ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Within Your Eyes (1)

by...Rai

บนอาคารสูงโอ่อ่าและทันสมัยแถบใจกลางเมือง สำนักงานทนายความบนชั้นสิบเจ็ดกำลังต้อนรับชายหนุ่มผู้มาเยือนตามจดหมายเชิญเพื่อติดต่อทางนิติกรรมบางประการ

สุรศักดิ์ สืบวงศ์ เจ้าของสำนักงานทนายความสืบวงศ์มองข้ามโต๊ะทำงานตัวมหึมาของตนไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาปรานีเยี่ยงผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก ชายสูงวัยไม่แน่ใจว่ากิริยาเงียบงันของอีกฝ่ายนั้นเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวหรือว่าเป็นเพราะตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังอยู่ในภาวะตกตะลึงจนคิดอะไรไม่ออกกันแน่

นักกฎหมายชราเพิ่งจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังว่า ตามพินัยกรรมของนายกมล อรุณฉัตร คหบดีที่ล่วงลับไปแล้วนั้น มรดกจำนวนมหาศาลได้ตกเป็นของชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นหลาน ซึ่งในความเป็นจริง ฉัตรสิริเกือบไม่รู้เลยว่ามีญาติที่เป็นมหาเศรษฐีอยู่ในโลก เนื่องจากเกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างเครือญาติในสมัยก่อน จนกระทั่งตัดเป็นตัดตายไม่ดูดำดูดีอีกต่อไป ทนายสุรศักดิ์จึงสรุปว่าความเงียบของชายหนุ่มน่าจะเกิดจากการตกตะลึงมากกว่า

ชายผู้สูงวัยตัดสินใจจะเว้นช่วงสักสองสามนาทีให้อีกฝ่ายได้ทำใจก่อนจะแถลงเรื่องต่อไป นั่นคือการส่งจดหมายของคุณกมลที่ทำไว้ก่อนถึงแก่กรรมให้เจ้าตัวอ่าน

คุณกมล อรุณฉัตร ในความคิดของทนายสุรศักดิ์นั้นค่อนข้างจะประหลาดอยู่สักหน่อย เพราะท่านผู้เฒ่ามีญาติหลายคนอาศัยอยู่เต็มบ้าน แต่ไม่มีญาติคนไหนที่ท่านจะชอบหน้าสักคนเดียว ด้วยเหตุนี้ท่านจึงยกมรดกให้กับลูกชายของนายศิริ อรุณฉัตร ซึ่งเป็นน้องชายร่วมสายเลือด แต่ทั้งท่านและน้องชายเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรงเมื่อสามสิบปีก่อน ในที่สุดผู้เป็นน้องก็สะบัดหน้าออกจากบ้านแล้วไม่ได้ย้อนกลับไปอีกเลย

ตรงหน้าของเขาในตอนนี้คือนายฉัตรสิริ อรุณฉัตร ผู้เงียบขรึมและสำรวมอย่างยิ่งในสายตาของทนายความอาวุโส ผิวของชายหนุ่มค่อนข้างจะเผือดซีด ชายชราไม่แน่ใจว่าเป็นความเผือดซีดของผิวพรรณตามธรรมชาติหรือว่าเป็นผลจากสุขภาพ กิริยาอันสงบเสงี่ยมทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ โดยเฉพาะในวัยเพียงยี่สิบสองปี

กิริยาท่าทางของชายหนุ่มคือความสำรวม ไม่ใช่ว่าประหม่าหรือว่าเงอะงะ น้ำเสียงฟังดูสุภาพและให้เกียรติกับผู้มีวัยสูงกว่า ทนายสุรศักดิ์รู้มาว่าอีกฝ่ายทำงานเป็นเสมียนอยู่ในสำนักงานขายเครื่องสุขภัณฑ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง น่าจะเป็นคนทำงานเก่งและรับผิดชอบกับงานพอสมควร เพราะกว่าที่เขาจะนัดเวลาเพื่อพูดคุยเรื่องนี้ได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ต้องการทิ้งงานโดยไม่มีเหตุจำเป็น

"คุณสุรศักดิ์จะกรุณาทบทวนเรื่องสุดท้ายที่พูดกันเมื่อครู่ให้ผมฟังอีกครั้งได้ไหมครับ ผมยังไม่เข้าใจดีนักเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สิน"

ทนายความอาวุโสเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พร้อมกับยิ้มอย่างใจดี

"ถ้าจะระบุจำนวนเงินลงไปให้แน่นอน ผมคงจะยังระบุไม่ได้นะครับ แต่หลังจากการบวกลบคูณหารเกี่ยวกับรายได้รายจ่ายต่าง ๆ รวมทั้งหักภาษีแล้ว ผมคิดว่าคุณคงจะมีรายได้ประมาณเดือนละสองแสนบาท…เป็นอย่างน้อย ตัวเลขจริงคงจะสูงกว่านี้ เรื่องคำนวณทรัพย์สินคงจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย แต่ว่าคุณกมลได้สั่งไว้ว่าให้มอบโอนมรดกให้โดยเร็วที่สุดหลังจากท่านถึงแก่กรรม ก็คงจะไม่ต้องรออะไรมาก คุณมีหมายเลขบัญชีเงินฝากในธนาคารเลขที่เท่าไรครับ ผมจะได้จัดการโอนเงินเข้าให้"

"ผมไม่มีบัญชีเงินฝากในธนาคารครับ" ฉัตรสิริตอบแล้วยิ้มน้อย ๆ "คือผมมีรายได้พอเลี้ยงตัวเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือเก็บอะไรเพราะน้องสาวของผมมีสุขภาพไม่ค่อยดีนัก"

"อ้อ! เรื่องนี้คุณกมลก็เคยพูดถึงเหมือนกัน"

ชายหนุ่มมีรายได้เดือนละเจ็ดพันกว่าบาท ต้องอุปการะน้องสาวที่มีสุขภาพอ่อนแอหนึ่งคน และน้องเขยที่ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพายอีกหนึ่งคน ทนายสุรศักดิ์ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มรดกจำนวนนี้ร่อยหรอละลายหายไปอย่างสูญเปล่าเสียหมดเลย

ชายชราหยิบจดหมายของคุณกมลออกมาจากลิ้นชักส่งให้อีกฝ่าย แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องเพื่อให้ชายหนุ่มได้อ่านโดยสะดวก

ฉัตรสิริเปิดจดหมายออกอ่านด้วยความรู้สึกราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นเพียงความฝัน จดหมายฉบับนั้นเขียนด้วยลายมือหนักและชัดเจน

พ่อฉัตรหลานรัก
เมื่อหลานได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ลุงย่อมตายไปแล้ว ในเมื่อเราไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนเลย หลานก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องแสดงความโศกเศร้าออกมา และไม่จำเป็นต้องเข้ามาร่วมงานศพด้วยการจับกลุ่มกับญาติแล้วพร่ำรำพันอะไรกันเป็นวรรคเป็นเวร ถ้าหากว่าหลานอยากพบญาติ ขอให้หาโอกาสพบกันในโอกาสอื่น แต่ลุงเกรงว่าเมื่อพบกับพวกญาติ ๆ แล้ว หลานจะได้รับความรู้สึกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บใจ แค้นใจ อิจฉาริษยา และอื่น ๆ อีกมาก ยกเว้นอย่างเดียวคือความเศร้าโศก ทั้งนี้ขอบอกให้รู้ว่าญาติ ๆ ของลุงนั้นไม่ได้รักใคร่ไยดีลุงมากนัก ซึ่งลุงก็รู้สึกกับพวกเขาอย่างเดียวกัน เมื่อรู้เช่นนี้ หลานคงจะสงสัยว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมลุงถึงยอมให้พวกเขาอาศัยอยู่จนเต็มบ้าน คำตอบนี้ง่ายมาก คือในตอนแรก ลุงให้ญาติมาอาศัยอยู่ด้วยเพื่อความสะดวกของลุงเอง เพราะว่าลุงเป็นพ่อม่าย และถ้าไม่หาใครมาอยู่ด้วยสักคนก็จะต้องทนความรำคาญจากผู้หญิงที่วุ่นวายคิดจะเป็นแม่สื่อแม่ชักเพราะเห็นว่าลุงอยู่คนเดียวแล้วจะไม่มีคนดูแลกระมัง ญาติคนแรกที่ลุงรับเข้ามาอยู่ด้วยคือภรรยาม่ายของนิมิตรน้องชายของลุงเอง กับลูกชายของหล่อน ผู้หญิงคนนี้คือป้าดารณีของหลาน เป็นผู้หญิงตัวใหญ่ แต่ว่าสมองเล็กและนิสัยรั้นเหลือประมาณ ส่วนเจ้าปรเมศลูกชายเป็นนักวาดรูป หลังจากนั้นน้องสาวที่เป็นหญิงโสดของดารณีที่ชื่อ ทิพย์วัลย์ กับหลานชายชื่อ นินนะ ก็มาขออาศัยอยู่ด้วย ซึ่งลุงก็เห็นว่าถ้านับแล้วแม่ทิพย์วัลย์ก็เป็นญาติห่าง ๆ ซึ่งถ้าหากเขาเป็นญาติสนิทกว่านี้ก็คงจะแผลงฤทธิ์ใส่หลานเหมือนกันเป็นแน่ เพราะว่าหลานเป็นทายาทของลุงแต่เพียงผู้เดียว

