within your eyes 2

 

 

ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Within Your Eyes (2)

by...Rai

สิปนนท์กลับมาถึงบ้านหลังจากที่ใช้เงินที่มีอยู่หมดเกลี้ยง ชายหนุ่มหัวเสียอย่างหนักเมื่อพบว่าภรรยาและพี่ชายของหล่อนไม่อยู่บ้านกันทั้งคู่ ทั้งที่วันหยุดแบบนี้พี่น้องคู่นี้มักจะไม่ออกไปไหน เพราะทุนทรัพย์ที่มีอยู่นั้นไม่อำนวยให้ออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกบ้านได้ หญิงข้างบ้านชะโงกหน้าเข้ามาเมียงมองด้วยอาการสอดรู้สอดเห็นอันเป็นลักษณะเฉพาะตัว

"เขาไปซื้อของกันที่ห้าง" เพื่อนบ้านรายงานทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันเอ่ยปากถาม

สิปนนท์ขมวดคิ้วเพราะยากนักที่พี่น้องคู่นี้จะมีเงินจับจ่ายใช้สอย แต่ไม่ต้องอ้าปากถามให้เสียเวลา เพราะอีกฝ่ายก็อธิบายต่อด้วยความเต็มใจ

"วันนี้เขาไปหาทนายความ แล้วก็เลยจะแวะไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ด้วย เพราะเห็นว่าจะย้ายไปอยู่บ้านที่ได้เป็นมรดกแล้ว พ่อฉัตรบอกว่าที่นั่นอากาศดี แม่หนิงจะได้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น โชคดีจริง ๆ เลยนะนี่ อยู่ดีดีก็มีญาติโผล่มาแจกบ้านให้แบบนี้ อย่างฉันนี่มีแต่ญาติคอยมาผลาญ"

ชายหนุ่มอ้าปากค้าง ก่อนจะทำสีหน้าร้อนรน "ทำไมผมไม่เห็นรู้อะไรเรื่องอะไรเลย?"

"แหม ก็พ่อนนท์ไม่เคยอยู่บ้านเลยน่ะสิ แต่เดี๋ยวเมียก็คงจะบอกเองนั่นแหละ แต่ป้าก็ดีใจด้วยจริง ๆ นะ เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งนาน แล้วมาย้ายออกไปแบบนี้ ป้าคงจะเหงาน่าดู"

*****

ฉัตรสิริกับจิตติกาไหว้ลาทนายสุรศักดิ์หลังจากเสร็จธุระเรื่องเอกสารที่เกี่ยวกับนิติกรรมต่าง ๆ ก่อนจะเดินกลับออกจากสำนักงานทนายความ

"ตึกนี่ใหญ่โตจังเลยนะพี่ฉัตร เจ้าของคงรวยมาก ๆ เลยนะนี่ ถ้าเปรียบเทียบกับมรดกของเราแล้ว ของเราดูเล็กน้อยไปเลยเนอะ"

"แล้วจะไปเปรียบเทียบกับเขาทำไมกันเล่า" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหงุดหงิดเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าใครเป็นเจ้าของอาคารนี้ "คนเรามันไม่ได้วัดกันที่เงินทองหรอก ต่อให้รวยขนาดไหน ถ้านิสัยแย่ก็จบกัน"

จิตติกามองพี่ชายด้วยความพิศวง เพราะปกติฉัตรสิริเป็นคนที่ใจเย็น และไม่เคยหงุดหงิดง่าย ๆ แบบนี้ "มีอะไรหรือเปล่าคะ?"

"ทำไมหรือ?"

"ดูพี่ฉัตรอารมณ์ไม่ค่อยดี"

ฉัตรสิรินึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่ควรเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคิด เพราะชาตินี้คงจะไม่มีวันได้เจอหมอนั่นอีกแล้วแน่ ดังนั้นจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแทน "เปล่าหรอก พี่แค่เป็นห่วงว่าเราจะเข้ากับญาติที่นั่นได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง เพราะเห็นทนายสุรศักดิ์ก็เป็นห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน"

"แต่ถ้าต่างคนต่างอยู่คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง" จิตติกาคาดเดา

"เราอย่าเพิ่งไปกังวลกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงดีกว่า เดี๋ยวก่อนจะกลับบ้านไปซื้อของที่ห้างก่อน เห็นหนิงบ่นอยากได้ของหลายอย่างไม่ใช่หรือ?"

หญิงสาวยิ้มแย้มเมื่อได้ฟังว่าจะได้ไปจับจ่ายซื้อของ เพราะไม่ว่าผู้หญิงคนไหนต่างก็พอใจที่จะได้ชอปปิ้งด้วยกันทั้งนั้น "ก็ไม่รู้ว่าถ้าไปถึงที่นั่นแล้วจะหาซื้อได้หรือเปล่า ซื้อจากกรุงเทพฯ ไปจะดีกว่าค่ะ"

ฉัตรสิริรู้สึกดีใจที่น้องสาวของตนดูแจ่มใสขึ้นมาได้บ้าง หลังจากมีทีท่าหงอยเหงามาหลายวัน เนื่องจากสิปนนท์หายหน้าไปนาน ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหนักใจเมื่อนึกถึงพฤติกรรมของน้องเขย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำให้น้องสาวของตนเจ็บช้ำไปอีกนานเท่าไร แม้เขาอยากจะให้ทั้งสองคนเลิกร้างกันไป แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากตรง ๆ เพราะดูเหมือนว่าจิตติกาจะหลงสามีจนมองไม่เห็นข้อเสียของอีกฝ่าย

"คุณฉัตรสิริ" เสียงหนึ่งดังขึ้น แล้วร่างของธราดลก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างเป็นเชิงทักทาย "เจอกันอีกแล้วนะครับ มาหาคุณสุรศักดิ์อีกหรือครับ?"

