ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Traffic

by...เฟื่อง

แม้จะเป็นยามเช้าอากาศของกรุงเทพเมืองฟ้าอมรก็อบอ้าวเสียจนน่าหงุดหงิด ยิ่งอยู่บนท้องถนนด้วยแล้ว รถมากมายต่างพากันขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่การจราจรจะอำนวยเพื่อจะไปให้ถึงจุดหมายตามเวลาที่ต้องการ ชีวิตของคนในเมืองหลวงทุกเพศทุกวัยช่างแสนวุ่นวาย

นี่แหละ…เขาถึงได้พูดกันว่าเด็กเดี๋ยวนี้โตในรถ

เด็กเดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะอายุน้อยขนาดไหนก็ต้องตื่นเช้าเสียจนน่าสงสาร จากนั้นก็มานอนต่อในรถสักพัก แล้วพ่อแม่ก็ปลุกมากินข้าว แน่นอนว่าอาหารยามเช้านั้นต้องเป็นของง่ายๆอย่าง ไข่เจียว ไข่ดาว กุนเชียงทอด จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าเด็กจะได้รับสารอาหารครบหรือเปล่า

ไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้น พ่อแม่เดี๋ยวนี้ก็ใช้ชีวิตในรถด้วย คนขับกินข้าวไปขับรถไปเป็นภาพที่เห็นจนเจนตา

นันทกรระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ขณะพยายามหาช่องว่างแทรกรถมอเตอร์ไซด์ของตนเองเพื่อที่จะไปได้เร็วขึ้นบ้าง แม้แถวนี้จะเป็นแถบชานเมืองการจราจรยังไม่ติดขัดนัก แต่ยวดยานบนถนนเส้นนี้ก็พลุกพล่านเหลือกำลัง ดังนั้นเขาจึงอยู่ได้แค่เลนซ้าย

หนุ่มน้อยวัยยี่สิบสองนึกกังวลอยู่ในใจ เขากำลังจะไปสมัครงาน แต่ดูท่าจะไปสายตั้งแต่แรก ไม่อยากคิดก็ต้องคิด เหมือนวันนี้ตนเองดวงซวยเสียแต่เช้า นาฬิกาที่หัวนอนเกิดหยุดเดินกระทันหันจึงไม่ปลุกตามเวลาที่ตั้งไว้ ตอนออกจากซอยบ้านโดนสุนัขจรจัดไล่กวดทั้ง ๆ ที่เขาเช่าบ้านอยู่แถวนั้นตั้งแต่เรียนจบ ไหนจะเรื่องที่หวิดชนรถเข็นแม่ค้าขายน้ำเต้าหู้อีก

รถฟอร์ดสีตะกั่วเลี้ยวพรวดออกจากโรงแรมม่านรูด ทำเอามอเตอร์ไซด์ที่กำลังแล่นตรงช่องทางชิดขอบถนนไม่เร็วนักส่ายไปมาหลังจากการเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน นันทกรพยายามทรงตัวไม่ให้ล้ม ขณะเจ้าของรถสัญชาติอเมริกันเร่งเครื่องแล่นออกไปอย่างเร็วอย่างไม่สนใจและไร้ความรับผิดชอบ

ร่างผอมบนมอเตอร์ไซด์ปรับการทรงตัวรวดเร็ว พลางมองทะเบียนรถคันงามอย่างอาฆาต ก่อนจะบิดคันเร่งไล่ตาม นันทกรแซงรถยนต์ที่แล่นอยู่ช่องซ้าย จนมองเห็นท้ายรถสีตะกั่วอยู่ข้างหน้า

ภายในห้องโดยสารเย็นฉ่ำของรถอเมริกัน ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งหลังพวงมาลัยอ้าปากหาวหวอดอย่างอิดโรยเต็มที่ แม่สาวเปรี้ยวที่หิ้วมาเมื่อคืนสูบแรงเขาไปเกือบหมด ก็เล่นล่อกันเกือบถึงเช้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแดงก่ำจากการอดนอน เสื้อเชิ้ตราคาแพงยับย่นอบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้าและบุหรี่ ไฟเหลืองที่กำลังสว่างวาบอยู่ที่สี่แยกทำให้เขารีบเหยียบคันเร่งจนแทบมิด แต่แล้วไฟแดงสว่างวาบขึ้นแทนที่ มือใหญ่ทุบพวงมาลัยรถระบายความหงุดหงิดพลางสบถด่ารถคันหน้าเบา ๆ

"แม่ง! เร่งเครื่องให้เร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงวะ!"