ก่อนหน้านี้ ลุงเห็นจะต้องบอกความจริงว่า เมื่อตัดสินใจทำพินัยกรรมครั้งแรก ลุงคิดว่าจะยกมรดกให้กับสถานสงเคราะห์ที่ไหนสักแห่งดีกว่าจะยกให้กับคนใดคนหนึ่งในบ้าน แต่ก่อนจะถึงขั้นนั้นลุงก็ลองแวะมาดูหลานและน้องสาวของหลานเสียก่อนเพราะเห็นว่าไม่เสียหายอะไร ลุงรู้ว่าหลานอยู่ที่ไหนเพราะว่าพ่อของหลานเขียนจดหมายมาหาลุงในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนเขาจะตาย แต่ตอนนั้นเมื่อลุงได้รับจดหมาย ลุงเห็นว่าสายเกินกว่าที่จะทำอะไรได้เสียแล้ว แต่ลุงก็ได้ให้ทนายความคอยสืบเสาะดูข่าวคราวของหลาน และให้ทำรายงานแจ้งให้ลุงทราบอย่างสม่ำเสมอ ลุงเห็นว่าหลานมีความพยายามที่จะดิ้นรนหาเลี้ยงชีวิตจึงได้แต่มองดูอยู่ห่าง ๆ แต่ถ้าถึงขั้นจะอดตายลุงก็จะไม่เพิกเฉยดูดาย หรือพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ลุงมีญาติที่ต้องเลี้ยงอยู่ทั้งโขยงแล้ว ไม่อยากจะต้องได้ปากได้ท้องมาเพิ่มภาระอีก

ที่ลุงเปลี่ยนใจไม่ยกมรดกให้สถานสงเคราะห์เพราะได้มาพบหลานด้วยตนเอง จากรายงานที่ได้รับจากทนายความ ลุงรู้ว่าหลานเป็นคนที่ทำงานหนัก เอาการเอางาน และมีความประพฤติดี ส่วนน้องสาวของหลานนั้น นับว่าไม่เป็นที่น่าพอใจนักในสายตาของลุง เพราะเป็นคนอ่อนแอ หัวอ่อน มิหนำซ้ำยังไปแต่งงานกับผู้ชายที่เหลาะแหละไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร ดังนั้นลุงจึงตัดสินใจยกมรดกให้กับหลานเพียงคนเดียว

หลานคงจะจำผู้ชายแก่ ๆ ชื่อนายไสวที่ไปดูเครื่องสุขภัณฑ์ในร้านที่หลานทำงานอยู่ แล้วสอบถามเป็นนานสองนาน ทำให้เสียเวลาไปมาก แท้จริงคือลุงเอง เมื่อลุงได้พบตัวจริงของหลานก็ยิ่งทำให้แน่ใจว่าหลานสมควรเป็นทายาทอันชอบธรรมของลุงจริง ๆ ลุงไม่ได้บังคับหลานในเรื่องการใช้มรดกที่ได้รับนี้ ไม่มีเงื่อนไขอะไรมาก นอกจากจะใช้สมองให้ดีดีเท่านั้น หลานจะได้มีสิทธิ์ขาดในทรัพย์สินของลุงครึ่งหนึ่ง ทนายสุรศักดิ์จะอธิบายรายละเอียดให้ฟังเอง
กมล อรุณฉัตร

ปล. ถ้าหลานต้องการย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของลุง ขอบอกว่าบ้านนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนได้โดยไม่ยาก แม้ว่าลุงจะไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะต้องแบ่งกันอยู่ก็ตาม แต่ยอมรับว่าการขับไส่ป้าสะใภ้และน้องสาวของหล่อนออกไปนั้นไม่มีทางจะทำได้ง่ายนัก

*****

ทนายความสุรศักดิ์กลับเข้ามาในห้องเมื่อชายหนุ่มอ่านจดหมายจบพอดี ดวงหน้าซีดขาวของฉัตรสิริค่อยมีสีสันขึ้นมาบ้าง แต่นัยน์ตากลับสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

"มีอะไรที่ไม่สบายใจหรือ?"

"ผมสงสารคุณลุงครับ ท่าทางท่านเป็นคนปากร้าย และดูไม่มีความสุขเลย"

"ท่านเป็นคนมีอารมณ์ขันมากกว่าครับ ประเภทชอบพูดประชดประชันเสียดสีใส่คน"

ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะลุกขึ้นยืน

"มีอะไรที่จะถามผมอีกไหมครับ?" ชายชราเอ่ยปากถามอย่างเอาใจใส่

"คุณลุงเขียนว่าผมมีสิทธิ์ขาดในทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของท่าน หมายความว่าอะไรครับ?"

ทนายอาวุโสยิ้มอย่างปรานีก่อนอธิบายรายละเอียด "หมายความว่าทรัพย์สินจำนวนครึ่งหนึ่งของทั้งหมด คุณเป็นคนครอบครอง และมีสิทธิ์ที่จะยกให้กับใครก็ได้"

"แล้วอีกครึ่งหนึ่งล่ะครับ?"

"ส่วนนี้ได้จัดการเอาไว้แล้วละครับ ถ้าหากว่าคุณสมรสแล้วมีบุตร บุตรของคุณจะได้ครอบครองทรัพย์สินส่วนนี้ต่อไป ครึ่งแรกจะเป็นของคุณที่คุณจะจับจ่ายหรือยกให้ใครก็ได้ แต่ถ้าหากคุณไม่มีบุตร ทรัพย์สินส่วนที่สองนี้จะถูกแบ่งไประหว่างญาติ ๆ ของท่าน คือคุณดารณี คุณปรเมศ และคุณทิพย์วัลย์ สำหรับคุณปรเมศนั้นจะได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งแบ่งระหว่างแม่ของเขากับน้าสาว เพราะว่าสองคนนี้ถือเป็นญาติห่าง ๆ ของท่านด้วย ท่านทำพินัยกรรมอย่างนี้เพราะท่านไม่ต้องการให้ทรัพย์สินมรดกของท่านตกอยู่ในมือของคนอื่นนอกจากเครือญาติท่าน ทรัพย์สินส่วนนี้คุณจะเข้าไปแตะต้องไม่ได้ ถ้าหากว่าคุณไม่มีบุตร ทรัพย์สินก็จะตกอยู่ในมือของญาติคนอื่น ผมเป็นทนายความให้ท่านมาสามสิบปีแล้ว ผมรู้นิสัยของท่านดี ท่านอาจจะพูดหรือแสดงออกว่าเกลียดญาติของท่านมากก็จริง แต่ท่านก็จะไม่ยอมให้เงินของท่านตกไปถึงมือคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเป็นอันขาด และตามวิสัยทนายของผมนั้น ผมขอแนะนำให้คุณทำพินัยกรรมของตัวเองไว้แต่เนิ่น ๆ ด้วยครับ เพื่อมิให้เกิดความยุ่งยากขึ้นภายหลัง"

ฉัตรสิริหลุดปากถามด้วยความอยากรู้ "แล้วถ้าผมตายไปโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมล่ะครับ สมมุติว่าผมออกจากสำนักงานแล้วเกิดถูกรถชนตายกระทันหัน?"

