ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Strategies For Love

by...Rai

 

Prologue

บอร์ดที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์โรงเรียนเป็นที่ฮือฮา เมื่อผู้ผ่านไปมาเห็นร่องรอยลายมือที่คุ้นตา

'คนนี้กูจองแล้ว'

รอยเขียนจากปากกาเมจิคสีน้ำเงินเป็นประโยคสั้น ๆ แต่ได้ใจความ เพราะจากปลายประโยคนั้นลากเป็นเส้นลูกศรชี้ไปที่ภาพของหนึ่งในบรรดานักกีฬาฟุตบอลโรงเรียนที่ยืนเข้าแถวเพื่อรอเข้าสู่สนาม ใบหน้าคมคายนั้นอ่อนเยาว์ตามวัย ที่เด่นสะดุดตาคนทั่วไปเห็นจะเป็นนัยน์ตาที่ส่องประกายสดใสและคิ้วเข้มที่ทอดยาวจรดหางตา เผยให้ใบหน้านั้นดูเปิดเผยและร่าเริง

"ลายมือไอ้จ้าวนี่หว่า แม่งเห็นเงียบ ๆ ไม่นึกว่ามันจะเอากับเขาด้วยโว้ย" เสียงหัวเราะของนักเรียนรุ่นพี่ที่จับกลุ่มสนทนาราวสี่ห้าคน ทำให้เด็กรุ่นน้องคนหนึ่งที่เดินผ่านถึงกับชะงัก

"พี่เชษฐ์นี่ลายมือพี่จ้าวจริงหรือครับ?"

คนที่ถูกเรียกว่าพี่เชษฐ์มองหน้าคนถามแล้วยิ้ม "จริงสิครับน้องซัม"

"ไหนบอกว่าพี่จ้าวไม่สนเรื่องแบบนี้"

"เรื่องนี้ต้องถามเจ้าตัวเองครับ"

ได้รับคำตอบที่ไม่กระจ่าง ทำให้คนถามอดจะขุ่นใจไม่ได้ นัยน์ตาคมตวัดมองภาพบนกระดานข่าวนั้นอีกครั้งคล้ายจะฝังจำใบหน้านั้นเอาไว้

"ลูกกะตาโหดชิบเป๋ง" คนหนึ่งในกลุ่มเริ่มพูดหลังจากอีกฝ่ายคล้อยหลัง "คนเดียวกับนายน้องซัม เจ้าของฉายาโอเวอร์แอคติ้งจริงหรือเปล่าวะเนี่ย?"

"ของแท้ต้องบ้าได้เป็นธรรมชาติ และโหดอย่างคาดไม่ถึงแบบนี้แหละ"

"ไอ้จ้าวมันโชคดีที่ไม่หลวมตัวไปกับนายน้องซัม"

"แต่ในที่สุดมันก็หนีไม่พ้นนายน้องโอ"

"ใครวะ?"

"ก็คนในรูปไง ชื่อโอ เป็นนักกีฬาฟุตบอลฝีตีนเยี่ยม"

*****

นายซัมเดินผละจากบอร์ดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก สายตาก็มองหาเจ้าของรูป ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา เมื่อเห็นคนในรูปยืนอยู่ที่มุมตึกคล้ายกับสนทนากับใครบางคนอยู่ เด็กหนุ่มเดินใกล้เข้าไปด้วยความสงสัย

"พี่ทำแบบนี้ผมอายนะครับ อยู่ดีดีไปเขียนบนบอร์ดแบบนั้น" สีหน้าคนพูดนั้นเคร่งเครียด น้ำเสียงก็แข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด หากแต่คนที่ประจันหน้าอยู่นั้นกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ติดจะแอบอมยิ้มอยู่ด้วยซ้ำ

"ถ้าโอไม่ชอบ เดี๋ยวพี่ไปเอาออกก็ได้" เสียงของอีกฝ่ายกลับอ่อนโยนนุ่มนวล คล้ายกลับยอมทำตามที่อีกฝ่ายพูดทุกอย่าง

"งั้นไปเอาออกเดี๋ยวนี้ยิ่งดี"

"ครับ" เด็กหนุ่มร่างสูงยิ้มรับอย่างเชื่อฟัง และทำท่าจะเดินไปยังกระดานข่าวเจ้าปัญหา

"พี่จ้าว" เสียงนายน้องโอเรียกชื่ออีกฝ่ายเบา ๆ

"ครับ?"

"ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว"

คนตรงหน้ายักไหล่ "ไม่เห็นเป็นไรนี่ พี่ไม่ได้บังคับให้โอเลิกชอบใครสักหน่อย แค่พี่ชอบโอก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?"

นายน้องโอมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อหู

*****

"ไอ้ซัม"

"อะไรวะ?" อารมณ์ที่ขุ่นมัวทำให้เด็กหนุ่มมองอะไรก็ขัดหูขัดตาไปเสียสิ้น

เพื่อนที่เห็นสายตาของอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งโหยง ก่อนจะหัวเราะแหะแหะอย่างเกรงใจ "คือว่าวันนี้ข้าไปซื้อของขวัญกับเอ็งไม่ได้แล้วว่ะ แม่ให้รีบกลับบ้านไปดูน้อง"

ของขวัญที่ว่านั้นก็คือของที่จะนำมาจับสลากเนื่องในวันคริสตมาสหรือตรุษฝรั่งนั่นเอง เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนบรรดาเซนต์ ๆ ทั้งหลายในประเทศไทยที่จะต้องจัดงานรื่นเริงประจำปีเพื่อเฉลิมฉลอง นักเรียนบางคนแม้จะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์แต่ก็ยังต้องร่วมงานพิธีดังกล่าวด้วย แต่มักจะเน้นไปในเรื่องของความบันเทิงเป็นส่วนใหญ่

"อ้าว แล้วเอ็งจะซื้อเมื่อไหร่ ไว้ถ้าพรุ่งนี้ว่างแล้วค่อยไปด้วยกันก็ได้" นายซัมถามเพื่อนอย่างสงสัยเพราะสัปดาห์หน้าก็จะถึงวันงานเทศกาลแล้ว

"พรุ่งนี้ข้าก็อาจจะไม่ว่างเหมือนกัน" นายบ๊วยเพื่อนสนิททำหน้าไม่แน่ใจ

"แล้วจะทำยังไง?"

"ช่วยไปดูของเผื่อข้าที ถ้ายังไงก็ฝากซื้อด้วยก็ดีนะ"

"ไม่เอาโว้ย" นายซัมปฏิเสธเพื่อนอย่างไร้เยื่อใย

*****

ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้โรงเรียนที่สุดนั้นอยู่ในย่านใจกลางเมือง ซึ่งเป็นห้างเก่าแก่ที่กำลังจะมีโครงการปรับปรุงให้ทันสมัย ซึ่งตามปกติก็มีผู้คนเดินกันคับคั่งจอแจอยู่แล้ว แต่พอใกล้เทศกาลรื่นเริงอย่างตรุษฝรั่งและวันขึ้นปีใหม่ก็ทำให้บรรยากาศการจับจ่ายนั้นยิ่งคึกคักเป็นทวีคูณ

ด้วยงบที่อาจารย์กำหนดสำหรับราคาของขวัญนั้น ทำให้นายซัมต้องกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย เพราะเท่าที่ได้เดินหยิบ ๆ จับ ๆ ดูนั้นก็พบว่าถ้าต้องการของตามงบก็มักจะไม่เป็นที่ถูกใจเขา แต่ถ้าเป็นของที่เขาเห็นว่าดี มันก็ดันเกินงบที่กำหนดไว้ ที่จริงการซื้อของไปจับสลากแลกกันนั้น บางคนก็ซื้อไปตามหน้าที่ ถือว่าซื้อแล้วก็แล้วกัน ใครจับสลากได้ของขวัญของตนไป จะถูกใจหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่อง แต่เขาคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าของขวัญนั้นควรจะเป็นของที่ถูกใจคนเลือกซื้อด้วย แม้จะไม่มีทางได้ใช้ของนั้นก็ตาม

"กรอบรูปนี่ก็ได้วะ ราคาเกินงบนิดหน่อย" นายซัมสรุปกับตัวเอง หลังจากพิจารณาสิ่งของประดามีที่อยู่ในร้านอย่างถ้วนถี่แล้ว

"นี่ก็ดีนะ น่าใช้ดีด้วย" เสียงใครบางคนคุ้นหูจนเจ้าตัวต้องหันไปมอง แล้วเขาก็เห็นเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเขาสองคน นายน้องโอกับพี่จ้าว อะไรวะเห็นเถียงกันอยู่เมื่อตอนกลางวัน แต่ทำไมตอนเย็นถึงมาเดินด้วยกันได้

นายน้องโอมองราคาของที่อีกฝ่ายยื่นให้แล้วขมวดคิ้ว "จะดีหรือครับ ของห้องผมห้ามเกินหนึ่งร้อยบาท"

"งั้นก็แบบนี้สิครับ เล็กกว่านิดหน่อย ราคาไม่เกินงบ" พี่จ้าวกุลีกุจอหยิบกล่องโลหะอีกใบส่งให้อีกฝ่าย และเมื่อเห็นว่านายน้องโอไม่ได้ปฏิเสธอะไร ก็เลยสรุปเอาเอง "เดี๋ยวไปให้เขาห่อเป็นของขวัญเสร็จแล้วไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้านนะ"

นายน้องโอยกข้อมือดูนาฬิกาแล้วเบ้หน้า "ไม่ดีกว่าครับ เย็นมากแล้ว กว่าจะกินข้าวเสร็จ เดี๋ยวกลับถึงบ้านจะค่ำกันพอดี"

"บ้านโออยู่แถวไหนล่ะ?"

เด็กรุ่นน้องบอกตำแหน่งที่ตั้งของบ้านตนให้อีกฝ่ายทราบ อันที่จริงมันก็ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรนักแต่นายน้องโอไม่กล้าปฏิเสธอีกฝ่ายตรง ๆ ก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายคงจะเข้าใจ

แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมาเหนือเมฆ แกล้งทำหูทวนลมเสียอย่างนั้น

"แถวนั้นของกินอร่อย ๆ เยอะนี่นา เมื่อวานดูรายการโทรทัศน์เขาพาไปกินบะหมี่เป็ดชื่อดัง พี่ชักอยากกินแล้วสิ งั้นวันนี้เราไปกินที่ร้านนั้นกันดีกว่า อยู่แถวบ้านโอแบบนี้คงไม่ทำให้กลับบ้านค่ำนักหรอก หรือถ้ายังไงก็แวะไปบ้านโอก่อนก็ได้ แล้วค่อยออกมากิน" นายพี่จ้าวพูดเป็นฉาก ๆ โดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตัดสินใจอะไรได้

นายน้องโอได้แต่ยิ้มแหย ๆ ก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่โต๊ะจ่ายเงินซึ่งช่วงนี้มีบริการรับห่อของขวัญสำหรับลูกค้าที่ใช้บริการด้วย

"พี่จะแวะไปที่บ้านผมด้วยหรือ?" เด็กรุ่นน้องถามอย่างเกรงใจ

"ไม่อยากให้ไปก็ไม่ว่าอะไร แต่พี่เห็นว่าไหน ๆ ก็แวะไปแถวนั้นแล้ว ก็อยากจะรู้จักบ้านเอาไว้ด้วย"

*****

ร่างของคนทั้งคู่เพิ่งเดินออกไป สายตาของนายซัมก็ยังจับจ้องมองตามอยู่ที่แผ่นหลังคนทั้งคู่อย่างสุดเซ็ง แม้ในขณะที่กำลังเดินไปจ่ายเงินค่าสินค้า และการที่ไม่ยอมละสายตามามองทางเดิน ทำให้เด็กหนุ่มกระแทกชนร่างใครบางคนที่เดินสวนมาอีกทางเข้าเต็มแรง ของในมือร่วงลงพื้นเสียงดังน่าหวาดเสียว กระจกกรอบรูปนั้นแตกละเอียดกระจัดกระจาย เสียงพนักงานและคนรอบข้างอุทานกันลั่น

"ขอโทษครับ" หมอนั่นทำหน้าตาตื่นคล้ายกับตัวเองเป็นคนผิด ทำให้คนที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วก็พาลคิดเอาไปว่าตัวเองไม่ผิดแน่ ๆ เพราะเขากำลังอยู่ในโหมดเหม่อลอย ดังนั้นไอ้คนที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนก็ควรจะต้องระวังตัวให้ดี

เสื้อชอปที่ปักตราสถาบันแสดงว่าเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่อีกฝ่ายใส่ กับเสื้อชุดนักเรียนมัธยมปลายที่เขาใส่ ทำให้ทั้งคู่ใช้คำเรียกหากันได้ไม่ยากนัก

"น้องเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?"

"ไม่เป็นไร พี่จะไปไหนก็ไปเหอะ" หนุ่มซัมโบกมืออย่างระอาสุดชีวิต ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้มันถึงได้ดูแย่แบบนี้วะเนี่ย เขาก้มลงเก็บกรอบรูปแล้วจ่ายเงินค่าสินค้าที่กลายเป็นของที่ไม่มีประโยชน์ไปแล้วในตอนนี้

ความซวยยังไม่สิ้นเมื่อเด็กหนุ่มรู้สึกว่าท้องตัวเองลั่นโครกคราก สงสัยว่าขนมของไอ้บ๊วยเมื่อตอนบ่ายทำพิษเป็นแน่ หนุ่มซัมกวาดสายตามองหาห้องน้ำของห้างสรรพสินค้าอย่างรวดเร็ว

"น้องครับ"

นายซัมหันไปมองก็เห็นคนในเสื้อชอปเดินตามมาอยู่ไม่ห่าง พอเขาหยุดเดิน หมอนั่นก็ยืนทำหน้าอิหลักอิเหลื่อคล้ายอยากจะพูดอะไร แต่เขาไม่มีเวลาแล้ว "อะไรครับพี่?"

"พี่อยากคุยเรื่องเมื่อครู่…"

เด็กหนุ่มตัดบททันควัน "เดี๋ยวผมค่อยออกมาคุย"

"งั้นพี่จะรออยู่ตรงนี้นะครับ"

"เออ" นายซัมพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายยืนรอหน้าส้วม ก่อนจะผลุนผลันเข้าไปเพราะข้าศึกประชิดหน้าด่านเต็มทนแล้ว

*****

ชายหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำก้มมองดูนาฬิกาอย่างกระวนกระวาย ใกล้เวลานัดกับน้องออยคนสวยแล้ว แต่เขากลับมาเสียเวลากับเด็กเจ้าของกรอบรูป แต่ถ้าผละไปตอนนี้ก็เหมือนกับว่าเขาไม่รับผิดชอบ ทั้งที่จริงแล้วไอ้เด็กเวรนั่นมันเป็นฝ่ายผิดแท้ ๆ ดันเดินไม่ดูทางเอง

"พี่ พี่" เสียงใครบางคนดังอยู่ข้างหู หันกลับไปก็เห็นไอ้เด็กนั่นยืนทำหน้าเครียด

"เสร็จธุระแล้วใช่ไหมครับน้อง พี่กำลังคิดว่าจะเอากรอบรูปนั่น…" พูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายก็โบกมือห้ามไว้ก่อน

"อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับพี่ ผมมีเรื่องเดือดร้อนนิดหน่อย อยากให้พี่ช่วย" ใบหน้านั้นกระวนกระวายคล้ายกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย

"มีอะไรหรือน้อง?"

"ห้องน้ำไม่รู้เป็นอะไร กดแล้วน้ำไม่ไหล"

"แล้วยังไง?" ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่

"ผมก็เลยอยากให้พี่ช่วย"

"ก็มันเสียแล้ว พี่จะทำอะไรได้เล่า"

"แต่ถ้าไม่ราดมันก็น่าเกลียด พี่ไม่เคยได้ยินหรือไงครับ ภาษิตที่ว่า ขี้แล้วกลบคือแมว ขี้แล้วแจวคือหมา ขี้แล้วราดคือคน"

ไม่รู้ว่าเป็นสุภาษิตของที่ไหน แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็ต้องมายืนอุดจมูกอยู่ในห้องส้วมเจ้าปัญหา "กินช้างตายมาหรือครับน้อง"

"ขี้ใครไม่เหม็นบ้างล่ะ" นายซัมสวนทันควัน ก่อนจะค่อย ๆ หย่อนทิชชู่ลงไปกลบสิ่งที่ตนเองทำไว้ เพราะชักโครกนี้ไม่มีฝาครอบ ส่วนใหญ่เครื่องใช้ที่มีคนใช้บริการมาก ๆ นั้นมักจะมีวัสดุขาดหายไปเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ฝาครอบ ก็เป็นที่รองนั่ง บางทีก็ไม่มีฝาถังน้ำ

ชายหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา คนบ้าอะไรวะไม่มีอายสักนิด ชายหนุ่มคิดว่าถ้าเป็นตัวเขาเองนั้นคงไม่อยากให้ใครมาเห็นของเสียของตนนักหรอก แต่ไอ้เด็กนี่ไม่มีสำนึกเรื่องนี้สักนิด เขาพยายามไม่มองสิ่งที่อยู่ในโถซึ่งเจ้าตัวเองก็พยายามใช้ทิชชู่กลบไว้ แต่มันก็ไม่มิดนักหรอก ลอยฟ่องเชียว

ชายหนุ่มลองกดชักโครก

เงียบ…

"ทำไมก่อนเข้าไม่ลองกดดูก่อนล่ะน้อง" ชายหนุ่มตำหนิอีกฝ่ายเสียงอู้อี้เพราะอุดจมูกอยู่ด้วย

"ก็มันปวดจนทนไม่ไหวนี่" นายซัมอุดจมูกตอบไปด้วย ถึงเป็นของตัวเองเหอะ เจอนานนานเข้ามันก็เหม็นเหมือนกันแหละ

พี่ชายแปลกหน้าแต่ชะตาสุดซวยค่อย ๆ เปิดฝาถังน้ำที่ครอบไว้แล้ววางมันลงบนที่นั่ง อย่างน้อยก็พอจะไม่อุจาดตาขณะก้ม ๆ เงย ๆ บ้าง

"อย่ามาชนหล่นนะน้อง ไอ้ฝาครอบนี่มันไม่มีอะไหล่เปลี่ยน" ชายหนุ่มเตือนอีกฝ่ายที่ยืนชะโงกดูอยู่ข้าง ๆ เพราะร้านขายเครื่องสุขภัณฑ์มักจะขายเป็นชุด ไม่ได้แยกขายทีละชิ้น ดังนั้นถ้าแตกแล้วหาซื้อเปลี่ยนยากมาก

ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อเห็นในถังน้ำมีน้ำอยู่เกือบเต็ม เพราะถ้ามีแต่หยากไย่ใยแมงมุมก็กะว่าจะปิดฝาแล้วชวนมันเผ่นหนีแน่นอน

"พี่ชื่ออะไรครับ?" อยู่ดีดีนายซัมก็เกิดนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้รู้จักชื่ออีกฝ่ายเลยนี่หว่า "ผมชื่อซัมครับ"

คนที่กำลังยักแย่ยักยันอยู่แถวชักโครกเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ก่อนจะแนะนำชื่อของตนไปอย่างงุนงง "พี่ชื่อเวนไตยครับ เรียกสั้น ๆ ว่าไตยก็ได้"

นับว่าเป็นการทำความรู้จักคนแปลกหน้าที่ไม่มีใครเหมือนจริง ๆ มีใครบางไหมที่คิดจะรู้จักชื่อกันในห้องส้วมของห้างสรรพสินค้าท่ามกลางกลิ่นคละคลุ้งแบบนี้

นายเวนไตยล้วงมือลงไปในถังน้ำ จนเจอกับฝาพลาสติกที่มีขาติดกับโคนท่อแบบเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงได้ หลักการทำงานของมันก็ง่ายนิดเดียว เหวี่ยงขึ้นเปิด เหวี่ยงลงปิด ตอนที่เขาล้วงลงไปนั้นมันปิดอยู่ ชายหนุ่มก็เลยจัดการยกฝาพลาสติกนั้นขึ้นเบา ๆ

โครกกกก…..

จินตนาการภาพของเจ้าสิ่งต่าง ๆ ที่ลอยฟ่องอยู่ในโถจะถูกน้ำจำนวน 7-8 ลิตร ซะว้าบหายไปในชั่วพริบตาแล้วชายหนุ่มก็ต้องถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงน้ำประปาหรือในภาษาทางช่างเขาเรียกว่าน้ำดี อัดตัวผ่านช่องแคบ ๆ เข้ามาเป็นฟองฟุ้ง แสดงว่าระบบน้ำดีใช้ได้ แต่พอลองกดคันโยกดูอีกทีก็เบาโหวง น้ำไม่ไหลลงไปในโถ แสดงว่าส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างปลายคันกดส่วนที่อยู่ในถังกับฝาพลาสติกอันนั้นจะต้องขาดหรือหลุด

"พี่ไตยทำอะไร?" นายซัมชะโงกหน้าเขามาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังง่วนกับถังน้ำชักโครก

"ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ก็คิดว่าน่าจะซ่อมให้เขาหน่อย" วิญญาณนายช่างเข้าสิงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ชายหนุ่มจัดการผูกปลายโซ่ที่หลุดจากฝาพลาสติก แล้วลองกดดูครั้งหรือสองครั้ง เพื่อปรับระดับความยาวของสายโซ่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยความสบายใจที่ได้ซ่อมของที่ใช้ไม่ได้ให้กลับมาใช้ได้อีกครั้ง

"ทีหลังจะเข้าห้องน้ำก็ลองกดชักโครกดูก่อน จะได้ไม่วุ่นวายแบบนี้" เวนไตยถือโอกาสสั่งสอนเด็กรุ่นน้อง แต่พอทั้งคู่เปิดประตูห้องน้ำออกไปก็เจอร่างท้วมใหญ่ของพนักงานทำความสะอาดสาวซึ่งค่อนข้างมีอายุหน่อย ก็คงจะรุ่นป้าล่ะมั้ง ยืนทะมึนถือไม้ถูพื้นยืนจังก้าขวางประตูอยู่

"พวกคุณเข้าไปทำอะไร?" คุณป้าถามเสียงเย็น สายตาก็มองร่างของคนทั้งคู่อย่างไม่วางใจ เพราะข่าวคราวของพวกที่ชอบเข้าไปทำอะไรพิเรนทร์ ๆ ในห้องน้ำของห้างนั้นมีเป็นประจำ พลางคิดในใจว่าไอ้พวกวิปริตนี่มันต้องด่าประจาน

เสียงของคุณป้าก็ไม่ใช่เบา ๆ ทำให้คนที่กำลังเดินเข้ามาจะทำธุระในห้องน้ำมองไอ้คุณพี่ไตยกับนายน้องซัมที่ยืนคาอยู่ในห้องส้วมด้วยสายตาแปลก ๆ หลายคนก็อมยิ้ม สงสัยจะเป็นพวกที่เคยเข้าไปทำอะไรกันในห้องน้ำเป็นแน่ เพราะมีบางคนก็หลิ่วตาให้คนทั้งคู่เป็นนัย ๆ

"คือ…อะ…คือ" เวนไตยติดอ่างทันควัน ไม่เคยนึกฝันว่าจะต้องประสบชะตากรรมแบบนี้มาก่อนในชีวิต แม้จะเคยโดนเข้าใจผิดในหลาย ๆ เรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้เขารับไม่ได้จริง ๆ ก็เขาเป็นพวกปกตินี่ครับ

"ผมเข้าไปขี้ แล้วชักโครกมันเสีย พี่เขาเลยเข้ามาซ่อมให้" นายน้องซัมรีบอธิบายพร้อมกับฉกมือไปกดคันชักโครกเพื่อประกอบคำพูด

โครกกกกก….

โชคดีที่ชายหนุ่มสามารถซ่อมให้มันทำงานได้เรียบร้อยดี ทำให้คำอธิบายนั้นเป็นที่เชื่อถือได้ คุณป้าคนทำความสะอาดยกมือขึ้นทาบอกแล้วอุทานด้วยความยินดี

"โอ…ใช้ได้แล้ว ขอบคุณมากนะค้า ฉันก็เรียกให้ช่างของทางห้างมาซ่อม…"

ไม่รู้ว่าป้าคนทำความสะอาดจะพูดอะไรต่อไปบ้าง ทั้งคู่รีบวิ่งออกจากห้องน้ำทันที

*****

"ขอบคุณครับพี่" ยอดชายนายซัมอดหัวเราะไม่ได้เมื่อนึกถึงหน้าพิลึก ๆ ของอีกฝ่ายขณะอยู่ในห้องส้วม

"ไม่เป็นไรน้อง" ชายหนุ่มกัดฟันพูด ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขามองนาฬิกาแล้วอุทาน "ตายห่ะ พี่ต้องรีบไปแล้ว เรื่องกรอบรูปของน้องน่ะพี่ว่าพี่จะไปตัดกระจกมาเปลี่ยนให้ใหม่"

"ก็ดีสิพี่" เด็กหนุ่มเห็นด้วยทันที เพราะสำหรับเขาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอากรอบรูปที่ไม่มีกระจกไปทำประโยชน์อะไร จึงส่งถุงใส่กรอบรูปให้อีกฝ่าย และก็ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ใช้ต่อเลยดีกว่าว่ะ "แต่ถ้าให้ดีพี่ช่วยห่อเป็นของขวัญให้ผมทีได้ไหม เดี๋ยวผมจะเอาไปจับสลากที่โรงเรียน"

เวนไตยมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา มีคนแบบนี้ในโลกด้วยหรือวะเนี่ย สามารถเอ่ยปากใช้งานคนที่เพิ่งรู้จักกันได้อย่างหน้าตาเฉยสิ้นดี แต่เมื่อมันกล้าใช้ เขาก็ต้องกล้าทำ "ได้สิน้อง ว่าแต่จะให้พี่เอามาให้เมื่อไหร่ล่ะ?"