"ครับ" ฉัตรสิริยิ้มตอบ ก่อนจะแนะนำน้องสาว "นี่หนิง น้องสาวผมเอง"

"ถ้าไม่บอกก็ต้องเดาได้อยู่แล้วครับ เพราะหน้าตาคล้ายกัน" ธราดลพูดตามที่เห็น เพราะทั้งสองพี่น้องนั้นผิดแผกกันเพียงเพศและความสูง หากแต่ผิวพรรณและรูปหน้าคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะริมฝีปากที่ราวกับถอดแบบกันมา

"แล้วคุณธราดล มาทำธุระอะไรที่นี่หรือครับ?"

"เรียกผมว่าดลก็ได้ ผมจะได้เรียกคุณว่าคุณฉัตรบ้าง" ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะเอ่ยต่อ "ผมกำลังจะมาทำสำนักงานที่ตึกนี้ครับ ช่วงนี้กำลังตกแต่งห้องอยู่ แต่วันนี้จะมาปรึกษากับคุณสุรศักดิ์เรื่องเกี่ยวกับกฏหมายการค้าทำนองนี้แหละครับ เลยโชคดีได้มาเจอคุณฉัตรอีก"

"ครับ นึกไม่ถึงจริง ๆ"

ธราดลยิ้มให้ ก่อนจะหันไปสนทนากับจิตติกาเพื่อแสดงไมตรี "วันก่อนคุณหนิงเลยคอยพี่ชายจนดึกเลยนะครับ เป็นเพราะพวกผมพาคุณฉัตรหลงทาง"

"ค่ะ" หญิงสาวไม่รู้จะพูดอะไรไปมากกว่านี้

"แล้วนี่เสร็จธุระกันแล้วหรือครับ?"

"กำลังจะกลับอยู่พอดีครับ เชิญคุณดลไปทำธุระต่อเถอะครับ" ฉัตรสิรินึกเกรงใจอีกฝ่ายขึ้นมาทันที แล้วรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรพิกล

แล้วสังหรณ์ก็เป็นความจริง เมื่อได้ยินเสียงพูดดังมาจากหน้าลิฟต์

"ไอ้ห่ะดล บอกให้รอก็ไม่ยอมรอ ห้องสำนักงานของแกน่ะจะตกแต่งแบบนั้นไม่ได้นะโว้ย ผิดกฏของตึกฉัน…" เสียงนั้นหยุดชะงักเมื่อพบว่าธราดลไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว "อ้าว…นั่น"

"คุณฉัตรไง จำได้ไหม?" ธราดลยิ้มเผล่

"เซลล์สมองฉันยังไม่เสื่อมนักหรอก เพิ่งเจอกันไปเมื่อสองวันที่แล้วนี่นา บังเอิญจริง ๆ แฮะ นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอแล้วเสียอีก"

ธราดลหัวเราะกลบเกลื่อนกับจิตติกาที่มีสีหน้าตื่น ๆ "เพื่อนผม ปากมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ไม่ต้องกลัวมันหรอกครับ กะว่าอีกสองวันจะพาไปหาหมอศัลยกรรม ผ่าเอาหมาออกจากปากมันเสียที"

"เดี๋ยวแกก็ได้ไปเจอหมอสูติฯ หรอก อยากไปเกิดใหม่หรือไง ไหนบอกว่าจะไปหาคุณสุรศักดิ์ แล้วมาเอ้อระเหยอะไรแถวนี้วะ รีบ ๆ หน่อย ฉันจะได้จัดการเรื่องสำนักงานของแกให้เสร็จไปเสียที" ชนินทร์พูดคล้ายกับไม่เห็นทั้งสองพี่สองอยู่ในสายตา

ฉัตรสิริจึงหันไปพูดกับธราดลด้วยเสียงเรียบ ๆ "งั้นผมลาคุณดลล่ะครับ คุณจะได้ไปทำธุระของคุณได้"

"ครับ" ธราดลรับคำอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาขวาง ๆ แต่ชนินทร์ก็ยักไหล่ทำไม่สนใจ

ลับหลังของสองพี่น้อง ธราดลจึงเอ่ยปากตำหนิเพื่อนรัก "แกมีอะไรเป็นปมด้อยในใจหรือเปล่าวะ เจอคุณฉัตรทีไรต้องแขวะเขาทุกที"

"ฉันทักทายเขาปกตินะว้อย หูแกหาเรื่องเอง"

"คนปกติเขาทักทายกันแบบนี้หรือไงวะ" ธราดลบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินเข้าสำนักงานทนายความสืบวงศ์เพื่อทำธุระ

*****

"คุณดลใจดีจังเลยนะคะ" จิตติกาเอ่ยปากหลังจากเข้าไปในลิฟต์แล้ว "แต่เพื่อนเขาท่าทางจะดุ"

"นั่นแหละ เจ้าของตึก"

"ยังหนุ่มอยู่เลย ได้เป็นเจ้าของตึกแล้ว" จิตติกาทำเสียงตื่นเต้น "แล้วพี่ฉัตรรู้จักเขาด้วยหรือคะ?"