ทนายความเฒ่ายังคงยิ้มอย่างใจดีเช่นเดิม "คงจะไม่เคราะห์ร้ายขนาดนั้นหรอกครับ"

"ถ้าผมเกิดเคราะห์ร้ายขึ้นมาจริง มรดกจะเป็นของใครครับ?"

"มรดกส่วนหนึ่งจะตกเป็นของน้องสาวคุณ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็ตกเป็นของญาติ ๆ อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้ว"

*****

ลิฟต์ขนาดใหญ่ในอาคารสำนักงานที่โอ่อ่าทั้งสะอาดสะอ้านและกว้างขวาง ตอนที่ชายหนุ่มอาศัยมันพาตัวเขาขึ้นไปยังชั้นสิบเจ็ด ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานทนายความ เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายตนเองหดเล็กลงไปมาก แต่ยามที่อาศัยมันลงไปยังชั้นล่างเขากลับไม่ทันได้สังเกตสิ่งรอบข้าง อาจจะเป็นเพราะความคิดเรื่องโชคดีที่ไม่คาดฝันยังวนเวียนอยู่ในสมองไม่รู้จบ

เนื่องจากยังเป็นเวลาที่มีผู้ใช้ลิฟต์ไม่มากนัก ห้องสี่เหลี่ยมอับทึบขนาดใหญ่จึงดูโล่ง คนที่ผ่านเข้าออกขึ้นลงมีอยู่เพียงไม่กี่ราย จวบจนเมื่อประตูเหล็กเปิดออกที่ชั้นสิบเจ็ด ภายในลิฟต์มีเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน ฉัตรสิริก้าวเข้าไปในลิฟต์โดยไม่เอาใจใส่ชายร่างสูงที่ยืนพักขาโดยใช้หลังพิงฝาผนังด้านหนึ่งไว้ เพราะใจมัวแต่หมกมุ่นกับเรื่องส่วนตัว

ธราดล สีนอนันต์ เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์เมื่อเห็นเงาร่างวอบแวบตรงหน้า แต่ก็ทันเห็นเพียงแผ่นหลังในเสื้อเชิ้ตสีขาว กับซีกหน้าเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ แต่ก็พอสรุปได้ว่าอีกฝ่ายนั้นขาวจนเผือดทีเดียว ร่างสันทัดนั้นผอมแห้งเหมือนคนเป็นโรคขาดสารอาหาร

ความคิดยังไม่ทันสิ้นสุดดี ห้องสี่เหลี่ยมเล็กที่กำลังเคลื่อนตัวลงก็พลันหยุดชะงักแล้วไฟฟ้าก็ดับวูบจนมองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง

ฉัตรสิริใจหายวูบ อาการกลัวที่แคบและมืดมาเยือนในทันที เขาไม่เคยชอบนวัตกรรมสมัยใหม่ชิ้นนี้เลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะตอนเด็ก ๆ เขาเคยติดอยู่ในลิฟต์เก่า ๆ บนอาคารที่ทำงานของมารดามาก่อน ทำให้เขาฝังใจกับเครื่องย่นระยะทางชิ้นนี้มาตลอด หลังจากเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้เขาเป็นโรคกลัวที่แคบ ชายหนุ่มจึงมักเลี่ยงการใช้ลิฟต์ตามสถานที่ต่าง ๆ และดูเหมือนเขาจะไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ชิ้นนี้เลย เพราะที่ทำงานของเขาในปัจจุบันเป็นเพียงอาคารห้องแถวแบบโบราณ บ้านที่อยู่อาศัยก็เป็นเพียงห้องแถวโทรม ๆ จึงไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี้เลย

แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มไว้ใจอาคารสำนักงานที่หรูหราและโอ่อ่านี้มากเกินไป นอกจากนี้เขาคงจะหมดแรงเสียก่อนถ้าคิดจะเดินขึ้นบันไดไปจนถึงสำนักงานทนายความบนชั้นที่สิบเจ็ด มือที่เย็นและสั่นเทาของชายหนุ่มควานหาหลักยึดเกาะ แต่ไม่พบอะไร เขาลืมนึกไปว่าลิฟต์ที่นี่มีขนาดใหญ่สมกับศักดิ์ศรีของอาคารทันสมัย ยิ่งควานมือไม่พบผนัง ก็พาลจะเข่าอ่อนเสียให้ได้

ชายหนุ่มกัดริมฝีปากก่อนจะลากเท้าเดินถอยหลังเพื่อหาผนังลิฟต์สักด้านไว้พิงตัวเพื่อให้อุ่นใจ และไม่รู้สึกเวิ้งว้างเหมือนเช่นตอนนี้ เพราะความมืดทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังอยู่บนลานกว้างที่ไม่มีทิศทาง พลันด้านหลังของเขาก็ปะทะกับบางสิ่งที่ไม่ใช่พื้นผิวเรียบของผนังลิฟต์ ฉัตรสิริอุทานขึ้นมาเบา ๆ ประสานกับเสียงของผู้โดยสารอีกคนในลิฟต์

"เฮ้ย!"

"โอ๊ะ!! ขอโทษครับ"

ธราดลรู้สึกเหมือนมีร่างหนึ่งเซเข้ามาปะทะ เขาจึงรวบร่างนั้นไว้ แล้วจึงรู้สึกถึงอาการสั่นน้อย ๆ "คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?"

"ผม…ผมไม่เป็นไร" เสียงตอบรับนั้นแหบแห้งจนแทบไม่เป็นภาษา

"งั้นก็ดี เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยแล้ว ระบบรักษาความปลอดภัยที่นี่ดีพอใช้ เดี๋ยวไม่ถึงห้านาทีก็ออกไปได้แล้ว" ธราดลพยายามเน้นเสียงให้หนักแน่นเข้าไว้ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรแน่ แต่อาการสั่นไปทั้งตัวแบบนี้ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นธรรมดา ๆ แน่นอน

"ผมไม่เป็นอะไร" เสียงของเพื่อนร่วมชะตากรรมในความมืดดังซ้ำอีกครั้ง คราวนี้คล้ายกับอีกฝ่ายกำลังปลอบตัวเองด้วยเสียงอยู่

แม้ว่าธราดลจะไม่ถนัดนักในวิชาจิตวิทยา แต่เขาก็รู้ด้วยสัญชาติญาณว่าอีกฝ่ายคงกลัวบางอย่าง อาจจะเป็นความมืด ความเงียบ การอยู่คนเดียว หรืออะไรก็ตามที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้แต่ส่งเสียงทำลายความเงียบ "ผมรู้ว่าคุณไม่เป็นอะไร ที่จริงเราทั้งสองคนก็ไม่เป็นอะไรหรอก ผมสบายดี คุณก็สบายดี"

"อากาศ" เสียงแหบแห้งนั้นพึมพำ พร้อมร่างที่พยายามดิ้นรนให้หลุดจากมือของธราดล

"ไม่เป็นไรคุณ ไม่เป็นไร อากาศในนี้มีพอสำหรับเราสองคน หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ นะคุณ"

เสียงคล้ายคนสำลัก ทำให้ธราดลต้องคว้าจับตัวอีกฝ่ายไว้แน่น ในความมืดเขาไม่รู้ว่าสภาพของอีกฝ่ายเป็นอย่างไรแล้วในตอนนี้ "ค่อย ๆ หายใจนะคุณ ไม่เป็นอะไรหรอก อากาศในนี้ยังเหลืออีกเพียบ เอ้า…ตั้งสมาธิก็ได้ หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ พุท..โธ"

ชายหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มจะมีอาการดีขึ้น สังเกตได้จากร่างที่เขาพยุงตัวไว้อยู่นั้นเริ่มสงบลง ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นปกติมากขึ้น