"ไม่ต้องรีบก็ได้ พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่าล่ะ?"

ชายหนุ่มพยักหน้าทั้งที่ยังงง ๆ อยู่ "ก็ว่างอยู่"

"งั้นพรุ่งนี้ก็แล้วกัน สักห้าโมงเย็น ไม่ดีแฮะพรุ่งนี้เป็นเวรต้องทำความสะอาดด้วย งั้นหกโมงก็แล้วกัน ที่นี่นะพี่ อย่ามาสายล่ะผมไม่ชอบรอ อ้าว…ไหนพี่บอกว่ารีบไม่ใช่หรือไง งั้นผมไม่รบกวนแล้ว บ๊ายบายครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้" เด็กหนุ่มยึดจังหวะการสนทนาไว้คนเดียว ก่อนจะโบกมือลาอีกฝ่ายเดินจากไป โดยทิ้งให้นายเวนไตยของเรายืนตะลึงอยู่ตรงนั้นนั่นเอง

*****

ชายหนุ่มรีบสาวเท้าจนเกือบจะเป็นวิ่งไปยังหน้าโรงภาพยนตร์ที่นัดกับสาวต่างคณะไว้ ซึ่งเขาเองกว่าจะมีโอกาสได้สนิทสนมกับสาวเจ้าก็ใช้เวลาอยู่ไม่น้อย แม้ว่าการพบเจอกันเพื่อรับประทานอาหารหรือชมภาพยนตร์แต่ละครั้งก็มักจะมีบรรดาเพื่อน ๆ ของน้องออยพ่วงติดมาอีกสองสามคน แต่เขาก็ไม่หวั่นเพราะถือคติว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่น สักวันน้องออยก็คงจะเห็นใจในความมุ่งมั่นของเขา

แต่วันนี้กลับผิดความคาดหมายไปหน่อย เพราะดันไปเจอความซวยที่มากับพร้อมกับเด็กประหลาด นึกแล้วก็ให้ละเหี่ยใจว่าไอ้น้องนั่นมันยังมีคนคบอีกหรือวะเนี่ย ถึงหน้าตาจะดีก็เหอะ แต่นิสัยแย่ชะมัด นึกแล้วก็ให้เจ็บใจ รู้แบบนี้ไม่ไปวุ่นวายกับไอ้เด็กนั่นเสียก็ดี เลยเวลานัดไปเกือบครึ่งชั่วโมง

เมื่อนายเวนไตยของเราจะไปถึงสถานที่นัดก็เจอแต่ความว่างเปล่า ชายหนุ่มคอตก วันนี้เป็นวันซวยจริง ๆ เลยโว้ย

*****

"ซัม เย็นนี้ข้ากับพวกไอ้แฮ็คจะไปซื้อของขวัญจับสลากกัน ไปด้วยกันสิวะ" นายบ๊วยเอ่ยปากชวนเพื่อนที่นั่งซึมกระทืออยู่คนเดียว ซึ่งนับว่าเป็นอาการที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นนับตั้งแต่คบกันมา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวานด้วยซ้ำ

"ไม่ล่ะ ข้ามีธุระตอนเย็น" เด็กหนุ่มปฏิเสธเพื่อนเสียงเนือย ๆ "พวกเอ็งไปกันเหอะ"

"อ้าว แล้วเอ็งมีของขวัญที่จะเอาไปจับสลากแล้วหรือ?"

"มีแล้วมั้ง" เด็กหนุ่มตอบอย่างขอไปที ก่อนจะหันไปเหม่อเหมือนอย่างเดิม เขากำลังจินตนาการตัวเองเป็นพระเอกมิวสิควิดีโอในเพลงประเภทอกหักรักคุด

"มันเป็นอะไรวะ?" นายแฮ็คเพื่อนร่วมห้องเดินเฉียดเข้ามาถามนายบ๊วยอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่เมื่อวานนี้ห้องเรียนของเขามันเงียบผิดปกติ

"มันบ้าเงียบว่ะ" นายบ๊วยสรุปอาการของนายซัมให้เพื่อนฟัง "เกินเยียวยาแล้วด้วย"

นายซัมยังคงนั่งทำมิวสิควิดีโอของตัวเองไปเรื่อย จวบจนสายตาปะทะกับร่างสองร่างที่ทางเดินของโรงเรียน พี่จ้าวกับนายน้องโอที่เดินคุยกันไม่หยุดปาก สายตาคมปราดจับจ้องอยู่ที่พี่จ้าวพร้อมกับนึกอยู่ในใจว่าทำไมพี่จ้าวถึงได้มองข้ามเราไปได้วะเนี่ย ยิ่งมองไอ้นายน้องโอก็ยิ่งไม่เข้าใจว่ามันน่ารักตรงไหนกันวะ ตัวก็ดำเพราะเอาแต่เล่นฟุตบอลทั้งวัน สู้กูก็ไม่ได้ ทั้งขาวทั้งเนียน

เด็กหนุ่มครุ่นคิดหาเหตุผลอยู่เนิ่นนานก็ได้ข้อสรุปเพียงว่า "ไม่เข้าใจจริง ๆ โว้ย"

*****

ชายหนุ่มเดินวนเวียนอยู่บริเวณซุ้มขายของกระจุกกระจิกอยู่พักใหญ่ ๆ ในใจก็สรรเสริญบรรพบุรุษคนนัดไปพลาง ๆ 'นี่หรือที่ว่าไม่ชอบรอ แม่งนัดหกโมง นี่จะหกโมงครึ่งแล้วยังไม่เห็นหัว กลับบ้านไปเลยดีไหมวะเรา แต่ถ้าไม่เจอมัน ไอ้ของขวัญนี่จะทำยังไงวะเนี่ย อุตส่าห์นั่งห่อตั้งครึ่งค่อนวัน'

เวนไตยก้มลงมองถุงที่ใส่ห่อของขวัญซึ่งเขาบรรจงปลุกปล้ำกับมันอยู่นานสองนาน ยังดีที่ได้เพื่อนผู้หญิงช่วยทำโบว์และให้คำแนะนำในการทำจนมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ซึ่งตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้คิดจะทำด้วยตนเองหรอก แต่พอไปถามเพื่อนว่าจะไปจ้างที่ไหนเขาห่อของขวัญบ้าง เพื่อนเขาก็ดันบอกว่าของขวัญน่ะควรจะห่อด้วยมือตนเองจะดีกว่า คนรับจะได้ดีใจ เขาเองก็ขี้เกียจชี้แจงว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร ในที่สุดก็เลยตามเลย กลายเป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตที่เขาห่อเอง

กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ก็มีนิ้วจิ้มจึ้ก ๆ ที่บ่าของเขา พอหันไปก็เห็นไอ้เด็กคนเมื่อวานยิ้มเผล่

"หวัดดีพี่ ไหนล่ะของขวัญ?"

'ไม่ให้เสียเวลาเลยนะ พอมาถึงก็ทวงยิก' ชายหนุ่มคิดในใจ เพราะถ้าเป็นคนปกติทั่ว ๆ ไปหากมาสายกว่าเวลานัดสักครึ่งชั่วโมงก็น่าจะมีทีท่าสำนึกผิด หรือข้ออ้างอื่นใดบ้าง แต่หมอนี่ไม่มีสักอย่าง

*****

"ไม่ซื้อของขวัญให้พี่ไตยเขาหรือยายออย?" หญิงสาวร่างท้วมในชุดนักศึกษาปรายตาถามเพื่อนสาวคนสวย

หญิงสาวที่ชื่อ 'ออย' ย่นจมูก "น่าเกลียดสิยายหนิง เป็นผู้หญิงแล้วซื้อของขวัญให้ผู้ชายเขาก่อน"

"ของขวัญตามเทศกาลไม่น่าเกลียดหรอกน่า" เพื่อนหญิงอีกคนเอ่ยแย้ง ทำให้สาวออยต้องครุ่นคิด เพราะจะว่าไปแล้วในบรรดาหนุ่ม ๆ เข้ามาติดพันเธอนั้น พี่ไตยดูจะมีภาษีดีกว่าเพื่อน ทั้งรูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอ

"แต่ฉันว่าปีใหม่นี้เธอต้องได้ของขวัญจากพี่เขาแน่ ๆ เลย เพราะเมื่อวานฉันเดินผ่านไปแถวคณะพี่ไตย เห็นกำลังง่วนห่อของขวัญให้ใครบางคน ผูกโบว์สีชมพูน่ารักเชียว" สาวหนิงทำเสียงล้อเลียน

"เขาอาจจะให้คนอื่นก็ได้"

"แหม จะมีใครกันเล่า เห็นพี่เขาตามจีบแต่เธอเท่านั้นแหละ คนอะไรความพยายามเป็นเลิศจริง ๆ เว้นแต่เมื่อวานเท่านั้นที่คะแนนตกไปหน่อย ดันไม่ยอมมาตามนัด เรารึอุตส่าห์เปิดโอกาสกะว่าจะให้ดูหนังกันสองคน ยายออยก็ไม่รู้จักคอย"

"ฉันเห็นว่ามันสายไปตั้งสิบห้านาทีแล้ว และฉันก็ยืนรออยู่คนเดียว" หญิงสาวเอ่ยแก้ตัวอย่างแง่งอน

"แต่เมื่อคืนพี่เขาก็โทรไปขอโทษแล้วไม่ใช่หรือ?" สาวหนิงถามอย่างสงสัย

"ยายออยมันทำงอนไม่รับสาย" เพื่อนหญิงอีกคนตอบแทนให้

"เดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนใจหรอก เล่นตัวเหลือเกินนี่เพื่อนเรา"

"ออย นั่นพี่ไตยไม่ใช่หรือ?"

สาวออยเพ่งมองตามทิศทางที่เพื่อนชี้ให้ดู

"วันนี้มาเดินกับน้องชายแฮะ แหมหน้าตาน่ารักจัง สูงยาวเข่าดีอีกต่างหาก"

"หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันสักหน่อย ดูยังไงว่าเป็นน้องชายยะยายหนิง"

*****

"ไหน ห่อมาสวยหรือเปล่า?" นายน้องซัมหยิบห่อของขวัญที่อีกฝ่ายบรรจงห่อให้ขึ้นมาพลิกซ้ายพลิกขวาทำท่าพินิจพิจารณา "อื่อ ผูกโบว์เบี้ยวไปหน่อย แต่ก็ใช้ได้"

เด็กหนุ่มหย่อนของขวัญกลับลงไปในถุงเหมือนเดิม แล้วทำท่าจะเดินจากไป แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยปากเรียกไว้ก่อน

"น้องลืมอะไรหรือเปล่าครับ?"

"อะไร?" นายน้องซัมทำหน้างง "หรือพี่คิดค่าห่อของขวัญด้วย?"

"เอ่อ…คำว่าขอบคุณน่ะ แถวบ้านน้องเขาไม่พูดกันหรือไง?"

เด็กหนุ่มหน้าร้อนผ่าวเมื่อเจออีกฝ่ายสั่งสอนตรง ๆ "ขอบ--ขอบคุณ"

"ดี" ชายหนุ่มผงกศีรษะเมื่อได้ยินคำที่ต้องการฟัง

"ไหน ๆ พี่ก็อุตสาห์ห่อของขวัญให้ งั้นผมเลี้ยงข้าวตอบแทนดีไหม?" นายซัมเสนอถือว่าเป็นการแก้ตัวที่คิดคำขอบคุณช้าไปหน่อย

"เฮ้ย! ไม่ต้องหรอก เรื่องแค่นี้เอง"

"แต่เมื่อวานผมทำให้พี่วุ่นวาย แล้วพี่ไปทำธุระทันไหมล่ะ?"

พอได้ยินอีกฝ่ายรื้อฟื้นเรื่องที่ไม่อยากจะนึกถึงในตอนนี้ ทำให้ชายหนุ่มคอตก สีหน้าเศร้าซึมลงฉับพลัน โธ่ น้องออย อุตส่าห์ตามจีบมาเกือบเดือน แต่เมื่อวานนี้โทรศัพท์ไปสาวเจ้าก็ไม่ยอมรับสาย ไม่รู้ว่างานนี้จะรับประทานแห้วหรือเปล่าเนี่ย

"เรื่องไม่ดีใช่ไหมพี่?" หนุ่มน้อยทำหน้าเห็นใจอีกฝ่าย แล้วตบหลังอีกฝ่ายป้าบป้าบ "อย่าคิดมากเลยพี่ ไปหาอะไรกินกันก่อน ผมหิวแล้ว เราจะกินอะไรกันดีล่ะพี่ พิชช่าหรือไก่ทอด"

ชายหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการจะอยู่เป็นเพื่อนเพื่อปลอบใจเขา หรือเพราะมันหิวข้าวจริง ๆ แต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้าแล้วเดินไปกับอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ

*****

"ฉันไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยยายมิ้นท์ นั่นมันของขวัญที่ฉันเห็นพี่ไตยเขาห่อวันนี้เอง" สาวหนิงกระซิบกระซาบกับเพื่อนคล้ายกับกลัวว่าเพื่อนสาวอีกคนที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าจะได้ยิน แต่ถ้าสังเกตดีดีจะเห็นว่ามือของสาวออยนั้นกำแน่นสั่นระริก

"ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ฉันเองก็ไม่เชื่อหรอก" สาวมินท์กระซิบตอบ

"ผู้ชายสมัยนี้เขาเป็นกันเยอะนะ เห็นทำมาจีบเพื่อนเราที่แท้ก็เอาไว้กันคนนินทานี่เอง"

"ดีนะที่พวกเรารู้ก่อน จะได้ไม่หลวมตัว"

*****

"เฮ้ย นั่นไอ้ซัมนี่หว่า ไหนบอกว่ามีธุระด่วน ดันมานั่งเอ้อระเหยอยู่ในห้างนี่เอง"

ภาพที่เพื่อน ๆ เห็นก็คือนายซัมนั่งเคี้ยวพิซซ่าตุ้ย ๆ พร้อมกับคุยกับชายหนุ่มในชุดชอปซึ่งคาดว่าคงจะเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีของสถาบันในละแวกนี้

"ใครวะ? พี่ชายมันหรือเปล่า?"

"ไม่ใช่หรอก มันมีแต่พี่สาวไม่มีพี่ชาย" นายบ๊วยเพื่อนสนิทที่สุดชี้แจง

"ไปทักมันดีไหมวะ?"

"มันอาจจะไม่อยากให้เราไปยุ่งก็ได้ ไม่งั้นมันต้องบอกแล้วสิว่ามันจะมาเจอใคร อย่าไปยุ่งกับมันเลยน่า"

ขณะจะหมุนตัวเดินกลับออกมาทั้งกลุ่มก็เจอรุ่นพี่ร่วมโรงเรียนโดยบังเอิญ "พี่จ้าว มาซื้อของขวัญหรือครับ?"

"เดินเล่นครับ" พี่จ้าวยิ้มบาง ๆ ตามแบบฉบับ ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความประหลาดใจ "เป็นอะไรหรือครับโอ?"

สายตาของนายน้องโอมองผ่านกระจกเข้าไปในร้านพิซซ่าด้วยความพิศวง

*****

"เมื่อคืนโทรศัพท์ไปหาก็ไม่ยอมมารับสาย วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้เจอหน้า พี่อุตส่าห์แวะเวียนไปที่คณะของเขาตั้งหลายหน" นายเวนไตยรำพันความหนักอกให้อีกฝ่ายฟังอย่างเศร้าสร้อย

"พี่อย่าคิดมากเลยน่า บางทีเรื่องมันอาจจะไม่เลวร้ายนักก็ได้ ไว้เดี๋ยวคืนนี้พี่ก็ลองโทรหาอีกทีสิ ง้อมาก ๆ เดี๋ยวเขาก็ใจอ่อนเองนั่นแหละ"

"กว่าเขาจะใจอ่อน พี่ก็กลัวตัวเองจะอ่อนใจไปเสียก่อน"

"พูดแบบนี้แสดงว่าพี่ไม่ตั้งใจจริงนี่นา คนเราเนี่ยถ้าพยายามให้ถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่ดีดีมันก็ต้องตามมาแน่นอน"

"อื่อ" ชายหนุ่มผงกศีรษะหงึกแสดงความเห็นด้วย

"แต่ก็ไม่แน่เสมอไป"

"อ้าว ไหงพูดแบบนี้?"

"ผมเองก็แอบชอบเพื่อนรุ่นพี่ที่โรงเรียนอยู่คนหนึ่ง พยายามทำทุกอย่างให้เขารู้ แต่เขาดันไปชอบเด็กรุ่นน้อง นี่ก็แสดงว่าความพยายามอย่างเดียวมันก็ไม่สามารถบรรลุผลได้" มันทำเสียงเศร้า

ชายหนุ่มชักเห็นใจอีกฝ่าย "ไม่เป็นไรน่า คนเรามันไม่โชคร้ายเสมอไปหรอก บางทีน้องอาจจะได้เจอคนอื่นที่ดีกว่ารุ่นพี่คนนั้นก็ได้"

"ไม่มีทาง พี่ไม่เคยเจอพี่จ้าว พี่เขาทั้งเรียนเก่งทั้งหน้าตาดี แถมนิสัยยังดีอีกด้วย ตั้งแต่ผมเกิดมาเพิ่งเคยเจอคนแบบนี้แหละ"

"โห…น้องก็พูดเกินไป น้องอายุเท่าไหร่กัน อยากมากก็สิบหกสิบเจ็ดใช่ไหม ช่วงอายุเท่านี้ยังถือว่าน้อยนัก ไว้ตอนน้องเข้ามหาวิทยาลัยสิ อาจจะได้เจอคนอื่นอีก พี่พนันได้เลยว่าจะต้องดีกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่าของรุ่นพี่คนนั้นเลยเอ้า"

มาถึงตอนนี้เวนไตยก็ชักจะไม่แน่ใจว่าใครปลอบใครกันแน่

นายซัมเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา "ที่จริงพี่ไตยก็เป็นคนดี"

"อื่อ พี่เองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน" ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกยิ้มรับคำชม

"หน้าตาก็ดีด้วย" พูดพลางก็ยื่นมือทั้งสองข้างประกบหน้าอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ขยับหนี พร้อมพลิกซ้ายพลิกขวา "พี่เรียนเก่งหรือเปล่า?"

ชายหนุ่มค่อย ๆ แกะมืออีกฝ่ายออก แล้วถามกลับด้วยสีหน้ามึนงงสุดชีวิต "ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ ได้คะแนนดีเป็นบางวิชา ถามทำไม?"

"ผมว่าผมคงจะชอบพี่แล้วล่ะ" เด็กหนุ่มพูดหน้าตาเฉย

"เฮ้ย!" เวนไตยตาเหลือก

"จริงนะพี่"

"ไม่ดีมั้ง แล้วรุ่นพี่ที่น้องเคยชอบล่ะ เปลี่ยนรสนิยมกระทันหันมันไม่ดีหรอก"

"รสนิยมอะไร?"

"ก็เห็นบอกว่าเคยชอบรุ่นพี่ที่โรงเรียนไม่ใช่หรือ แล้วอยู่ดีดีจะเปลี่ยนใจมาชอบพี่ได้ไงกัน" ชายหนุ่มพยายามเตือนสติอีกฝ่ายให้นึกถึงอดีตคนที่เคยแอบชอบ ชื่ออะไรวะ ยายจ้าวหรืออะไรนี่แหละ ผู้หญิงอะไรวะชื่อจ้าว

"ทำไมจะไม่ได้ ก็โรงเรียนผมมันโรงเรียนชายล้วนนี่นา"

สติของชายหนุ่มหลุดลอยไปชั่วขณะ มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมือของเขาโดนกุมไว้มั่น

"ผมว่าจะต้องเป็นชะตาฟ้าลิขิตแน่นอนที่ทำให้ผมกับพี่มาเจอกัน ในช่วงเวลาที่พวกเราทั้งสองกำลังเป็นทุกข์เพราะความรักแบบนี้ บาดแผลเพราะความรักสมควรเยียวยาด้วยความรัก" นายซัมเข้าสู่โหมดโอเวอร์แอคติ้งอย่างสมบูรณ์ เพราะตอนนี้มือที่กุมอยู่ก็เริ่มลูบไปมาคล้ายจะปลอบใจ "ไม่แน่หรอกว่านี่อาจจะเป็นรักแท้ของสองเรา"

ไม่ใช่เฟ้ย ชายหนุ่มปฏิเสธลั่นในใจ แต่ปากดันพูดอะไรไม่ออก ปล่อยให้อีกฝ่ายพล่ามไปเรื่อย ๆ

"พี่ไม่เคยได้ยินหรือไงว่า ใครบางคนย่อมมีความหมายสำหรับใครบางคนเสมอ ผมว่าบางทีผมอาจจะช่วยให้พี่มองโลกใบนี้เป็นสีชมพูได้ เรามาร่วมมือกันสร้างโลกของเราเถอะพี่"

เวนไตยกลืนน้ำลายเอื้อก ขนลุกซู่ด้วยความหวาดผวา ถ้าตอนนี้เป็นความฝันเขาก็อยากจะตื่นขึ้นมาอ้วกเสียเดี๋ยวนี้ และก่อนที่เด็กตรงหน้าจะบรรยายความสวยงามของโลกสีชมพูของสองเรา ชายหนุ่มก็รีบเอ่ยขึ้นเสียก่อน

"เอ้อ น้อง พี่ว่าเราจะรีบสรุปกันเร็วเกินไปแล้ว คือว่าพี่กับแฟนยังไม่ได้เลิกกันเลยนะ" ชายหนุ่มเลื่อนฐานะหญิงสาวที่คาดว่าจะจีบติดให้กลายมาเป็นแฟนอย่างรวดเร็ว

"แต่เท่าที่ผมฟังพี่เล่ามาแล้ว คาดว่าคงจะเลิกกันเร็ว ๆ นี้แน่นอน" มันพูดอย่างมั่นใจ ก่อนจะลอยหน้าลอยตาร่ายกลอน ประมาณว่า

รักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก
เขารักเราเผื่อเลือกหารู้ไม่
เขาไม่รักเราแล้วก็แล้วไป
จะรักเขาทำไมให้ป่วยการ

แต่ไอ้ตัวดีกลับเปลี่ยนบาทสุดท้ายเป็น "ไม่เป็นไรพี่เอ๋ยกะเทยมี" เล่นเอาเวนไตยถึงกับสะดุ้ง

"ไว้ถึงตอนนั้นแล้วพี่ค่อยคิดเรื่องของน้องก็แล้วกัน" ชายหนุ่มพยายามจะสรุปความให้เข้าใจโดยง่ายว่าตอนนี้ข้ายังไม่อยากได้เอ็งเป็นแฟนเฟ้ย

"ถ้าพี่พูดแบบนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ผมมันไม่เป็นที่ต้องการของใคร ๆ ทั้งนั้น" เด็กหนุ่มทำหน้าเศร้า จนชายหนุ่มอดไม่ได้ต้องเอื้อมมือไปแตะมืออีกฝ่ายอย่างเห็นใจ ใครใช้ให้เขาเป็นคนใจอ่อนกันเล่า

"อย่าพูดแบบนั้นสิ น้องเองก็เพิ่งพูดไม่ใช่หรือว่าใครบางคนย่อมมีความหมายสำหรับใครบางคนเสมอ สักวันน้องต้องเจอคนคนนั้นแน่นอน เชื่อพี่เหอะ" เวนไตยบีบมืออีกฝ่ายอย่างให้กำลังใจ

คล้ายกับละครเวทีหรือนิยายน้ำเน่าเนื่องจากอยู่ดีดีตัวละครสำคัญก็โผล่ออกมาเหมือนกับบอกบทเอาไว้ เพราะตรงหน้าของเขาซึ่งมองเห็นประตูทางเข้าโดยถนัด ก็ปรากฏร่างของน้องออยและสหายเดินย่างสามขุมตรงเข้ามาหา ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ

"สวัสดีค่ะพี่ไตย"

"ง่า---น้องออย" ชายหนุ่มทักทายหญิงสาว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังกุมมือของไอ้เด็กเวรนี่อยู่ ดังนั้นจึงรีบชักมือออกอย่างรวดเร็ว "มาเดินเที่ยวหรือครับ?"