"ก็คนนี้แหละที่เป็นคนขับรถไปส่งที่บ้านวันก่อน"

"อ๋อ…วันนั้นหนิงเห็นแต่คุณดล แถมมันมืดแล้วด้วย แต่มาเห็นตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าคุณดลดูดีจังเลยนะคะ ให้เก้าคะแนน แต่คุณคนเมื่อกี้ เจ้าของตึกน่ะ หนิงให้สิบคะแนนเต็มเลย"

"เราน่ะมองคนแต่รูป" ผู้เป็นพี่ชายทำเสียงดุ เพราะนิสัยน้องสาวรักสวยรักงามอย่างนี้เองที่ทำให้ตกหลุมผู้ชายที่มีแต่เปลือกอย่างนายสิปนนท์

จิตติกาทำหน้าจ๋อยเมื่อโดนดุ "แหม…หนิงก็พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ นาน ๆ ถึงจะได้ออกจากบ้านที แถมมาเจอคนแบบคุณสองคนนั้นในสถานที่แบบนี้อีก ก็เลยอดจะพูดมากไม่ได้ค่ะ"

ผู้เป็นพี่ชายอดจะเสียใจไม่ได้ที่อารมณ์เสียแล้วพาลเอากับน้องสาว จึงลูบศีรษะหญิงสาวคล้ายจะปลอบโยน "พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เราเลิกพูดเรื่องแบบนี้ดีกว่า มาคิดกันว่าจะซื้ออะไรไปไว้ที่บ้านใหม่ของเราดีกว่า"

*****

สิปนนท์ผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นรถแท็กชี่หยุดอยู่ที่หน้าบ้าน เขาเห็นสองพี่น้องกำลังทะยอยขนข้าวของในถุงกระดาษและถุงพลาสติกที่บอกชื่อห้างสรรพสินค้าชื่อดังลงจากรถรับจ้าง ชายหนุ่มจึงเดินออกไปช่วยภรรยา

จิตติกามีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด "นนท์กลับมาตั้งแต่เมื่อไรคะ?"

"เมื่อบ่ายนี้เอง" สิปนนท์พูดก่อนจะหอบหิ้วข้าวของเดินเข้าบ้าน

"ถ้ามาเร็วกว่านี้ เราจะได้ออกไปด้วยกัน นี่หนิงเดินซื้อของจนเหนื่อยเลยนะคะ"

สิปนนท์เองก็นึกเสียดายอยู่ในใจที่ไม่กลับมาให้เร็วกว่านี้ หางตาเขาเห็นหลังของพี่ภรรยาที่เดินเข้าห้องไปไว ๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขาอยากจะคุยกับจิตติกาเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงรุนหลังภรรยาเข้าห้องตัวเองเช่นกัน

"นนท์ว่าสวยไหมคะ?" จิตติกาหยิบเสื้อตัวหนึ่งขึ้นมาจากถุงพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม

สิปนนท์มองเสื้อในมือภรรยาก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าของหญิงสาวอย่างสังเกต จึงได้รู้ว่าจิตติกาดูแปลกไปมากทีเดียว ใบหน้าที่เคยเห็นว่าซีดขาว บัดนี้มีเครื่องสำอางประทินผิวฉาบไว้อย่างสวยงาม ทำให้ดูเหมือนกับว่าจิตติกากลับไปเป็นสาวรุ่นอย่างที่เขาเคยพบในครั้งแรก แล้วยังเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่เสื้อชุดที่เคยเห็นจนชินตา

ทีแรกชายหนุ่มก็รู้สึกประหลาดใจ และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นความชื่นชมและลงท้ายด้วยความระแวง เขาพอจะประเมินราคาเสื้อผ้าและเครื่องสำอางเหล่านี้ได้จึงไม่ค่อยสบายใจนัก เกรงว่าภรรยาจะจับจ่ายไม่อั้น ที่จริงหญิงสาวแต่งตัวแบบนี้ก็สวยขึ้นมาก ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ตาม ถ้าลองได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและเครื่องสำอางอย่างดีและมีราคาก็ย่อมจะสวยได้ทุกคน แต่ว่าที่สำคัญที่สุดในความคิดของชายหนุ่มตอนนี้ก็คือ ทั้งหมดนี้หมดเปลืองเงินไปเท่าไรกันเล่า แล้วจะเหลือมาถึงมือเขาสักเท่าไร

เพราะฉะนั้น ชายหนุ่มจึงตอบภรรยาด้วยคำถามที่สามีส่วนใหญ่มักจะใช้เมื่อเห็นภรรยาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ "จ่ายไปเท่าไหร่ล่ะ?"

คำถามนี้ทำให้จิตติกาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงอ่อย "พี่ฉัตรจ่ายทั้งหมดค่ะ"

สิปนนท์เลิกคิ้วก่อนจะร้องอ้อในลำคอ

จิตติกาเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มแล้วพยายามอธิบายให้ผู้เป็นสามีฟังอย่างตื่นเต้น "เรื่องนี้ยังกับไม่ใช่เรื่องจริงแน่ะค่ะนนท์ เราจะมีบ้านด้วยค่ะ เป็นบ้านริมทะเลแถวประจวบฯ พี่ฉัตรบอกว่าจะย้ายไปอยู่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หนิงแทบไม่เชื่อเลยนะคะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี่จะเป็นเรื่องจริง บ้านนั้นความจริงแบ่งเป็นสองส่วนค่ะ คุณทวดของเรามีลูกหลานมากก็เลยสร้างบ้านเสียใหญ่โต วันนี้ที่ไปสำนักงานทนายความ หนิงได้เห็นรูปบ้านที่เราจะไปอยู่แล้วค่ะ สวยมากเลย แถมยังมีขนาดใหญ่มาก แต่มีคนอยู่ที่นั่นหลายคน เป็นญาติ ๆ กันทั้งนั้น ก็คงจะอบอุ่นดีนะคะ ถ้าพวกเราเข้ากันได้…"

"หนิงพูดอะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่อง" สามีรีบตัดบทเพราะดูเหมือนผู้เป็นภรรยากำลังพูดมีแต่น้ำท่วมทุ่งเสียมากกว่า

"หนิงก็ไม่รู้จะเล่าอย่างไรดีค่ะ เพราะยังตื่นเต้นไม่หาย คืออย่างนี้นะคะ คุณสุรศักดิ์…"