ชายหนุ่มกดปุ่มพนักวางแขนข้างตัวให้กระจกจมหายลงในประตูรถ ก่อนหยิบบุหรี่จุดสูบพ่นควันเป็นสายสีขาวขุ่น ร่างโปร่งนำมอเตอร์ไซด์แล่นเข้ามาจอดเทียบด้านข้างคนขับซึ่งหันไปมองอย่างแปลกใจ กระบังหมวกกันน็อคถูกยกขึ้นโดยเจ้าของเผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่บูดบึ้งและดวงตากลมโตที่จ้องมองมาอย่างแข็งกร้าว

"ออกรถภาษาอะไรวะ!?"

ร่างสูงไม่นำพาต่อเสียงตวาดสั้นห้วนและอารมณ์ระอุของคู่กรณี หนำซ้ำยังพยายามบังคับตัวเองไม่ให้หัวเราะพรืดออกมาอย่างสุดกำลัง วงหน้ารูปไข่บึ้งตึงอยู่ในหมวกกันน็อคกลมป๊อก แถมยังทำเป็นหูแมวอีกต่างหาก ทำให้ดูแล้วเหมือนตัวการ์ตูนอะไรสักอย่างที่…น่ารัก

เจ้าของรถฟอร์ดพ่นบุหรี่ช้า ๆ ดวงตาเจ้าชู้เป็นประกายระยับราวสื่อความหมายซ่อนเร้นยังผลให้ใบหน้าอีกฝ่ายร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ มือเล็กรีบยกขึ้นปิดกระบังหมวกกันน็อคลงดังเดิม

"แม่ง…กวนชิบ" นันทกรสบถในคอแล้วเคลื่อนรถไปตรงเส้นขาวทางม้าลาย อดไม่ได้หันกลับไปอีกครั้ง แล้วกัดฟันกรอดเมื่อพบกับรอยยิ้มยียวนที่มุมปากอีกฝ่าย

……

ไฟเขียวสว่างจ้าขึ้น ร่างบางเจ้าของมอเตอร์ไซด์คันโตอาศัยความคล่องตัวของพาหนะเร่งเครื่องพุ่งออกไปเป็นคันแรก จากนั้นรถยนต์คันอื่น ๆ จึงทยอยตามมาเช่นเดียวกับรถคู่กรณี

ร่างสูงยังคาบบุหรี่พ่นควันขาวลอยหายไปในสายลม รถประจำทางสีแดงคันหนึ่งตรงช่องด้านซ้ายแซงรถปรับอากาศที่ออกตัวช้ากว่า เสียงเครื่องยนต์ดังลั่นพร้อมควันดำพวยพุ่งออกมาจากท่อไอเสียกระจายปกคลุมเหมือนหมอกลงตรงบริเวณนั้น กลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง พร้อม ๆ กับเสียงกระเป๋ารถเมลสาวที่ตะโกนด่ารถคันอื่นโหวกเหวกราวกับต้นตระกูลหล่อนเป็นเจ้าของถนนเส้นนี้ ชายหนุ่มส่ายศีรษะกับสภาพท้องถนนเมืองไทยก่อนจะดีดบุหรี่ที่ยังสูบไม่ถึงครึ่งลงถนน

"ต้องบริการประชาชนแท้ๆ แม่ง…ทำอย่างกับเป็นเจ้าหนี้คนกรุงเทพฯทั้งเมือง" เขาบ่นพลางเปิดเครื่องเล่นเทปในรถ แล้วเร่งเครื่องยนต์คล้ายจะหนีกลิ่นควันที่กระจายไปทั่ว

เสียงเพลงร็อคหนักก้องห้องโดยสารจนกลบเสียงเครื่องยนต์ ดวงตาคมสวมเหลือบมองกระจกหลัง ควันจากรถประจำทางคันนั้นยังพวยพุ่งตามมาราวกับมีชีวิต เขาส่ายหน้าเหลียวมองไปรอบ ๆ อย่างระอา