"เดี๋ยวเขาก็จัดการซ่อมไฟฟ้าได้แล้ว แล้วเราจะได้ออกไปเสียที อาคารที่นี่ออกจะทันสมัย เขาวางระบบไว้ดีพอควร"

ที่ชายหนุ่มพูดเป็นความจริงเพราะไม่กี่นาทีต่อมา ไฟฟ้าก็สว่างวูบจนต้องหรี่ตา แล้วห้องสี่เหลี่ยมก็ค่อย ๆ เลื่อนตัวลงเช่นเดิม จนถึงชั้นล่างสุด

อันที่จริงการขัดข้องของลิฟต์นั้นกินเวลาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่คนที่ติดอยู่ภายในรู้สึกเหมือนนานนักหนา

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก พนักงานรักษาความปลอดภัยต่างก็ยืนกันเรียงเต็มเป็นแผง ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนเป็นหัวหน้าเอ่ยปากระล่ำระลัก

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ เพราะเมื่อครู่ระบบไฟส่วนกลางขัดข้อง ทำให้ลิฟต์ชะงักไปครู่หนึ่ง"

"ตกใจนิดหน่อย แต่อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะคุณ ผมยิ่งเป็นโรคหัวใจอ่อนไหวอยู่ด้วย เกิดช็อคตายขึ้นมาจะว่าไง?" ธราดลเอ่ยเป็นเชิงตำหนิแต่ไม่จริงจังนัก

"ถ้าแกตายง่ายขนาดนั้น น้ำก็ท่วมโลกแล้วสิวะ" เสียงหนึ่งสอดขึ้น พร้อมร่างสูงสง่าในชุทสูทสีเทาอ่อนเดินแหวกทางพวกพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้ามา

หัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยสะดุ้งเมื่อเห็นคุณชนินทร์ ธีระชาญชัย กรรมการผู้บริหารเจ้าของอาคารสำนักงานทักทายผู้เคราะห์ร้ายอย่างสนิทสนม

"นี่เป็นเหตุสุดวิสัยนะครับท่าน" หัวหน้ารักษาความปลอดภัยพยายามชี้แจงด้วยเกรงความผิด

ผู้บริหารหนุ่มเพียงพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะโบกมือให้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่กันต่อ

พอบรรดาพนักงานรักษาความปลอดภัยเดินจากไป ชนินทร์จึงกระดิกนิ้วเรียกเพื่อน "แกออกมาจากลิฟต์ได้แล้ว ไอ้ตัวซวย ลิฟต์ของอาคารนี้ใช้มาตั้งแต่สร้างยังไม่เคยมีปัญหาอะไร พอแกเหยียบย่างเข้าไปเท่านั้นเป็นได้เรื่อง"

"ฉันว่าแล้วว่าไอ้อาคารนี้มันมาตรฐานเดียวกับแกนี่แหละ ดูข้างนอกก็ดี แต่ข้างในแย่ว่ะ โชคดีที่เป็นฉันนะโว้ย ขืนเป็นคนอื่นมีหวังโวยกันแหลกแล้ว"

"อ้าว แล้วนั่นใคร?" ชนินทร์จ้องมองร่างผอม ๆ ที่ยืนหน้าซีดพิงผนังลิฟต์อยู่ ด้วยสายตาที่ช่างสังเกตอันเป็นบุคลิกประจำตัว ทำให้ชายหนุ่มเก็บรายละเอียดของอีกฝ่ายได้คร่าว ๆ อายุน่าจะอยู่ราวยี่สิบต้น ๆ สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาราคาถูกอย่างที่เห็นตามตลาด ผิวขาวราวกับไม่เคยโดนแดด ถ้าไม่ใช่ซีดเพราะตกใจกับเรื่องนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะผิวตามธรรมชาติ หรือไม่ก็ทำงานที่คงไม่ต้องออกไปเจอคนภายนอก อย่างพวกนักบัญชีหรือแรงงานที่ขลุกอยู่กับพวกเอกสาร แต่คงไม่ใช่คนที่ทำงานในอาคารนี้แน่นอน เพราะขนาดพนักงานส่งเอกสารของบริษัทที่เช่าสำนักงานของเขายังแต่งตัวดูมีราคากว่าหมอนี่ด้วยซ้ำ พูดง่าย ๆ ว่าคนตรงหน้านั้นเป็นแค่คนเดินถนนธรรมดาที่เห็นกันอยู่ทุกวันแถวป้ายรถประจำทางนั่นแหละ

"ผู้เคราะห์ร้ายอีกคน" ธราดลตอบคำถามเพื่อน ก่อนจะขยับริมฝีปากแต่ไม่ให้มีเสียงลอดออกมาในตอนท้าย "อา-การ-ไม่-ค่อย-ดี-ว่ะ"

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของอาคารได้แต่เลิกคิ้ว แล้วขยับริมฝีปากโดยไม่มีเสียงลอดออกมากลับไปว่า "แล้ว-จะ-ให้-ฉัน-ทำ-อะ-ไร-ละ-โว้ย"

คำถามดังกล่าวทำให้ผู้เป็นเพื่อนต้องส่ายหน้า แล้วหันกลับไปถามอาการอีกฝ่ายเสียเอง "เป็นอะไรหรือเปล่า? เดินไหวไหม?"

"ไหว" ฉัตรสิริตอบเสียงแผ่ว แต่ยังไม่มีทีท่าจะขยับตัว เพราะดูเหมือนร่างกายของตนจะไม่ยอมรับคำสั่งเสียดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ เข่าอ่อนจนไม่มีแรงจะขยับ

ธราดลหันไปสบตากับเพื่อนก่อนจะพยักเพยิดให้ช่วยพูดอะไรบ้าง แต่ชนินทร์ก็ยักไหล่ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

"ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ดูแล้วก็ไม่ได้บาดเจ็บหรือมีบาดแผลอะไรไม่ใช่รึ"

"นี่แกพูดได้แค่นี้เองหรือ?"

"อ้าว แล้วจะให้ฉันพูดอะไรวะ จะให้บอกว่า เป็นความผิดของผมเองครับที่ทำให้คุณลูกค้าที่มาใช้อาคารสำนักงานของเราต้องตกใจจนก้าวขาไม่ออก ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ คราวหน้าผมจะไม่ทำอีกแล้ว"

ธราดลทำหน้าละเหี่ยใจก่อนจะพยุงอีกฝ่ายออกจากลิฟต์ แต่ชายหนุ่มร่างผอมเกร็งกลับสะบัดมือเขาออก

"ผมเดินเองได้ และผมก็ไม่ได้ต้องการคำขอโทษแบบเสียดสีอย่างนี้ด้วย ผมกำลังสงสัยว่าถ้าคนในลิฟต์ไม่ใช่เพื่อนคุณ หรือไม่ใช่คนเดินถนนธรรมดาอย่างผม แต่เป็นพวกมหาเศรษฐีหรือระดับรัฐมนตรีประสบกับเรื่องแบบนี้ คุณจะทำอย่างนี้หรือเปล่า?" น้ำเสียงนั้นสั่นด้วยโทสะที่ระบายขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ พาให้ใบหน้าซีดขาวพอจะมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง

สีหน้าของชนินทร์กระตุกไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเยาะ "นี่เป็นนิสัยของผม และก็เป็นนิสัยอันถาวรด้วย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถ้าผมไม่สนใจ ผมก็จะไม่ใส่ใจ ต่อให้คุณเป็นบุพการีผมก็เถอะ แต่ก่อนอื่น ผมว่าคุณออกมาจากลิฟต์ก่อนดีกว่า คนอื่นเขาจะได้ใช้กันบ้าง ถ้าไม่ไหวจริง ๆ จะเรียกคนมาช่วยแบกช่วยหาม เอาชนิดสี่คนหาม สามคนแห่ มีแตรนำด้วยก็ได้นะ"

ธราดลถอนหายใจยาวด้วยความหนักอก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่เดือนกี่ปีก็ตาม นิสัยแบบที่เขาเคยเรียกกันล้อ ๆ ลับหลังว่า "กวนติง" ของเพื่อนสนิทดูเหมือนจะไม่มีวันหายอย่างแน่นอน ไม่ว่ากับใครหน้าไหนก็ตาม ชนินทร์ก็มักจะก่อกวนให้คนอื่นเกิดอาการ "คันติง" ได้ตลอดเวลา