"คุณสุรศักดิ์นี่ใคร?" สิปนนท์ขมวดคิ้ว

"เขาเป็นทนายความของคุณลุงกมลค่ะ หนิงกับพี่ฉัตรไปพบเขาวันนี้ เขาบอกว่าจะแบ่งบ้านเป็นสองส่วนอย่างเดิมก็ง่ายมาก เพียงแต่เราปิดตายตรงประตูที่เปิดทะลุถึงกันเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องไล่ญาติ ๆ ออกจากบ้าน เพราะทำแบบนั้นมันจะดูใจดำไปหน่อย พี่ฉัตรก็เห็นด้วยว่า เราไม่ควรก่อความแตกร้าวกับญาติ ๆ ถ้าปรองดองกันได้ก็น่าจะทำ"

"เดี๋ยวก่อนนะหนิง ที่หนิงพูดมาทั้งหมดนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ากำลังคุยเรื่องอะไร" สิปนนท์เริ่มจะหมดความอดทน เขาแค่ต้องการรู้ว่าทรัพย์สินที่ได้มานั้นมีจำนวนมากเท่าใด ส่วนเรื่องบ้านอะไรนั่นเป็นเรื่องรองและไม่สำคัญ ที่สำคัญมีอยู่ประการเดียวเท่านั้นคือ เขาจะได้ส่วนแบ่งสักเท่าไรกับมรดกกองนี้

ดังนั้นชายหนุ่มจึงปล่อยให้เสียงแจ้ว ๆ ของภรรยาเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา

"ญาติของเรามีเยอะจริง ๆ ค่ะ มีคุณป้าดารณีที่เป็นป้าสะใภ้ของเรา แล้วก็มีน้องสาวของป้าดารณีชื่อว่าป้าทิพย์วัลย์ คุณป้าดารณีมีลูกชายคนหนึ่งชื่อปรเมศ เขาเป็นจิตรกร…"

สีหน้าของสิปนนท์ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด "หา… คงไม่ใช่นายปรเมศ อรุณฉัตรอะไรนั่นหรอกนะ"

"ค่ะ…คุณปรเมศ อรุณฉัตร นนท์รู้จักเขาด้วยหรือคะ ดีจังเลย แสดงว่าเขาคงจะดังมาก"

"ก็ไม่เท่าไรหรอก แค่มีชื่อเพราะพวกคนดัง ๆ ในวงการบันเทิงชอบไปให้วาดภาพเหมือน ล่าสุดนี่ก็นางเอกสาว เภตรา อุษาสาง เพิ่งจะไปเป็นแบบให้วาด ได้ข่าวว่าอารมณ์ร้ายชะมัดหมอนี่ แต่ว่าผมไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรอก"

"อ๋อ เภตรา เขากำลังดังเลยนี่คะ ญาติของเรารู้จักกับคนดังขนาดนี้ด้วย แทบไม่น่าเชื่อเลยนะคะ" น้ำเสียงของจิตติกาตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

"นี่ หยุดพล่ามเสียทีได้ไหม ทนฟังมาตั้งนานแล้วยังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรสักอย่าง ผมอยากจะรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง หนิงรู้ แต่ผมไม่รู้อะไรเลย ผมอยากรู้ว่าเราได้อะไรบ้าง?"

"ลุงกมลทำพินัยกรรมยกทุกอย่างให้พี่ฉัตรเป็นทายาทค่ะ"

สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันควัน ก่อนจะตวาดลั่น "บอกให้ละเอียดหน่อยสิว่าพินัยกรรมเขียนว่ายังไง บอกมาสิ เซ่ออยู่ได้"

"ก็…ก็อย่างที่บอก ลุงกมลยกมรดกทั้งหมดให้พี่ฉัตรค่ะ"

"ไม่ได้ให้หนิงด้วยหรือ?"

"เปล่าค่ะ หนิงก็บอกคุณตั้งหลายหนแล้วว่าคุณลุงยกให้พี่ฉัตร"

สิปนนท์ถามซ้ำ "แล้วหนิงไม่ได้อะไรเลยหรือ?"

"ไม่ได้ค่ะ"

ผู้เป็นสามีถึงกับมีสีหน้าซีดเผือดด้วยความโกรธและผิดหวัง แววตาเป็นประกายกร้าว น้ำเสียงก็แข็งกร้าวเช่นกัน "แต่ว่าพี่ก็ต้องแบ่งให้น้องอยู่ดี พี่ของเธอว่ายังไงกับเรื่องนี้"

"พี่ฉัตร…ยังไม่ได้…พูดอะไร คือว่า พี่ฉัตรกับหนิงยังไม่เคยคุยกันเรื่องแบ่งมรดก"

"แล้วพูดอะไรกันบ้าง หา!" ชายหนุ่มอดรนทนไม่ไหวถึงกับจับไหล่ภรรยาเขย่าโดยแรง

"นนท์ หนิงเจ็บค่ะ"

"เขาพูดอะไรออกมาบ้าง บอกมา"

"พี่ฉัตรบอกว่า จะมีค่าใช้จ่ายให้หนิงเป็นรายเดือน"

"เท่าไร?"