สาวสวยเหยียดยิ้ม "ค่ะ แล้วก็เลยจะแวะมาบอกว่า ทีหลังพี่ไตยไม่ต้องโทรศัพท์ไปที่บ้านของออย หรือเดินตามออยที่มหาวิทยาลัยอีกแล้วนะคะ"

"ทำไมล่ะครับ?" นายเวนไตยยังมีสีหน้ามึนงง เพราะโดนเรื่องที่ไม่คาดฝันหลายเรื่องรุมล้อมเข้ามาในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้

"เพราะออยคิดว่าน้องเขาคงจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก ใช่ไหมคะน้อง?" ตอนท้ายหญิงสาวหันไปถามเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่นั่งมองตาแป๋วอยู่

"ครับ" นายซัมผงกศีรษะรับคำทันที

เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นกึก ๆ ห่างออกไป ทิ้งให้ชายหนุ่มสุดซวยส่งเสียงครางในลำคอคร่อก ๆ คล้ายจะขาดใจ "น้องออย"

*****

เวนไตยไม่รู้ตัวว่าตนเองกลับมาถึงบ้านได้อย่างไร รู้แต่ว่าสมุดโทรศัพท์ของเขานั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของเด็กคนนั้นเพิ่มเข้ามาด้วยลายมือของหมอนั่นเอง

"อันนี้เป็นเบอร์มือถือผมนะพี่ โทรได้ตลอดทุกครั้งยามที่คิดถึง อันนี้เป็นเบอร์บ้านนะ ไหนเบอร์บ้านพี่เบอร์อะไร" พูดจบมันก็จดยิก "ไว้เดี๋ยวจะโทรไปคุยด้วย พี่มีพีซีทีนี่ก็ดีจะได้โทรตามตัวได้ง่าย"

พอนึกถึงตอนนี้ ชายหนุ่มขว้างสมุดโทรศัพท์ลงพื้นอย่างสุดกลั้น แล้วแหกปากอย่างคลุ้มคลั่ง "โลกนี้มันเป็นอะไรกันหมดแล้ววะ ทำไมเมื่อให้กูเกิดมาแล้วต้องมีไอ้เด็กเวรนั่นอยู่ในโลกใบเดียวกันนี้ด้วย ซวย ซวย ซวยฉิบหาย"

เสียงที่ดังมาจากชั้นบนทำให้บิดามารดาและน้องชายต้องสบตากันอย่างปลง ๆ

"มันเป็นบ้าไปแล้ว" ผู้เป็นบิดาเอ่ยลากเสียงยาว ก่อนจะหันไปสั่งสอนบุตรคนเล็ก "แกอย่าเอามันเป็นเยี่ยงอย่างเชียวนะ บ้านนี้มีแบบมันแค่คนเดียวก็พอแล้ว"

"ขอโทษจริง ๆ เลยจ้ะพ่อ ที่แม่เลี้ยงลูกไม่ดี" แม่ของนายเวนไตยทำหน้าเหมือนสำนึกผิด

เด็กชายวัยสิบขวบมองบิดามารดาด้วยสายตาแน่วแน่ ก่อนจะเอ่ยปากรับรอง "ไม่เป็นไรครับ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะไม่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังแน่นอน"

ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกมองตากันอย่างซาบซึ้ง โดยมีเสียงโหยหวนของบุตรชายคนโตของบ้านดังแว่วมาประกอบฉากสายสัมพันธ์ในครอบครัว

*****

นายซัมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนแล้วหัวเราะอย่างสบายใจ ที่จริงก็น่าสงสารหมอนั่นอยู่เหมือนกัน แต่ดันมาโผล่หน้าตอนที่เขากำลังกลุ้มใจอยู่ทำไมกัน ก็เลยแกล้งเล่นเสียสนุกไปเลย แต่หลังจากวันนี้ก็คงจะไม่ได้เจออีกแล้วมั้ง

เด็กหนุ่มทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายที่จดไว้ใส่ถังขยะอย่างไม่ใส่ใจ เพราะรู้ดีว่ามันคงจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว และคาดว่าเบอร์โทรศัพท์ของตนก็คงจะโดนอีกฝ่ายฉีกทิ้งเช่นกัน คงไม่มีใครบ้าพอจะเก็บไว้หรอก

*****

วันนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจให้กับนายซัมอยู่ไม่น้อย ที่จู่ ๆ คู่แข่งทางความรักอย่างนายน้องโอก็พรวดพราดเข้ามาแนะนำตัว ก่อนจะยิงคำถามอย่างรวดเร็ว

"พี่ซัมรู้จักกับพี่ไตยได้ไง?"

"ไตยไหน?" เด็กหนุ่มยังตั้งตัวไม่ทัน

"ก็คนเมื่อวานที่อยู่ในร้านพิซซ่ากับพี่น่ะ"

"อ้อ" เจ้าตัวลากเสียงยาว "มีอะไรหรือ?"

นายน้องโอทำหน้ากระวนกระวายใจจนอีกฝ่ายอดประหลาดใจไม่ได้ "ผมไม่รู้มาก่อนว่าพี่ซัมจะรู้จักกับพี่ไตย บ้านผมอยู่ข้างบ้านพี่ไตยครับ"

นายซัมพยักหน้ารับรู้ ในใจก็คิดไปว่ามันมาบอกเขาทำไมกันวะ กูไม่ได้อยากรู้สักหน่อย "เหรอ แล้วไง?"

อีกฝ่ายหยุดชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะโพล่งถามเหมือนคนที่ตัดสินใจมาแล้ว "พี่รู้เรื่องของพี่ไตยหรือเปล่าครับ อย่างเช่นเรื่องแฟนหรือคนที่ชอบอะไรทำนองนี้"

*****

ในสมองของนายซัมในตอนนี้กำลังครุ่นคิดเรื่องที่ได้รับทราบโดยไม่คาดหมาย เด็กหนุ่มพยายามกลั่นกรองข้อมูลที่มีอยู่อย่างเป็นระบบ ในเมื่อพี่จ้าวชอบนายน้องโอ แต่น้องโอแอบชอบไอ้พี่ไตย ส่วนไอ้พี่ไตยตอนนี้อยู่ในสภาพอกหักยับเยิน สมการนี้แก้ไม่ยากเท่าไหร่ ถ้าเขาสามารถทำให้ไอ้พี่ไตยหันมามองนายน้องโอ พี่จ้าวก็ต้องอกหัก แล้วเขาก็จะเป็นผู้รักษาแผลใจของพี่จ้าวเอง งานนี้มีแต่ความสุขสมหวัง

ขั้นตอนที่ทำให้บรรลุความประสงค์ของเขาอาจจะต้องยุ่งยากสักเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่เกินความสามารถที่เขามีอยู่อย่างล้นเหลือนี่หรอก

ปฏิบัติการนี้เขาตั้งชื่อเองว่าวิชามารร้ายสลายสัมพันธ์ (ของนายน้องโอกับพี่จ้าว) นายซัมหัวเราะเคี๊ยกเคี๊ยกเหมือนตัวโกงของนิยายกำลังภายในเมื่อนึกถึงเรื่องที่จะตนเองจะต้องทำต่อไป และผลสำเร็จที่จะตามมา คราวนี้แหละทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่เขาต้องการ

*****

"หวัดดีพี่ จำผมได้หรือเปล่า?" น้ำเสียงสดใสกังวานมาตามสายทำให้คนรับสายแทบจะปล่อยหูโทรศัพท์ทันทีที่จำได้ว่ามันเป็นใคร

"โทรมาทำไม?"

"อ้าวพี่นี่ขี้ลืมจัง เราเคยสัญญาอะไรกันไว้เอ่ย?"

"ไม่รู้ จำไม่ได้ พี่รู้สึกมึน ๆ ไว้คุยกันวันหลังก็แล้วกัน" ชายหนุ่มตัดสายสัมพันธ์และสายโทรศัพท์ทันควัน เพราะไอ้เด็กเวรนี่เองทำให้เขากลายเป็นหัวข้อซุบซิบที่มหาวิทยาลัย เพราะจากกลุ่มเพื่อนสนิทของน้องออย ก็ขยายเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมคณะ และต่อมามันก็กลายเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย เขารู้สึกว่าข่าวลือมันแพร่กระจายออกไปไวอย่างเหลือเชื่อ

"ข้าเห็นใจเอ็งจริง ๆ ไอ้เวน" เพื่อนสนิทคนหนึ่งเอ่ยปลอบใจหลังจากที่รู้เรื่องข่าวลือ ส่วนใหญ่เพื่อนสนิทมันจะเรียกชื่อชายหนุ่มด้วยพยางค์แรก ซึ่งมันฟังคล้าย ๆ กับ 'ไอ้เวร' ทำให้เวลาเขาแนะนำตัวกับใครก็มักจะบอกให้ทุกคนเรียกเขาด้วยชื่อพยางค์หลังซึ่งมันจะฟังดูดีกว่ากันเยอะ ยิ่งกับชื่อจริงของเขานั้นบางคนเฉไฉเรียกว่านายเวรตะไลเสียดื้อ ๆ

"ซวยจริง ๆ เลยว่ะ เพราะไอ้เด็กระยำนั่นแท้ ๆ" เวนไตยรำพึงด้วยความเจ็บช้ำ "ตั้งแต่ได้เจอหน้ามันครั้งแรก โชคร้ายก็ถาโถมมาไม่มียั้ง"

"เดี๋ยวจะปีใหม่แล้ว อะไร ๆ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้นี่หว่า วันหยุดยาวหนนี้เอ็งก็ไปทำบุญตักบาตรปล่อยนกปล่อยปลา รดน้ำมนตร์เก้าวัดเลยสิวะ" เพื่อนสนิทแนะนำ

ชายหนุ่มมองเห็นทางธรรมขึ้นมาทันที "อาจจะจริงก็ได้ว่ะ งั้นช่วงวันหยุดปีใหม่เอ็งกับข้าไปเข้าวัดในกรุงเทพฯกันดีไหมวะ ไปไหว้พระแล้วรดน้ำมนตร์กัน"

"ไม่ล่ะวะ ช่วงนี้ถ้าขลุกอยู่กับเอ็งมันเสี่ยงพิกล เดี๋ยวคนอื่นจะลือว่าข้าเป็นคู่ขาเอ็ง นี่ข้าจะมาบอกว่าเที่ยงนี้ข้ามีธุระไปกินข้าวกับเอ็งไม่ได้แล้ว"

"ไอ้ห่ะ" ชายหนุ่มผรุสวาทลั่นอย่างไม่ไว้หน้า "พอเพื่อนมีเรื่องเดือดร้อน เอ็งก็ตีตัวออกห่าง นี่หรือวะเพื่อน"

เพื่อนที่ตีตัวออกห่างยังไม่เท่าไรนัก แต่ไอ้คนที่พยายามจะเข้ามาใกล้ชิดในช่วงนี้ยิ่งอันตรายกว่า วันนี้เขาแทบไม่อยากเดินเข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ เพราะกลัวจะมีพวกที่นิยมเรื่องอย่างว่านั้นเดินตามไปช่วยถือช่วยจับ

*****

พอตัดสายโทรศัพท์ไปครู่หนึ่ง ก็มีสายเข้ามาอีก ซึ่งเขาแน่ใจว่าต้องเป็นไอ้เด็กนั่นแน่ก็เลยพาลไม่รับ ว่าแล้วก็ปิดพีซีทีซะ แต่มันก็หาทางติดต่อเขาจนได้เมื่อเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่บ้านดังขึ้น

"พี่ไตย โทรศัพท์" เสียงน้องชายเขาตะโกนเรียกมาจากข้างล่าง ทำให้ชายหนุ่มต้องลงไปรับสายอย่างจำใจ

"มีอะไรหรือน้อง?" เขากรอกเสียงไปตามสาย

"ผมอยากกินบะหมี่เป็ดครับ"

"บ้านพี่ไม่ใช่ร้านอาหารประเภทส่งถึงบ้านนะครับ" เขาชี้แจงอย่างอดทน

"ผมได้ยินว่าแถวบ้านพี่มีร้านบะหมี่เป็ดอร๊อยอร่อย ผมไปกินได้ไหมครับ?"

"จะมากินแล้วทำไมต้องบอกพี่ด้วยล่ะ?"

"ผมไปไม่ถูกครับ"

"งั้นก็ไม่ต้องกิน" เขาตัดบทอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะวางหูโทรศัพท์อย่างอ่อนใจ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เขายกหูโทรศัพท์ก่อนจะกระชากเสียง "จะโทรมาทำไมวะ"

ปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนจะตามด้วยเสียงคุ้นหู "โทรมาเพื่อจะบอกลูกบังเกิดเกล้าว่าเย็นนี้พ่อกับแม่จะแวะไปงานเลี้ยงแต่งงานของคนรู้จัก ให้ช่วยหาอะไรให้น้องกินด้วย ไอ้ลูกเวรตะไล"

*****

เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นภายในบ้าน ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มอยู่บ้านคนเดียวเนื่องจากน้องชายออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อนบ้านวัยเดียวกัน

"หวัดดีครับพี่" เสียงมันอีกแล้ว

"มีอะไรอีกละครับน้อง?"

"บ้านพี่อยู่หลังไหนครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ที่สนามในหมู่บ้านครับ ช่วยออกมารับที"

"หา! ตอนนี้อยู่ที่ไหนนะ" เขาอุทานเสียงหลง

"ในตู้โทรศัพท์ของหมู่บ้านพี่แหละครับ บ้านพี่ใช่หลังใหญ่ ๆ ที่เลี้ยงหมาเยอะ ๆ หรือเปล่า?"

"ไม่ใช่ ต้องถัดไปอีกซอย เอ้ย…อย่ามานะ" ชายหนุ่มร้องห้ามเสียงลั่นบ้าน

"ขอบคุณครับพี่ อีกซอยหนึ่งใช่ไหมครับ" เสียงตัดสายดังขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายวางหู ปล่อยให้ชายหนุ่มที่อยู่ปลายสายยืนเหม่อลอยด้วยความมึนงง

สักพักก็มีร่างของไอ้เด็กพฤติกรรมประหลาดนั่นมายืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ที่หน้าบ้าน เขาทนเสียมรรยาทไม่ได้จึงต้องออกไปต้อนรับ

"หาแทบแย่เลยครับ บ้านแถวนี้หน้าตาคล้าย ๆ กัน แต่บ้านพี่เงียบดีนะครับ"

"เผอิญพ่อแม่พี่เขาออกไปทำธุระที่ข้างนอก"

"แหมดีจริง ๆ" พูดจบก็เดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทีคล้ายกับคุ้นเคยมานาน

"รู้ที่อยู่ได้ยังไง?"

"รู้ได้ด้วยใจครับพี่" นายซัมยิ้มกว้าง ไม่อยากบอกเลยว่ายุ่งยากขนาดไหนกว่าจะสืบรู้ว่านายน้องโอซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของอีกฝ่ายนั้นอยู่หมู่บ้านอะไร และกว่าที่เขาจะหาทางมาถึงที่นี่ได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก

สายตาชายหนุ่มเริ่มส่ออาการหวาดระแวง ไม่รู้ว่าไอ้เด็กประหลาดนี่จะมาไม้ไหนกันแน่ เพราะนับตั้งแต่ได้รู้จักกับอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจนั้น เขาไม่เคยคาดเดาออกเลยว่าไอ้เด็กนรกนี่มันคิดอะไรอยู่ในใจ

"พี่นี่ใจร้ายจริง โทรศัพท์มาทีไรก็วางหูเสียทุกที" มันบ่นกระปอดกระแปดผสมลีลาตามแบบฉบับ "เรารึอุตส่าห์คิดถึง อยากคุยด้วย ผมเพิ่งอกหักมาก็อยากจะได้รับกำลังใจ อยากมีคนรับฟังความเจ็บปวดรวดร้าว เห็นพี่ก็ประสบชะตากรรมเดียวกันก็นึกว่าจะเข้าใจผม แต่ที่แท้ผมก็คิดไปฝ่ายเดียวจริง ๆ"

"เรื่องนั้นพี่ก็เข้าใจอยู่ แต่…" เขายังพูดไม่ทันจบประโยค อีกฝ่ายก็สอดทันควัน

"ผมรู้ว่าพี่ต้องเข้าใจผม พี่เป็นคนดีจริง ๆ ผมไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจคบกับพี่ นับต่อจากนี้เราสองคนจะมีรักแท้ที่มั่นคงตลอดไป ที่ผมมาถึงที่นี่ก็เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของผมให้พี่ได้รับรู้" มันหยุดเว้นระยะเพื่อหายใจก่อนจะพูดต่อด้วยสายตาคาดคั้น "พี่คิดว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง?"

"หา…ว่าไงนะ?" ชายหนุ่มไม่เข้าใจคำถาม เพราะโดนกล่อมจนชักเบลอ

"ผมถามว่าผมไม่น่ารักหรือไง?"

"เปล่า พี่ไม่ได้ว่าอย่างนั้น" เวนไตยรีบปฏิเสธ

"งั้นก็ดีเลยพี่"

"ดีอะไร?" เขายังคิดตามไม่ทัน

"ผมน่ะอยากลองมีประสบการณ์อย่างว่าสักครั้งน่ะ เรามาทำกันเถอะ ถ้าเป็นพี่ผมยอมได้ทุกอย่าง" มันพูดพร้อมทำหน้าตาซื่อ ๆ ทำให้ดูขัดกับสิ่งที่กำลังพูดราวกับหน้ามือและหลังเท้า

เวนไตยทำปากพะงาบพะงาบแต่ไม่สามารถหลุดคำพูดใด ๆ ออกมาได้ แต่อีกฝ่ายดันแปลความไปอีกทาง

"ว่าไงนะพี่ อ้อ โอเคเรอะ ได้เลย" พูดจบก็ทำท่าจะปลดกระดุมเสื้อ

"เดี๋ยวก่อนน้อง" ชายหนุ่มรีบอ้าปากห้าม เมื่อสมองเริ่มสั่งงานหลังจากโดนฮุคด้วยความคิดพิเรนทร์ของอีกฝ่ายจนมันหยุดทำงานไปชั่วขณะ "พี่--พี่ว่ามันไม่ค่อยเหมาะหรอกนะ"

"ทำไมล่ะ? ตอนนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว ตามที่ผมเคยอ่านเจอนะ เขาบอกว่าครั้งแรกมักจะเกิดขึ้นในบ้านที่ไม่มีคนอยู่ ครอบครัวไปเที่ยวกันหมด" นายซัมผายมือให้อีกฝ่ายดูสภาพบ้านที่เงียบสงบและบรรยากาศเป็นใจยิ่งนัก

เวนไตยกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ก่อนจะพยายามอธิบาย "บ้านพี่เขาไม่ได้ออกไปเที่ยวกัน ส่วนน้องชายพี่มันก็วิ่งเล่นอยู่บ้านเพื่อนแถวนี้แหละ"

"อื่อ งั้นก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ งั้นเรามาเริ่มมายเฟริสท์เอ็กพีเหรี้ยล หรือมายเฟริสท์ไทม์กันดีกว่า ขืนชักช้าเดี๋ยวพวกพ่อแม่ของพี่กลับมา หรือน้องพี่โผล่เข้ามาขัดจังหวะ เราก็อดทำกันพอดี ห้องพี่อยู่ทางไหนล่ะ?" พูดจบมันก็ทำท่าจูงมืออีกฝ่ายขึ้นห้อง ชายหนุ่มรีบตะปบมือห้ามไว้ทันควัน

"เดี๋ยวน้อง รู้สึกว่าเรายังคุยกันยังไม่ค่อยรู้เรื่องนะ"

เด็กหนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายตาแป๋ว ก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมทำหน้าเป็นเชิงเข้าใจ "ใช่แล้ว เราน่าจะคุยทำความตกลงกันก่อนว่าใครควรจะเป็นฝ่ายทำหรือถูกทำ แต่เพราะผมไม่เคยก็เลยยังไม่รู้ เอางี้ไหม เรามาลองกันก่อนคนละที ผลัดกันคนละหน ถ้าชอบแบบไหนแล้วค่อยว่ากันอีกที หรือถ้าชอบเหมือนกันก็เป่ายิ้งฉุบ"

"ไม่ใช่โว้ย โอ้ยกูจะบ้าตาย" นายเวนไตยทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ อย่างอ่อนแรง

*****

หลังจากกลับมาถึงบ้านของตนเอง นายซัมก็มานอนพังพาบบนเตียงนอนเพื่อร่างแผนการลำดับต่อไปบนกระดาษสมุด บนกระดาษสมุดตรงหน้านั้นมีแผนผังที่เริ่มต้นจากจุดสตาร์ทเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเขียนว่า หนึ่ง ทดสอบไอ้พี่ไตย

"ทดสอบแล้วว่าไอ้พี่ไตยเป็นผู้ชายปกติ" นายซัมงึมงำ รู้สึกว่างานนี้ยากขึ้นมานิดหน่อย เพราะถ้ามีวี่แววความน่าจะเป็นว่าไอ้พี่ไตยจะเบี่ยงเบนแล้ว การจะเกลี้ยกล่อมให้เห็นว่านายน้องโอน่ารักนี่จะง่ายขึ้นเยอะ การทดสอบหนนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงไปหน่อย แต่เขาคิดว่าถ้าเกิดไอ้พี่ไตยเกิดหน้ามืดขึ้นมา ก็น่าจะหยุดอีกฝ่ายได้ด้วยด้วยมารยาหรือหมัดลุ่น ๆ นี่แหละ

แผนการต่อไปก็จะต้องพยายามทำให้ไอ้พี่ไตยที่เป็นผู้ชายปกติมาเห็นดีเห็นงามหรือหลวมตัวมองเด็กผู้ชายว่าน่ารัก แม้ว่ามันคงจะยากไปสักหน่อย แต่ทุกสิ่งจะสำเร็จได้ด้วยความพยายาม ดังนั้นต้องพยายามล่อลวงและเกลี้ยกล่อมอย่างสุดความสามารถ จะบาปหรือเปล่าวะเนี่ย แต่ไม่แน่หรอกน่าบางทีไอ้พี่ไตยอาจจะมีวี่แววอยู่บ้าง ไม่งั้นคงไม่เตะตานายน้องโอขนาดนี้หรอก บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีและเป็นบุญกุศลก็ได้ที่ทำให้ไอ้พี่ไตยได้รู้จักตัวเอง ไม่แน่ว่าพอถึงตอนนั้นไอ้พี่ไตยอาจจะต้องมาขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำไป พอคิดได้อย่างนี้แล้วก็ทำให้จอมวางแผนหลับสบายไปตลอดทั้งคืน คืนนั้นเขาฝันว่าไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอเดินคลอเคลียหนุงหนิง โดยมีเขายืนทำหน้าปลาบปลื้มอยู่ห่าง ๆ เคียงข้างด้วยพี่จ้าวสุดหล่อคนเดียวในดวงใจที่ยืนทำหน้าเศร้าสร้อย

"พี่จ้าวอย่าเสียใจไปเลย ผมพร้อมจะปลอบขวัญ และเลียแผลใจให้พี่เสมอ" คารมยังคมคายแม้ในความฝัน

"พี่มองข้ามน้องซัมไปได้อย่างไรกันนี่?" เสียงพี่จ้าวเอ่ยอย่างสำนึกในบุญคุณ มันสะท้อนอยู่ในฝันไม่รู้จักจบสิ้น

ฝันดีอะไรเช่นนี้หนอ

*****

วันต่อมาหลังเลิกเรียนนายน้องซัมก็กุลีกุจอไปบ้านไอ้พี่ไตยด้วยความหวังจะให้ทุกอย่างดำเนินการไปตามแผนได้อย่างราบรื่น ซึ่งก็ช่างเป็นเรื่องที่โชคดีเสียนี่กระไร เพราะยามเมื่อไปถึงหน้าหมู่บ้านก็เจอกับชายหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับจากการซื้อของที่ร้านมินิมาร์ทแถวนั้นพอดี

"โชคดีจริง ๆ เลยพี่ที่ได้เจอ" นายซัมโบกมือทักทายอีกฝ่าย

พอเห็นหน้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็พาลเหม็นเบื่อขึ้นมาทันที แต่ด้วยมรรยาทเลยต้องทักทาย "หวัดดีน้อง วันนี้มาทำอะไร?"