ไม่ต้องอาศัยคนอื่นมาช่วยประคับประคอง เพราะแค่ธราดลคนเดียวก็แทบจะอุ้มอีกฝ่ายลอยขึ้นจากพื้นได้อยู่แล้ว แต่ด้วยเกรงสายตาของคนรอบข้างจะทำให้ชายหนุ่มได้รับความอับอาย เขาจึงได้แต่กึ่งจูงกึ่งลากร่างผอมบางออกมาจากลิฟต์เจ้ากรรมนั่น แล้วพาไปนั่งพักบริเวณห้องโถงของอาคารที่จัดเก้าอี้เรียงรายไว้สำหรับผู้มาติดต่อ

"คุณนั่งพักตรงนี้ก่อน เพื่อนผมปากมันไม่ค่อยดี แต่นิสัยมันก็…เอ่อ…ใช้ได้นะ" ชายหนุ่มพยายามแก้แทนเพื่อน แต่ดูเหมือนเขาก็พูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำนักว่าชนินทร์มีนิสัยดีเท่าไรนัก เรื่องปากร้ายนั่นทุกคนรู้กันอยู่แก่ใจ แต่เรื่องพฤติกรรมและความคิดก็ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะดีอะไรนัก ตามสภาพสังคมธุรกิจที่ชิงไหวชิงพริบแบบนี้จะให้มีจิตใจดีงามก็คงเป็นไปไม่ได้

"ไปกันได้หรือยัง?" ชนินทร์ยืนเร่งเพื่อนสนิทยิก "ออกช้าเดี๋ยวรถยิ่งติด"

"เออ" ธราดลหันไปรับคำกับเพื่อน ก่อนจะบอกลาคนที่นั่งอยู่ "ผมไปก่อนนะคุณ"

ฉัตรสิริได้แต่พยักหน้ารับ แต่สายตาจับอยู่ที่คนที่ยืนทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ด้านหลังด้วยความแค้นเคืองและหมั่นไส้เต็มทน

*****

"แกนี่จะพูดจาให้มันดีดีหน่อยไม่ได้หรือไงวะ ดูก็รู้ว่าเขาตกใจขนาดไหนแล้ว" ธราดลอดที่จะต่อว่าเพื่อนสนิทไม่ได้ขณะที่รถยนต์ยุโรปยี่ห้อหรูที่คนทั้งคู่กำลังนั่งโดยสารมาเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ

"แล้วแกไม่ได้ยินที่หมอนั่นมันพูดหรือวะ ถามว่าเดินไหวไหม ก็บอกว่าไหว แม่งก็ไม่ยอมบอกว่าช่วยพยุงหรืออุ้มผมออกไปที ในเมื่อมันบอกว่าไหว มันก็ต้องเดินออกมาได้เองสิวะ แล้วพอข้าพูดกลับไปประโยค ดันศอกกลับมาว่าไม่ต้องการคำขอโทษแบบเสียดสีประชดประชัน สำนวนชวนคลื่นเหียนชะมัด ข้าไม่ด่าร่ายยาวมากกว่านี้ก็บุญแล้ว สงสัยจะดูละครโทรทัศน์มากไป นึกว่าตัวเองเป็นพระเอกชนชั้นกรรมากรกำลังต่อสู้กับระบบนายทุนหรือไงวะ"

ธราดลส่ายศีรษะอย่างระอาใจ ก่อนจะสะดุดตากับร่างผอมเกร็งผิวขาวซีดที่กำลังผ่านทางออกของลานจอดรถเพื่อเดินไปยังจุดรอรถประจำทางที่ป้าย

"ไอ้นินทร์ แวะจอดทีสิ"

ชนินทร์หันไปมองตามสายตาเพื่อนแล้วขมวดคิ้วเป็นเชิงไม่พอใจ "แกจะทำตัวเป็นประชาสงเคราะห์หรือไงกัน ถ้าอยากจะทำความดีนัก ก็ไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อคอยรับโทรศัพท์บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยออกทางโทรทัศน์กับคุณหญิงแม่ของแกไป๊ แหกตาดูซะมั่ง ไอ้เด็กนั่นมันเดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอรถฝั่งนี้ แสดงว่ามันกำลังจะเดินทางไปทางนั้น ส่วนเรากำลังจะกลับรถไปทางนี้นะโว้ย มันไม่ใช่ทางผ่าน แกดูปากฉันดีดี มัน-ไม่-ใช่-ทาง-ผ่าน"

"ฉันจำได้ว่าไม่เคยเลี้ยงแกมาให้เป็นคนเอี้ย ๆ แบบนี้นะโว้ย" ธราดลกึ่งด่ากึ่งเสียดสี

"แล้วฉันก็จำได้ว่าแกไม่เคยมีบุญคุณอะไรกับฉัน ไอ้เพื่อนทรพีทำให้ฉันเสียเวลา" ชนินทร์บ่นงึมงำก่อนจะชะลอรถ แล้วเลื่อนกระจกรถปล่อยให้อีกฝ่ายทำหน้าที่เจรจา ส่วนตนเองก็ยังบ่นเป็นหมีกินผึ้ง "กลับไปต้องโดนทัณฑ์ทรมานของยายจีน่าแน่เลย โทษฐานปล่อยให้รอเก้อ แถมรถติดเป็นตังเมแบบนี้มีหวังถึงบ้านพรุ่งนี้เช้ามั้ง"

ธราดลไม่สนใจเสียงบ่นของเพื่อน ชะโงกหน้าออกไปทักทายชายหนุ่มที่กำลังเดินลากขาช้า ๆ ออกอาการเพลียสุดขีด

"นี่คุณ คู๊ณ คุณ" ชายหนุ่มเรียกไล่เสียงตามโน้ตดนตรี เพราะไม่รู้ชื่ออีกฝ่าย

ฉัตรสิริหันกลับไปตามเสียงเรียก พอมองเห็นว่าใครเป็นใครก็ทำท่าจะเดินต่อ ทำให้คนที่ทำหน้าที่ขับรถหัวเราะในลำคอ

"สงสัยเราจะเจอพระเอกตัวจริงซะแล้วว่ะไอ้ดล สงสัยจะเป็นพระเอกเรื่องดอกฟ้ากับโดมผู้จองหอง"

เมื่อเจอกับปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้ ธราดลจึงรีบเปิดประตูรถออกไป แล้วเจรจาตรง ๆ "ให้พวกผมไปส่งดีกว่า เพราะมันเป็นความผิดของพวกเราเองที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้"

"ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก"

"แต่ตึกนั่นมันก็ของไอ้นินทร์ คือเพื่อนผมนี่แหละ มันสำนึกผิดแล้ว เลยอยากจะไปส่งคุณให้ถึงบ้าน" ชายหนุ่มมุสาหน้าตาเฉย รู้ดีว่าเพื่อนของตนไม่มีวันสำนึกเป็นอันขาด

เสียงบีบแตรจากรถเมล์ขนส่งมวลชนกรุงเทพไล่หลังรถยุโรปคันหรูที่จอดขวางทาง ทำให้สารถีต้องชะโงกหน้าออกไปเรียกแกมประชด "เร็วหน่อยสิพ่อคุณพ่อทูนหัว เจ้าพ่อถนนเขาเร่งแล้ว เดี๋ยวอีไม่สบอารมณ์ลงมาด่าแล้วจะอายคนเขาเสียเปล่า ๆ ผมมันยิ่งหน้าบางอยู่ด้วย"

สถานการณ์ในตอนนั้นทำให้ฉัตรสิริรู้สึกเกรงใจชายหนุ่มที่มีน้ำใจต่อเขาเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องก้าวขึ้นรถยนต์ด้วยความจำใจเป็นที่สุด เพราะเขารู้สึกไม่ชอบหน้าชายหนุ่มอีกคนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จะเปรียบอีกฝ่ายเป็นไส้เดือนกิ้งกือยังน้อยไปด้วยซ้ำ