"เดือนละสามหมื่นค่ะ"

"แล้วฉัตรเขาได้มรดกมาเท่าไหร่?" น้ำเสียงนั้นคาดคั้นด้วยความอยากรู้

ท่าทีของผู้เป็นสามีทำให้จิตติการู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ "หนิง…หนิงไม่รู้ค่ะ คุณสุรศักดิ์บอกว่ายังประเมินแน่นอนไม่ได้ จนกว่าจะตรวจสอบบัญชีเสร็จก่อน"

"โกหก หมอนั่นต้องรู้ ไอ้ฉัตรมันได้มรดกเท่าไร บอกมาซิ"

อันที่จริงยามเมื่ออยู่ลับหลังฉัตรสิริ ชายหนุ่มก็ไม่เคยเรียกหาพี่ภรรยาว่า "พี่ฉัตร" เขามักจะเลี่ยงเป็น "พี่ชายของหนิง" แต่ไม่เคยเลยที่จะขึ้นเสียงเป็น "ไอ้ฉัตร" อย่างวันนี้

น้ำเสียงของจิตติกาสั่นสะท้าน "เขา…เขาไม่แน่ใจ เขาประมาณว่าพี่ฉัตรจะมีรายได้เป็นดอกเบี้ยจากทรัพย์สินทั้งหมด ราว ๆ สองแสนต่อเดือน"

สิปนนท์ตาลุกวาว แค่ดอกเบี้ยที่เป็นรายรับประจำและมั่นคงยังได้มากขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าทรัพย์สิน
เงินต้นทั้งหมดจะมากมายขนาดไหน

"แล้วมาโยนเศษเงินให้น้องแค่นี้ หนิง เราจะปล่อยให้พี่ชายของหนิงทำแบบนี้กับเราไม่ได้ เขาจะรวบเงินเข้ากระเป๋าตัวเองหมด แล้วปล่อยให้เราอดตายไม่ได้หรอก"

เป็นเหตุบังเอิญที่ฉัตรสิริเปิดประตูห้องออกมาได้ยินประโยคสุดท้ายนั้นเข้าพอดี น้ำเสียงของน้องเขยเต็มไปด้วยอารมณ์ เขายังคิดว่าถ้าสิปนนท์รู้จักใส่อารมณ์อย่างนี้เวลาแสดงละครทางโทรทัศน์ ก็น่าจะได้เลื่อนจากการเป็นตัวประกอบเดินผ่านหน้ากล้องขึ้นเป็นพระเอกเข้าสักวัน

ฉัตรสิริเดินไปยังโต๊ะเตี้ยที่เป็นเครื่องเรือนอย่างเดียวภายในบ้าน ก่อนจะแกะถุงอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาจากศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งไปมาในวันนี้จัดลงจาน ก่อนจะเดินไปเคาะประตูเรียกน้องสาวและน้องเขยให้ออกมารับประทานอาหารเย็น

"เธอไม่ต้องกลัวจะอดตายหรอกนะนนท์ ข้าวเย็นเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงปกติ หากแต่คนฟังถึงกับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

"ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าอย่างนั้น"

ฉัตรสิริไม่พูดอะไร เดินกลับไปยังโต๊ะเตี้ยแล้วทรุดตัวลงนั่ง ได้ยินเสียงจิตติกาเตรียมจานชามไว้รับประทานอาหารอยู่ที่หลังบ้าน

สิปนนท์เดินตามมาทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามพี่ภรรยา

"ยังไงพี่ฉัตรก็น่าจะช่วยเราบ้าง เพราะพี่ฉัตรได้เงินมาเยอะแยะ หนิงเขาได้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นน้องสาวของแท้ ๆ ของพี่ฉัตรนะ"

"ผมเลี้ยงดูหนิงมาตลอด หรือไม่ใช่"

"แต่…"

ชายหนุ่มโคลงศีรษะ "วันนี้ผมเหนื่อยมาก ถ้ามีอะไรก็เอาไว้พูดกันพรุ่งนี้ดีกว่า"

"งั้นแปลว่าพี่ฉัตรจะช่วยเราใช่ไหม ผมรู้ว่าพี่ต้องช่วยพวกเราแน่"

ฉัตรสิริยิ้มเฉย

"ผมอยากมีเงินทุนสักก้อนไว้ทำละครเวทีสักเรื่อง เอาให้ดังไปเลย ผมมีคนรู้จักที่มีฝีมืออยู่หลายคน เขาพร้อมที่จะร่วมงาน ขอแต่เรามีเงินทุนเท่านั้น ที่จริงผมอยากจะทำละครโทรทัศน์มากกว่า แต่นั่นมันต้องใช้ทุนสูงมาก แล้วยังต้องมีอิทธิพลอะไรอีก ผมว่าแค่ละครเวทีก็เจ๋งแล้ว"

ฉัตรสิริอยากจะตัดบทออกไปว่า "เหลวไหลไม่เข้าเรื่อง" แต่ว่าเตือนตัวเองได้ทัน จึงระงับคำพูดนั้นไว้อยู่แค่ในใจ

*****

หลังอาหารเย็นสิปนนท์เดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เพราะดูเหมือนฉัตรสิริจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องละครเวทีที่เขาพูดเท่าไรนัก เขาอาจจะพลาดไปหน่อย เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาอยากจะทำ เพราะว่าต้องรับผิดชอบมาก และค่าใช้จ่ายก็มากจนอาจจะหมดตัวเอาง่าย ๆ เขาคิดว่าตัวเองพอใจจะอยู่อย่างนี้มากกว่า ถ้าได้มานั่งกินนอนกินโดยไม่ต้องไปทำงานคงจะดีไม่น้อย แต่ตอนนี้ที่สำคัญเขาต้องการเงินที่ควรจะได้ในฐานะน้องเขย

"หนิง เธอต้องพูดให้พี่ชายเธอเข้าใจเสียที หนอยแน่ะ จะจ่ายเงินให้แค่สามหมื่นต่อเดือน หมายความว่ายังไงไม่ทราบ แค่นี้พอเรอะสำหรับค่าใช้จ่ายของผม เงินกระจอกงอกง่อยแบบนี้จะอยู่กันได้อย่างไรกัน แล้วอะไร ๆ ก็ต้องแล้วแต่เขา"

"แต่ว่า…นนท์คะ"

