่ยืนทำหน้าเหมือนอยากจะตะกายข้างฝาด้วยกลิ่นหมาเน่าที่ลอยคละคลุ้งนี่เต็มทน

นายน้องซัมเริ่มปฏิบัติการจองเวรเป้าหมายที่กำหนดไว้ด้วยการจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ก่อนจะเลิกคิ้วในทำนองตั้งคำถามเงียบ ๆ ด้วยสายตาว่า 'ทำไมทำอย่างนี้ ไม่น่าทำเลย'

คราวนี้คนในลิฟต์เริ่มจ้องไปที่เป้าหมายเดียวกัน คือเด็กหนุ่มยอดซวยคนนั้นที่ตอนนี้พยายามส่งสัญญาณสายตาปฏิเสธตอบกลับไปว่า 'เปล่าครับ ผมไม่ได้ทำ'

สายตานายน้องซัมเปล่งประกายกร้าว ๆ คล้ายกับจะบอกว่า 'ยังจะมาแก้ตัวอีก ทำผิดก็ต้องยอมรับผิดสิวะ เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่าวะเอ็งน่ะ'

เวนไตยมองไอ้เด็กเคราะห์ร้ายที่พยายามสื่อความบริสุทธิ์ของตนออกมาเป็นคำพูดทางสายตาให้กับคนอื่น ๆ ภายในลิฟต์ได้เข้าใจ 'ผมไม่ได้ทำจริง ๆ ครับ พี่ ๆ ลุง ๆ ป้า ๆ น้า ๆ อา ๆ เชื่อผมเถอะคร้าบ'

แต่ด้วยบุคลิกที่แข็งแรงกว่า ตามทฤษฎีเดอะสตรองเกสอิสเซอไวเวอร์ สายตาและสีหน้าเชิงตำหนิของนายน้องซัมทำให้คนในลิฟต์ทุกคนเชื่อถือได้มากกว่า หมอนั่นเลยต้องทำหน้าม่อย ก้มหน้าก้มตายอมรับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แล้วเมื่อลิฟต์หยุด เด็กหนุ่มคนนั้นก็ได้หลบลี้หนีหน้าออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความอับอายในความผิดที่ถูกยัดเยียดให้

เวนไตยรู้สึกสงสารและเห็นใจผู้ตกเป็นเหยื่อในครั้งนี้อยู่มาก จนแทบอยากจะเลิกคบไอ้น้องซัมวันนี้เลย ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้หน้าหนาขนาดนี้นัก ขนาดตดยังป้ายความเหม็นให้คนอื่น

*****

"ไอ้อ๋อง ทำไมมาช้านักวะ?"

"พูดแล้วโมโหว่ะ ตอนที่กูกำลังจะขึ้นลิฟท์มา มีไอ้บ้าคนหนึ่งปล่อยตดเหม็นหึ่งไปทั้งลิฟต์ กูยังคิดว่าถ้าขืนมีใครจุดไฟขึ้นมาในตอนนั้น ลิฟต์มันคงระเบิดตายหมู่แน่นอน เพราะก๊าซพิษนี่เหม็นบรรลัยเลยว่ะ กำลังนึกด่าไอ้คนปล่อยกลิ่นอยู่ในใจ แล้วอยู่ดีดีก็มีไอ้เด็กคนหนึ่งดันมองหน้ากู ทุกคนก็เลยคิดว่ากูเป็นคนตด อายฉิบหายเลยต้องออกมาก่อนแล้วเดินขึ้นบันไดมานี่หละ เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว แม่งอย่าให้เจอมันอีกนะ"

"บ่นมากไปได้ กูดูรอบหนังมาแล้ว มึงจะดูรอบไหนแน่วะ?"