"คิดถึงหน้าพี่สิครับ" นายซัมหยอดคำหวาน ทำให้คนฟังรู้สึกเลี่ยน ๆ พิกล

เหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต หางตาของนายซัมพลันจับภาพวัตถุเคลื่อนไหวได้ทันควัน นายน้องโอในชุดกีฬากำลังวิ่งเหยาะ ๆ อยู่ตรงหน้า และกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ

ด้วยไหวพริบที่เกิดขึ้นกระทันหัน สมองของเด็กหนุ่มแล่นปรู๊ดปร๊าด การจะทำให้คนทั้งคู่ได้มีโอกาสพูดคุยกันก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ คิดได้ดังนั้นนายซัมจึงยกมือขึ้นป้องหน้าผากก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว

"พี่คร้าบ โผมจาเป็นโลมมมม"
พูดจบก็หมุนตัวทรุดฮวบ เล่นเอาชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้าง ๆ ประคองรับแทบไม่ทัน เพราะตัวของอีกฝ่ายไม่ใช่เล็ก ๆ

"เฮ้ย! น้องเป็นอะไรวะ"

"โผมเป็นโลมมมมม" เจ้าตัวยังมีหน้าตอบคำถามอีกฝ่าย

และเป็นที่แน่นอนว่านายน้องโอที่ยืนอยู่ในระยะประชิดแค่นั้นจะนิ่งดูดายได้ เด็กหนุ่มผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ใสซื่อจึงเข้ามาช่วยชายหนุ่มประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกของรุ่นพี่ที่โรงเรียนอีกแรง

"ให้ผมช่วยนะครับ" นายน้องโอรีบอาสา

"งั้นก็ช่วยกันประคองไปที่บ้านก็แล้วกัน อยู่ดี ๆ ดันล้มที่กลางถนน ขี้หมงขี้หมาเพียบ" เวนไตยบ่นอุบอิบในตอนท้าย ซึ่งคนที่เป็นลมได้ยินเต็มสองหู รีบกุลีกุจอดีดตัวลุกขึ้นยืนทันควัน ท่ามกลางความประหลาดใจของผู้ช่วยเหลือทั้งคู่

"อ้าว ไม่เป็นอะไรแล้วเรอะ?"

นายซัมก้มลงปัดกางเกงอย่างขยะแขยงก่อนจะเริ่มแอ็คติ้ง "ผมคงจะวูบไปหน่อยนะครับพี่ ขอบคุณน้องโอนะครับที่ช่วยเหลือพี่"

"ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่พี่ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ?"

จอมลีลาโบกมือไปมา "สบายมากครับ พี่ดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอน้องโอซึ่งมีจิตใจเมตตาปรานีต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก ถ้าไม่ได้น้องโอพี่ก็คงจะไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองว่าจะอยู่ในทุกขเวทนาสักปานใด"

"คลุกขี้หมาน่ะดิ" เสียงไอ้พี่ไตยรำพึงพร้อมกับหัวเราะในลำคอหึหึ

นายซัมหันไปมองคนพูดขัดคอตาเขียวปัด ก่อนจะพล่ามต่อ "พี่ไม่รู้จะขอบคุณน้องโออย่างไรดี เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เพื่อทดแทนพระคุณของน้อง และเราจะได้มีโอกาสพูดคุยรู้จักกันให้มากขึ้น พี่ก็อยากจะชวนน้องไปกินน้ำกินข้าวที่บ้านพี่ไตยก็แล้วกัน"

"เฮ้ย!" ชายหนุ่มอุทานอย่างไม่เชื่อหู

"ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้เอง" นายน้องโอรีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

"ไม่ได้หรอกครับ น้องคือคนที่ช่วยเหลือชีวิตพี่เอาไว้ ไปด้วยกันเถอะครับ"

ในที่สุดความพยายามในการเกลี้ยกล่อมของนายซัมก็เป็นผล เพราะนายน้องโอหลงกลเดินตามคนทั้งคู่เข้าไปในบ้านต้อย ๆ นายซัมก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี ทั้งเสริฟน้ำและชวนสนทนายืดยาว จนกระทั่งพอสมควรแก่เวลา นายน้องโอจึงได้ลากลับไปวิ่งต่อ

"แล้วเมื่อไหร่น้องจะกลับล่ะ?" หนุ่มเจ้าของบ้านเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะยึดถือว่าที่นี่เป็นบ้านของตนไปเสียแล้ว

แต่อีกฝ่ายทำหูทวนลมเสียอย่างนั้น ด้วยเจ้าตัวยึดคติที่ว่าจะได้ยินเฉพาะประโยคที่ตนเองพอใจเท่านั้น

"น้องโอเขาเป็นคนน่ารักนะพี่ หน้าตาดีแถมนิสัยน่าคบด้วย" นายซัมพยายามชี้ให้อีกฝ่ายเห็นดีเห็นงาม "ตอนอยู่โรงเรียนก็ได้ชื่อว่าเป็นนักกีฬายอดเยี่ยม เล่นดีไม่มีผิดกฏกติกามรรยาท เตะบอลทุกนัดไม่เคยโดนกรรมการตักเตือนหรือแจกใบเหลืองใบแดง คนแบบนี้ถ้าคบเอาไว้จะนำมาซึ่งความร่มเย็นสุขกายสุขใจ"

"น้องไม่สบายหรือเปล่า?" ชายหนุ่มเริ่มสงสัยในพฤติกรรมอีกฝ่าย

"ทำไม?"

"เห็นอยู่ดีดีก็พูดชมคนอื่น"

"คนอื่นคนไกลที่ไหนกันพี่ น้องโอนี่ก็บ้านใกล้เรือนเคียง น่าจะผูกสมัครรักใคร่สัมพันธ์กันไว้ เผื่อมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจะได้พึ่งพาอาศัยกันได้ แล้วผมก็เห็นว่าน้องเขาความประพฤติดี พูดจาสุภาพเรียบร้อย น่ารักน่าเอ็นดู คนอยู่ใกล้ก็สบายหูสบายใจสบายตา"

"ถ้าน้องชอบน้องโอเขาขนาดนั้น ทำไมไม่ไปจีบหรือทำความรู้จักให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเองล่ะครับ" ชายหนุ่มถอนใจ นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่

"ใครว่าผมชอบมัน" เสียงนายซัมเหี้ยมขึ้นมาโดยกระทันทัน ก่อนจะรู้สึกตัวแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแหะ แหะ "ผมไม่ได้ชอบน้องโอเขาสักหน่อย ผมชอบพี่มากกว่า"

*****

ค่ำวันนั้น นายซัมนอนพังพาบอยู่บนเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นฐานบัญชาการในการวางแผนมารร้ายสลายสัมพันธ์ (ของนายน้องโอกับพี่จ้าว) เช่นเดิม

"การที่คนเราจะมีใจให้กับกันนั้น ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย มันจะต้องมีกิจกรรมทำร่วมกัน ถ้าได้ขลุกอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน ๆ บางทีเรื่องที่ไม่คาดคิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้"

นายซัมครุ่นคิดอยู่เป็นนานสองนานว่าจะหากิจกรรมใดที่จะเป็นภาระอันจะทำให้ไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอได้สนิทชิดเชื้อกันได้บ้าง

"จะต้องเป็นกิจกรรมที่นำมาซึ่งความซาบซึ้งและเห็นอกเห็นใจในความดีงามของอีกฝ่าย" นายซัมสรุปหลักการใหญ่ ๆ ไว้โดยคร่าว หลังจากนั้นก็ตั้งโจทย์และแก้ปัญหา ทำตัวประดุจเสนาธิการของผู้บัญชาการเหล่าทัพจะไปออกศึกสงคราม เพราะแผนการของเขาจะต้องถูกกำหนดไว้อย่างรัดกุมและแน่นอน ชนิดที่เรียกว่าเมื่อลงมือเมื่อใดก็รับประกันความสำเร็จเมื่อนั้น

เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน นายซัมหิ้วกล่องที่เจาะรูพรุนไว้ไปยังบ้านของชายหนุ่ม ซึ่งเจ้าของบ้านเปิดประตูรับด้วยอาการลุ้นสุดชีวิต เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาด้วยลีลาไหนกันแน่

"ผมเจอน้องแมวระหว่างทางที่มาหาพี่ครับ เห็นน้องแมวน่าสงสารมาก แต่ที่บ้านผมไม่อนุญาตให้เลี้ยงสิ่งมีชีวิตแบบนี้ ผมอยากจะฝากพี่เอาไว้ก่อนได้ไหมครับพี่" คราวนี้มันมาด้วยเสียงอ่อย ๆ น่าเวทนา

ชายหนุ่มมองสภาพกล่องที่เตรียมการมาอย่างดีก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ใช่เดินผ่านแล้วเก็บมาได้โดยบังเอิญหรอก แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่ ดังนั้นต้องตั้งป้อมปฏิเสธไว้ก่อน "บ้านพี่ก็ไม่เคยเลี้ยงเหมือนกันนะน้อง"

"แต่มันเลี้ยงไม่ยากหรอกครับ พี่ไม่เห็นหรือว่าน้องแมวเขาน่าสงสารขนาดไหน ผ๊อมผอมเชียว" เด็กหนุ่มเขี่ยลูกแมวผอมโซในกล่องที่นอนนิ่งจนมันแหกปากร้องเสียงแหบ ๆ เรียกร้องความสนใจ

"มันเป็นภาระนะครับ" ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อย สงสารเจ้าแมวน้อยอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเอามาจากไหน รู้สึกว่าจะเล่นได้สมบทบาทเป็นอย่างยิ่ง

"ผมจะเลี้ยงน้องแมวให้เองครับ" เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างหนักแน่น

ชายหนุ่มหันไปมองตามเสียง ก็พบว่าเป็นเสียงของน้องชายของตน เด็กชายไทวะวัยสิบขวบทำสีหน้ามาดมั่น หลังจากเฝ้ามองการสนทนาของคนทั้งคู่อยู่นาน

"เลี้ยงเถอะครับพี่ไตย เดี๋ยวผมจะช่วยเลี้ยงด้วยคน น้องแมวเขาน่าสงสารออก"

"น้องไทใจดีจังเลยครับ" นายซัมเอ่ยชม แต่นัยน์ตาแข็งกร้าว ถ้าไอ้เด็กจอมจุ้นนี่เข้ามาช่วยแล้วจะมีเรื่องให้นายน้องโอโผล่เข้ามาที่บ้านอย่างนั้นหรือ

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเล็กมาก้าวก่ายแผนการ ดังนั้นเมื่อไอ้พี่ไตยเดินเข้าไปในบ้านเพื่อหานมมาให้ลูกแมว เด็กหนุ่มจึงเหนี่ยวคอเจ้าหนูมาคุยกันเป็นการส่วนตัว

"น้องไทครับ พี่คิดว่าน้องเป็นคนดีมากที่มีจิตใจเมตตาต่อน้องแมวผู้น่าสงสาร แต่น้องไทอาจจะไม่รู้อะไร น้องแมวตัวนี้พี่เก็บได้มาจากใต้ศาลพระภูมิร้าง ซึ่งเขาว่ากันว่าสัตว์ที่เก็บมาจากที่แบบนั้นมันจะมีอาถรรพ์ ซึ่งเป็นอันตรายแก่เด็ก ๆ คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วเท่านั้นถึงจะสามารถรอดพ้นความโชคร้ายที่มากับสัตว์นั้นได้"

เจ้าหนูมองหน้าคนพูดด้วยสายตาหวาดหวั่น "จริงหรือพี่ซัม แล้วพี่เก็บมาทำไมล่ะ?"

"ก็น้องแมวเขาน่าสงสารนี่ครับ เอาอย่างนี้สิ น้องไทก็ปล่อยให้พี่ไตยเลี้ยงแมว หรือถ้าไม่ไหวจริง ๆ ซึ่งพี่ก็รู้ดีว่าพี่ไตยเขาก็ไม่ได้สงสารน้องแมวอย่างที่น้องไทเป็นอยู่ แต่พี่รู้มาว่าพี่โอข้างบ้านน่ะเขาใจดีนะ น้องไทลองคุยกับเขาสิครับ ให้เขามาช่วยพี่ไตยเลี้ยงแมว"

"อ้าว…แล้วพี่ซัมเป็นคนเก็บมา จะไม่ช่วยเลี้ยงหรือครับ?"

"ช่วยสิครับ ไว้ว่าง ๆ พี่จะแวะมานะครับ"

"จะไปแล้วหรือน้อง?" เสียงชายหนุ่มดังขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของเจ้าตัวยุ่งรายวันเตรียมเผ่นออกจากบ้าน

"คร้าบ วันนี้ผมมีการบ้านเยอะท่วมหัวเลยครับ ไว้เดี๋ยววันหลังจะมาอีกนะครับ"

ชายหนุ่มโบกมือให้อย่างปลง ๆ เขาอยากจะบอกว่าไปแล้วไม่ต้องมาอีกก็ได้ แต่ก็ไม่กล้าพูด เดี๋ยวมันจะงอนหาเรื่องพร่ำบ่นพรรณนาอีก เซ็งชีวิตจริง ๆ ว่ะ ทำไมกูต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วยวะ

*****

"พี่ซัมคร้าบ น้องแมวขี้ไหลไม่หยุดเลยคร้าบ" เสียงเจ้าหนูไทแว่วมาตามสายโทรศัพท์ในตอนดึกวันนั้นเอง

"อ้าว---ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?" เด็กหนุ่มเจ้าของแผนอุทานลั่น

"ไม่รู้สิครับ ตอนนี้พี่ไตยกับพี่โอก็กำลังดูใจมันอยู่ มันอาจจะไม่รอดคืนนี้" เสียงเจ้าหนูปนสะอื้น

นายซัมเริ่มลังเล รู้สึกเป็นห่วงน้องแมวอยู่เหมือนกัน แต่ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีเพราะทั้งไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอต่างก็ได้มีสิ่งผูกพันร่วมกัน เขากำลังนึกภาพน้องแมวนอนอ้าปากพะงาบพะงาบ เมี้ยวคร่อก เมี้ยวคร่อก โดยมีไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอนั่งลุ้นด้วยสายตาจดจ่อ หากเจ้าแมวเหมียวมีชีวิตรอดทั้งสองคนอาจจะโผผวาเข้าหากันด้วยอาการยินดี หรือถ้าเจ้าแมวเหมียวชะตาขาด ทั้งคู่อาจจะหันไปซบสะอื้นไห้เช็ดน้ำตาให้กันและกัน

แต่เขาจะใจร้ายปล่อยให้หนึ่งชีวิตเสียไปเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขของเขาอย่างไรกัน เขาคงจะรู้สึกเป็นตราบาปไปตลอดชีวิตเป็นแน่

*****

"พี่ซัมคร้าบ" เสียงนายไทดังมาก่อนตัว ขณะที่เขาจ่ายเงินค่าโดยสารให้กับรถแท็กซี่

"แล้วน้องแมวล่ะ?"

"อยู่ที่บ้านพี่โอครับ"

พอรู้ดังนั้น เขาจึงรีบสาวเท้าเดินไปยังบ้านของนายน้องโอซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก ในใจก็หวังว่าน้องแมวคงจะไม่เป็นอะไรนะ

"ไม่เป็นไรแล้วครับน้องโอ เดี๋ยวพี่จะดูแลมันเอง" เสียงใครคนหนึ่งแว่วอยู่ตรงหน้า

ที่หน้าบ้านของนายน้องโอนั้น นอกจากนายน้องโอ ไอ้พี่ไตย และน้องแมวแล้ว ก็มีคนที่เด็กหนุ่มไม่คาดว่าจะได้เจอยืนอุ้มกล่องของน้องแมวอยู่ด้วย

"อ้าว พี่จ้าวมาได้ไง?"

"โอเขาโทรศัพท์ไปปรึกษาพี่ เพราะรู้ว่าบ้านพี่เลี้ยงแมวเยอะ นี่พี่ก็ว่าจะพามันไปหาหมอแล้วกะว่าจะเอาไปเลี้ยงเอง"

"ไม่ลำบากพี่จ้าวหรือ?" นายซัมเอ่ยปากถาม

"ไม่หรอกเพราะบ้านพี่ก็เลี้ยงหลายตัวแล้ว เพิ่มอีกตัวจะเป็นไรไป" ปากก็ตอบนายน้องซัมแต่สายตานั้นจ้องไปที่นายน้องโอเท่านั้น

"ขอบคุณครับพี่" เสียงนายโอเอ่ยแผ่วเบาอย่างดีใจ

นายซัมได้แต่ยืนด้วยความอึดอัด แผนไม่ได้ผล แถมยังทำให้นายน้องโอเห็นความดีของพี่จ้าวมากขึ้นเสียอีก โธ่โว้ยไม่ได้ดังใจเลย

*****

หลังจากวันนั้นนายน้องซัมก็ได้ข่าวแว่วมาว่าน้องแมวแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมแล้ว และเข้ากับแมวที่อยู่ในบ้านของพี่จ้าวเป็นอย่างดี

"โออยากจะไปดูเจ้าน้องโอไหมครับ?"

นายซัมชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงพี่จ้าวคุยหงุงหงิงอยู่หน้าห้องสมุด

"ทำไมพี่ตั้งชื่อแมวว่าน้องโอล่ะครับ เดี๋ยวสับสนแย่" นายน้องโอพยายามปั้นหน้าเครียด

"ไม่สับสนหรอกครับ เวลาเรียกแมวจะได้นึกถึงคน"

คราวนี้นายน้องโอปั้นหน้าไม่ไหวเลยต้องฉีกยิ้มแทน "แล้วน้องโอเลี้ยงยากไหมครับ?"

"ไม่ยากครับ น้องโอน่ารักก็เลยเลี้ยงง่าย เย็นนี้เลิกเรียนแล้ว โอไปเที่ยวบ้านพี่นะครับจะได้เห็นกับตา"

"เย็นนี้มีซ้อมบอล กว่าจะเลิกก็ค่ำแล้ว คงไปไม่ได้หรอกครับ"

"งั้นวันที่โอไม่มีซ้อมก็แล้วกัน หรือถ้าเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ได้นะครับ"

"แต่ผมไม่รู้จักบ้านพี่นี่นา"

"ถ้าโอบอกว่าจะไปที่บ้านพี่ละก็ ไว้นัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าก่อนก็ได้ ดูหนังสักรอบ กินข้าวสักมื้อแล้วค่อยแวะไปบ้านพี่ด้วยกัน ดีไหมครับ นัดเสาร์นี้เลยก็ได้นะ"

"อย่าเพิ่งเลยครับ"

"โอไม่อยากเห็นน้องโอหรือครับ" นายพี่จ้าวทำเสียงออดอ้อน ไม่เฉพาะเสียงเท่านั้น ทั้งลูกนัยน์ตาและสีหน้านั้นแสดงความรู้สึกในใจทั้งหมดอย่างปิดไม่มิด ทำให้นายน้องโอต้องเสหลบตาไปอีกทาง

เด็กหนุ่มที่ยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ถึงกับขบเคี้ยวฟันอาฆาตในทันที "คราวหน้าจะต้องไม่พลาดแน่"

*****

วันนี้ที่โรงเรียนจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส เสียงเพลงประจำเทศกาลดังกระหึ่มไปทั่วโรงเรียน หลังจากชมการแสดงของนักเรียนแต่ละระดับชั้นที่หอประชุมใหญ่ ตอนบ่ายแต่ละห้องก็แยกย้ายกันไปจับสลากของขวัญเป็นรายการสุดท้ายก่อนกลับบ้าน

เนื่องจากไม่มีอะไรทำ แถมยังสุดเซ็งกับเรื่องที่ผิดความคาดหมายอีก เจ้าของฉายาโอเวอร์แอคติ้งก็เลยโทรศัพท์เรียกพี่ชายต่างสายเลือดให้ออกมาเลี้ยงข้าวเย็น

"กลับไปกินข้าวที่บ้านตัวเองสิ" ตอนแรกชายหนุ่มปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย

"ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน กลับไปก็เจอแต่บ้านเปล่า ๆ พี่อยากให้ผมกลายเป็นเด็กที่มีปัญหาขาดความอบอุ่นในครอบครัวหรือไงกัน มนุษยธรรมของคนบนโลกใบนี้หายไปไหนหมดแล้ว ถ้าหากวันนี้ผมกลับไปบ้านแล้วเกิดอาการเหงาว้าเหว่ ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนเพราะไม่มีใครเป็นที่พึ่งทางใจ ผมอาจจะคิดสั้นเดินทางผิดไปมั่วสุมเสพยาบ้า กลายเป็นปัญหาของสังคม เมื่อเสพยาจนไร้สติผมอาจจะปีนเสาอากาศวิทยุ จับเด็กเป็นตัวประกัน เชือดคอตัวเอง แล้วพี่คิดว่าบาปนี้เกิดขึ้นเพราะใคร เพราะการที่พี่ปฏิเสธไม่ไปกินข้าวเย็นกับผมใช่ไหม"

"พอได้แล้วน้อง พี่เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองก่ออาชญากรรมอย่างร้ายแรงขึ้นมาแล้ว แค่ข้าวมื้อเดียวใช่ไหม งั้นเจอกันที่เดิมนะ" ชายหนุ่มตัดบทอย่างอ่อนใจ

*****

"ไหนว่าแค่ข้าวมื้อเดียว" ชายหนุ่มบ่นอุบเมื่อต้องเดินเกร่อยู่ในห้างสรรพสินค้าเพราะอีกฝ่ายยังไม่อยากกลับบ้าน

"ผมก็ไม่ได้ร่ำร้องจะกินข้าวเพิ่มอีกนี่นา แค่อยากจะเดินย่อยอาหารเท่านั้นเอง"

"แต่นี่เราเดินรอบห้างแล้วนะ น้องไม่มีการบ้านกลับไปทำบ้างเลยรึไง?" ชายหนุ่มกำลังนึกถึงรายงานที่เขาจะต้องส่งอาจารย์ภายในสัปดาห์นี้

"มี แต่ทำไม่ได้ ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปลอกเพื่อน"

"ชีวิตนี้มีความสุขดีหรือน้อง?" เวนไตยเริ่มนึกอิจฉาชีวิตของเจ้าเด็กประหลาดตรงหน้าขึ้นมาแล้ว เพราะดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย มีแต่คนข้างเคียงเท่านั้นแหละที่จะรู้สึกเดือดร้อน

"ก็พอใช้" มันยักไหล่ ก่อนจะพาอีกฝ่ายเดินย่อยอาหารต่อไปอีกเรื่อย ๆ

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายอย่างไม่รู้หนทางข้างหน้า เขาเคยคิดจะเดินนำหน้ามัน แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะอีกฝ่ายนั้นนึกอยากจะหยุดเดินดูอะไรก็หยุดเสียดื้อ ๆ ไม่มีการเรียกให้คนที่มาเดินด้วยกันหยุดด้วย ทำให้ต้องเหลียวหาอยู่บ่อย ๆ แต่ถ้าตัดใจทิ้งอีกฝ่ายไว้ก็รับรองได้ว่าคืนนั้นต้องมีโทรศัพท์ไปรำพันต่อว่าด้วยสำนวนชวนเอียน ดังนั้นเพื่อความสบายใจเขาก็เลยเป็นฝ่ายเดินตาม เวนไตยมองแผ่นหลังในเสื้อนักเรียนที่เดินอยู่ข้างหน้าแล้วรู้สึกว่าอีกฝ่ายคงจะเหงาอยู่ไม่น้อย เพราะเท่าที่เขาทราบมานั้น นายซัมเป็นเด็กที่พ่อและแม่เป็นนักธุรกิจทั้งคู่จึงไม่มีเวลาให้ครอบครัว พี่สาวคนเดียวก็เรียนหนังสืออยู่ต่างจังหวัด ดังนั้นภายในบ้านที่ใหญ่โตจึงมีเพียงแม่บ้านกับเด็กรับใช้ที่รอการกลับไปของเด็กหนุ่มเท่านั้น

ร่างตรงหน้าเลี้ยวเข้าไปในร้านขายยาขนาดใหญ่ ทำให้ชายหนุ่มต้องเลี้ยวตามไปติด ๆ เห็นอีกฝ่ายไปหยุดอยู่ตรงยาสามัญประจำบ้านประเภทลดไข้ลดปวด

"พี่ไตย ยาแก้ไข้แบบไหนถึงจะดี?" นายซัมไปถามความเห็นของชายหนุ่มที่เดินตามมา

"เป็นอะไรไปหรือน้อง?" ชายหนุ่มถาม พยายามสังเกตความผิดปกติของอีกฝ่าย

"เปล่า ผมเองไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านได้ยินน้าวงศ์บ่นครั่นเนื้อครั่นตัว ก็เลยจะซื้อไปฝากแกสักหน่อย"

น้าวงศ์ที่พูดถึงนั้นก็คือแม่ครัวที่บ้านซึ่งเลี้ยงนายซัมมาตั้งแต่เด็ก ๆ

ชายหนุ่มเพิ่งจะเคยเห็นความมีน้ำใจของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ได้แต่สงสัยว่าจิตใจที่ดีงามของหมอนี่คงจะซ่อนไว้ลึกมากเสียจนใครต่อใครไม่สามารถเห็นได้

กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เขาก็ได้ยินเสียงทักทายที่ไม่คุ้นหู จากหญิงสาวในชุดนักศึกษาที่ดูเกือบจะคุ้นหน้าอยู่เหมือนกัน

"ไตยใช่ไหม? จำเราได้หรือเปล่า?"

ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะยิ้มร่า "จี๊ดหรือเนี่ย สวยขึ้นจนผมจำแทบไม่ได้"

นายซัมชะงักเท้าก่อนจะเดินย้อนกลับมายังจุดที่คนทั้งคู่ยืนคุยอยู่ เขาเหล่มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ แต่สาวจี๊ดซึ่งไม่ทันสังเกตเนื่องจากอยู่ในอาการตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนเก่า เมื่อหันไปเห็นเด็กหนุ่มในชุดมัธยมที่มากับเพื่อนตัวเองจึงมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย สายตาดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มต้องแนะนำตัวอีกฝ่ายโดยคร่าว ๆ

"มากับน้องที่รู้จักกันน่ะ แล้วจี๊ดล่ะมาทำธุระอะไร?"

"ก็มาซื้อกระดาษจะไปทำรายงาน แล้วก็เลยแวะมาซื้อยาอมแก้เจ็บคอด้วย ช่วงนี้รายงานจมหูเลย แล้วมหาวิทยาลัยของไตยเป็นไงบ้าง เรียนหนักไหม นี่พวกเราไม่ได้ติดต่อกันตั้งแต่จบมอสามเลยนะนี่"

"ตอนที่เขามี้ทติ้งเพื่อนร่วมชั้นมัธยมเมื่อปีที่แล้วผมก็ไม่ว่างไปด้วย ไม่งั้นคงได้ติดต่อกันแล้ว"

"ไม่เห็นเป็นไรเลย เอางี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวจี๊ดจะให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านไว้ติดต่อ ไตยจะได้โทรมาคุย"

นายซัมที่ยืนป้วนเปี้ยนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับตาลุกวาว เขาอุตส่าห์ใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสเพื่อให้ไอ้พี่ไตยได้เห็นความดีงามของนายน้องโอ แต่จะมาล่มสลายเพราะผู้หญิงคนเดียวได้อย่างไรกัน เพื่อเป็นการป้องกัน และตัดไฟเสียต้นลม ดังนั้นจึงควรหยุดความสัมพันธ์ที่อาจจะก่อตัวขึ้นระหว่างไอ้พี่ไตยกับสาว ๆ ที่เข้ามาใกล้ไว้ก่อน

"พี่ไตยครับ เควายหมดแล้ว ลองเปลี่ยนเป็นยี่ห้อนี้ดีไหมครับ มีกลิ่นด้วย" เด็กหนุ่มยื่นขวดสารหล่อลื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ที่วางอยู่แถวนั้นจ่อระหว่างคนทั้งคู่ ยังผลให้หญิงสาวมองหน้าเพื่อนเก่าของตนกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าสลับไปมา เมื่อสมองประมวลผลถึงความนัยทั้งหมดสำเร็จยังผลให้ใบหน้าของเจ้าหล่อนแดงก่ำในฉับพลัน

"เอ่อ---งั้นไว้วันหลังเราค่อยคุยกันต่อก็แล้วกันนะไตย จี๊ดต้องรีบไปแล้ว" หญิงสาวรีบร่ำลาอย่างรวดเร็ว

"แล้วเบอร์โทรศัพท์ล่ะยายจี๊ด" เสียงชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเสียงอ่อย

เวนไตยยืนมึนอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหันขวับไปทางนายน้องซัม "น้องมีปัญหาอะไรกับเพื่อนพี่หรือไง?"

"เปล๊า" เด็กหนุ่มยักไหล่ ก่อนจะวางขวดสารหล่อลื่นไว้ที่ตำแหน่งเดิม "ผมน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่พี่น่ะอาจจะมีปัญหาก็ได้นะ ไหนขอดูกระเป๋าตังค์หน่อย" ตอนท้ายมันเปลี่ยนเรื่องคุยหน้าตาเฉย

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักอก ถ้านับว่าเขาเป็นผู้ชายที่ซวยที่สุดในตอนนี้แล้วละก็ ควรจะพ่วงตำแหน่งคนที่มีความอดทนมากที่สุดเข้าไปด้วย

นายซัมรับกระเป๋าใส่ธนบัตรของอีกฝ่ายมารับไว้ ก่อนจะเปิดออกแล้วสอดรูปของตัวเองเข้าไปไว้ในช่องใส่บัตรแบบใส แล้วส่งคืนให้เจ้าของซึ่งยืนทำหน้างง ๆ

"เก็บไว้ให้ดีล่ะ พี่อย่าเอาออกจากกระเป๋าเชียวนะ ผมแช่งเอาไว้ด้วย" เด็กหนุ่มชี้หน้าเป็นเชิงกำชับ ก่อนจะเดินออกหน้าไป ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนมองกระเป๋าธนบัตรของตนเหมือนกับว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมา

*****

บนเตียงนอนขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นฐานบัญชาการและวางแผนมาตั้งแต่ต้น เด็กหนุ่มนอนพังพาบคิดหาแผนมารร้ายสลายสัมพันธ์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง "การที่จะทำให้ไอ้พี่ไตยคิดอะไรกับนายน้องโอนั้นคงจะยากหากไม่มีสิ่งกระตุ้น"

สิ่งกระตุ้นอย่างนั้นหรือ? ใช้อะไรดี มอมเหล้าไอ้พี่ไตย? มอมยานายน้องโอ?

ยานั่นเคยแต่ได้ยินว่าเขาใช้กัน แต่ไม่รู้จะไปหาของจริงได้ที่ไหน แต่ถ้าเป็นเหล้าล่ะก็ไม่ลำบาก ชวนไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอมานั่งกินเหล้า ว้า…พอเมาแล้วใครจะปล้ำใครละวะเนี่ย แล้วเรื่องสถานที่อีก ถ้าเป็นที่บ้านไอ้พี่ไตยก็มีเจ้าน้องไทคอยป้วนเปี้ยน เราก็ต้องคอยกันน้องไทอีก ไม่ดีแฮะ คิดใหม่ คิดใหม่

สิ่งกระตุ้นอารมณ์อย่างนั้นหรือ อะไรดีวะ หนังสือโป๊หรือหนังเอ็กซ์ก็น่าจะใช้ได้ เพราะเท่าที่ได้ยินได้ฟังมา ส่วนใหญ่เรื่องพรรค์นี้มันจะเกิดขึ้นตอนที่นั่งดูหนังอย่างว่ากันสองต่อสอง แล้วเกิดอารมณ์อย่างว่าขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นเราก็จัดฉากให้ไอ้พี่ไตยกับนายน้องโออยู่ในบ้านกันสองต่อสอง แล้วเปิดวิดีโอหนังอย่างว่าดู แบบนี้น่าจะเข้าท่าแฮะ นายซัมพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยกับความคิดของตน เอ…แต่จะไปเอาม้วนหนังที่ไหนหว่า? อ้อ จำได้แล้ว ไอ้บ๊วยเคยบอกว่าพวกไอ้แฮ๊คมีหนังพวกนี้อยู่หลายม้วน

คิดเองเออเองเสร็จสรรพ นายซัมก็กดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนร่วมห้องให้เอาม้วนหนังไปให้ตนเองที่โรงเรียนในวันพรุ่งนี้ และคืนนั้นนายซัมของเราก็หลับสบายฝันถึงแผนการที่ไปได้สวยและราบรื่น ในความฝันนั้นปรากฏภาพนัวเนียในจอโทรทัศน์ สอดประสานกับเงาตะคุ่มสองร่างที่พื้นเบื้องล่าง แล้วพี่จ้าวก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเจ็บปวด สองร่างนั้นผละออกจากกันด้วยความตกใจ เป็นไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอ

"ไม่นึกเลย ไม่นึกเลยจริง ๆ" เสียงพี่จ้าวรำพัน แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นโอบบ่าพี่จ้าวอย่างปลอบโยน

"ผมจะอยู่เคียงข้างพี่จ้าวเสมอ ไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์ จะรักเดียวใจเดียวไม่มีการทรยศหักหลังครับ"

"ต่อจากนี้ พี่ก็จะรักน้องซัมคนเดียวเท่านั้น" ประโยคสุดท้ายสะท้อนสะท้านกังวานอยู่ในความฝัน ทำให้เจ้าของความฝันยิ้มกริ่มแม้ในขณะหลับ

*****

"ม้วนนี้เยี่ยมสุด" นายแฮ็คพูดรับประกันด้วยประโยคสั้น ๆ พร้อมกับหลิ่วตาให้เพื่อน "เตรียมทิชชู่เยอะ ๆ หน่อยก็แล้วกัน ถ้าให้ดีเอ็งก็ต่อสายโทรทัศน์ไปดูในห้องน้ำเลยก็ได้"

"ขอบใจว่ะ" นายซัมรับม้วนวิดีโอ 'อีหนูสู้ไม่ถอย' จากเพื่อนร่วมห้องมาเก็บไว้ในเป้หนังสือของตนพร้อมกับวางแผนการลำดับต่อไป นั่นคือเดินตามหานายน้องโอ ซึ่งไม่ยากเท่าไรนักเพราะส่วนใหญ่ตอนพักเที่ยงมักจะป้วนเปี้ยนแถวสนามฟุตบอล แต่ที่ลำบากก็คือต้องรอช่วงโอกาสที่พี่จ้าวจะไม่เข้ามาเป็นก้างขวางคอ

วันนี้นับว่าโชคดีที่ไม่เห็นเงาพี่จ้าวอยู่แถวขอบสนามอย่างเช่นเคย นายซัมเลยโบกมือเรียกนายน้องโอมาคุยกันตามลำพังได้อย่างสะดวก

"น้องโอครับ พี่มีเรื่องจะรบกวน" เสียงนายซัมเอ่ยเอื้อนในท่วงทำนองเกรงอกเกรงใจ

"อะไรหรือครับพี่?" ใบหน้านั้นแม้จะโซมเหงื่อเพราะวิ่งไล่ลูกฟุตบอล แต่รอยยิ้มก็ยังสดใสและเปิดเผย ผิดกับนายซัมที่กำลังปั้นหน้าสุดชีวิต

"คือพี่ต้องทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องภาษาไทยน่ะครับ น้องโอเคยดูรายการเจ้าขุนทองไหมครับ เจ้าขุนทองเจื้อยแจ้วเจรจา เจ้าขุนทองหุยฮา หุยฮา นี่แหละครับ พี่ต้องทำรายงานเกี่ยวกับรายการนี้ แต่เวลาที่รายการนี้ออกอากาศนั้น เป็นตอนที่เรากำลังเดินทางมาโรงเรียน ดังนั้นพี่เลยไม่เคยได้ดูสักครั้ง วันก่อนเพื่อนพี่เขาขอให้แม่เขาอัดรายการนี้ไว้ให้ แต่เครื่องเล่นวิดีโอที่บ้านพี่เสีย ก็เลยทำอะไรไม่ได้"

"แต่บ้านผมก็ไม่มีเครื่องเล่นวิดีโอนี่ครับ"

"นี่แหละคือปัญหาสำคัญ เพราะถ้าบ้านน้องโอมีเครื่องเล่นวิดีโอ พี่ก็คงไม่ต้องมาปวดหัวขนาดนี้ บ้านอื่นที่พี่พอรู้จักก็มีอยู่หลังเดียวนั่นแหละ พี่ก็เลยจะไปขอดูที่บ้านพี่ไตย แล้วที่นี้พี่ก็ไม่ค่อยสนิทสนมกับเขาเท่าไรนัก ก็เลยอยากจะให้น้องโอไปเป็นเพื่อนพี่ด้วย ได้ไหมครับ"

"แต่ผมเห็นพี่ซัมไปบ้านพี่ไตยเขาออกบ่อยนี่ครับ" หนุ่มน้อยกังขา

"แล้วน้องโอเห็นไหมครับว่าพี่ไตยเขาก็ไม่ค่อยต้อนรับพี่เท่าไรนัก คอยไล่กลับอยู่เรื่อย ถ้ามีน้องโอไปด้วยพี่เขาอาจจะเปลี่ยนท่าทีก็ได้ครับ"

"แล้วเกี่ยวอะไรกับผมหรือครับ?"

"แหม น้องโอล่ะก็" นายซัมแกล้งกระทุ้งศอกใส่อีกฝ่ายเป็นเชิงเย้า "พี่เห็นสายตาที่พี่ไตยมองน้องโอแล้วก็ให้หวาบหวามในดวงจิต พี่ไตยเขาเอ็นดูน้องโอเป็นพิเศษนะครับ"

"พี่ซัมล้อผมเล่นแล้ว" นายน้องโอไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี เพราะจะว่าไปแล้วช่วงนี้เขาเจอกับพี่ไตยบ่อยขึ้นกว่าเดิมก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรเป็นพิเศษ ผิดกับพี่จ้าวที่ช่วงหลัง ๆ มานี่เขายังเริ่มจะสนิทสนมมากขึ้นจนตัวเองยังนึกประหลาดใจที่รู้สึกคุ้นเคยกับร่างสูง ๆ ที่คอยเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ข้าง ๆ

"น่านะ ถือว่าช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก พี่ไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้ว ถ้าน้องโอไม่เมตตาพี่คงทำรายงานเสร็จไม่ทันพรุ่งนี้แน่ นะครับน้องโอ"

ด้วยนิสัยขี้ใจอ่อน ทำให้นายน้องโอต้องพยักหน้ารับปากอย่างจำใจ นายซัมยิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะกลับไปเตรียมการอื่นอีก เด็กหนุ่มคว้าม้วนเทปวิดีโออีหนูสู้ไม่ถอยขึ้นมาจากเป้แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแปะกระดาษป้ายชื่อ "รายการเจ้าขุนทอง" ทับลงบนม้วนเทปที่เตรียมไว้

*****

"มาแล้วครับ เจ้าขุนทอง เจ้าขุนทอง" นายซัมร่อนม้วนเทปไปมา ก่อนจะจัดที่นั่งให้ผู้ชม "พี่ไตยเชิญนั่งให้สบายเลยครับ ส่วนน้องโอก็เชิญนั่งลงข้าง ๆ เลยครับ นั่งติด ๆ ชิด ๆ กัน รายการเด็ก ๆ ไม่มีพิษไม่มีภัย เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ดูฟรี ๆ ไม่คิดสะตุ้งสตางค์ มาดูน้องควายฉงน น้องควายฉงาย น้องจระเข้ขอนลอย น้องหมาหางดาบ ดูกันทั้งครอบครัวสร้างความรักความอบอุ่นแก่สมาชิกภายในบ้าน"

นายซัมแหย่ม้วนเทปเข้าไปในเครื่องเล่นวิดีโอ แล้วทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

"ผมลืมไปว่านายน้องไทก็อยากดูด้วย เดี๋ยวผมไปตามมาดูด้วยกันนะครับ พี่ไตยกับน้องโอดูกันไปพลาง ๆ ก่อนก็แล้วกัน ดูเผื่อผมด้วยนะครับ จะได้ช่วยกันทำรายงาน หลายแรงแข็งขัน มีพลังฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ดีกว่าการทำอะไรคนเดียวครับ" พูดจบก็กดปุ่มให้เครื่องเล่นวิดีโอทำงานก่อนจะโบกมือแล้ววิ่งออกไปนอกบ้าน ปล่อยให้นายน้องโอกับไอ้พี่ไตยมองหน้ากันด้วยความสงสัย

เวนไตยส่ายศีรษะด้วยความระอาในคารมของนายซัม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีด้วย "โอดูหนังไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะเอาขนมมาให้"

พูดจบก็เดินเข้าครัวไปเปิดตู้กับข้าวกับตู้เย็นเสียงดังกุกกัก สักพักก็เดินออกมาพร้อมจานขนมในมือหนึ่งและขวดน้ำหวานหิ้วร่องแร่งมาในอีกมือ

"เฮ้ย!" นายพี่ไตยร้องลั่นเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่บนจอซึ่งกำลังฟัดกันนัวเนีย "นี่มันไม่ใช่เจ้าขุนทองนี่หว่า?"

นายน้องโอนั่งหน้าแดงแล้วแดงอีก เพราะคิดจะปิดแต่แรกก็ไม่กล้าเพราะไม่ใช่เจ้าของบ้าน ดังนั้นเมื่อเจ้าของบ้านออกมา นายน้องโอจึงรีบเอ่ยปากลากลับทันที "ผมต้องกลับไปทำการบ้านก่อนครับ ฝากการบ้านพี่ซัมด้วยนะครับพี่ไตย"

*****

ในที่สุดเวนไตยก็เดินไปตามหานายซัมเจอที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน เจ้าน้องซัมตัวดีกำลังวิ่งเล่นอยู่กับพวกเด็ก ๆ อย่างสบายใจเฉิบ

"น้องทำแบบนี้มันไม่ถูกนะ ทำเหมือนจงใจจะแกล้งโอเขา" ชายหนุ่มอบรมอีกฝ่าย เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ในใจ ทำไมมันถึงได้ทำแต่เรื่องบ้า ๆ ทุกครั้ง

"ผมไม่รู้จริง ๆ นะครับ" นายซัมยืนกรานหัวชนฝา เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีทีท่าว่าจะโกรธจริง ๆ "คนเรามันก็ต้องมีพลาดกันได้นี่ครับ ถ้าผมรู้ว่าเป็นหนังอย่างว่าก็คงจะไม่ให้พี่กับน้องโอเขาดูหรอกครับ พี่ไม่คิดหรือว่าเพื่อนผมมันอาจจะหยิบม้วนเทปผิดให้ผม แล้วผมก็เอามาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย พี่ไม่เคยคิดแบบนี้เลยใช่ไหม ใช่สิ เพราะพี่คิดว่าผมเป็นคนลามกและทะลึ่ง ผมเสียใจจริง ๆ ที่รู้ว่าพี่คิดกับผมในแง่ลบมาตลอด ผมมันเป็นคนไม่ดี เป็นคนเลวที่ไม่มีใครต้องการแล้ว"

เวนไตยมองสีหน้าสำนึกผิดของอีกฝ่ายแล้วต้องส่ายศีรษะอย่างระอา ทำไมเขาถึงได้ใจอ่อนกับไอ้เด็กเวรนี่ทุกทีเลยวะ

*****

สืบเนื่องจากวิดีโอเรื่อง 'อีหนูสู้ไม่ถอย' หรือในอีกชื่อคือ 'เจ้าขุนทองภาคนัวเนีย' ได้ก่อให้เกิดความกังขาและเคลือบแคลงสงสัยจากผู้ร่วมเหตุการณ์ ทำให้นายซัมจอมวางแผนต้องหยุดชะงักแผนต่าง ๆ ไปก่อน แต่เด็กหนุ่มก็ยังป้วนเปี้ยนไปบ้านของเวนไตยเท่าที่มีเวลา เพื่อจะได้กรุยทางสำหรับแผนการลำดับต่อไป และแล้วโชคชะตาก็มาเข้าทางอย่างไม่คาดฝันในตอนเย็นวันถัดมานั่นเอง

"พี่ซัม ห้องของผมจะเล่นละครในวันเด็กกันครับ เนี่ยผมได้รับมอบหมายให้เป็นคนเขียนบทด้วยละครับ" เจ้าหนูไทวะอวดความสามารถของตนให้กับพี่ชายคนใหม่ที่ช่วงนี้มาบ้านของตนแทบทุกวัน

นายซัมรับสมุดที่เขียนบทสนทนาของตัวละครมาดูอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะทำตาลุกวาวเมื่อนึกแผนการบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน นายซัมนั่งตัวตรงก่อนจะวางมือบนไหล่เล็ก ๆ ของเด็กชายไทวะ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง "น้องไทครับ พี่คิดว่านี่เป็นบทละครที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่พี่เคยพบมาตลอดช่วงชีวิตของพี่"

เด็กชายไทวะยิ้มอาย ๆ ไม่รู้สึกสะดุดหูกับประโยคสุดโอเวอร์ อาจจะเป็นเพราะได้ยินอีกฝ่ายพูดจนชินแล้ว "ก็นิดหน่อยแหละครับ ผมมักจะได้คะแนนภาษาไทยดีเสมอ ครูเลยมอบหมายหน้าที่นี้ให้"

"อัจฉริยะจริง ๆ ครับน้องไท คำพูดของตัวละครเฉียบคมบ่งบอกถึงบุคลิกภาพอันโดดเด่นของคนเขียนบท การเลือกคำมาใช้ก็เหมาะสมกับตัวละครทุกตัว อันแสดงถึงศักยภาพของนักเขียนที่ชำนาญในงานโดยเฉพาะ" เด็กหนุ่มป้อนคำชมไม่ยั้งปาก

ชายหนุ่มที่นั่งอ่านนิตยสารกีฬาอยู่ข้าง ๆ แอบปรายตามองคนพูดแล้วส่ายหัวดิก อะไรมันจะบ้าได้ขนาดนั้นวะเนี่ย ว่าแล้วเขาก็ดึงสมุดที่อีกฝ่ายถืออยู่ขึ้นมาอ่านออกเสียง

"วันนี้อากาศดีจริง ๆ เลยนะสิงโตน้อย เราแอบไปเที่ยวที่บ้านนายพรานใจร้ายกันเถอะ---ไม่ดีหรอกกระต่ายน้อย เดี๋ยวนายพรานใจร้ายเห็นเรา เขาจะยิงพวกเราตายแหงแก๋---" ชายหนุ่มหัวเราะหึหึ "ยอดเยี่ยมจริง ๆ นายไท บทละครยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต"

น้องชายมองหน้าพี่ชายอย่างโกรธขึ้ง "พี่ไตยหัวเราะอะไร?"

"น้องไทอย่าไปว่าพี่ไตยเขาเลย เขาไม่รู้ถึงจิตวิญญาณของตัวละครที่กลั่นกรองมาจากหัวใจของคนเขียนหรอกครับ แต่พี่สัมผัสได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกที่ลุ่มลึกอันสอดแทรกอยู่ในประโยคที่ตัวละครพูด"

แม้จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก แต่ก็คาดว่าน่าจะเป็นคำพูดชมเชย ทำให้เด็กชายไทวะพยักหน้าเห็นดีเห็นงามและสรุปสั้น ๆ "พี่ซัมเป็นคนดี"

"เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" ผู้เป็นพี่ชายเปรยคล้ายรำพึงกับตัวเอง ยังผลให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถลึงตาใส่ แล้วกระชากสมุดบทละครของนายน้องไทกลับคืน

"น้องไทครับเราอย่าสนใจเสียงนกเสียงกาเลยครับ ตอนนี้เราควรมาคิดดูว่าบทละครของน้องไทนั้นต้องแก้ไขอะไรอีกบ้าง โอ๊ะ-โอ๊ะ พี่ไม่ได้ว่าบทละครของน้องไทจะไม่ดีหรอกนะครับ เพียงแต่ว่าเมื่อนักแสดงอยู่บนเวทีเขาจะต้องสวมบทบาทที่ได้รับ แต่บางครั้งบทที่เราเขียนขึ้นอาจจะไม่เหมาะกับการแสดงเท่าไร หากผู้แสดงยังไม่ช่ำชองและชำนาญเพียงพอ"

เจ้าหนูนั่งฟังตาใสซื่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้นตะกุกตะกักเพราะภาษาที่อีกฝ่ายใช้นั้นยากเกินกว่าสมองของเด็กประถมอย่างเขาจะเข้าใจได้ "แล้วมันหมายความว่าอะไรครับ?"

"หมายความว่าแม้บทละครของน้องไทจะดีเลิศสักปานใด แต่ถ้าได้ตัวแสดงที่ไม่เก่งพอ เราอาจจะมีปัญหาก็ได้นะครับ"

นายน้องไทเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว "อ๋อ---เรื่องตัวแสดงใช่ไหมครับ ผมเองก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่สามารถเลือกนักแสดงได้เองครับ คุณครูเป็นคนเลือก ได้ข่าวว่าจะให้ยายแก้วลูกสาวครูใหญ่เป็นคนแสดงด้วย ยายนั่นเล่นละครเหมือนกับเอาก้อนหินไปตั้งกลางเวทีเลยครับ"

"นั่นแหละครับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของเรา เราจำเป็นต้องเขียนบทละครให้ง่ายต่อนักแสดงที่แม้จะงี่เง่าขนาดไหนก็ต้องแสดงได้ เราอาจจะทดลองง่าย ๆ กับมือสมัครเล่นก่อน"

"ทำไงครับ?"