คนกรุงเทพฯช่างมีชีวิตที่วุ่นวายดีเสียจริง

ขับหนีควันได้ไม่นานนักก็ต้องมาติดไฟแดงอีกแยก เนื่องจากรถต่างชนิดหลายสกุลพากันแล่นเข้ามาจนล้นบล็อคถนนและกีดขวางทางเลี้ยวแยกอื่น นันทกรต้องจอดพักมอเตอร์ไซด์ไว้ท้ายรถญี่ปุ่นกลางเก่ากลางใหม่ด้วยไม่มีที่ว่างที่กว้างพอจะให้เขานำรถแทรกไปได้ ร่างบางยันเท้าลงกับพื้นถนนระหว่างรอไฟเขียว แล้วหมุนคอไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ

รถฟอร์ดสีตะกั่วหาทางแทรกตัวเข้ามาจอดจ่อท้ายเหมือนเจตนา ชายหนุ่มเจ้าของรถกดแตรสั้น ๆ ครั้งหนึ่งทำเอาร่างบนอานมอเตอร์ไซด์สะดุ้ง ใบหน้าออกหวานแดงก่ำด้วยความโกรธและอารมณ์ที่เจ้าตัวไม่เข้าใจเมื่อหันมามองแล้วพบรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าคมสัน

นันทกรสะบัดหน้าพรืดหันกลับมาที่เดิม

แปร้น…แปร้น…แปร้นนนนนน…

เสียงแตรยาวดังขึ้นหลังจากเสียงสั้น ๆ สองครั้งราวกับไม่กลัวคนขับรถคันอื่นจะประสาทเสีย เจ้าของรถมอเตอร์ไซด์คันโตหันขวับมามองอย่างฉุนเฉียวอีกครั้ง ชายในรถฟอร์ดคันหรูยักคิ้วข้างเดียวอย่างท้าทายแล้วยิ้มกริ่มราวกับสำราญใจเป็นหนักหนากับปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม

คิ้วเรียวภายใต้กระบังหมวกกันน็อคขมวดเข้าหากันอย่างฉุนจัด ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจและกลัวจะขายหน้าชาวบ้าน เขาจะตะโกนด่ามันเสียตรงนี้นี่ล่ะ

…..

รถทุกคันบนถนนเคลื่อนที่ได้ทีละนิดแม้จะเลยแยกไฟแดงที่แล้วมาก็ตาม อีกครั้งที่นันทกรต้องจอดรถขวางตรงท้ายรถมินิบัส เนื่องจากไม่สามารถแทรกต่อไปได้

ชายหนุ่มหลังพวงมาลัยฟอร์ดไปยังร่างโปร่งเจ้าของมอเตอร์ไซด์ที่ติดอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก ความง่วงหงาวหาวนอนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง อารมณ์แจ่มใสทั้ง ๆ ที่รถติดหนึบจนแทบจะเคลื่อนที่ไม่ได้ เกมฆ่าเวลาบนท้องถนนด้วยการกวนอารมณ์ใครบางคนที่โกรธเสียจนทำใบหน้าตลกแสนตลกออกมานั้น สนุกเสียจนไม่น่าเชื่อ

นันทกรส่งเสียงฮึดฮัดในคออย่างหงุดหงิด เมื่อไฟเขียวสว่างวาบขึ้นอีกครั้งแล้วเปลี่ยนเป็นไฟแดงอย่างรวดเร็ว เขาพยายามเบียดรถเข้ามาเสียบตรงช่องว่างระหว่างเกาะกลางถนนกับรถเก๋งสีน้ำเงินเข้ม แล้วต้องหยุดนิ่งอีกครั้งเพราะไม่มีช่องทางจะแล่นต่อไป ขณะเดียวกับที่รถฟอร์ดแล่นเข้ามาเสียบท้ายรถสีน้ำเงินพอควร