"อย่าดึกนักก็แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้กูต้องรีบตื่นไปลอกการบ้านยายตุ้มเม้งอีก"

"เดี๋ยวนี้หนิดหนมใหญ่แล้วนะว้อย" เพื่อนกระทุ้งสีข้างหยอกเอิน "มีนัดยามเช้ากับสาว ๆ ด้วย"

"หนิดหนมอะไรกันวะ" เจ้าตัวรีบปฏิเสธ เพราะการเป็นข่าวกับเพื่อนหญิงร่วมห้องนั้นไม่เป็นการดีแน่นอน โดยเฉพาะไม่ว่าจะมองจากมุมไหน มันก็เปรียบได้กับหมามองเครื่องบิน แม้เขาอยากจะคบหากับสาวน้อยคนนั้นมากขนาดไหนก็ตาม ในเมื่อยายตุ้มเม้งนั่นทั้งน่ารักและเรียนเก่ง แม้ปากจะไวไปหน่อยก็ตาม หากความสามารถพิเศษนั้นเหลือล้น ทั้งศิลปะ ดนตรี และกีฬา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนได้ได้ดีไปเสียหมดทุกสิ่ง แล้วหันมามองตัวเขาชนิดไม่ลำเอียงเลยนั้นก็สรุปได้ว่าไม่มีอะไรดีสักอย่าง เรียนก็ร่อแร่จะตกมิตกแหล่ หน้าตาก็แสนจะพื้นฐานสามารถพบเห็นตามท้องถนนทั่วไป ความสามารถพิเศษต่าง ๆ ไม่มีสักอย่างเดียว วาดรูปก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ดนตรีก็ไม่เอาอ่าว ส่วนเรื่องกีฬานั้นก็พอจะเอามาคุยโอ่ได้บ้าง แต่นิสัยโดดซ้อมนั้นนับว่าเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ แต่ทำไงได้เล่า ก็คนมันเบื่อนี่หว่า

"มึงหน้าแดงนี่หว่า ไอ้ห่ะอ๋อง แบบนี้แสดงว่าเรื่องจริง" เพื่อนยังไม่หยุดแซว

"กูเหนื่อย หน้าก็ต้องแดงเป็นธรรมดา ก็กูวิ่งขึ้นบันไดมานี่หว่า อย่าหาเรื่องนักเลยวะ" นายอ๋องพยายามปฏิเสธอย่างสุดความสามารถ

"แม่งวิ่งแค่นี้เหนื่อย แล้ววันแข่งจะทำไงวะ ได้ข่าวว่าทีมโรงเรียนนั้นร้ายอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือวะ?"

"ข่าวลือมากกว่ามั้ง เห็นเขาบอกว่าโรงเรียนนี้มีแต่หุ่นผอมกระหร่องทั้งนั้น เราชนะขาดลอยอยู่แล้ว"

"มึงเลยโดดซ้อมประจำ ว่างั้นเหอะ"

"แล้วใครเป็นต้นคิดชวนดูหนังละวะ เพื่อนเสนอ กูก็ต้องสนองเป็นธรรมดา"

"ถ้ามึงอิดออดจะซ้อมบอล กูก็ไม่อ้อนวอนให้มาดูหรอกวะ มึงต่างหากที่ทำท่าอยากดูจนตัวซี้ตัวสั่น"

"พูดมากอยู่ได้ ไปซื้อตั๋วหนังก่อนเถอะวะ เดี๋ยวไม่ได้ที่นั่งดี ๆ หรอก"

*****

"เข้าไปได้ไหม?" ศสาชะโงกหน้าเข้าไปในห้องนอนของสัสสะ

แฝดชายเงยหน้าขึ้นจากกองตำรา "มีอะไรหรือ?"

หญิงสาวเดินเนิบ ๆ เข้าไปหาชายหนุ่มที่โต๊ะหนังสือ "เหลืออีกกี่วิชาล่ะ?"

"สองวิชา ของแตงสอบเสร็จแล้วล่ะสิ"

"อื่อ" ศสาพยักหน้าก่อนจะยิ้มประจบ "ไปเที่ยวหลังสอบกันไหมข้าว?"

"มีโครงการจะไปไหนหรือ?"

"พวกเพื่อน ๆ จะไปเที่ยวทางเหนือกัน เราขอพ่อได้แล้ว ทีนี้อยากให้ข้าวไปด้วย"

"ไม่เอาดีกว่า แตงไปเที่ยวกับเพื่อนเถอะ เราไปแล้วจะทำให้ไม่สนุกเปล่า ๆ"

"ไม่หรอกน่า เพื่อนของเรา ข้าวก็รู้จักกันหมด พวกนั้นอยากให้ข้าวไปด้วยจริง ๆ นะ"

ใบหน้าของสัสสะมีแววเยาะน้อย ๆ "พวกเขาจะอยากให้เราไปจริงหรือ แตงไม่เคยเล่าเรื่องของเราให้เพื่อนฟังหรือไง?"

แฝดหญิงขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นพร้อมกับร้องเสียงดัง "โธ่…ข้าว ทำไมยังฝังใจกับเรื่องเก่า ๆ อีกนะ น่าจะลืมไปได้แล้วไอ้เรื่องทุเรศ ๆ แบบนั้นน่ะ"

ชายหนุ่มส่ายศีรษะน้อย ๆ "ลืมไม่ลงหรอกแตง ขนาดเพื่อนสนิทที่สุดยังทำอย่างนั้นกับเรา เราคงเชื่อใจใครไม่ได้แล้ว"

"คนเราไม่ได้เป็นแบบไอ้หมอนั่นทุกคนหรอก อย่างคนชื่อเวนไตยที่สอบติดที่เดียวกับข้าวไง เราว่าเขาเป็นคนดีเลยนะ ขนาดพ่อยังเชื่อใจเลย"

"เพิ่งเจอไม่กี่หน จะเชื่อได้แค่ไหนเชียว"

"อ้าว…แล้วทำไมพาเขามาบ้านล่ะ?" ศสาทำหน้าประหลาดใจ เพราะการที่สัสสะพาเวนไตยไปที่บ้านนั้นนับเป็นครั้งแรกที่แฝดของตนพาเพื่อนมาให้คนที่บ้านรู้จัก หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำเมื่อเจ็ดปีก่อน โดยเฉพาะคนนั้นเป็นเพียงคนที่ไปดูผลสอบพร้อมกันเท่านั้นเอง

"อารามดีใจมากกว่าเลยหลุดปากชวนมาที่บ้าน เพราะเห็นว่าเขาเคยเจ็บตัวเพราะพ่อของเรา แต่ไม่นึกว่าเขาจะตามมาจริง ๆ" สัสสะตอบอย่างไม่สนใจ

ศสาระบายลมหายใจอย่างอึดอัดเมื่อรู้ว่าแฝดของตนยังไม่เปิดใจรับใครเขามาเป็นเพื่อนง่าย ๆ อีกเช่นเดิม "แต่เราว่าข้าวน่าจะลองคบเป็นเพื่อนกับเขานะ ไหน ๆ ก็ต้องเรียนด้วยกันแล้ว"

แต่ปฏิกริยาโต้ตอบคือความเงียบ แสดงถึงอาการดื้อเงียบของชายหนุ่ม ดังนั้นศสาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย "ข้าว พรุ่งนี้สอบเสร็จแล้วรีบกลับมานะ พ่อจะพาพวกเราไปหาคุณยาย"

"จริงสิ เกือบลืม ครบรอบวันเกิดคุณยายอีกแล้วสิ วุ่นวายอีกตามเคย" ตอนท้ายสัสสะทำหน้าเหมือนเบื่อโลกเสียเต็มประดา

หญิงสาวหัวเราะคิก เพราะรู้ดีว่าความวุ่นวายในบ้านของผู้เป็นญาติผู้ใหญ่นั้นมากมายขนาดไหน โดยเฉพาะในกรณีที่บิดาของตนนั้นเป็นที่เขม่นของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายมารดา เนื่องจากเป็นแค่พ่อค้าเจ้าของร้านขายหนังสือเล็ก ๆ ไม่ใช่มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทหรือเจ้าของโรงงานเหมือนอย่างเขยคนอื่น ๆ ของคุณยาย และเมื่อแม่ต้องมาเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังสาว ก็ยิ่งทำให้คุณยายตำหนิและโทษว่าเป็นความผิดของพ่อ

"เอาลูกฉันไปตกระกำลำบากก็ไม่ว่า แต่นี่ทำให้เขาอายุสั้นด้วย ถ้าฉันไม่ใจอ่อนยอมให้เขาแต่งงานไปกับพ่อของแก แม่เพลินของฉันก็คงจะยังไม่ตายหรอก" ผู้สูงวัยมักจะพูดเช่นนี้ให้ฟังทุกครั้งเมื่อพบหน้าหลานฝาแฝด แต่ทั้งสัสสะและศสาต่างก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะแม้ว่าคนทั้งคู่จะมีอายุน้อยและเวลาที่ได้อยู่กับมารดาก็มีไม่กี่ปีก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต แต่พวกเขาทั้งคู่ก็เห็นได้ว่าแม่ของตนนั้นมีความสุขมากขนาดไหนเมื่อได้อยู่ร่วมกับพวกเขาและพ่อ