"บ้านอยู่ไหน?" คนที่มีหน้าที่ขับรถเอ่ยปากถามอย่างมะนาวไม่มีน้ำ สายตาเหลือบมองคนที่เบาะหลังจากกระจกมองหลัง

ฉัตรสิริเอ่ยปากบอกสถานที่อย่างห้วน ๆ รู้สึกว่าสายตาที่มองผ่านกระจกมองหลังนั้นมีแววขบขันเมื่อได้ยินแหล่งที่พำนักของเขา

"ไปถูกใช่ไหมวะ?" ธราดลเอ่ยปากถามเพื่อน เขาเองไม่รู้จักเส้นทางในกรุงเทพฯ แม้แต่น้อย เพราะเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เองหลังจากไปร่ำเรียนมาหลายปี ถนนหนทางดูเหมือนจะเปลี่ยนไปหมดจนจำเค้าเดิมไม่ได้

"เจ้าตัวเขาก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ไม่ใช่เรอะ ถ้าไปผิดทางก็ทักท้วงเอาเองก็แล้วกัน" ชนินทร์เอ่ยขึ้นลอย ๆ แต่ก็จงใจพูดกับคนแปลกหน้านั่นแหละ

นั่งนิ่งกันไปสักพัก ธราดลจึงนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ "คุยกันมาตั้งนาน ยังไม่รู้จักชื่อกันเลยนะนี่ ผมชื่อธราดล ส่วนเพื่อนผมชนินทร์"

"ฉัตรสิริครับ" ฉัตรสิริแนะนำตัวสั้น ๆ ก่อนจะหันไปสนใจทิวทัศน์นอกตัวรถดังเดิม โดยไม่คิดจะสนทนาแต่อย่างใด ทำให้ธราดลมีสีหน้าเก้อ ๆ เล็กน้อย ชายหนุ่มทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะหาเรื่องคุยกับเพื่อนใหม่

"แล้วคุณฉัตรสิริมาทำธุระอะไรที่ตึกหรือครับ?"

"ติดต่อธุระนิดหน่อยครับ…" ชายหนุ่มตอบพร้อมกับชะงักชั่วครู่ เพราะตอบสั้น ๆ เพียงเท่านี้ก็ดูจะเสียมรรยาทไปหน่อย โดยเฉพาะธราดลนั้นมีท่าทีเป็นมิตรกับเขามากทีเดียว "…ธุระกับคุณสุรศักดิ์น่ะครับ"

"ที่เป็นทนายความใช่ไหมครับ เขามีชื่อมากเลยนะครับนี่ ได้ข่าวว่าคดีดัง ๆ นี่ฝีมือแกทั้งนั้น"

"หรือครับ" สีหน้าของฉัตรสิริแสดงอาการประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยได้ยินชื่อของทนายความอาวุโสท่านนี้มาก่อน จวบจนได้รับการติดต่อเรื่องมรดกของคุณลุงกมล

ธราดลมีสีหน้าเจื่อนไป เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับอีกฝ่ายต่อ เพราะเขาไม่ใช่คนที่ช่างเจรจาเหมือนชนินทร์ที่รายนั้นดูเหมือนจะสรรหาเรื่องต่าง ๆ มาคุยได้กับคนทุกประเภท ไม่ว่าเด็ก คนแก่ คนบ้า หรือว่าคนเมา และก็คุยได้อย่างถูกคอดีเสียด้วย หันไปมองหน้าเพื่อนหวังจะขอความช่วยเหลือ ก็เห็นเพื่อนของเขาอมยิ้มอยู่ในหน้า จึงอดแขวะไม่ได้ "ถนนมีอะไรตลกหรือวะ?"

"เปล่า พอดีนึกถึงเรื่องที่คุยกับยายจีน่าเมื่อวันก่อนตอนที่นั่งรถไปด้วยกัน ยายจีน่าเขาถามว่า รู้ไหมว่าคนขับรถชอบสีอะไร แกรู้บ้างหรือเปล่าวะ?"

"จะไปรู้เรอะ คนขับรถมีร้อยพ่อพันแม่ก็ต้องชอบสีไม่เหมือนกันอยู่แล้ว"

"แกต้องใส่วิญญาณเด็กเวลาจะตอบสิวะ ถึงจะตอบได้"

"ฉันไม่มีองค์ชินจังมาเข้าร่างอย่างแกนี่หว่า แล้วคำตอบล่ะ?"

สายตาของสารถีเหลือบไปยังกระจกมองหลังแล้วอมยิ้มก่อนตอบ "สีแดงว่ะ"

"เพราะอะไร?" เพื่อนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไม่ทันเห็นว่าคนที่เบาะหลังก็มีสีหน้าสงสัยไม่แพ้กัน แต่ไม่พ้นสายตาของเจ้าของรถไปได้

ชนินทร์ทำเสียงเด็กพูดไม่ชัด "ก็…ก็เพาะเวยาฟายแยง โคนขับยดทุกคันก้อจอดดูกันหมดเยย"

"แกมันบ้า" ธราดลทำหน้าปลง ๆ

"เพิ่งรู้เรอะ"

"เมื่อกี้ฉันพูดยืนยันโว้ย เรื่องนี้เขารู้กันมาตั้งนานแล้ว แกนี่มีแต่ปัญหาโลกแตกมาถาม ประเภทไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกันทำนองนี้ สงสัยเล่นกับยายจีน่าบ่อยเกินไปแล้ว"

"ปัญหาเรื่องไข่กับไก่ อะไรเกิดก่อนกันไม่ใช่ปัญหาโลกแตกสักหน่อย คำตอบมีแล้วต่างหาก รู้ไหมว่าคำถามนี้เขาใช้เป็นข้อสอบเรียนต่อปริญญาโทสาขาวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแถวสามย่านด้วยนาเฟ้ย" ชายหนุ่มทำเสียงจริงจัง

"โม้หรือเปล่าวะไอ้คุณนินทร์?"

"เรื่องจริงว้อย"

"แล้วไข่กับไก่อะไรเกิดก่อนกัน?"

"ไข่เกิดก่อนไก่สิวะ อธิบายให้ง่าย ๆ นะเพื่อให้เหมาะกับระดับสติปัญญาอย่างแก สมมุติว่าไก่เกิดการเปลี่ยนแปลงมาจากอีแร้ง"

"เฮ้ย…อีแร้งกลายเป็นไก่นี่นะ"

"ก็บอกแล้วว่าสมมุติ ติ๊ต่างน่ะ ไม่รู้จักเรอะ ไปร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา กลับมาทำไมโง่กว่าเดิม"

"เออ…ใครจะฉลาดหัวแหลมเป็นหัวลิงอย่างคุณนินทร์ละคร้าบ สมมุติก็สมมุติ เอ้า…สมมุติว่าไก่มีบรรพบุรุษเป็นอีแร้ง แล้วไงต่อ?"

"เราเก๊าะต้องสมมุติต่อไปว่า ถ้ามี 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นคือ เหตุการณ์ที่หนึ่ง มีอีแร้งตัวหนึ่งบินตีปีกพั่บ ๆ จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผ่านมาจนถึงแยกพญาไทที่มีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีรังสีรั่วไหล จึงโดนรังสีที่รั่วออกมาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งภาษาทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า กลายพันธุ์ หรือภาษาปะกิตเขาเรียกว่า มิวเตชั่น"

"ทำไมสมมุติอย่างนี้วะ? แถวนี้มีโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ไหนกัน"

ชนินทร์ทำสีหน้าเหมือนถูกขัดใจ "แกนี่แยกเรื่องจริงกับเรื่องสมมุติไม่ออกเลยหรือนี่ ก็นักวิทยาศาสตร์เขาสรุปได้แล้วว่ารังสีและสารเคมีเป็นผลทำให้เกิดการกลายพันธุ์ได้ ฉันก็เลยต้องสมมุติว่ามันมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์กลางกรุงเทพฯ แล้วนี่แกจะขัดคอฉันไปอีกนานไหมวะเนี่ย?"

"สงสัยก็ต้องถามสิวะ แล้วไงต่อ พออีแร้งโดนรังสีแล้วกลายพันธุ์ยังไง?"