นายซัมยิ้มกริ่มก่อนจะเอ่ยปาก "เรามาลองเล่นกันก่อนไหมครับ ชวนพี่โอข้างบ้านมาด้วย"

พอฟังมาถึงตอนนี้ เวนไตยเริ่มรู้สึกทะแม่ง ๆ ขึ้นมาทันที เขามองหน้าคนพูดอย่างไม่ไว้วางใจ มันต้องมีแผนอะไรอีกแน่ และเพื่อความปลอดภัยเขาควรจะฉากหลบไปก่อนจะดีที่สุด "ไท เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปอ่านหนังสือบนห้องก่อนนะ"

"ไม่ได้" นายซัมตวาดลั่นด้วยความลืมตัว ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง

"ทำไม?"

เด็กหนุ่มรีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ "เพื่อน้องไทแล้ว ผมเห็นว่าพี่ไตยควรจะเป็นเสาหลักในครั้งนี้ เพราะจุดประสงค์ที่เราจะทดลองเล่นละครนั้นก็เพื่อจะปรับบทกับนักแสดงยอดห่วย และผมเห็นว่าพี่ไตยนี่เหมาะสมที่สุดแล้ว"

"ใช่ พี่ไตยเหมาะที่สุด" น้องชายตัวดีเห็นด้วยในทันทีว่าพี่ชายของตนนั้นเล่นละครได้ห่วยแตกที่สุด "ถ้าพี่ไตยสามารถเล่นบทละครของผมได้ ยายแก้วก็ต้องเล่นได้เหมือนกัน"

"พี่ไม่ว่าง" เขาพยายามจะไม่ใจอ่อน

อยู่ดีดีเสียงนายซัมก็กังวานลั่นบ้าน "อนาคตของชาติอยู่ในมือของท่าน ความหวังของเด็กน้อยอันเป็นอนาคตของชาติถูกทำลายโดยผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเข้าใจโลกของเด็ก น้องไทครับ พี่เสียใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถทำความฝันของน้องให้เป็นความจริงได้ นักเขียนอัจฉริยะกลับต้องถูกสกัดกั้นพรสวรรค์และความสามารถด้วยฝีมือของพี่ชายคนเดียวของเขา นับเป็นความอัปยศโดยแท้"

"พี่ซัมครับ ผมเองก็เสียใจที่เกิดมามีกรรม ไม่ได้รับความร่วมมือจากพี่ชายของตัวเอง โอ---พวงสวรรค์ เอ้ย--พรสวรรค์ถูกปิดกั้น" เจ้าหนูรำพันผิด ๆ ถูก ๆ แต่ลีลาเหลือรับประทาน

"อย่าโทษตัวเองเลยน้องไท คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าชาติหน้ามีจริงให้น้องไทเกิดมาเป็นน้องของพี่ก็แล้วกัน พี่จะส่งเสริมน้องจนกว่าชีวิตพี่จะหาไม่"

"พี่เป็นคนดีจริง ๆ พี่ซัมมาเป็นลูกบ้านนี้ด้วยกันเถอะครับ ผมอยากได้พี่ชายอย่างพี่มานานแล้ว"

หากมีใครโผล่เข้ามาในบ้านตอนนี้ก็อาจจะงุนงง และมองหากล้องถ่ายภาพยนตร์กันให้ควั่ก เพราะนึกว่าทั้งคู่กำลังแสดงบทบาทพี่ชายและน้องชายที่พลัดพรากจากกันมานาน

เวนไตยมองหน้าน้องชายของตนสลับกับนายตัวยุ่งรายวันอยู่ไปมา ขืนปล่อยให้นายน้องซัมมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านนานวันเข้า สงสัยเชื้อโอเวอร์แอคติ้งจะแพร่ขยายจนครอบครองบ้านหลังนี้เป็นแน่แท้

"เออ ยอมก็ได้ จะทำอะไรก็ทำซะ" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างปลง ๆ ชีวิตของเขามันชะตาตกต่ำถึงขีดสุดแล้วนับแต่ได้เจอหน้าไอ้นายน้องซัม

*****

เด็กชายไทวะไปยืนเกาะรั้วบ้านของนายน้องโอสักพักก็สามารถเกลี้ยกล่อมและชักจูงพี่ชายข้างบ้านให้มาร่วมส่งเสริมพวงสวรรค์---เอ้ย พรสวรรค์ของตนจนได้ในที่สุด

"พี่เล่นละครไม่เก่งนะครับน้องไท" นายน้องโอออกตัว ที่จริงก็อยากจะปฏิเสธเพราะวันนี้พี่จ้าวบอกว่าจะโทรศัพท์มาคุยด้วยตอนกลางคืน ทำให้เขาคิดจะงีบตอนเย็น ๆ สักพักหลังวิ่งออกกำลังกาย เพราะถ้าคุยโทรศัพท์กับพี่จ้าวก็หายห่วง บางคืนก็ถึงรุ่งสาง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายช่างหาเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาคุยกันได้มากมาย ทั้งที่ตอนอยู่ในโรงเรียนก็คุยกันสารพัด

"ไม่เป็นไรครับ มีคนเล่นห่วยกว่าพี่อยู่แล้ว" เด็กชายไทวะตอบอย่างเชื่อมั่นในตัวพี่ชายของตนว่าเป็นบุรุษที่ประพฤติตนเหมือนเสาหินที่เขาเอาไปตั้งกลางเวที

"พี่โอยืนตรงนี้ครับ พี่ไตยก็ยืนตรงนี้" น้องไทจูงมือพี่ชายกับเพื่อนบ้านให้ยืนประจันหน้ากันกลางบ้าน

นายซัมยืนเอียงคอมองอย่างครึ้มใจ ก่อนจะเอ่ยแย้งผู้กำกับใหญ่ "ห่างไปครับน้องไท สิงโตน้อยกับกระต่ายน้อยต้องยืนใกล้กันมากกว่านี้"

พูดจบก็ผลักร่างของไอ้พี่ไตยไปชิดร่างของนายน้องโอ จนชายหนุ่มโวยวาย "เฮ้ย! ใกล้กันเกินไปแล้ว จะคุยกันรู้เรื่องได้ไงวะ?" ว่าแล้วก็แยกตัวออกมายืนในระยะที่คิดว่าเหมาะสม

นายซัมส่งเสียงจึ้กจั๊กอย่างขัดใจ

"พี่ไตยเป็นกระต่ายน้อย ส่วนพี่โอเป็นสิงโตน้อยนะครับ พี่ไตยกับพี่โอต้องพูดตามบท เดี๋ยวผมจะอ่านบทให้พูดตาม"

เด็กหนุ่มจอมวางแผนรีบแย้งทันควัน "ไม่ดีครับน้องไท ตอนนี้ประสาทสัมผัสของน้องไทไม่ควรถูกทำให้แตกกระสานซ่านเซ็นด้วยการควบสองตำแหน่ง พี่ว่าน้องไทควรจะทำตัวเป็นผู้กำกับคอยดูว่าบทและการแสดงเหมาะสมหรือเปล่า ส่วนหน้าที่การบอกบทพี่จะขอรับภาระเอง"

นายน้องไทพยักหน้าหงึกเป็นเชิงเห็นด้วย ว่าแล้วเด็กชายก็ไปลากเก้าอี้มานั่งดูการแสดงเบื้องหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

นายซัมยืนถือสมุดบทละครอยู่ข้าง ๆ นักแสดงทั้งคู่ ก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นนายน้องโอทำหน้าเหมือนเขิน ๆ

"เริ่มเสียทีสิครับน้อง" เวนไตยเตือนคนบอกบท

เด็กหนุ่มแสยะยิ้มก่อนจะสวมวิญญาณคนบอกบทโดยพูดเสียงเบาพอให้ได้ยินเฉพาะนักแสดง "ทั้งคู่จ้องตากัน"

ชายหนุ่มหันไปมองคนบอกบทอย่างสงสัย "จ้องตากันทำไมครับน้อง?"

"อ้าว เวลาคนจะพูดคุยกัน เขาก็ต้องจ้องตากันทั้งนั้นแหละ ไอ้พวกที่หลบตานั้นแสดงว่าไม่มีความจริงใจกับคนที่พูดด้วย" มันให้เหตุผลประกอบที่มีน้ำหนักยิ่ง

"มีอะไรกันหรือ ทำไมไม่เริ่มเสียทีล่ะ?" เสียงเจ้าหนูไทวะโวยวายมาจากเก้าอี้ผู้กำกับ

"นักแสดงมีปัญหานิดหน่อยครับน้องไท" ผู้ช่วยผู้กำกับฟ้องทันที

"เฮ้อ…นักแสดงสมัครเล่นก็แบบนี้แหละ เกี่ยงบท ให้เล่นบทยากหน่อยก็บอกว่าทำไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่จะปิดกล้องได้เล่า" เจ้าหนูบ่นเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของทุนสร้างหนังพันห้าร้อยล้าน

ผู้เป็นพี่ชายรู้สึกคันอวัยวะเบื้องล่างยิก ๆ อยากเตะทั้งผู้กำกับและผู้ช่วยเต็มทน

*****

"คาเมร่า แอคชั่น" เจ้าหนูไทวะส่งเสียงร้องเป็นสัญญาณให้ทุกคนเริ่มต้นแสดงได้

"กระต่ายน้อยจับมือสิงโตน้อยแล้วพูด วันนี้อากาศสดชื่นแจ่มใส พระอาทิตย์ส่องแสงสาดส่องเหมือนหัวใจของพี่นั้นเปล่งประกายความรักให้กับน้อง" นายซัมบอกบทโดยที่ไม่ได้ก้มดูสมุดบทละครของเด็กชายไทวะ

ชายหนุ่มหันไปมองหน้าคนบอกบทอีกครั้ง "น้องครับ นี่มันบทละครเด็กประถมนะครับ"

นายซัมถลึงตามองอีกฝ่ายเป็นเชิงคาดคั้น "เล่นไปตามบทสิพี่"

เวนไตยส่ายหัวอย่างระอา กลุ้มใจจริง ๆ เลยว่ะ ว่าแล้วก็ฉวยมือนายน้องโอไว้แล้วพูดเหมือนท่อง "วันนี้อากาศสดชื่นแจ่มใส"

นายซัมทำท่าลุ้น แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบไม่พูดต่อ "ทำไมไม่พูดละพี่?"

"ก็บทมันยาว จำได้แค่นี้แหละ" ผู้สวมบทกระต่ายน้อยเถียงกลับ

"งั้นจะบอกให้ทีละประโยค" นายซัมถอนหายใจอย่างหนักอกก่อนจะบอกบท "พระอาทิตย์ส่องแสงสาดส่อง"

ชายหนุ่มว่าตามเหมือนท่องอาขยาน

"เหมือนหัวใจของพี่นั้นเปล่งประกายความรักให้กับน้อง"

คราวนี้กระต่ายน้อยหยุดพูดเสียเฉย ๆ แถมยังมองคนบอกบทอย่างคาดคั้น ทำให้นายซัมต้องกลับเข้าเนื้อหาเดิม

"พวกเราแอบไปเที่ยวที่บ้านนายพรานใจร้ายกันเถอะ"

เมื่อเห็นว่าบทละครเป็นไปตามเนื้อเรื่องที่แท้จริง กระต่ายน้อยจึงยอมพูดตามบทแต่โดยดี

นายซัมเปลี่ยนมาบอกบทนายน้องโอ "สิงโตน้อยจับแก้มกระต่ายน้อย แล้วพูด กระต่ายน้อยเธอน่ารักจังเลย"

นายน้องโอมองหน้าคนบอกบทอย่างไม่เชื่อหู แต่เมื่อนายซัมพยักหน้าให้ทำตามที่บอก เด็กหนุ่มจึงได้แต่ทำตามบทอย่างกระอักกระอ่วนใจ

เด็กชายไทวะที่นั่งมองการแสดงอยู่ข้าง ๆ ตะโกนลั่น "คัท คัท คัท"

"มีอะไรครับน้องไท?" นายซัมชักรำคาญ เพราะตอนนี้เรื่องเริ่มจะไปได้สวย เนื่องจากนายน้องโอไม่กล้าหือเหมือนไอ้พี่ไตย

"สิงโตน้อยต้องพูดว่า นายพรานใจร้ายจะฆ่าพวกเราตายหมด---ไม่ใช่หรือครับพี่ซัม?" ผู้กำกับใหญ่ชักสงสัย

"บทนั้นมันไม่ค่อยเหมาะครับน้องไท พี่เลยเปลี่ยนนิดหน่อย"

"แต่มันไม่เข้ากับเรื่องนะครับ"

"เราต้องเปลี่ยนบทสนทนาให้เหมาะกับตัวแสดง" นายซัมเถียงหน้าตาเฉย

"แบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องของผมแล้วสิ"

เวนไตยยืนมองผู้กำกับและผู้ช่วยถกเถียงกันด้วยอาการขบขัน ส่วนนายน้องโอผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็พลอยอมยิ้มไปด้วย

*****

"วันนี้ไปเล่นกับน้องไทเด็กข้างบ้านมาครับ" นายน้องโอรายงานพี่จ้าวทางโทรศัพท์ ใบหน้าคล้ำแดดเพราะกีฬาฟุตบอลนั้นพราวด้วยหยดน้ำเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ

"เล่นกับน้องหรือเล่นกับพี่กันแน่ครับ" เสียงนายจ้าวเหมือนจะแหย่อีกฝ่าย เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนที่น้องโอของเขาแอบชอบก็คือพี่ไตยข้างบ้านนั่นเอง

"ก็ทั้งสองคนแหละครับ มีพี่ซัมด้วย"

"เดี๋ยวนี้นายซัมเขาไปที่บ้านนั้นบ่อยจริง แล้วนายซัมเขามายุ่งอะไรกับโอหรือเปล่า?"

"ไม่นี่ครับ พี่ซัมเขาก็ดีนี่ครับ ตลกดี"

"หมอนั่นตลกร้ายต่างหาก ระวังไว้บ้างก็ดีนะ" นายจ้าวเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดี เพราะเขารู้ฤทธิ์ของจอมลวดลายโอเวอร์แอคติ้งเป็นอย่างดี เพราะตลอดช่วงเวลาที่นายน้องซัมเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี้ หมอนั่นตามติดเขาแจ แถมมีลีลาการเข้ามาหาแบบแปลก ๆ ไม่ซ้ำรูปแบบเดิมอีกต่างหาก โชคยังดีที่เขายังมีสติตั้งมั่นไม่ใจอ่อนไปกับบทบาทของอีกฝ่าย ประคองตัวไม่ให้เพลี่ยงพล้ำจนกระทั่งมาเจอนายน้องโอนี่แหละ แต่เขาก็ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตัดใจไปง่าย ๆ หรืออาจจะเป็นเพราะนายพี่ไตยกระมัง ที่ทำให้นายน้องซัมเปลี่ยนเป้าหมายไป นึกแล้วก็สงสารชายหนุ่มรุ่นพี่อยู่ไม่น้อยที่จะต้องเจอกับประสบการณ์อันน่าปวดหัว แต่อีกใจก็รู้สึกดีที่จะได้หมดคู่แข่ง

"ระวังอะไรกัน พี่จ้าวพูดแปลก"

"พี่ก็พูดไปอย่างนั้นเอง แล้ววันนี้นายซัมเขามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะครับ?"

"เขามาช่วยน้องไทดูบทละคร แต่ตลกดี เพราะตอนท้ายกลับทะเลาะกันเอง ผมถึงได้บอกว่าพี่ซัมเป็นคนตลก ไม่เห็นน่ากลัวเลยสักนิด"

แม้อยากจะบอกว่าที่อีกฝ่ายคิดนั่นผิดถนัด แต่นายพี่จ้าวก็ยังมีมรรยาทพอที่จะไม่นินทานายน้องซัมลับหลัง สักพักเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย ๆ ทั้งเย้าแหย่ทั้งออดอ้อนสารพัด เขารู้ได้โดยสัญชาติญาณว่านายน้องโอก็คงจะมีใจให้เขาอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ได้ตัดบทว่าง่วงนอนหรือวางหูโทรศัพท์ไปเสียเฉย ๆ เหมือนอย่างครั้งแรก ๆ ที่เคยทำ

*****

ณ กองบัญชาการปฏิบัติการมารร้ายสลายสัมพันธ์ (ของนายน้องโอกับพี่จ้าว) จอมวางแผนนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงเค้นสมองหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการ

"แผนการที่ผ่านมาทั้งหมดมักล้มเหลวเพราะช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม การที่คนเราจะมีอะไรกันนั้น บรรยากาศก็น่าจะมีส่วน ไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอเจอหน้ากันเฉพาะตอนกลางวันอันร้อนระอุ ไหนเลยจะมีอารมณ์พิศวาสกันได้ ถ้าเป็นใต้เงาจันทร์นอนนับดาวน่าจะได้ผลมากกว่า บรรยากาศยามค่ำคืนมักจะมีมนต์ขลัง ดังนั้นต้องหาทางให้ทั้งคู่เจอกันยามค่ำคืน และถ้าจะรับประกันผลแน่นอนต้องให้นอนค้างด้วยกันได้ยิ่งดี เพราะส่วนใหญ่ร้อยละร้อยมักจะเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนเดอะเฟริสท์ไทม์ก็ตอนได้นอนค้างใต้หลังคาเดียวกันนี่แหละ"

นายซัมลูบคางอย่างใช้ความคิด เพราะงานนี้อาจจะยากสักหน่อยเพราะบ้านไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอมันอยู่ใกล้ขนาดเดินถึงกันแบบนี้ จะหาเรื่องมานอนค้างได้อย่างไรกัน แต่นายซัมเสียอย่าง ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ

นายน้องโอนั้นเป็นเด็กที่มาจากต่างจังหวัด บ้านที่พักอยู่ก็เป็นบ้านญาติซึ่งไม่มีคนอยู่ นายน้องโอจึงได้เข้ามาอยู่ในฐานะคนดูแลบ้าน เพราะบ้านไหนที่ไม่มีคนอยู่มักจะโทรมเร็ว และเนื่องจากที่บ้านต่างจังหวัดของนายน้องโอนั้นนับว่าเข้าขั้นพอมีอันจะกิน ดังนั้นบ้านที่นายน้องโอพักอยู่คนเดียวจึงมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน

"บ้านน้องโอมีเคเบิ้ลทีวีไหมครับ?" นายซัมแกล้งถามนายน้องโอ ทั้งที่เด็กหนุ่มรู้คำตอบดีอยู่แล้วเนื่องจากเคยเห็นจานรับสัญญาณติดอยู่บนชายคาบ้านอีกฝ่าย

"มีครับ" นายน้องโอพาซื่อ

"ดีจริง ๆ เลยครับ พี่อยากดูบอลนัดสำคัญจังเลยครับ เห็นบอกว่าเป็นนัดหยุดโลก หากไม่ได้ชมต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ แต่บ้านพี่น่ะยังไม่ได้ติดเคเบิ้ลทีวีน่ะสิครับ สงสัยคงจะไม่ได้ดูบอลนัดนี้แล้วแน่ โอ้อนิจจาชีวิตวัยหนุ่มอันแสนห้าวหาญ หากไม่มีโอกาสได้เห็นความมุ่งมั่นและหยาดเหงื่อของนักฟุตบอลฝีตีนเยี่ยมครั้งนี้แล้ว ก็ดูเหมือนชีวิตคงจะไร้ค่าสิ้นดี พี่มันคนไร้โชควาสนา ตกชะตาอาภัพ ลักขณาอับโชค ยิ่งต่อแต่นี้ไป ชีวิตของพี่ก็คงจะหมองหม่นลงทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน" ตอนท้ายเจ้าตัวทำเสียงแผ่วหายไปในลำคอ แสดงถึงความสามารถในการแสดงอันสุดที่จะหาดาราเจ้าบทบาทใดมาเทียบเคียงได้

นายน้องโอมองลีลาการพรรณนาของรุ่นพี่ร่วมโรงเรียนแล้วอดจะขนลุกไม่ได้ และด้วยเป็นคนที่มีจิตใจดีงามทำให้หลงกลอีกฝ่ายโดยง่าย

"ถ้างั้นพี่ซัมไปดูที่บ้านผมก็ได้นะครับ"

"จะดีหรือครับน้องโอ พี่รู้สึกว่าตนเองเป็นหนี้บุญคุณน้องโอหลายครั้งหลายหน จนสำนึกว่าชาตินี้พี่จะทดแทนคุณอย่างไรจึงจะหมดสิ้น งั้นเย็นนี้พี่ขอรบกวนนะครับ พี่เอากระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมไว้แล้วด้วย พี่รู้ว่าน้องโอมีซ้อมบอลถึงเย็น ถ้ายังไงพี่จะไปนั่งรออยู่ที่บ้านพี่ไตยก่อนนะครับ"

นายน้องโอมองร่างของรุ่นพี่ที่เดินจากไปด้วยอาการมึนงง เพราะตนเองเป็นคนที่คิดอะไรได้ช้ากว่าคนอื่นอยู่แล้ว เรื่องที่นายพี่ซัมคุยด้วยเมื่อครู่จึงดูเหมือนจะไม่เข้าใจมากขึ้นกว่าคนปกติเป็นสองเท่า

"คิดอะไรหรือครับโอ?" เสียงนุ่ม ๆ ของพี่จ้าวดังขึ้นข้างหู แล้วแก้มเนียนสีน้ำตาลก็โดนจมูกของอีกฝ่ายชนอย่างว่องไว

"พี่จ้าว อย่าทำแบบนี้อีกนะ" นายน้องโอเอามือกุมแก้มแล้วตวาดลั่น ก่อนจะหันไปมองรอบข้างอย่างระแวดระวัง โชคดีที่ยังไม่มีใครผ่านมาเห็นเข้า

"ครับ ต่อไปพี่ไม่ทำแล้ว" แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่นัยน์ตายังฉายแววยั่วเย้า "ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือครับ เมื่อครู่พี่เห็นหลังนายซัมอยู่ไว ๆ"

"คืนนี้พี่ซัมเขาจะไปดูบอลที่บ้านผม"

"แล้วทำไมต้องไปดูบ้านโอด้วยล่ะครับ?"

"พี่ซัมบอกว่าบ้านเขาไม่มีเคเบิ้ลทีวี ก็เลยจะมาขอดูที่บ้านผมแทน"

นายพี่จ้าวเลิกคิ้วอย่างสงสัย มีหรือที่บ้านระดับนายน้องซัมจอมโอเวอร์แอคติ้งจะไม่ติดตั้งเคเบิ้ลทีวี แต่พูดไปทำไมมี พฤติกรรมของนายน้องซัมนี่คาดเดาได้ยากอยู่แล้ว ถ้าคิดมากไปจะพลอยปวดหัวเสียเปล่า ๆ

"แล้วโอว่าไงครับ?"

"ก็อนุญาตสิครับ ที่จริงก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเพราะผมเองก็อยู่บ้านคนเดียวอยู่แล้ว แค่พี่ซัมมาอาศัยนอนบ้านดูบอลคืนเดียวจะเป็นไรไป"

นายพี่จ้าวพยักหน้าทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปาก "พี่ก็อยากดูบอลที่บ้านโอเหมือนกัน"

"บ้านพี่จ้าวก็มีเคเบิ้ลทีวีนี่ครับ"

"แต่ดูหลาย ๆ คนสนุกกว่าไม่ใช่หรือครับ งั้นเดี๋ยวพี่ขอไปเตรียมเสื้อผ้าที่บ้านก่อน แล้วเย็นนี้พี่จะไปที่บ้านโอ"

*****

หลังเลิกเรียนนายซัมหอบกระเป๋าเสื้อผ้าไปที่บ้านของเวนไตยพร้อมแผนการในสมอง

ชายหนุ่มเปิดประตูออกมารับแขกคุ้นหน้าด้วยสายตาแสดงอาการหวาดผวา "น้องหอบกระเป๋าเสื้อผ้ามาทำไม?"

"มาดูบอลที่บ้านน้องโอคืนนี้ครับ" นายซัมรีบเฉลยเพราะอีกฝ่ายทำท่าจะปิดประตูบ้านไม่ให้เข้า

เวนไตยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เพราะกลัวใจอีกฝ่ายจริง ๆ ไม่รู้ว่ามันจะหอบผ้าหอบผ่อนมาสิงสถิตย์เป็นการถาวรที่บ้านของตนวันไหน

"แล้วโอเขาอนุญาตแล้วหรือ?"