*****

"ไอ้ขนุนหนัง พรุ่งนี้จะไปรับ กลับเร็วหน่อยนะ"

น้องชายละสายตาจากหนังสือการ์ตูนในมือแล้วเหล่มองผู้เป็นพี่ด้วยสายตาแสดงอาการสงสัย "อะไรกัน พี่กล้วยเพิ่งกลับจากต่างจังหวัดมาหมาด ๆ ไม่ต้องเหนื่อยไปรับผมก็ได้ นอกกระดิกเท้าอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ แล้วอีกอย่าง ช่วงนี้มีซ้อมบอล จะกลับเร็วได้ไง?"

นายพี่กล้วยทำหน้ารำคาญ "เออน่า บอกว่าจะไปรับก็ไปรับสิวะ"

"คิดจะไปรับผมหรือจะไปรับคนอื่นกันแน่" น้องชายทำหน้ารู้ทัน "บาปนะพี่ หลอกเด็กน่ะ ไอ้โอมันยิ่งซื่อ ๆ ไม่ค่อยทันคนอื่นเขาอยู่ด้วย"

"คนละเรื่องกันว้อย" นายพี่กล้วยรีบตัดบท "แกจำไม่ได้รึไงว่าพรุ่งนี้เป็นวันอะไร?"

เด็กหนุ่มนั่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะอุทาน "วันเกิดคุณยายนี่หว่า พี่กล้วยก็ไม่ยอมเตือนตั้งแต่เนิ่น ๆ มาบอกเอาป่านนี้ อีกไม่กี่วันจะแข่งอยู่แล้ว ขืนลาแบบนี้มีหวังได้ตกเป็นตัวสำรองแหงม ๆ"

"ทำบ่นไปได้ ยังไงแกก็ต้องไปอยู่ดี งานรวมญาติหนนี้สงสัยคู่กรณีจะอยู่ครบ" นายกล้วยยิ้มพร้อมกับลูบคางอย่างเจ้าเล่ห์นัยน์ตาวาว

นายขนุนเห็นดังนั้นจึงชี้หน้าขู่ "อย่าทำหน้าแบบนี้กับพี่ข้าว พี่แตงนะ เดี๋ยวโดนพวกสามกอเตะเรียงตัวไม่รู้ด้วย"

"รู้แล้วน่าว่าหวง" นายกล้วยหัวเราะในลำคอ คำว่า 'สามกอ' ที่น้องชายพูดถึงก็หมายถึงชายหนุ่มสามคนที่มักจะออกนอกหน้าเสมอเมื่อเป็นเรื่องของญาติฝาแฝดคู่นั้น ซึ่งได้แก่ เกียรติกำจร ก้องกำจาย และก่อเกื้อกูล ทั้งสามคนนั้นมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ ถ้าเป็นคนที่สนใจในแวดวงไฮโซแล้วชื่อของคนทั้งสามคนนั่นย่อมเป็นที่คุ้นหูทั่วกัน ในฐานะนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง

"ว่าแต่พี่ก้องกลับมาแล้วหรือยังก็ไม่รู้" นายขนุนบ่นถึงญาติผู้พี่ที่คุ้นเคยที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ต้องไปเจรจาธุรกิจการค้าที่ต่างประเทศ

"กลับแล้ว ก็คนที่โทรบอกฉันก็เฮียแกนี่แหละ"

"แบบนี้ยิ่งสนุกใหญ่" เด็กหนุ่มกลั้วหัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในงานเลี้ยง เนื่องจากในบรรดาญาติผู้พี่ทั้งสามคนนั้น ก้องกำจายดูเหมือนจะไม่เป็นที่โปรดปรานของคุณยายมากกว่าใคร เพราะมักจะทำตัวนอกคอกเสมอจนเป็นที่เวียนหัวของคนเฒ่าคนแก่

"มีเรื่องสนุกกว่านั้นอีก"

"อะไรหรือพี่?"