"อีแร้งสมมุติตัวนี้พอโดนรังสีแล้วกลายพันธุ์กลายเป็นไก่"

"อีแร้งกลายเป็นไก่นี่นะ?"

"ไอ้คนไร้จินตนาการ บอกว่าสมมุติ สมมุติ ถ้าแกขัดคอฉันอีกหนเดียว พ่อจะเปลี่ยนเป็นร้องเพลงให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ"

"กลัวแล้วคร้าบท่าน เล่าต่อเหอะ อย่าร้องเพลงเลย" ธราดลทำหน้าสยดสยอง ก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนใหม่ด้วยความเกรงใจ "รำคาญหรือเปล่าครับ?"

ฉัตรสิริสะดุ้ง เพราะกำลังนั่งฟังทั้งคู่คุยกันเพลินเลยไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะชวนคุย "ไม่ครับ"

แม้จะพยายามไม่สนใจคนที่กำลังพูดจ้ออยู่ในตอนนี้ แต่หางตาก็ยังเหลือบไปเห็นนัยน์ตาดุคู่นั้นพราวระยับด้วยความขบขัน ฉัตรสิริฉุนหนักขึ้นถึงกับหน้ามุ่ย คิดว่าเขาสนใจเรื่องไก่กับไข่นี่หรือไง ชิ คนรวยนี่คิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาเองนั้นคิดแต่เรื่องหาอาหารมาเลี้ยงปากท้องครอบครัวเท่านั้น จะมาสนใจทำไมว่าอะไรมันเกิดก่อนกัน ในเมื่อมันก็กินได้เหมือนกันทั้งไข่และไก่นั่นแหละ สิ่งที่น่าสนใจก็น่าจะเป็นราคาของทั้งสองอย่างที่ถีบตัวสูงขึ้นมากกว่า สมัยนี้อะไรต่อมิอะไรก็แพงจนซื้อไม่ลงทั้งนั้น

ชายหนุ่มลืมนึกไปว่านับแต่วันนี้ไป เขาเองก็มีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างไปจากเดิมแล้วเพราะมรดกจากคุณลุงของตน

ชนินทร์แทบจะหัวเราะเมื่อเห็นคนที่เบาะหลังทำหน้าตูมเป็นมะหงิก รู้สึกครึ้มใจที่ได้เห็นสีหน้าแปลก ๆ ของฉัตรสิริ อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ค่อยชอบหน้าตาแบบเฉยเมยไร้อารมณ์ของอีกฝ่าย ทำให้เกิดอาการหมั่นไส้ แถมหมอนี่ยังทำตัวเหมือนพวกคนจนกินอุดมการณ์ เขาเจอมามากแล้ว ประเภทคนจนที่ทำตัวประหนึ่งถูกสังคมรังแกตลอดเวลา เห็นคนมีเงินก็ทำหน้ารังเกียจเหมือนคนพวกนี้เขาไปโกงเอาเงินทองของพวกไม่มีอันจะกินมาใช้ หาว่าเป็นพวกนายทุนศักดินา พวกนั้นไม่เคยรู้หรอกว่ากว่าจะบริหารธุรกิจให้ดำเนินไปตลอดรอดฝั่งนี่ พวกเศรษฐีเป็นหนี้ธนาคารไปกี่ร้อยล้านแล้ว หักลบกลบหนี้โล๊งโจ๊งแล้วน่าจะเรียกว่ารวยหนี้มากกว่า

"แล้วแกจะฟังต่อหรือเปล่า?" ชนินทร์เอ่ยปากถาม

"รถติดแบบนี้ ดีกว่านั่งอยู่เฉย ๆ แกก็เล่าต่อสิ"

"เล่าถึงไหนแล้วนี่? แกขัดจังหวะจนเสียกระบวนหมดแล้ว"

"อะไรวะ คนเล่ายังจำไม่ได้ ฉันก็จำไม่ได้เหมือนกัน"

"ถึงตอนที่อีแร้งกลายพันธุ์เป็นไก่" เสียงเรียบ ๆ ของคนที่นั่งเบาะหลังช่วยเสริม

เสียงคนเล่าหัวเราะในลำคอ "อ้อ…ใช่ ไอ้ไก่ตัวนี้ต่อมาก็ออกไข่แพร่ลูกแพร่หลานมากมายจนถึงปัจจุบันนี้ ในกรณีนี้แสดงว่า ไก่เกิดก่อนไข่ จบเหตุการณ์แรก คราวนี้เรามาดูเหตุการณ์ที่สอง อีแร้งตัวเดิมบินจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วเจอรังสีที่แยกพญาไทเหมือนเดิม พอบินไปเกาะที่มาบุญครองก็ยังคงเป็นอีแร้งตัวเดิม แต่เซลล์สืบพันธุ์หนึ่งเซลล์มีการกลายพันธุ์ คือไข่ที่อยู่ในรังไข่ พออีแร้งตัวนี้ไข่ออกมาแล้วฟักออกมาเป็นไก่ ไก่ตัวนี้ต่อมาก็ออกไข่แพร่ลูกหลานมากมายจนถึงทุกวันนี้ ในกรณีนี้ถือว่าไข่เกิดก่อนไก่"

"ในเมื่อมีทั้งกรณีสมมุติได้ทั้งไก่เกิดก่อนไข่ และไข่เกิดก่อนไก่ ทำไมจึงสรุปว่าไข่เกิดก่อนไก่ล่ะวะ"

"เพราะว่าจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ พบว่าการเกิดการกลายพันธุ์มีเปอร์เซนต์ที่จะเกิดได้จากเซลล์สืบพันธุ์ที่เป็นเซลล์เดี่ยว ๆ ได้มากกว่าที่จะเกิดจากหลายเซลล์ อธิบายง่าย ๆ ก็คือ การกลายพันธุ์เฉพาะไข่ที่อยู่ในรังไข่นั้นมีเปอร์เซนต์ความเป็นไปได้มากกว่าการกลายพันธุ์ตัวอีแร้งทั้งตัว เราจึงสามารถสรุปได้ว่า ไข่เกิดก่อนไก่ด้วยประการะฉะนี้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้อย่าได้บอกว่าปัญหาอย่างนี้เป็นปัญหาโลกแตกอีกต่อไป"

ธราดลโคลงศีรษะไปมา ก่อนจะเอ่ยเป็นเชิงสรุป "ตั้งแต่คบกับแกมานี่ ฉันยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าคนบ้ากับอัจฉริยะเนี่ยมีแค่เส้นบาง ๆ กั้นเท่านั้นเอง แล้วรู้สึกว่าแกจะทำเส้นบาง ๆ นั้นขาดไปแล้วด้วย"

สายตาของฉัตรสิริมองออกไปนอกตัวรถด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สมก็จริง แต่ประสาทการรับฟังกลับจับการสนทนาของชายหนุ่มทั้งสองคนได้ทุกประโยค ถ้าถือว่านายชนินทร์เจ้าของตึกสูง ๆ นั่นเป็นคนบ้า เขาก็ไม่ควรที่จะถือสาอะไรแล้ว เพราะภาษิตเขาก็บอกไว้แล้วนี่นา อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา เพียงแต่ชายหนุ่มผู้รุ่มรวยคนนี้เป็นคนบ้าที่ปากจัดและมีสายตาที่ดูถูกคนเสียเหลือเกิน ทำให้เขายังให้อภัยอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี

"เข้าซอยนี้ใช่หรือเปล่า?" เสียงชายหนุ่มที่เป็นสารถีเอ่ยปากในทันทีที่เลี้ยวรถเข้าซอยเล็ก ๆ

"ไม่ใช่ครับ"

"เวร" ชนินทร์ร้องได้คำเดียว

"ครั้งนี้แกผิดเต็มประตูนะไอ้นินทร์ ดันเลี้ยวก่อนถาม"

"ตอนเปิดไฟเลี้ยวไม่เห็นแย้ง" คนขับบ่นงึมงำเพราะยังไม่เห็นทางที่จะวนรถกลับออกไปทางปากซอยได้ "แล้วจะกลับออกไปอีท่าไหนละวะเนี่ย?"