"ครับ เอ้อ--พี่ไตยไปค้างบ้านน้องโอด้วยกันสิครับ" นายซัมรีบชวนเมื่อสบโอกาส

"จะไปค้างทำไม บ้านพี่อยู่ใกล้แค่นี้เอง"

"ไปดูบอลไงครับ นัดหยุดโลกด้วยนะพี่"

"สารภาพตามตรงเลยน้อง พี่ไม่ได้นอนมาสองคืนแล้วมัวแต่ปั่นรายงานส่งอาจารย์ เนี่ยกะว่าคืนนี้จะนอนให้เต็มคราบสักหน่อย บงบอลอะไรไม่มีแรงจะเปิดเปลือกตาดูแล้ว"

"ถ้าพี่ไม่ไปผมก็ไม่กล้าจะนอนค้างบ้านเขาหรอก"

เวนไตยเลิกคิ้วด้วยความสงสัย "ทำไมล่ะ? น้องก็รู้จักโออยู่แล้วนี่นา ไปนอนบ้านเขาก็ไม่น่าเกลียดหรอก"

"ไม่ดีหรอกครับเพราะผมไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไรนัก พี่สนิทกับน้องโอเขามากกว่าผมเสียอีก ไปด้วยกันเถอะครับ ไม่งั้นผมก็เกรงใจน้องเขาแย่ นะครับ นะ นะ นะ"

ชายหนุ่มปรายตามองคนพูดอย่างไม่ไว้ใจนัก เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมานั้นเจ้าตัวไม่ได้แสดงถึงความเป็นคนขี้เกรงใจเลยแม้แต่น้อย แต่เอาไงก็เอากันวะ อยากจะรู้นักว่ามันจะมีเรื่องอะไรมาให้พลิกความคาดหมายได้อีก

*****

หลังจากชักชวนไอ้พี่ไตยเป็นที่เรียบร้อยสมความตั้งใจแล้ว ตอนนี้ก็ต้องรอให้นายน้องโอกลับมาจากโรงเรียนเท่านั้น ขณะรอก็เลยนอนพังพาบที่กลางบ้านเล่นเป็นเพื่อนเจ้าหนูไทวะไปพลาง ๆ

ทั้งคู่กลับมาสนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างดีหลังจากแตกคอกันเรื่องบทละครไปพักหนึ่ง และดูเหมือนเจ้าหนูไทจะชอบหน้าพี่ชายจอมโอเวอร์มากกว่าพี่ชายแท้ ๆ ของตนเสียอีก

"มันอะไรกินไม่หมดสักที?" นายน้องไทเริ่มต้นเล่นทายปัญหา

นายซัมทำหน้าครุ่นคิด "มันยักษ์ใช่หรือเปล่าครับ มันหัวเบ้อเร่อพอขุดจากพื้นก็กลายเป็นหลุมใหญ่ขนาดสนามฟุตบอล กว่าจะขุดขึ้นมาได้ต้องตะโกนเรียกยอดมนุษย์มหัศจรรย์ประเภทซุปเปอร์แมน หุ่นรบอวกาศ และพวกดิเอกซ์เมนมาช่วยกันดึงขึ้น อึ้บ อึ้บ แล้วก็ผวัะ มันหัวนั้นมีขนาดมหึมาชนิดที่ไม่เคยพอเห็นมาก่อน หลังจากนั้นเราก็ให้พวกยอดมนุษย์ช่วยกันกลิ้งมันยักษ์ไปที่ป่าเขตร้อนที่กำลังมีไฟคุโชน เผามันไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ วัน พอมันสุกก็เอาออกมากิน แต่กินเท่าไหร่มันก็ไม่หมดเสียที"

เด็กชายอ้าปากค้างฟังอีกฝ่ายพล่ามจนแทบลืมคำเฉลย "ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่มันยักษ์"

"อ้าว ไม่ใช่เรอะ" นายซัมหัวเราะ "พี่ว่าคำตอบพี่นี่ดีที่สุดแล้วนะเนี่ย"

"คำเฉลยก็คือ---มันไม่อาหร่อยต่างหาก" เจ้าหนูหัวเราะชอบใจที่อีกฝ่ายทายผิด

"เหรอ ถ้าพี่ตอบว่ามันเลี่ยนก็น่าจะถูกนะ มันเลี่ยนทำให้เกิดอาการเหม็นเบื่อ ไม่อยากกิน ก็เลยกินไม่รู้จักหมดเสียที หวานเกินไปก็เลี่ยน มันเกินไปก็เลี่ยน…"

ชายหนุ่มนั่งฟังเด็กสองวัยคุยกันแล้วก็ให้แปลกใจ ไม่รู้ว่าสมองใครเด็กกว่าใครแน่ เขาฟังไปก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ ตอนที่ไอ้เจ้าน้องซัมทำตัวดีดีก็น่าคบอยู่เหมือนกันแฮะ

"ทำไมพี่ซัมถึงชื่อซัม?" คำถามปวดกบาลจากนายน้องไทมาอีกแล้ว "ชื่อซัมแปลว่าอะไร?"

"ซัมแปลว่าผลรวมครับ อยากหนึ่งบวกหนึ่งก็มีซัมเป็นสอง" นายซัมอธิบายอย่างคร่าว ๆ เพราะที่จริงแล้วคำว่าซัมนั้นเป็นเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเต็มว่าซัมเมชั่น

"อ้อ---อย่างที่พ่อกับแม่พี่ซัมแต่งงานกันก็ซัมเป็นพี่ซัมน่ะสิ"

ใบหน้าของนายซัมเผือดไปเล็กน้อย เขาเองแทบจะลืมไปแล้วว่าได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ตัวเองพร้อมกันครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่คิดไปทำไมมี สักพักสีหน้าของนายซัมก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม

"แล้วทำไมพ่อกับแม่น้องไทถึงแต่งงานกันแล้วเป็นน้องไทล่ะครับ?"

"พ่อกับแม่เขาบอกว่าไทวะแปลว่าสวรรค์ เพราะมีผมเกิดมาพ่อกับแม่ก็มีความสุขเหมือนอยู่ในสวรรค์" เจ้าหนูไทวะคุยด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม ก่อนจะเปลี่ยนไปค่อนพี่ชายตัวเอง "อย่างพี่ไตยนี้พ่อกับแม่ว่าสมชื่อจริง ๆ เพราะเวนไตยแปลว่าครุฑ เป็นครุฑที่แอบพานางกากีมาจากท้าวพรหมทัต เป็นตัวโกง ตัวไม่ดีไม่สมควรเอามาเป็นเยี่ยงอย่าง พี่ซัมเคยอ่านเรื่องกากีหรือเปล่า ผมมีหนังสือด้วยนะ เดี๋ยวจะเอามาให้อ่าน"

*****

"พี่เกรงใจน้องโอจริง ๆ เลยครับ" นายซัมเกาะประตูรั้วบ้านนายน้องโอพร้อมทำหน้าตาเกรงอกเกรงใจอย่างที่สุด

"พี่ซัมไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เพราะดูหลาย ๆ คนก็ยิ่งสนุก เดี๋ยวจะมีคนมาเพิ่มอีกด้วย"

นายซัมขมวดคิ้ว "ใครหรือครับ?"

"โน่นไงครับ กำลังเดินมาพอดี" นายน้องโอหันไปทางหน้าหมู่บ้าน แล้วยิ้มกว้างขวางสดใส

เมื่อนายซัมเห็นส่วนเกินที่นอกเหนือจากแผนที่ตนได้วางเอาไว้ เดินสะพายกระเป๋าเป้ พร้อมหอบขนมมาอีกสองถุงใหญ่ถึงกับอ้าปากค้าง

"พี่จ้าวมาทำไม?"

"ก็มาดูบอลที่บ้านโอด้วยกันกับเราน่ะแหละ" นายพี่จ้าวตอบหน้าตาเฉย

"ผมไม่ได้เตรียมตัวไว้" นายซัมหมายถึงว่าไม่มีไอ้พี่จ้าวในแผนของตน

"ซัมต้องเตรียมอะไรด้วยหรือ?"

"เอ่อ---ผมหมายถึงว่าน้องโอเขาอาจจะไม่ได้เตรียมที่นอนเผื่อไว้ก็ได้"

"เตรียมเรียบร้อยแล้วครับ ห้องผมใหญ่พอจะนอนได้หลายคน แต่เตียงอาจจะเล็กไปสักหน่อย" นายน้องโอเอ่ยอย่างออกตัวในฐานะเจ้าของบ้าน

นายซัมเดินเข้าไปในบ้านด้วยอาการครุ่นคิด จะทำอย่างไรต่อไปดีวะเนี่ย แผนการที่กะว่าพอดูบอลไปสักพักเขาก็จะขอตัวขึ้นไปนอน ปล่อยให้ไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอนั่งดูบอลต่อกันสองต่อสอง เผื่อจะมีกรณีฟลุ๊กบ้าง แต่ดันมีพี่จ้าวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ดังนั้นแผนการที่วางไว้ก็ใช้ไม่ได้ นอกจากว่าทั้งเขาและพี่จ้าวจะพร้อมใจแยกจากสองคนนั่นเพื่อให้ไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอได้อยู่ตามลำพัง แต่ไอ้พี่จ้าวมันจะยอมหรือวะ ขนาดอยู่ที่โรงเรียนยังเกาะติดกันแจเลยนี่หว่า นอกจากพี่จ้าวจะหลับไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แล้วจะทำยังไงให้พี่จ้าวหลับได้วะเนี่ย สงสัยต้องวางยาแล้วมั้ง แต่จะไปเอายาที่ไหนกันเล่า คิดหน่อย คิดหน่อย อ้อ---ไอ้ยาลดน้ำมูกนี่ถ้ากินแล้วจะง่วงพับหลับเป็นตายเลยนี่หว่า เราเองก็มีติดตัวอยู่แล้ว ห่วงแต่ว่าพี่จ้าวแกจะยอมกินง่าย ๆ หรือวะ

*****

นายซัมไม่จำเป็นต้องหาทางกรอกยานอนหลับให้กับนายพี่จ้าว เนื่องจากบอลนัดหยุดโลกดันน่าเบื่อกว่าที่คิด ไม่มีอะไรให้ลุ้นแม้แต่น้อย ดาวยิงตัวสำคัญดันตีนบอดกันทั้งสองทีม ทำให้แฟนบอลนั่งตาปรือจะหลับมิหลับแหล่กันทั้งนั้น นายซัมมองสภาพของแต่ละคนก็ให้ส่ายหัว ไอ้พี่ไตยนั่งหลับตาดูบอลไปแล้ว ส่วนนายพี่จ้าวกับนายน้องโอก็คุยกันสองคนด้วยเสียงอันเบา เหมือนจะส่งภาษาที่รู้กันแค่คนทั้งคู่เท่านั้น

นายซัมอยู่ในอาการเซ็งจนสัปหงกไปชั่วครู่ ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงพี่จ้าวแว่ว ๆ

"ไม่ไหวแล้ว ง่วงเต็มทน ผมขึ้นไปนอนก่อนก็แล้วกัน" เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน

นายซัมตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะอยู่ข้างล่างหรือตามขึ้นไปดี แต่สักพักก็ได้ยินเสียงพี่ไตยกับนายน้องโอคุยกันหงุงหงิง แล้วเขาก็ต้องหลับตาเมื่อใครบางคนเฉียดมาทางโซฟาที่เขานอนอยู่

"หลับไปแล้ว" เสียงไอ้พี่ไตยบอกนายน้องโอแผ่วเบาแทบเป็นเสียงกระซิบ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงสวิตซ์ไฟ ตามมาด้วยเสียงกุกกักอยู่แถวหน้าเครื่องรับโทรทัศน์ คล้ายกับเสียงหอบหายใจและเสื้อผ้าเสียดสีกัน

นายซัมหรี่ตาขึ้นมองด้วยใจเต้นระทึก ทั้งสองร่างตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะรู้ถึงการจ้องมองของตน เขาเห็นพี่ไตยก้มลงจูบนายน้องโออย่างเร่งร้อน ส่วนมือของคนทั้งคู่ก็ป่ายสำรวจเรือนร่างของกันและกันวุ่นวาย เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเมื่อเห็นศีรษะของไอ้พี่ไตยเคลื่อนไปจนทั่วร่างของนายน้องโอ เสียงครางแผ่วหวิวลอดผ่านลำคอของนายน้องโออย่างกลั้นไม่อยู่ มือของไอ้พี่ไตยตวัดขึ้นปิดริมฝีปากนายน้องโอทันควัน ก่อนจะหันมาทางโซฟาที่เขานอนอยู่เป็นเงาตะคุ่ม ๆ อย่างระแวดระวัง

"อย่าส่งเสียงดัง เดี๋ยวนายซัมตื่น"

นายน้องโอได้แต่พยักหน้า และเมื่อไอ้พี่ไตยปล่อยมือออก นายน้องโอจึงขบริมฝีปากไว้แน่นเพื่อป้องกันเสียงเล็ดลอด

ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดสวิตซ์ไฟ แล้วนายซัมก็เห็นพี่จ้าวยืนมองสองร่างที่นอนนัวเนียกันบนพื้นด้วยสายตาแสดงถึงความตระหนกและคาดไม่ถึง

"พี่จ้าว" เสียงนายน้องโออุทาน ก่อนจะผลักร่างของไอ้พี่ไตยออกจากตัว

"ทำไมโอถึงทำแบบนี้? พี่ไม่นึกเลยจริง ๆ"

"ผม---ผมขอโทษ แต่พี่จ้าวก็รู้มาก่อนไม่ใช่หรือครับว่าผมชอบพี่ไตย"

"แต่โอไม่น่าทำแบบนี้"

เสียงอันขมขื่นของพี่จ้าวทำให้นายซัมไม่สามารถแกล้งทำเป็นนอนหลับได้ เขาขยับลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหาพี่จ้าว

"พี่ครับ ถึงอย่างไรพี่ก็ยังมีผมนะครับ"

พี่จ้าวหันมามองหน้าเด็กหนุ่มที่เข้ามาปลอบโยนอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะพิงศีรษะกับบ่าของอีกฝ่าย "พี่ขอโทษที่มองข้ามน้องซัมครับ ต่อไปพี่จะรักน้องซัมคนเดียว"

"ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ" นายซัมหัวเราะให้กับตัวเองอย่างผู้ชนะ ก่อนจะยักคิ้วให้กับไอ้พี่ไตยกับนายน้องโอที่นั่งกอดกันสะอื้นไห้

ในที่สุดเรื่องนี้ก็แฮปปี้เอนดิ้ง ปฏิบัติการมารร้ายสลายสัมพันธ์เสร็จสมบูรณ์อย่างไม่มีที่ติ

"น้อง น้อง" เสียงไอ้พี่ไตยดังขึ้นข้างหู จนเขาต้องลืมตา อะไรฟะ ก็ลืมตาอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

แล้วนายซัมก็เห็นไอ้พี่ไตยกำลังมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย

"คนละเมอหัวเราะนี่น่ากลัวนะน้อง ว่าแต่จะนอนตรงนี้ต่อหรือเปล่า คนอื่นเขาขึ้นไปนอนกันหมดแล้ว"

นายซัมลุกขึ้นพรวดพราด "พี่จ้าวกับน้องโอล่ะครับ?"

"ก็บอกว่าเขาขึ้นไปนอนกันตั้งนานแล้ว พี่เห็นน้องกำลังนอนหลับสนิทเลยไม่กล้าปลุก แต่หลับอยู่ดีดีแล้วแหกปากหัวเราะนี่มันน่าสยอง เฮ้ย! แล้วนี่จะไปไหน?" ตอนท้ายชายหนุ่มตะโกนถามคนเพิ่งตื่นที่กุลีกุจอวิ่งขึ้นห้องนอนชั้นบนอย่างเร่งรีบ

เด็กหนุ่มกระชากประตูห้องนอนเปิดอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อไม่เห็นฉากพิสดารประเภทเฟริสท์เอ็กพีเหรี้ยลของพี่จ้าวกับนายน้องโอบนเตียงนอน ทั้งคู่ต่างก็นอนหลับสนิทในระยะที่ห่างกันจนทำให้นายซัมวางใจ ดังนั้นนายซัมจึงปิดประตูห้องนอนแล้วเดินกลับลงไปข้างล่างด้วยฝีเท้าแผ่วเบาผิดกับตอนขึ้นมา

พี่จ้าวที่นอนหลับตาอยู่พลันลืมตาขึ้นแล้วอมยิ้ม ก่อนจะพลิกตัวกลับไปโอบร่างของนายน้องโอที่หลับสนิทอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับหอมแก้มสีน้ำตาลเนียนของนายน้องโออย่างแผ่วเบา นายน้องโอทำเสียงงัวเงียก่อนจะซุกหน้ากับอกของเด็กหนุ่มรุ่นพี่แล้วหลับต่อ นายพี่จ้าวยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วนึกขอบใจนายซัมเจ้าของแผนนอนค้างบ้านนายน้องโออยู่ครามครัน

*****

"แล้วทำไมพี่ถึงไม่ขึ้นไปนอนข้างบน?" นายซัมต่อว่าชายหนุ่มหลังจากกลับลงมาจากห้องนอน

"ก็เห็นน้องนอนกลิ้งโคโร่อยู่ข้างล่างคนเดียว ก็เลยอยู่เป็นเพื่อน" ชายหนุ่มชี้แจง

"น่าจะทิ้งพี่จ้าวให้อยู่แทน"

"อ้าว---พี่จะไปบังคับเขาได้ไงกัน หมอนั่นเป็นคนบอกเองว่าง่วงแล้ว และก็บอกว่าน้องกำลังหลับสบายไม่ต้องปลุกหรอก" เวนไตยรายงานเหตุการณ์เมื่อคืนให้อีกฝ่ายได้ทราบ

นายซัมทุบมือตัวเองอย่างเจ็บใจ ไม่น่าเผลอหลับไปเลย แต่พี่จ้าวนะพี่จ้าวไม่ห่วงกันบ้างเลย

เด็กหนุ่มไม่ทันคิดว่านายพี่จ้าวนั้นมาแผนสูงกว่าที่คิด อาศัยสวมรอยแผนของนายซัมได้อย่างแนบเนียน สามารถเอานายน้องโอไปนอนกอดอุ่นเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนเดอะเฟริสท์เอ็กพีเหรี้ยลไปแล้ว

*****

เด็กหนุ่มเปิดประตูรั้วเหล็กดัดสวยงามเข้าไปในบ้านหลังมหึมาของตนด้วยอาการเซ็งสุดชีวิต ดูเหมือนว่าหลายสิ่งหลายอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่ตนเองต้องการเลยแม้แต่น้อย พลันสายตาเหลือบไปเห็นรถยี่ห้อหรูของผู้เป็นมารดาจอดเคียงข้างกับรถอีกคันของบิดา เขาไม่เคยพบหน้าพ่อแม่ตัวเองมานานเท่าใดแล้วนะ

"เดี๋ยวค่ะ คุณซัม อย่าเพิ่งเข้าไป" เสียงน้าวงศ์เรียกมาจากสนามหญ้าหน้าบ้าน สีหน้าของหญิงแม่บ้านไม่สู้ดีนัก

"ทำไมล่ะ น้าวงศ์"

"คุณพ่อกับคุณแม่คุณอารมณ์ไม่ค่อยดีค่ะ เดินเข้าทางหลังบ้านดีกว่านะคะคุณ"

เด็กหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เพราะแม้เขาจะไม่เคยเจอหน้าบิดาและมารดาในเวลาเดียวกันบ่อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งที่เจอกันก็จะเห็นทั้งคู่เอาแต่ตะเบ็งเสียงเข้าหากันทุกที ทั้งพ่อและแม่ต่างก็เลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากัน ซึ่งก็หมายถึงการเกี่ยงที่จะกลับมายังบ้าน เพราะพ่อก็ไม่อยากมาเจอบ้านที่มีแม่ แม่ก็ไม่อยากเห็นหน้าพ่อที่บ้าน ดังนั้นจึงไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ทุกวันนี้เขากลับมาที่บ้านก็เห็นแต่พี่เลี้ยงกับเด็กรับใช้ในบ้านเท่านั้น

ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังเดินตามน้าวงศ์ไปทางหลังบ้าน ร่างของบิดาก็พรวดพราดออกมาจากประตูหน้าพอดี ในมือมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่สองใบ

ผู้เป็นบิดาชะงักเมื่อเห็นลูกชาย

"ซัมไปอยู่กับพ่อไหม?"

เด็กหนุ่มมองหน้าพ่อของตนเหมือนไม่เชื่อหู "พ่อจะไปไหน?"

"ก็ไปอยู่กับเมียใหม่ของมันนั่นแหละ" เสียงแม่ดังลั่นบ้าน ก่อนจะเดินท้าวสะเอวทำหน้าตาถมึงทึงมาที่ประตูบ้าน "ถ้าอยากจะไปอยู่กับมันนักก็รีบไปเลย ที่อยู่ทุกวันนี้มันร้อนนัก พูดอะไรก็ผิดหูไปหมด ไม่เหมือนนังพวกปากแดงเล็บแดงพวกนั้นที่ออดอ้อนป๋าคะ ป๋าขา"

"นี่คุณ พูดอะไรก็ให้น้อย ๆ หน่อย" เสียงของพ่อเป็นเชิงปราม

"ทำไม กูจะพูด ใครจะทำไม ทนมานานนักแล้ว ที่จริงน่าจะเลิก ๆ กันไปตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะทนทู่ซี้อยู่กันไปทำไม" แม่ที่แต่งหน้าสวยงาม แต่งกายดีมีรสนิยม มีคนยกย่องนับถือว่าเป็นผู้หญิงเก่ง แต่เมื่อถอดหน้ากากออกก็กลายเป็นคนละคน

พ่อสะบัดหน้าแล้วเดินหอบข้าวของขึ้นรถไปทันที ไม่สนใจฟังเสียงด่าทอของแม่

"จะไปไหนก็ไป ไปแล้วไม่ต้องกลับมา" แม่หอบหายใจเพราะด่าไปหลายชุด ก่อนจะหันมามองลูกชายด้วยสายตากราดเกรี้ยว

"แล้วแกอีกคน กลับมาบ้านก็เช้าแล้ว เห็นบ้านนี้เป็นอะไร อยู่ไม่ได้แล้วหรือไงกัน ฉันกลับมาบ้านก็นึกว่าลูกมันจะคอยอยู่ที่บ้าน ที่ไหนได้เอาแต่เที่ยวเตร่ไม่กลับบ้านกลับช่อง"

เด็กหนุ่มกำมือแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ ทำไมเขาจะไม่คอยพ่อและแม่ เขาคอยมาตลอดนับแต่จำความได้ ตอนเด็ก ๆ น้าวงศ์บอกว่าพ่อกับแม่ต้องไปทำงาน เลยไม่มีเวลาอยู่ดูแลเขา เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อเคยอุ้มเขาหรือเปล่า เพราะตอนที่เขาเกิดมาเป็นช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู ดังนั้นทั้งพ่อและแม่จึงตั้งหน้าตั้งตาบริหารกิจการต่าง ๆ ที่มีอยู่ โดยไม่เคยหันมาบริหารครอบครัวตนเอง

"มีลูกแต่ละคนก็เอาแต่ความปวดหัวมาให้ พี่แกก็ทำงามหน้าไปอยู่กับแฟนทั้งที่ยังเรียน โชคดีที่ยังไม่ท้องโตขึ้นมาก่อน เราหรือทำงานไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย แต่พวกลูก ๆ กลับไม่เห็นใจ ทำแต่ละเรื่องล้วนแต่ดีดีทั้งนั้น แล้วยังพ่อแกอีกคน พ่อแกมันโง่นักปล่อยให้นังพวกนั้นก็ปอกลอก เงินทองก็เอาไปปรนเปรอมันสารพัด ลูกเมียจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่สนใจ ทั้งลูกทั้งผัวไม่เคยทำให้สบายใจเลย ดีเหมือนกัน เลิกมันไปซะ จะได้หาผัวใหม่"

*****

เวนไตยเดินออกจากโรงภาพยนตร์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน แต่เพราะเขานัดดูภาพยนตร์กับเพื่อน ๆ ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ก็เลยต้องมาทั้งที่ง่วงเต็มทน

"ไอ้เวนไปอดหลับอดนอนจากไหนวะ หนังฉายไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ไอ้ห่ะนี่กรนเสียงดังลั่นเชียว"

"คนข้างหลังคงด่ามันยับ เพราะหนังเขากำลังซึ้งดันมีเสียงแปลกปลอมเข้ามา ---แจ๊คคะ คร่อก ฉันรักคุณ คร่อก ---ผมก็รักคุณ คร่อก" นายอ้วนแกล้งเลียนเสียงประกอบอย่างได้อารมณ์ "ยังไม่เท่าฉากบู๊นะโว้ย ไอ้ผู้ร้ายเตะก้านคอพระเอก พั่บ คร่อก พระเอกม้วนตัวกลิ้งหลบซ่อนตัวที่หลังตู้ เงียบกันทั้งโรง ไอ้ห่ะเวนกรน คร่อก คร่อก คร่อก จนคนร้ายรู้ที่ซ่อนพระเอกเลยว่ะ"

เวนไตยทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเพื่อน ๆ ตอนนี้อยากกลับไปนอนเต็มทน "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอกลับบ้านไปนอนก่อน ง่วงฉิบ"

"เดี๋ยวก่อน วันก่อนยายส้มเหรัญญิกชั้นปีเขาเก็บเงินค่าของขวัญวิทยากร ข้าจ่ายให้เอ็งไปก่อน จ่ายคืนมาซะดีดี" นายเจมส์แบมือต่อหน้าเพื่อน

"เท่าไหร่วะ?" เวนไตยล้วงกระเป๋าสตางค์เตรียมจ่าย

"หนึ่งร้อยห้าสิบบาทครับท่าน ขอเงินเท่าจำนวนนะว้อย ข้าไม่มีทอน"

ชายหนุ่มเปิดหาเศษเงินให้วุ่นวาย แล้วใครคนหนึ่งก็ตาไวเหลือเชื่อ

"รูปใครวะ?" เจ้าเพื่อนตัวแสบกระตุกกระเป๋าธนบัตรไปทันควัน

"เฮ้ย!" เวนไตยหน้าเสีย

"ไอ้เวน นี่เอ็งเอารูปใครมาใส่กระเป๋าไว้เนี่ย?" นายอ้วนร่อนกระเป๋าที่มีภาพของนายซัมในชุดนักเรียนนั่งยิ้มร่าอยู่ข้างในให้เพื่อนในกลุ่มดูอย่างถ้วนทั่วกัน "เด็กมัธยมเอ๊าะ ๆ เลยโว้ย"

"เอาคืนมาได้แล้ว" ชายหนุ่มชักรำคาญ เขารู้สึกฉุนขึ้นมาทันทีโดยไม่รู้สาเหตุ ไม่อยากให้เด็กซัมกลายเป็นตัวตลกของเพื่อน ๆ เขา

นายวินเพื่อนที่สนิทที่สุดทำเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "ไอ้เด็กตัวยุ่งคนที่เอ็งเคยพูดถึงน่ะหรือ หน้าตาน่ารักดีนี่หว่า เสียดายดันเป็นเด็กผู้ชาย"

"ไอ้ห่ะ ดูว่าเด็กผู้ชายน่ารักได้ไงวะ หรือเอ็งแต่เอ็งคิดจะเปลี่ยนรสนิยมตามไอ้เวน" เพื่อนอีกคนทำสีหน้ารังเกียจอย่างเห็นได้ชัด "อย่าได้คิดลองเชียวนะเอ็ง ไอ้การเป็นเกย์เนี่ยเขาว่ากันว่ามันเหมือนตีตั๋วเที่ยวเดียว ไปแล้วกลับไม่ได้"

*****

ชายหนุ่มแยกจากกลุ่มเพื่อน ๆ ด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก นายวินที่เป็นเพื่อนสนิทของเขาเดินตามมาติด ๆ

"โกรธหรือวะเวน?"