"เฮียก่อจะพาสาวไปงานเลี้ยงนี้ด้วย สนุกแน่ละเอ็งเอ๋ย"

"ใช่คนที่กำลังเป็นข่าวตอนนี้หรือเปล่า พี่กล้วย?" นายขนุนทำท่ากระตือรือร้น เพราะสาวที่ก่อเกื้อกูลซึ่งเป็นญาติผู้พี่กำลังควงอยู่ในตอนนี้เป็นสาวสังคมชื่อดังที่เป็นนักแสดงสมัครเล่นตามจอโทรทัศน์อีกด้วย แถมยังมีท่าทางฉลาดทันคนอีกต่างหาก

"คนนั้นแหละ งานนี้จะผ่านด่านคุณยายหรือเปล่าก็ไม่รู้"

"หลานชายคนโปรดก็อย่างนี้แหละ โชคดีที่เราไม่เป็นที่โปรดปรานของคุณยาย"

"ก็แกซนอย่างกับลิงแบบนี้ ใครเขาจะโปรดละวะ"

"เงียบ ๆ อย่างพี่ข้าวพี่แตง คุณยายเขาก็ไม่โปรดเหมือนกันแหละ" น้องชายเถียงกลับ

"ใครว่าคุณยายเขาไม่ชอบพี่ข้าวพี่แตงกันวะ คุณยายเขาแค่ไม่ชอบคุณน้าสักรินทร์เท่านั้นแหละ แต่ถ้าเป็นสองแฝดนั่น ใครอย่าแตะเชียว เพราะพี่ข้าวน่ะโขลกหน้าคุณน้าผู้หญิงมาเลยแหละ"

"ก็นั่นแหละ ผมถึงว่าพี่ข้าวน่ะหน้ายังกะผู้หญิง ผมว่าคงจะมีใครสับสนบ้างแหละน่า"

นายพี่กล้วยหัวเราะเพราะไม่คิดว่าจะมีใครสับสนในเพศของญาติผู้พี่ของตน แม้จะหน้าสวยเหมือนผู้หญิงก็เถอะ

"แม่งใครจะโง่ขนาดนั้นวะ ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าไอ้หมอนั่นต้องซวยเต็มทนแล้ว"

*****

"ฮัดเช้ย!!"

"เป็นอะไรวะไอ้เวน อยู่ดีดีก็จามออกมา ไม่ปิดปากปิดจมูกก่อนนี่ ช่างไม่มีสุขอนามัยเลยนะเอ็ง"

"สงสัยมีใครบ่นคิดถึงมั้ง" เวนไตยตอบเพื่อนอย่างขัน ๆ

"ไอ้น้องคนนั้นมั้ง" นายวินพูดแหย่ แต่ผู้เป็นเพื่อนถึงกับทำหน้าตกใจ

"เฮ้ย!! อยู่กันสงบ ๆ แบบนี้ อย่าเพิ่งพูดถึงเขา เดี๋ยวก็มาหรอก"

"ไอ้น้องนั่นมันเป็นผีหรือไงวะ แค่พูดถึงแล้วมันจะปรากฏตัวได้ยังไงวะ?"

เวนไตยอยากจะบอกว่าไอ้น้องซัมน่ะน่าผวามากกว่าผีเสียด้วยซ้ำ แต่คนที่ไม่เคยเจอฤทธิ์ของหมอนั่นชนิดตัวต่อตัวย่อมไม่มีทางคาดคิดว่าเด็กหน้าตาน่ารักแบบนั้นจะแสบและก่อเรื่องชวนปวดหัวได้มากขนาดคนที่ประสบเหตุอยากจะฆ่าตัวตายหรือฆ่ามันตายวันละหลาย ๆ ครั้ง แต่พอคิดได้ว่าช่วงนี้เจ้าตัวยุ่งมีกิจกรรมที่โรงเรียนทุกเย็นดังนั้นคงจะไม่มีทางมาเดินเอ้อระเหยในห้างสรรพสินค้าเหมือนแต่ก่อน ชายหนุ่มจึงได้แต่หัวเราะอย่างโล่งใจ

"แต่วันนี้คงไม่มาหรอก เพราะเห็นบอกว่าจะซ้อมบอลเย็นหน่อย ใกล้แข่งแล้วนี่"

"เอ็งเลยสบายหูไปพักใหญ่เลยล่ะสิ"