แปร้น…แปร้น…แปร้นนนนนน…

เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้งจากรถอเมริกันสีตะกั่ว

หญิงสาวเจ้าของรถสีน้ำเงินเข้มวางดินสอเขียนคิ้วลงแล้วหันไปมอง หล่อนแบมือขึ้นพลางยักไหล่เป็นเชิงถาม ชายหนุ่มเจ้าของรถคันหลังยิ้มให้ แล้วยกมือขึ้นแตะสันนิ้วชี้ที่ข้างคิ้ว ทำท่าตะเบ๊ะน้อย ๆ เพียงแค่นั้นแม่สาวเจ้าก็หมดคำถาม หญิงสาวหน้าแดง ยิ้มกับตัวเองอย่างเขินอายก่อนจะหันไปจับดินสอเขียนคิ้วขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทางงก ๆ เงิ่น ๆ

แปร้น….แปร้นนนนนนน

นันทกรขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเหลืออด ฟังจนจำได้แล้วว่าเสียงแตรเช่นนี้มาจากรถคันไหน ร่างบางที่นั่งคร่อมอานรถมอเตอร์ไซด์นับหนึ่งถึงสิบในใจช้า ๆ เพื่อสะกดอารมณ์โกรธที่เดือดพล่าน แต่แล้วก็ต้องหมดความอดทนเมื่อเสียงแตรคุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง

แปร้น…แปร้น…แปร้นนนนนน…

มือเล็กยกขึ้นเปิดกระบังหมวกกันน็อครวดเร็วพร้อมหันขวับไปทางต้นเสียง นิ้วกลางชูหรา แล้วสบถด่าเต็มเสียง

"แม่ง! จะกดแตรหาอะไรวะ!"

อารมณ์เดือดเย็นตัวลงไปมากหลังจากได้ระบายความโกรธออกทางเสียง พร้อม ๆ กับความอายที่เริ่มเข้ามาแทนที่เมื่อตระหนักได้ว่าตนตกเป็นเป้าสายตาทุกคู่ ทั้งจากคนที่อยู่บนท้องถนนและคนที่อยู่บนทางเท้า ไม่เว้นแม้แต่ตำรวจจราจรที่มองมาเขม็งทำเอาเจ้าของมอเตอร์ไซด์ใจหายวาบด้วยเพิ่งสำเหนียกได้ว่า คู่กรณีเป็นเจ้าของรถนอก พาหนะหรูกว่า เช่นเดียวกับกระดาษหลากสีในกระเป๋าสตางค์ที่ต้องมีมากกว่า ดังนั้นไม่ต้องคิดเลยว่าตำรวจจะเข้าข้างใคร

เป็นโชคดีของนันทกรที่จราจรผู้นั้นมองได้สักพักก็หันกลับไป พร้อมกับไฟสัญญาณที่แยกเปลี่ยนเป็นไฟเขียวพอดี ร่างบางรีบเร่งเครื่องลัดเลาะแทรกแซงรถคันอื่นจนผ่านแยกนรกนั่นมาได้ เขาเปิดไฟเลี้ยวซ้ายแล้วหักแฮนด์รถเข้าตึกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าโดยไม่ทันสังเกตว่ารถฟอร์ดสีตะกั่วเลี้ยวตามเข้ามาติด ๆ เพียงแต่ไปลานจอดรถคนละชั้นกันเท่านั้น

………

"แกหายหัวไปไหนมาทั้งคืน? ฉันโทรเข้ามือถือแกกี่ครั้งก็ติดต่อไม่ได้สักที" เสียงบิดาตวาดลั่นทันทีที่ร่างสูงก้าวผ่านประตูห้องประธานกรรมการ มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมรองทรงสั้นแล้วตอบอย่างเสียไม่ได้

"พอดีเมื่อคืนดึกไปหน่อย ผมเลยไปนอนบ้านเพื่อน แล้วแบตมือถือหมด"

"อ้อ…บ้านช่องมีไม่กลับ" ผู้สูงวัยกว่าส่งเสียงเยาะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยปากอย่างระอา "ฉันขอร้องล่ะ เอาจริงเอาจังหน่อยเถอะ แกจะเป็นเจ้าของบริษัทนี้ในอนาคตนะ ฉันเป็นห่วงแกว่าพอฉันตายแล้วแกจะทำอะไรไม่เป็นโดนคนอื่นเขาหลอกเอา ไม่งั้นฉันไม่มานั่งบังคับจิตใจแกให้คอยเรียนรู้งานหรอกอยู่อย่างนี้หรอก"