"หนิงต้องไปพูดกับพี่ชายของหนิงให้เห็นดำเห็นแดงกันไป รู้สึกยังไงก็บอกเขาไปอย่างนั้น เพราะว่ามันไม่ยุติธรรม มีอย่างหรือ ที่จริงต้องแบ่งคนละเท่า ๆ กันสิ เดือนละแสนเท่ากัน จะปล่อยให้เขาทำกับหนิงเหมือนขอทานไม่ได้ หนิงต้องทวงส่วนแบ่งของตัวเองเอามาให้ได้ จะบีบน้ำตาหน่อยก็ได้ บอกเขาไปว่าเงินแค่นี้ไม่พอใช้กันสองคนหรอก แล้วหนิงก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีผม เอาน่า…หนิง ถ้าเจรจาสำเร็จล่ะก็ เราจะได้สบายกันเสียที"

จิตติการู้สึกเหนื่อยเหมือนจะหมดแรงขึ้นมาทันที การเดินซื้อของในวันนี้แม้จะเหนื่อยล้า แต่ก็เป็นทางกาย หากเมื่อฟังสิ่งที่สามีของตนย้ำอยู่ตลอดเวลา หล่อนก็รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาจนแทบไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าไม่ว่าหล่อนจะคร่ำครวญอ้อนวอนอย่างไร พี่ชายของตนจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเงินทองเป็นอันขาด

ดังนั้นเมื่อล้มตัวลงนอน หญิงสาวก็แทบจะหลับไปในทันที หากแต่เสียงของสามีก็แหวกเข้าไปในภวังค์ขณะหล่อนเริ่มจมดิ่งลงสู่ความฝัน

"เรื่องเงินที่พี่ชายของหนิงได้มา"

หญิงสาวงัวเงีย พยายามจับถ้อยคำที่แว่วผ่าน

"เงินอะไรคะ?"

"เงินมรดกน่ะ เงินมรดกของคุณลุงของเธอน่ะ ถ้าหากว่าพี่ชายของหนิงเขาตายไป แล้วใครจะได้เงินนี้ไป"

"หนิงค่ะ หนิงจะได้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งก็คืนกลับไปเป็นของญาติ ๆ"

นัยน์ตาของสิปนนท์วาวโรจน์ขึ้นมาทันที พร้อมกับเสียงที่ก้องอยู่ในหัว

เงิน…ถ้าหากฉัตรสิริ…ตาย

*****

"ตาเมศจะว่ายังไงมั่งก็ไม่รู้นะ" คุณทิพย์วัลย์เอ่ยปากพลางชำเลืองสายตาคมปลาบไปยังพี่สาวของตนขณะรับประทานอาหารเช้า

คุณทิพย์วัลย์เป็นหญิงร่างเล็ก ผอมบาง ผิวขาว ผมหงอกที่มีก็ถูกย้อมด้วยสีน้ำตาลเข้มทั้งศีรษะ ใบหน้าฉาบไว้ด้วยเครื่องสำอางอย่างดี สวมใส่เสื้อผ้าทันสมัยมีราคา อีกทั้งท่วงท่าคล่องแคล่วทำให้ดูเป็นสาวกว่าอายุจริง

แตกต่างกับคุณดารณีผู้เป็นพี่สาว ที่นั่งตระหง่านอยู่หัวโต๊ะรับประทานอาหาร คุณดารณีเป็นหญิงร่างใหญ่ ใบหน้าอวบอูบเคร่งขรึมไม่แต่งแต้มเครื่องสำอางสีฉูดฉาด ผมสีดำนั้นแซมด้วยเส้นผมหงอกประปราย เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นเพียงผ้าซิ่นและเสื้อชนิดที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่นิยมใช้

เด็กรับใช้วางถ้วยกาแฟที่ร้อนกรุ่นบนโต๊ะ เสียงดังกริ๊ก

คุณดารณีตวัดสายตามองด้วยท่าทีตำหนิ "แกนี่ทำอะไรรุ่มร่ามจริง"

"นิดหน่อยเองพี่ดา ดุจนมันกลัวหงอกันหมดแล้ว" คุณทิพย์วัลย์แก้แทนเด็กรับใช้ ก่อนจะโบกมือไล่เด็กหญิงให้ขยับออกห่างไป แล้วคุยกับพี่สาวด้วยประโยคเดิม "ไม่รู้ว่าตาเมศจะว่ายังไง?"

คุณดารณียกถ้วยกาแฟขึ้นจิบโดยไม่สนใจที่จะตอบ หญิงสูงวัยรู้ดีว่าอีกไม่นานปรเมศก็จะลงมาจากห้องนอนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมาคาดเดาล่วงหน้าว่าชายหนุ่มจะว่าอย่างไรกับเรื่องนี้

"พูดไปทำไมมี ถึงยังไงพวกนั้นก็จะมาที่นี่อาทิตย์หน้าอยู่แล้ว"

คุณทิพย์วัลย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น "บางทีเราอาจจะถูกชะตากับสองพี่น้องนั่นก็ได้นะ มีคนหนุ่มคนสาวมาอยู่ในบ้านอาจจะทำให้เอะอะอึกทึกขึ้นมาบ้าง อีกอย่างเราก็ไม่ได้อยู่ร่วมกัน ก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมา รบกวนเรา"

ผู้เป็นพี่สาวพยักหน้า "ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น คุณสุรศักดิ์บอกไว้อย่างนั้นเหมือนกัน เราอยู่ของเราทางซีกนี้ ปิดประตูที่เชื่อมถึงกันเสีย แล้วก็ต่างคนต่างอยู่ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องแม่ครัวกับเด็กจุ๋ม ยายสวาดจะยังทำครัวให้เราอย่างเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะย้ายไปทำครัวให้ทางโน้นก็ได้ แม่จุ๋มอีกคน คุณสุรศักดิ์บอกว่าตอนนี้แม่ครัวกับเด็กรับใช้กินเงินเดือนของนายฉัตรสิริ แต่ถ้าทั้งคู่อยากอยู่กับเราก็ต้องยื่นใบลาออกจากทางฝ่ายโน้นให้เรียบร้อยก่อน"