"เออว่ะ" เวนไตยยิ้มอย่างเบิกบานใจ นึกอยากจะให้ไอ้น้องซัมมันรักการกีฬาถึงขนาดคิดอยากจะเป็นนักฟุตบอลทีมชาติบ้าง เผื่อมันจะไม่ว่างจัดถึงขนาดมาวุ่นวายกับเขาให้บ่อยเกินไปนัก แต่คิดไปคิดมาก็ชักจะสงสารประเทศชาติถ้ามันได้เป็นตัวแทนทีมชาติไทย เพราะคาดว่าไอ้ตัวยุ่งมันคงจะสร้างความขายหน้าให้กับประเทศไทยไม่ใช่น้อย

"แล้วเรื่องเรียนต่อเป็นไงวะ?" นายวินถาม เนื่องจากสัปดาห์นี้เป็นช่วงของการสอบปลายภาคครั้งสุดท้ายในชีวิตการเรียนในระดับปริญญาตรี ดังนั้นเวลาที่จะได้เจอกับเพื่อนสนิทจึงอาจจะน้อยลงเพราะอย่างน้อยตัวเขาเองจะต้องเตรียมตัวสมัครงาน

"ไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้มีหมายกำหนดการวันรายงานตัวกับวันปฐมนิเทศไว้เท่านั้นแหละ แล้วเอ็งล่ะ ร่อนใบสมัครไปกี่แห่งแล้ว"

"ตอนนี้ก็หาสมัครตามเวบไว้ก่อนว่ะ แต่วันก่อนไอ้ชาญแนะนำให้ไปสมัครงานในบริษัทที่มีรุ่นพี่ทำอยู่ก่อนแล้ว มันให้ชื่อไว้หลายบริษัทเหมือนกัน ข้าก็ว่าจะไปหลังสอบนี่แหละ"

"ขอให้โชคดีนะโว้ย" เขาอวยพร เพราะรู้ดีว่างานสมัยนี้หาได้ง่าย ๆ ที่ไหนกัน เขายังรอดตัวไปอีกหลายปี กว่าจะเรียนจบอีกรอบ คราวนี้ก็คงจะต้องเดินหางานเช่นเดียวกัน

"เอ็งก็เหมือนกัน เรียนให้จบเร็ว ๆ ก็แล้วกัน หนนี้ก็หาแฟนให้ได้สักคนสิวะ ตอนปริญญาตรีพลาดมาแล้วนี่หว่า ไปแก้ตัวใหม่ตอนเรียนปริญญาโทก็แล้วกัน"

"ข้าไปเรียนโว้ย ไม่ได้ไปหาคู่"

"เอ็งไม่รู้อะไร ช่วงเวลาที่เราจะหาแฟนได้ง่ายและเร็วที่สุดก็ช่วงเรียนนี่แหละ เพราะมีคนที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันและมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันรวมตัวกันอยู่มากที่สุด" นายวินพยายามพูดอิงหลักการ

"ถ้าเอ็งคิดได้ขนาดนี้ ทำไมจนป่านนี้ถึงยังหาแฟนไม่ได้ซะทีละวะ?"

นายวินทำหน้าคับแค้นใจ "ก็เพราะคิดได้อย่างนี้แหละวะ ช่วงสี่ปีที่เรียนอยู่ข้าถึงได้ตะเวนไปทั่วทุกคณะ ตะลอนทำกิจกรรมแม่งมันให้มั่วไปหมด รักใครชอบใครก็แถไปหาตลอด แต่ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากเป็นเพื่อนกับข้าหมด แม่ง ข้าอยากจะบอกเขาไปเลยนะว่าเพื่อนน่ะกูมีเยอะแล้ว ตอนนี้กูอยากได้แฟนมากกว่า เฮ้อ!! รักเขาข้างเดียวเหมือนข้าวเหนียวนึ่ง น้ำขึ้นไม่ถึงตายแหง๋แก๋" นายวินถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมทำตาเหม่อลอย ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "เอ็งได้เจอฝาแฝดนั่นอีกหรือเปล่าวะ?"