"รู้สึกว่าซอยแถวนี้จะทะลุถึงกันหมดนะครับ ลองขับต่อไปเรื่อย ๆ อาจจะมีป้ายบอกทาง" ฉัตรสิริรู้สึกเกรงใจที่ทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายอยากให้อีกฝ่ายมาส่งนี่หว่า แถมไอ้คนที่ทำให้เสียเวลานี่มันก็คนขับเองนี่นา

"นี่ไง ฉันก็คุ้น ๆ เหมือนมีคนเคยบอกว่าถนนทุกสายในกรุงเทพฯเชื่อมต่อถึงกันหมด…" ชนินทร์คุยฟุ้งก่อนจะชะงักเมื่อเจอทางตันตรงหน้า "…เว้นแต่มันจะมีกำแพงกั้น"

*****

หลังจากที่ทุลักทุเลอยู่ในซอยตันนานพอสมควร ชนินทร์ก็หาทางออกได้อีกทาง

"ทำไมไม่ออกไปปากซอยที่เข้ามาละวะ?" ธราดลถามเพื่อนด้วยความสงสัย

"ออกไปก็เจอรถติดเป็นแพ ลองไปทางใหม่กันหน่อย เดี๋ยวมันก็ทะลุถึงกันเองแหละ"

ในเมื่อคนขับพูดอย่างนั้น ผู้โดยสารทั้งสองคนเลยปล่อยเลยตามเลย

"วันนี้คนที่บ้านคุณคงเป็นห่วงแย่ที่กลับดึก" ธราดลหันไปคุยกับฉัตรสิริต่อ

"ที่บ้านไม่มีใครหรอกครับ ผมอยู่กับน้องสาวกันแค่สองคน" ฉัตรสิริตอบตามตรง เพราะสิปนนท์ซึ่งเป็นน้องเขยของเขานั้นไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว บางทีอีกฝ่ายก็หายไปเป็นเดือนก็มี ดังนั้นการที่บอกว่าเขาอยู่กับน้องสาวจึงไม่ใช่ความเท็จแต่ประการใด

นึกถึงน้องสาวแล้วก็ให้หนักใจ เพราะสมัยที่จิตติกายังอยู่ในวัยรุ่นนั้นจัดว่าเป็นเด็กสาวที่สวยมากคนหนึ่ง หากแต่ไปหลงลมผู้ชายที่มีแต่เปลือกอย่างสิปนนท์ ทำให้ชีวิตไม่มีความสุขอย่างที่หญิงสาวในวัยเดียวกันควรจะเป็น เพราะรูปร่างและหน้าตาที่หล่อเหล่าทำให้สิปนนท์ใฝ่ฝันจะเป็นดารามาโดยตลอด ซึ่งชายหนุ่มก็สมหวังเพราะได้เข้าร่วมทั้งละครเวที ละครโทรทัศน์ หรือในภาพยนตร์โฆษณา แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะตัวประกอบเสียมากกว่า

*****

จิตติกานั่งรอคอยพี่ชายอยู่หน้าบ้านด้วยความกระวนกระวาย ทั้งที่รู้ดีว่าวันนี้พี่ชายลางานครึ่งวันเพื่อไปทำธุระที่สำนักงานทนายความ แต่ก็เห็นว่าไม่ควรจะกลับค่ำถึงขนาดนี้

"พ่อฉัตรยังไม่กลับหรือ แม่หนิง" เสียงคนข้างบ้านตะโกนถามเมื่อเห็นหญิงสาว

"ยังเลยค่ะป้า"

"ไม่เคยเห็นเขาไปแวะที่ไหนไม่ใช่หรือ ทุกทีทำงานเสร็จก็ตรงกลับบ้านทันที"

"ค่ะ แต่วันนี้รถอาจจะติด" จิตติกาเลี่ยงไม่เล่าเรื่องที่พี่ชายต้องไปพบทนายความในวันนี้ เพราะรู้ดีถึงอานุภาพของปากคนแถวนี้ดี ถ้าลองมีคนรู้คนหนึ่งแล้ว ข่าวก็แพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว แถมข่าวที่ออกไปนั้นก็ถูกต่อเติมเสริมแต่งจนหาเค้าความจริงไม่พบอีกด้วย

"นอกจากรถติดแล้ว เดี๋ยวนี้รถเมล์ก็อันตรายนักเชียว ไม่ได้ยินข่าวพวกนักเรียนตีกันบนรถเมล์หรือจ๊ะแม่หนิง สมัยนี้ถึงกับใช้ปืนผาหน้าไม้กันแล้ว ไอ้คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็โดนลูกหลงไปกับเขาด้วย" หญิงเพื่อนบ้านพูดเจื้อยแจ้วโดยไม่รู้ว่ายิ่งทำให้จิตติกาใจแป้วลงเรื่อย ๆ

"คงไม่มีเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นหรอกป้า ที่จริงนี่มันก็ยังไม่ดึกเท่าไร" หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อย ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นไฟหน้ารถสว่างวาบ แล้วรถยนต์หรูหราขนาดใหญ่แล่นเข้ามาในซอยหน้าบ้าน

"สงสัยจะเลี้ยวผิดซอยละมั้งนั่น ถนนหนทางเดี๋ยวนี้มันวกวนจนน่าหลง" หญิงสูงวัยมองรถยนต์คันใหญ่ชะลออยู่แถวหน้าบ้าน กำลังสงสัยว่าแถวนี้มีป้ายบอกทางลัดให้หลงเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรกัน

ชนินทร์จอดรถที่หน้าบ้านตามที่เจ้าของบ้านชี้ให้ดู จากหลอดไฟดวงกลมสีเหลืองเล็ก ๆ ที่ห้อยอยู่หน้าบ้านพอให้เห็นในความสลัว ๆ ว่าบ้านที่ว่านั้นเป็นเพิงชั้นเดียวคลุมหลังคาสังกะสีที่ปลูกติดกันอยู่เป็นแถวยาว หน้าตาของบ้านเหมือนกันหมดทุกหลัง เล็กเสียจนเขาคิดว่าข้างในจะมีที่ทางให้ทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง นอกจากกลับเข้ามาซุกหัวนอนเท่านั้นเอง ที่หน้าประตูบ้านมีหญิงสาวร่างผอมยืนมองรถยนต์ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมีสีหน้าดีใจเมื่อเห็นฉัตรสิริเดินลงจากรถ

"พี่ฉัตร" หญิงสาวทำท่าจะเดินออกมาหา แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะไม่รู้ว่าพี่ชายของคนมากับใคร เห็นเพียงคนที่นั่งข้างคนขับเลื่อนกระจกรถลงมาทำท่าเหมือนคุยเรื่องบางอย่างกับพี่ชายของตน

แม้จะมีแสงไฟที่สว่างเพียงน้อยนิด แต่หญิงสาวก็พอจะสรุปได้ว่าชายหนุ่มที่หล่อนเห็นผ่านกรอบหน้าต่างรถยนต์นั้นมีหน้าตาดีมากทีเดียว และที่สำคัญคือบุคลิกท่าทางที่เห็นก็เรียกได้ว่ามีมาด จิตติกายอมรับว่าสิปนนท์ซึ่งเป็นสามีของตนเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่หากไม่มีบุคลิกอย่างเช่นชายหนุ่มที่เห็นในตอนนี้แม้แต่น้อย

"ขอบคุณนะครับที่มาส่ง" ฉัตรสิริเอ่ยขอบคุณในความมีน้ำใจของอีกฝ่าย

"น้องคุณท่าทางเป็นห่วงมากเลยนะ"

"ผมไม่ค่อยได้กลับผิดเวลาเท่าไรนัก"

ธราดลหัวเราะในลำคอ "แทนที่ผมจะช่วยให้คุณร่นระยะทาง แต่กลับทำให้เสียเวลาซะนี่"

"ผมเกรงใจมากกว่าที่ทำให้คุณต้องพลอยกลับบ้านค่ำด้วย"

"ไม่เป็นไรหรอก ไว้วันหลังเราคงได้เจอกันอีกนะครับ"

*****
(End Of Part 1)

comment