"ยายสวาดแกไม่ชอบครัวฝรั่งฟากโน้นนักหรอก ยังไงแกคงจะเลือกอยู่กับทางซีกเรามากกว่า เรื่องอะไรแกจะทิ้งพวกเราไปอยู่กับนายใหม่ ส่วนแม่จุ๋มนี่ก็คงจะตามยายสวาดไปนั่นแหละ แม่ครัวอยู่ไหน เด็กมันก็คงจะอยู่ด้วย" คุณทิพย์วัลย์คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

"ก็ต้องดูกันไป แต่ก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่เธอว่าก็ได้ เพราะบ้านซีกโน้นมันใหญ่กว่าบ้านซีกนี้ มันก็ต้องอยู่สบายกว่าอยู่แล้ว ไม่แน่ยายสวาดอาจจะชอบนายใหม่ก็ได้นะ"

"แบบนี้ต้องขอบคุณพี่กมล อุตส่าห์หาเรื่องให้เดือดร้อนกันได้ทั่วถึงดีจริง" ผู้เป็นน้องสาวบ่นคล้ายจะต่อว่าผู้วายชนม์อยู่กลาย ๆ ก่อนจะอุทานอย่างดีใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบขั้นบันได แล้วประตูห้องอาหารก็ถูกเปิดออกโดยแรง "อ้าว ตาเมศลงมาแล้ว!!!"

ปรเมศเป็นชายหนุ่มหน้าตาซูบเซียว แต่เครื่องหน้านั้นเข้มตัดกับสีผิว ผมสีดำดกหนานั้นยาวรุ่ยร่ายประบ่า และมีบางส่วนที่ปรกหน้าผากจนเจ้าตัวต้องเสยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจเพื่อไม่ให้เกะกะ เว้นแต่เวลาทำงานวาดรูปเท่านั้นที่เจ้าตัวจะรวบรัดผมไว้เป็นหางม้า คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่นอยู่แทบตลอดเวลา

เด็กรับใช้ประคองถ้วยกาแฟส่งให้ชายหนุ่ม ก่อนจะหลบออกไปยืนอยู่ข้าง ๆ

คุณทิพย์วัลย์ทักหลานชายด้วยเสียงแหลมเล็ก

"หลานเมศจ๊ะ น้าคิดว่าหลานคงจะไม่ค่อยชอบใจอยู่นัก เพราะทางทนายสุรศักดิ์มีจดหมายมาแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรเรื่องการจัดการมรดกของคุณกมล แล้วบอกว่าฉัตรสิริเขาจะเดินทางมาอยู่ที่นี่พร้อมน้องสาว ชื่ออะไรน้า อ้อ จิตติกา น่าเสียดายนะที่แต่งงานไปแล้ว ได้ยินมาว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะสะสวยเอาการอยู่ ถ้ายังโสดอยู่ก็คงจะดี เผื่อหลานจะติดตาต้องใจเป็นทองแผ่นเดียวกัน ปัญหาวุ่นวายแบบนี้จะได้จบเสียที"

แม้คุณทิพย์วัลย์จะพล่ามยืดยาวแต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจ เขาหันไปบอกมารดาของตนด้วยเสียงกร้าว "คุณแม่ช่วยบอกหมอนั่นให้ยกโขยงกันมาเดือนหน้าที เพราะสัปดาห์หน้าคุณเภตราจะมานั่งเป็นแบบให้ผมวาดภาพ ผมต้องมีห้องรับรองเธอ"

คุณทิพย์วัลย์ทำมือไม้อย่างอ่อนใจ "เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกันจ๊ะหลาน ทนายสุรศักดิ์บอกแล้วว่าบ้านนี้เป็นของพ่อฉัตรสิริเขา เขาจะให้เราออกไปจากที่นี่เมื่อไรก็ได้"

"ผมไม่ได้พูดกับคุณน้า!!" ปรเมศสวนกลับทันควัน ก่อนจะหันไปมองหน้ามารดา "คุณแม่โทรศัพท์ไปบอกทางโน้นเขาว่าบ้านนี้ไม่ว่างจะรับคนเข้ามาตอนนี้ รอเป็นเดือนหน้าก็แล้วกัน"

"จะดีหรือ?"

"ช่างหัวมันปะไร ผมไม่สนใจข้อนี้หรอก มันอยู่ของมันมาได้ตั้งนาน แล้วปุบปับจะย้ายมาอยู่บ้านเรา แค่รอเดือนหน้าจะตายหรือไง"

"แม่ทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าแม่ดาราเภตราอะไรนั่นจะมาพักกับเราที่บ้านนี้ก็ได้นี่นา"

"จะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะครับ บ้านทางฟากนี้เล็กนิดเดียว มีห้องนอนอยู่สี่ห้อง แค่พวกเราสี่คน ผม แม่ คุณน้า กับนายนินนะก็เต็มแล้ว เหลือแต่ห้องเก็บของ จะให้คุณเภตรานอนห้องเก็บของหรือไง"

"ถ้าทำอย่างนั้นคงจะไม่เหมาะนัก" คุณดารณีพูดเสียงเรียบ "แม่คิดว่าจะให้ตานินนะไปนอนห้องเก็บของแทน"

สีหน้าของปรเมศเปลี่ยนไป "ทำไมครับ!?"