"ก็เจอวันที่ไปดูผลสอบนั่นแหละครั้งสุดท้าย"

"แต่ก็ยังได้ไปถึงบ้านถึงช่องเขา" มันทำเสียงเหมือนอิจฉา

"แล้วมันจะได้อะไรล่ะวะ ก็ข้าไม่ได้จีบยายแตงนี่หว่า ได้ไปถึงบ้านก็แค่นั้นแหละ" เวนไตยตอบอย่างปลง ๆ

"เอ็งไม่สนยายแตงบ้างเลยหรือไงวะ?" เพื่อนสนิทถามด้วยความสงสัย เพราะศสานั้นไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แม้แต่น้อย

"ทำไมวะ ถ้าข้าสนแล้วเอ็งจะหลีกทางให้หรือไง?" เวนไตยถามกลับเป็นเชิงแหย่

"เปล่าว้อย ถึงยังไงข้าก็คงไม่มีสิทธิหรอกวะ ยายแตงไม่เห็นมีทีท่าอะไรเลยนี่หว่า แต่ที่ข้าถามเพราะเห็นว่าเขาก็น่ารักดีนี่หว่า"

"น่ารักก็น่ารักดีอยู่ แต่…" พูดยังไม่ทันจบ เพื่อนก็ขัดคอก่อน

"แต่นายข้าวน่ารักกว่า ใช่ไหมวะ? สเป๊คเอ็งเลยนี่หว่า ขาวสวยสูงผมยาว แต่เสียดายดันเป็นผู้ชายเสียนี่" นายวินหัวเราะตบท้าย

แม้อยากจะปฏิเสธ แต่ก็พูดไม่ออก เพราะเป็นอย่างที่เพื่อนว่ามาทั้งสิ้น เวนไตยถึงกับถอนหายใจด้วยความหนักอกออกมาเฮือกใหญ่

*****

"นี่เราคงไม่สายนะ" คุณสักรินทร์ถอยรถยนต์ญี่ปุ่นคันเล็กของครอบครัวเข้าไปหยุดนิ่งยังลานจอดด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"ไม่หรอกพ่อ ลานจอดรถยังว่างอยู่เลยนี่" ศสาชะโงกหน้าสำรวจไปทั่ว "รถตู้นั่นคงเป็นของป้าพิม แต่ไม่รู้ว่าพวกพี่ ๆ เขาจะมาด้วยหรือเปล่า อาจจะขับมาเองคนละคันเลยก็ได้ คนรวยนี่น้า…ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด"

"ว่าแต่นายก้องกลับจากนอกแล้วหรือ?" ผู้เป็นพ่อเอ่ยปากถามขณะเปิดท้ายรถแล้วลำเลียงข้าวของที่นำมากำนัลแม่ยายลงจากรถ โดยมีสัสสะช่วยรับอยู่ข้าง ๆ

"เพิ่งกลับค่ะ วันก่อนยังโทรคุยกันอยู่เลย พี่ก้องบอกว่าจะมางานนี้ครบทั้งสามคนแน่" ศสาตอบคำถามพร้อมกับรับหม้อแกงใบย่อมจากมือของแฝดชาย "รับรองแกงเขียวหวานเนื้อของพ่อไม่เหลือแน่"

คุณสักรินทร์ยกตะกร้าขนมจีนใบเล็กขึ้นมอง พร้อมขมวดคิ้ว "ไม่รู้ขนมจีนเจ้านี้จะอร่อยหรือเปล่า เพราะเจ้าประจำดันหยุดแล้วไม่บอกล่วงหน้า เราเองก็ลืมสั่งไว้ก่อนเสียด้วย"

"กลัวคุณยายจะว่าหรือคะ รับรองไม่ต้องห่วง ถึงไม่ว่าเรื่องขนมจีน ก็ต้องโดนข้อหาอื่นอยู่แล้ว จริงหรือเปล่าข้าว?" ตอนท้ายศสาหันไปหาเสียงสนับสนุน

สัสสะพยักหน้า "ใช่แล้วพ่อ ไม่ต้องกลัวหรอก คุณยายหาเรื่องพวกเราได้ร้อยแปดนั่นแหละ พ่อน่าจะชินแล้วนะ"

"ไอ้ลูกสองคนนี้ ไม่เคยให้กำลังใจพ่อบ้างเลย" ผู้เป็นพ่อบ่นอุบอิบ

"ใครว่าไม่ให้กำลังใจ พวกเราน่ะเป็นกองหนุนของพ่อเสมอนั่นแหละ" ศสาพูดพลางก็เกาะแขนบิดาพาเดินเข้าไปในตัวบ้าน แต่ยังไม่ทันถึงหน้าประตู ร่างท้วมของหญิงรับใช้คนสนิทของเจ้าของบ้านก็ก้าวออกมาก่อน ทำให้สามพ่อลูกต้องยกมือไหว้อย่างพะรุงพะรัง