"เปล่า" เวนไตยปฏิเสธเพื่อน

"พวกมันก็พูดแหย่ไปอย่างนั้นแหละ ถ้าเอ็งไม่ได้คิดอะไรก็ไม่น่าจะแสดงอารมณ์แบบนี้"

"ข้าไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่นจริง ๆ นะวิน เห็นมันเป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่งเท่านั้น แต่ข้าไม่ชอบที่พวกมันพูดเหมือนดูถูกน้องเขา"

"เออ ข้าเข้าใจ" เพื่อนทำหน้าเห็นใจเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นพวกใจอ่อนและขี้สงสารคน

การสนทนาชะงักเมื่อเสียงพีซีทีของนายเวนไตยดังขึ้น

"พี่ไตย จำเสียงผมได้หรือเปล่าเอ่ย?" เสียงเจ้าเด็กซัมดังลั่นมาตามสาย

เวนไตยมองหน้าเพื่อนที่จ้องอยู่แล้วกรอกเสียงลงไป "โทรมาทำไม?"

"ทำไมทำเสียงน่ากลัวจังครับ ผมคิดถึงพี่จังเลยครับ อยากเจอหน้าใครสักคนที่ทำให้หายเบื่อหายเซ็ง มาเจอกันหน่อยนะครับพี่ ผมจะรออยู่ที่เดิมนะพี่ นะ นะ นะ"

"พี่ไม่ว่างครับ" เขาตัดบทอย่างไม่มีเยื่อใย

หลังจากตัดสายโทรศัพท์ไปแล้ว ชายหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนตนเองใจร้ายกับเด็กซัมอยู่เหมือนกัน แต่ใครใช้ให้มันป้วนเปี้ยนกวนใจเขาอยู่แบบนี้กัน

"จะกลับบ้านเลยหรือเปล่าวะ?" นายวินถามเพื่อนที่เดินเหม่อผิดปกติ

"ยังหรอก กะว่าจะไปดูของที่ชั้นบนสักหน่อย" เวนไตยตอบ

"ดีเหมือนกัน เดินเที่ยวสักพักค่อยกลับก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าต้องแวะซื้อของในแผนกซุปเปอร์ให้ที่บ้านด้วย"

เวนไตยพยักหน้า ก่อนจะให้เท้าเดินไปตามทางเรื่อย ๆ 'ที่เดิม' ของนายซัมก็คือแผนกสินค้ากระจุกกระจิกของห้างสรรพสินค้านี้อันเป็นที่คนทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรก แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจเด็กซัม แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเดินเฉียดผ่านแผนกนั้น สายตากวาดมองไปจนทั่ว จนปะทะกับร่างสูงโปร่งคุ้นตายืนหยิบจับสินค้าไปเรื่อยเปื่อย สีหน้านั้นแสดงอาการหงอยเหงาอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

"เดี๋ยวเราเลยขึ้นไปดูแผนกเครื่องเขียนกันดีกว่า" เพื่อนเขาชวนยิก "ปากการุ่นที่ข้าอยากได้เขากำลังลดราคาอยู่พอดี"

ชายหนุ่มเดินตามเพื่อนไปอย่างอ่อนใจ เอาวะ เดี๋ยวค่อยลงมาหาเจ้าตัววุ่นอีกทีก็ได้ ก็บอกแล้วไงว่าเขาเองไม่ใช่คนใจร้ายนักหรอก

แต่เมื่อเสร็จธุระจากชั้นบนลงมา เขากลับไม่เห็นนายน้องซัมอีกแล้ว มันไปไหนแล้ววะเนี่ย?

"เฮ้ย! ไอ้เวน ตรงนั้นเขามุงดูอะไรกันวะ?" เพื่อนกระตุกแขนเขาโดยแรง แล้วชี้ให้ดูพื้นชั้นล่างที่มีคนยืนมุงกันอยู่เต็ม ทั้งรปภ. และพนักงานของห้าง

"เด็กพลัดตกจากชั้นสอง" เสียงใครคนหนึ่งที่เดินผ่านหน้าเขาไปคุยกัน "ตั้งใจโดดหรือเปล่าก็ไม่รู้"

"เดี๋ยวนี้พวกวัยรุ่นมักจะเล่นอะไรกันแปลก ๆ พวกชอบเรียกร้องความสนใจ ถ้าแน่จริงมันต้องโดดที่ชั้นห้าชั้นเจ็ดสิวะ" ผู้ชายคนหนึ่งวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน

"เขาอาจจะพลัดตกลงมาจริง ๆ ก็ได้"

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองตกอยู่ในหล่มน้ำแข็ง มือเท้าเย็นเยียบ พอได้สติก็วิ่งไปตามทางที่มีไทยมุงยืนอยู่เต็ม

"เอ็งจะไปมุงดูกับเขาทำไมวะ?" นายวินตะโกนเรียก พร้อมกับวิ่งตามเพื่อนไปติด ๆ

เวนไตยแหวกทางผู้คนเข้าไปอย่างยากลำบาก พร้อมกับด่าตัวเองอยู่ในใจ

*****

ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้านด้วยอาการเหนื่อยอ่อน โชคยังดีที่ร่างบนพื้นนั่นไม่ใช่นายซัม เขาอุตส่าห์เดินหาอีกฝ่ายไปทั่วทั้งห้างสรรพสินค้าจนแทบจะหมดแรง ทั้งให้ประชาสัมพันธ์ประกาศตามตัวให้ได้ยินกันทั่วห้าง แต่ก็ไม่มีวี่แววของหมอนั่น เหนื่อยทั้งกายและเหนื่อยทั้งใจ

"กลับมาช้าจัง เที่ยวเพลินเลยล่ะสิ คนอะไรไม่มีเมตตาแก่เด็กน้อยที่ต้องการความช่วยเหลือ" เสียงคุ้นหูดังขึ้นต้อนรับการกลับบ้านของเขา "คนเขาอุตส่าห์ไปคอยอยู่ตั้งนานสองนาน"

ตรงหน้าเขานั้น เจ้าตัวแสบกำลังนอนพังพาบเล่นอยู่บนพื้นกับเด็กชายไทวะ โดยมีบิดาของเขานั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา

"ทำไมวันนี้กลับเย็นนักล่ะ?" พ่อของเขาเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมาถาม

"มีธุระนิดหน่อยครับ"

"รู้ไหมว่าที่บ้านเขารอกินข้าวอยู่นะ วันหยุดทั้งทีน่าจะเป็นวันของครอบครัว กลับออกไปดูหนังกับเพื่อนสบายใจ ทิ้งให้พ่อและแม่ที่แก่เฒ่า อ๊ะ-ไม่ใช่สิครับ คุณลุงคุณป้ายังดูวัยรุ่นอยู่เลย ต้องบอกว่าทิ้งให้พ่อกับแม่ที่ยังแข็งแรงกับน้องตาดำ ๆ เฝ้ารอคอยการกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ ผมอุตส่าห์แสดงฝีมือทำอาหารเชียวนะมื้อนี้ ไข่เจียวฟู ๆ รอจนเป็นไข่แฟ่บไปแล้ว" นายซัมใส่ไม่ยั้ง

เวนไตยหัวเราะกับตัวเอง สงสัยไอ้สีหน้าเศร้าสร้อยหงอยเหงาที่เขาเห็นในห้างสรรพสินค้านั้นจะตาฝาดไปเอง เพราะหมอก็ยังรักษาสมญานามโอเวอร์แอคติ้งได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

"วันนี้มาทำไม?"

"ก็จะมาเป็นลูกชายบ้านนี้แทนพี่ พ่อพี่แม่พี่กับน้องไทเพิ่งลงมติถอดถอนพี่ออกจากตำแหน่งลูกชายคนโตของบ้าน แล้วให้ผมสวมรอยแทน ดังนั้นไปเก็บข้าวเก็บของออกจากบ้านนี้ไปได้เลย อ๊ะ ไม่ดี ไปแต่ตัวก็พอ เดี๋ยวของของพี่ผมรับเทคโอเวอร์แทนหมดเอง ทั้งเสื้อผ้า เครื่องใช้ แม้แต่กางเกงในก็ต้องยึดให้หมด"

"กินข้าวได้แล้ว" เสียงแม่ตะโกนเรียกจากในครัวขัดจังหวะการพล่ามของนายซัม

*****

หลังอาหารเย็น นายซัมก็ยังนั่งเล่นและพูดคุยไม่หยุดปาก จวบจนท้องฟ้าเบื้องนอกเริ่มมืด ไฟฟ้าภายในหมู่บ้านเริ่มส่องสว่าง เด็กหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับบ้าน จนกระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นผู้ใหญ่ทั้งคู่คล้ายกับจะถามไถ่ นายซัมกัดริมฝีปากก่อนจะถามอย่างเกรงใจ

"ผม---ผมค้างที่นี่ได้ไหมครับคุณลุง?"

บิดาของเวนไตยยิ้มอย่างปรานี "ได้น่ะได้อยู่หรอก แต่พ่อกับแม่เขารู้หรือยังว่าเราจะออกมาค้างข้างนอก"

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านเอง" นายซัมฉีกยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะหันไปเล่นกับเด็กชายไทวะต่อไปอย่างสบายอารมณ์

"พี่ซัมจะนอนที่บ้านผมหรือครับ" เจ้าหนูถามอย่างกระตือรือร้น

"ครับ ให้พี่นอนกับน้องไทได้ไหมครับ"

"ได้สิครับ"

จนกระทั่งค่ำมืด พ่อและแม่ของนายเวนไตยก็เตรียมแยกย้ายกันไปพักผ่อน ปล่อยให้เด็กทั้งสามคนนั่งชมรายการโทรทัศน์วันสิ้นปี "อย่าดูให้ดึกนักล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ออกไปซื้อของเตรียมตักบาตรวันปีใหม่กัน"

"พรุ่งนี้ผมไปด้วยได้ไหมครับคุณลุง" นายซัมถามผู้เป็นเจ้าของบ้านอย่างอ่อนน้อม

"ได้สิ แต่ที่บ้านของเราไม่มีกิจกรรมวันปีใหม่รึ?"

"ไม่มีครับ พ่อแม่ผมไม่ได้อยู่บ้านช่วงปีใหม่"

ทั้งบิดาและมารดาของเวนไตยสบตากัน ก่อนจะเอ่ยสรุป "งั้นช่วงวันหยุดยาวเราก็อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน"

"ขอบคุณมากครับ"

เวนไตยมองหน้านายซัมอย่างสงสัย และเมื่อบิดาและมารดาลับหลังไปแล้ว เขาจึงเตือนความจำอีกฝ่าย "น้องยังไม่โทรไปบอกที่บ้านเลยนะ" แต่นายซัมแกล้งทำหูทวนลม จนเขานึกฉุน "ออกมาค้างนอกบ้านโดยไม่บอกทางบ้านก่อน เดี๋ยวพวกเขาก็ตามหาตัวให้วุ่นหรอก"

"พี่ไตยนี่น่ารำคาญจริง" นายซัมบ่นเสียงดัง "อยากโทรบอกนักก็โทรเองสิ"

พูดจบเจ้าตัวก็ชวนเจ้าหนูไทวะขึ้นไปเตรียมที่นอน "ไปนอนกันเถอะน้องไท เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นสายกลายเป็นเด็กเกียจคร้าน อ้อ… พี่ไตย ผมยืมเสื้อผ้าพี่ใส่ก่อนนะ" ตอนท้ายเจ้าตัวชะโงกหน้าลงมาจากชั้นสอง

เวนไตยพยักหน้าอนุญาตก่อนจะเปิดสมุดโทรศัพท์หาเบอร์บ้านของเจ้าตัวยุ่ง เสียงฝีเท้าย่ำลงบันไดอย่างขัดใจ แล้วกดเบอร์ที่บ้านของตนให้อีกฝ่าย

"อยากบอกที่บ้านผมนักก็บอกไปเหอะ บอกเขาด้วยว่าผมไม่กลับไปแล้ว ไอ้บ้านพรรค์นั้นน่ะ" พูดจบก็เดินขึ้นชั้นบนไปอย่างเงียบงัน

"สวัสดีค่า" เสียงผู้หญิงดูมีอายุดังมาตามสาย เขาไม่แน่ใจว่าเป็นใคร

"สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของซัมครับ"

"ตอนนี้คุณซัมไม่อยู่ค่า"

"ผมรู้แล้วครับ เพราะตอนนี้ซัมอยู่ที่บ้านผม"

"อยู่ที่บ้านคุณหรือค้า?"

"ครับ คืนนี้ซัมจะค้างที่บ้านครับ ผมเลยโทรศัพท์มาบอกไว้ เดี๋ยวพ่อแม่เขาจะเป็นห่วง"

"ใครโทรมาหือนังวงศ์" เสียงแหลมสูงดังมาแว่ว ๆ "ถ้าเป็นไอ้แก่นั่น บอกให้มันไปตายซะ"

"เพื่อนคุณซัมค่ะ คุณซัมขอนอนค้างที่บ้านเพื่อนคืนนี้ค่ะคุณผู้หญิง" เสียงน้าวงศ์ตอบอีกฝ่ายดังเข้าหูโทรศัพท์ชัดเจน

"เออ…ไปมันให้หมด ทั้งลูกทั้งผัว ฉันเองก็จะไปเหมือนกัน นังวงศ์ แกไปเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าให้ฉันที" เสียงจากปลายสายดังแว่วอย่างเกรี้ยวกราด จนน้าวงศ์ต้องระล่ำระลักพูด

"ดิฉันต้องไปทำงานแล้วค่ะ ฝากคุณซัมด้วยนะคะ"

ชายหนุ่มวางหูโทรศัพท์ลงอย่างสะท้อนใจ เขารู้แล้วว่าทำไมนายซัมถึงไม่อยากกลับบ้าน เขาปิดไฟชั้นล่างก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องนอน เงาตะคุ่มที่ชานบันไดทำให้เขาแทบสะดุด

"น้องมานั่งทำอะไรตรงนี้?" เขาถามด้วยความตกใจ

ร่างที่นั่งขดตัวอยู่เบื้องหน้าเขานั่นสั่นสะท้าน หัวไหล่นั้นไหวไปมาคล้ายต้นไม้เล็ก ๆ ที่โดนลมพัดกรรโชก แต่ไม่มีเสียง
ใด ๆ เล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย

"ซัม" ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่าย

ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากฟันที่ขบกันแน่น เด็กหนุ่มไม่คิดจะแสดงความอ่อนแอให้ใครมาสงสารหรือเวทนา แต่ทำไมน้ำตามันถึงได้ไม่ยอมเชื่อฟัง

"ซัม" เสียงนั้นเรียกซ้ำอีกครั้ง คราวนี้มันมาพร้อมกับมือใหญ่ที่ลูบหัวไหล่อย่างเชื่องช้า คล้ายจะปลอบโยน "เรื่องแบบนี้จะบอกว่าไม่เป็นไร มันก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าซัมอยากอยู่คนเดียว พี่ก็จะไปนอนห้องไท ซัมไปนอนห้องพี่ แต่ถ้าซัมอยากให้มีใครสักคนอยู่ด้วย พี่จะอยู่กับซัมนะครับ"

มือของนายซัมที่อุดปากตัวเองไว้ค่อย ๆ คลายออกแล้วยกขึ้นเกาะแขนที่เอื้อมลงมาไว้แน่นหนา เวนไตยจับมืออีกฝ่ายบีบเบา ๆ ไม่มีคำพูดใด ๆ ในตอนนี้

*****

"พี่ไตย"

"อื่อ" ชายหนุ่มงัวเงียขานรับ แต่ไม่ยอมลืมตา

"พี่ไตย ตื่นเหอะ สายมากแล้ว ลำแสงสุริยาสาดส่องทั่วท้องนภา พวกเราเหล่ามนุษย์โลกจักต้องตื่นขึ้นไปบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ เพื่อให้โลกของเราดำรงอยู่ในสันติ พวกเราจักต้องต่อสู้กับความอยุติธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบสุข ต้องสู้ ต้องสู้จึงจะชนะ" ตอนท้ายเจ้าตัวขึ้นเสียงสูงเลียนเสียงนักร้องเจินเจินอีกต่างหาก

เสียงพล่ามของนายซัมดังอยู่ข้างหู ทำให้ชายหนุ่มต้องลืมตาขึ้นแล้วหัวเราะเบา ๆ พร้อมรำพึงในใจ 'นาฬิกาปลุกระบบโอเวอร์แอคติ้งทำงานแล้ว'

"ตื่นขึ้นมาแล้วหัวเราะเนี่ยมีเลศนัยอะไรหรือเปล่านี่ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ หรือว่าเมื่อคืนนี้ตอนผมหลับพี่แอบลักหลับหรือทำมิดีมิร้ายกับผมไปแล้ว มีอะไรสึกหรอไปบ้างหรือเปล่าเนี่ย" นายซัมทำท่าตบตามเนื้อตัวประกอบคำพูด

"จะบ้าแล้วมั้งน้อง ที่พี่นอนอยู่เนี่ยยังเสียว ๆ อยู่เลย กลัวน้องจะสติแตกไล่ปล้ำพี่" เวนไตยส่ายหน้าอย่างระอา

"งั้นก็แล้วไป" มันทำท่าโล่งอก ก่อนจะดีดตัวขึ้นจากเตียงไปรับแสงอบอุ่นของพระอาทิตย์ยามสาย บิดขี้เกียจซ้ายขวาสองสามที ก่อนจะถลันไปเกาะบานหน้าต่างแล้วแหกปากตะโกนลั่น "ว้าก ไม่น่าเชื่อ"

เพราะที่เห็นตรงหน้าก็คือภาพของพี่จ้าวกับนายน้องโอเดินออกมาจากบ้านพร้อมกัน ในสภาพที่เป็นไปได้ว่าเมื่อคืนไอ้พี่จ้าวมาค้างที่บ้านของนายน้องโอ เพราะดูยังไงก็ไม่เหมือนว่าพี่จ้าวจะแหกขี้ตาตื่นมาบ้านของนายน้องโอตั้งแต่เช้าขนาดนี้ แถมยังเดินกันใกล้ชิดสนิทสนมระดับนี้อีกจะคิดเป็นอื่นไปได้อย่างไรกัน

"หมดกัน หมดกัน มารร้ายสลายสัมพันธ์ ปฏิบัติการอันสุนทรีย์ต้องสลายไปภายในพริบตา แล้วที่นี้ผมจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน ฟ้าเอย ดินเอย ไฉนจึงทำร้ายคนที่งมงายในความรักได้ถึงเพียงนี้ สวรรค์ไม่มีตา ฟ้าไม่มีใจ ทั้งที่รักมากขนาดนี้ หัวใจของผมเป็นของพี่ แต่หัวใจของพี่เป็นของคนอื่น แม้ผมจะร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายน้ำตกเจ็ดสาวน้อย พี่ก็คงจะมองไม่เห็น เพราะพี่ไม่เคยหันมามองทางผมเลยแม้แต่น้อย"

"ดีใจถึงขนาดนี้เชียวหรือ?"

"ใครว่าผมดีใจ ผมกำลังเสียใจต่างหาก เฮ้อ! ชีวิตคนเรานี่มักจะเจอแต่เรื่องไม่สมหวังทั้งนั้น ไอ้ที่เขาว่าชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนนี่เชื่อไม่ได้แล้ว ต้องเป็นชั่วเจ็ดทีไม่มีดีสักหน ชีวิตผมช่างรันทดจริง ๆ จากฐานะเด็กบ้านแตกก็เพิ่มอีกดีกรีเป็นเด็กอกหัก เด็กบ้านแตกที่อกหัก ฟังดูน่าสังเวชเสียจริง"

เวนไตยมองหน้าคนพูดอย่างเห็นใจ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังซ่อนความเศร้าเสียใจไว้ภายใต้คำพูดบ้า ๆ บอ ๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นมีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่ร้องขอความเวทนาหรือความสงสารจากใครทั้งนั้น

"พี่ไตย ห้องน้ำว่างแล้ว" เสียงเจ้าหนูไทวะตะโกนอยู่หน้าห้อง ก่อนจะโผล่หน้าเข้ามา "พี่ซัมโกหก ไหนบอกว่าจะนอนห้องผมเมื่อคืน ผมอุตส่าห์นอนรอ"

"งั้นขอแก้ตัวเป็นคืนนี้ก็แล้วกันครับน้องไท รับรองว่าจะต้องเป็นคืนที่ลืมไม่ลงแน่" พูดจบนายซัมก็ทำท่าปาดน้ำลาย

เจ้าหนูไทฉีกยิ้มกว้างแล้วร้องเสียงดัง "โอ้ย เสียวจังวุ้ย"

เวนไตยถลึงตามองน้องชายอย่างตำหนิ "ไปจำมาจากไหนหือนายไท?"

เด็กชายบุ้ยใบ้ไปทางนายซัมที่ยืนยิ้มกริ่ม ก่อนจะวิ่งลงไปชั้นล่าง

"น้องชายพี่นี่เรียนรู้ได้ไวมาก น่าศึกษาจริง ๆ"

ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างระอา "อย่าเอาเรื่องบ้า ๆ มาแพร่เชื้อใส่ที่นี่นักเลยน้อง แค่นี้พี่ก็ปวดกบาลพออยู่แล้ว"

"ผมทำให้พี่ปวดหัวมากหรือครับ?"

"โอ๊ะ-ไม่เลยครับน้อง" ชายหนุ่มเอ่ยประชด "พี่เจอกับน้องยังไม่ถึงสองอาทิตย์ แต่น้องมีเรื่องมาให้พี่สนุกได้ทุกวันแบบนี้ พี่รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณน้องจริง ๆ"

นายซัมยิ้มกว้าง ไม่สนใจน้ำเสียงประชดประชันของอีกฝ่าย "เมื่อพี่พูดแบบนี้ผมก็สบายใจ ต่อไปผมจะทำให้พี่สนุกอย่างนี้ไปทุก ๆ วันเลย ดีไหมครับพี่ คบกับผมรับรองไร้สุข ทุกข์เพียบ โอ๊ะ---ไม่ใช่สิ มีแต่สุข ทุกข์หายหมด"

The End
*****

comment