ร่างสูงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเข้าไปบีบไหล่บิดาที่วางหน้าปึ่งอย่างเอาใจ

"ขอโทษครับพ่อ ต่อไปผมจะเอาจริงเอาจังมากกว่านี้"

ชายสูงวัยพรูลมหายใจบ้างพลางส่ายศีรษะน้อย ๆ เมื่อเจอลูกอ้อนเข้า

"เอาเถอะ ทีหน้าทีหลังก็อย่าให้เป็นอย่างนี้ ตอนนี้แกรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ คุณแวววรีบอกว่าวันนี้จะมีคนมาสอบสัมภาษณ์ตำแหน่งครีเอทีฟ ฉันอยากให้แกลองหัดพิจารณาดูว่าคนประเภทไหนที่ควรรับเข้ามาทำงานด้วย"

………

นันทกรหอบฮักก่อนจะหยุดเท้าที่หน้าโต๊ะเลขาผู้จัดการส่วนซึ่งจะเป็นคนตัดสินชะตาการทำงานของเขาในวันนี้ แล้วนึกสงสัยอยู่ครามครันเพราะผู้ที่จะทำการสัมภาษณ์เขาออกจะมีตำแหน่งสูงเกินไปที่จะมาทำหน้าที่นี้ร่างบางยิ้มให้หญิงสาวหลังโต๊ะทำงานที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

"สวัสดีครับ ผมนันทกร…ที่จะมาสอบสัมภาษณ์ ขอโทษที่มาสายนะครับพอดี…"

ยังพูดไม่ทันจบเลขาสาวสวยก็แทรกขึ้นมาเสียงก่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์พอ ๆ กับใบหน้า

"เชิญข้างในเลยค่ะ คุณสบเนตรรอคุณอยู่แล้ว"
ชื่อนั้นทำให้ร่างบางสะดุดใจ สบเนตร…เธอคงเป็นผู้หญิงที่นัยน์ตาสวยหวานเสียจนคนหลงใหลเมื่อแรกมอง เพราะฉะนั้นก็ไม่น่าที่จะเข้มงวดเท่าไหร่

เขายกมือเคาะประตูเบา ๆ อย่างมีมารยาทแล้วให้แปลกใจเมื่อเสียงที่ตอบรับกลับทุ้มห้าวเกินกว่าจะเป็นเสียงผู้หญิง

ลูกบิดประตูหมุนนิดหนึ่งก่อนที่บานประตูจะแง้มออกทีละน้อย จนพอที่ร่างคนเปิดจะแทรกเข้ามาได้แล้วต้องหยุดอยู่แค่นั้นด้วยกำลังชะงักกับภาพที่ได้เห็น

ดวงตาคมสวยเป็นประกายระยับเหมือนอย่างที่เคยเห็นเมื่อสิบนาทีก่อน ริมฝีปากบางเฉียบยกมุมขึ้นเล็กน้อยเหมือนจะเยาะ หากแต่สีหน้าของเจ้าตัวนั้นเจือไปด้วยความขบขันอย่างสุดพรรณนา

"คุณนันทกรสินะ" ฝ่ายที่นั่งอยู่ในห้องเริ่มเปิดปากก่อนในขณะที่สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าเนียนซึ่งบัดนี้ซีดเผือด หากแต่ไร้เสียงตอบ

นันทกรแทบจะล้มทั้งยืน เขาชวดงานนี้แน่

วันนี้มันวันมหาซวยจริงๆ

……….
End.

ดัดแปลงมาจากบางส่วนของเรื่องสั้น 'บนถนน' ของจิรภัทร อังศุมาลี ตีพิมพ์ครั้งแรก : นิตยาสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3-9 ธันวาคม 2544 ปีที่ 22 ฉบับที่ 1,111 และฉบับวันจันทร์ที่ 10-16 ธันวาคม 2544 ปีที่ 22 ฉบับที่ 1,112 ตีพิมพ์ครั้งที่สอง : รวมเรื่องสั้นชุดวิปริต ของจิรภัทร อัศุมาลี

Õป.ล. เรื่องนี้จัดเป็นผลงานชิ้นแรก ๆ ของเฟื่อง เป็นไงมั่งคะ คนที่ไม่เคยอ่านคิดว่าสำนวนแปลก ๆ ไหมเอ่ย?

comment