"สวัสดีค่า คุณสัก คุณแตง คุณข้าว หอบอะไรมาเยอะเชียว"

"ไม่เยอะหรอกค่ะ ป้าจิต เพราะวันนี้พวกเรากะว่าจะมาถล่มครัวป้าจิตให้เกลี้ยง"

"มาถล่มให้ได้เถอะค่ะ ป้าจะยิ่งดีใจ พวกคุณกินข้าวยังกับแมวดม ดูสิ ผอมกันหมดทั้งพ่อทั้งลูก ถ้าคุณยายเห็นต้องว่าแน่ ๆ เลยค่ะ"

ศสาหันไปสบตากับสัสสะพร้อมกับพยักเพยิดเป็นทำนองว่า 'เห็นไหมล่ะ งานนี้รับรองพ่อเราเละแน่' แต่ก็หันไปสนทนาป้าจิตราด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"ใครว่าผอมกันคะป้า หุ่นแบบนี้เขากำลังนิยม ป้าจิตอยากเห็นพวกเราสามคนพ่อลูกกลิ้งมาหรือไงคะ?"

"ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ อุ๊ย ชวนคุยอยู่ตั้งนานสองนาน ถือของกันหนักแย่ เข้าไปข้างในก่อนเถอะค่ะ คุณยายยังอยู่ที่ห้องพระ เดี๋ยวคงจะได้เวลาลงมาแล้ว"

"แล้วคนอื่นละครับ?" คุณสักรินทร์ได้โอกาสเอ่ยถามถึงเครือญาติคนอื่น

"ก็มีคุณพิม คุณเกริก คุณพร้อมและคุณประชา อยู่ที่เรือนรับรอง ส่วนเด็ก ๆ ก็มีคุณเกียรติ คุณก้องที่มาแล้ว ส่วนคุณก่อเห็นว่าต้องรอรับใครมาด้วย ส่วนคุณกล้วยก็ไปรับคุณขนุนที่โรงเรียน ยังมาไม่ถึงค่ะ" ป้าจิตรารายงานอย่างละเอียดไม่ตกหล่น

เนื่องเพราะบ้านนี้มีแต่ลูกสาว ดังนั้นเจ้าของบ้านจึงมีศักดิ์เป็นยายของบรรดาหลาน ๆ ที่เกิดจากลูกสาวทั้งสามคน พิมพรรณพี่สาวคนโตออกเรือนไปกับคุณเกริกนักธุรกิจเชื้อสายจีน และมีทายาทเป็นชายสามคนคือเกียรติกำจร ก้องกำจาย และก่อเกื้อกูล ส่วนงามพร้อมซึ่งเป็นบุตรสาวคนรองก็แต่งงานกับเจ้าของโรงงานผลิตผลการเกษตรชื่อดังคือคุณประชา และให้กำเนิดหลานยายสองคนคือนายกล้วยกับนายขนุน แต่สำหรับเพลินตาบุตรสาวคนสุดท้องซึ่งคุณยายเจ้าของเรือนรักมากที่สุดกลับไปแต่งงานกับหนุ่มที่ไม่ได้มีชื่อเสียงหรือธุรกิจที่ให้กำไรมหาศาลจนให้กำเนิดสองฝาแฝด สัสสะและศสา ดังนั้นคุณสักรินทร์จึงเป็นลูกเขยที่คุณยายชังน้ำหน้าที่สุด เพราะไม่เพียงจะเลี้ยงดูบุตรสาวสุดที่รักให้สุขสบายด้วยฐานะไม่ได้ อีกทั้งเพลินตากลับต้องมาตายตั้งแต่ยังสาว ๆ ซึ่งคุณยายก็โยนความผิดนี้ให้กับคุณสักรินทร์

"พี่เกียรติกับพี่ก้องอยู่บนเรือนด้วยหรือเปล่าคะ?" ศสาอดตื่นเต้นที่จะได้เจอญาติผู้พี่ทั้งสองไม่ได้

"คุณเกียรติไปที่เรือนต้นไม้ค่ะ ส่วนคุณก้องเมื่อครู่เห็นป้วนเปี้ยนอยู่แถวครัว"

 

*****
(End Of Part 3)

comment