"อ้าว แล้วจะให้แม่นั่นอยู่ห้องใคร ไม่อย่างนั้นก็ต้องให้เขาไปพักอยู่ในห้องทางซีกบ้านโน้น"

"เขาเป็นแขกของผม แล้วจะให้ไปนอนบ้านอื่นได้ยังไง?" ปรเมศขึ้นเสียงสูงทันควัน

คุณดารณีตวัดสายตามองบุตรชายอย่างไม่ใส่ใจ "ถ้าอย่างนั้นแกตัดสินใจเองก็แล้วกัน จะให้แม่นั่นมานอนที่ห้องตานินนะหรือจะให้เขาไปนอนฟากโน้นก็ตามใจแก"

ปรเมศอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งนี้เพราะเขาสนิทกับนินนะมาก ถ้าหากเขาเสือกไสญาติผู้น้องให้ไปอยู่ในห้องเก็บของเพราะต้องต้อนรับแขกคนสำคัญ แม้นินนะจะไม่เอ่ยปากต่อว่าก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี แต่ถ้าปล่อยให้เภตราไปนอนที่บ้านอีกฟากหนึ่งซึ่งมีกำแพงขวางระหว่างตัวบ้าน เขาก็ไม่มีทางย่างกรายไปพบยามค่ำคืนได้ ภาพของหญิงสาวสวยรวยเสน่ห์มีอิทธิพลเหนือกว่าภาพของญาติผู้น้องเป็นไหน ๆ

"งั้นจะเอาอย่างนั้นก็ได้ ตามใจคุณแม่ก็แล้วกัน" ชายหนุ่มยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวโดยไม่นั่งลงที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะก้าวพรวด ๆ ออกไปจากห้อง พร้อมปิดประตูตามหลังโครมใหญ่

ชายหนุ่มพบญาติผู้น้องเดินลงบันไดมาพอดี

"ทำไมลงมาช้านัก" ปรเมศขมวดคิ้วใส่เด็กหนุ่ม

นินนะยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างประจบ "แค่ช้ากว่าพี่เมศห้านาทีเอง ผมไปทำความสะอาดห้องเก็บของครับ"

"เก็บกวาดเองทำไมกัน?" ชายหนุ่มถามเป็นเชิงบ่น ทั้งที่เขารู้ดีว่านินนะนั้นอยู่ในบ้านในฐานะญาติกึ่งคนรับใช้ของผู้เป็นป้าและน้า ดังนั้นงานบ้านบางอย่างที่เกินแรงของหญิงแม่ครัวและเด็กหญิงรับใช้ นินนะจึงเป็นผู้รับภาระทั้งหมด

"อ้าว ก็ป้าสวาดกับเด็กจุ๋มจะมาอยู่บ้านฟากนี้ไม่ใช่หรือครับ?"

"สองคนนั่นสั่งให้นายทำล่ะสิ" ชายหนุ่มเอ่ยถึงผู้เป็นมารดาและน้าสาวอย่างไม่เคารพ

"เอ้อ…ก็ใช่"

"คนไหนล่ะ?"

"น้าทิพย์เขาบ่นเปรย ๆ มาหลายวันแล้ว แล้วเมื่อวานป้าดาก็มาบอกให้ผมช่วยไปทำความสะอาดหน่อย"

"ให้ป้าสวาดกับเด็กจุ๋มอยู่อย่างนั้นหรือ?"

"ก็ต้องเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือครับ?"

"ไม่ใช่" ปรเมศตอบเสียงกระชาก "ให้นายอยู่ต่างหาก"

นินนะ ยืนอยู่บนขั้นบันไดสูงกว่าญาติผู้พี่หนึ่งขั้น นัยน์ตาทั้งคู่จึงอยู่ระดับเดียวกันพอดี นัยน์ตาของนินนะเป็นนัยน์ตากลมโตสีนิลดำขลับมีแววอ่อนเดียงสา ร่างเล็กกระทัดรัดนั้นยืนตัวตรง มือข้างหนึ่งจับราวบันได เด็กหนุ่มเอนตัวพิงราวบันไดพลางถามว่า

"ผมไม่เข้าใจ พี่เมศหมายความว่ายังไง?"

"เภตราเขาจะมาพักที่นี่ในวันจันทร์ คุณแม่กับคุณน้าจะให้เธอนอนที่ห้องของนาย ส่วนนายต้องมานอนที่ห้องเก็บของ"

ปกติใบหน้าของเด็กหนุ่มจะอ่อนใสเหมือนเด็ก ริมฝีปากแดงเรื่อ สีคล้ำสดชื่นด้วยแสงแดดริมทะเล แต่ในตอนนี้กลับเผือดซีด

"แล้วคุณเภตราจะมาที่นี่ทำไม?"

"มาเป็นแบบให้ฉันวาดภาพ"

"ก็พี่เมศเพิ่งวาดให้เขาไป"

สีหน้าของปรเมศหงุดหงิดอย่างไม่สบอารมณ์

"วาดแล้วก็วาดอีกได้ แล้วตอนนี้เภตราเขามีไอ้หมอนั่นตามติดไปทุกหนทุกแห่ง ไอ้สุชาติออกจะมีเงินทองมากมาย ถ้าฉันไม่รีบตีสนิทกับเภตราเขา เดี๋ยวหมอนั่นก็คว้าไปกินจนได้ แล้วดูฉันตอนนี้สิ ไม่มีอะไรสักอย่าง เงินทองทรัพย์สินอะไรก็ไม่มี ลุงกมลตัวแสบ ระยำ"

"พี่เมศ อย่าว่าคุณลุงแบบนั้นสิ ท่านตายไปแล้วนะ" นินนะรีบเอ่ยทักท้วง

แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มยังไม่ลดความเจ็บแค้นลงแม้แต่น้อย "แล้วไอ้ฉัตรสิรินั่นอีกคน อยู่ดีดีก็มีคนเอาเงินไปกองให้ โชคดีเหลือเกินนะ อยากรู้นักว่าถ้าถูกฉันผลักตกหน้าผาลงทะเล จะถือว่ามีโชคอีกไหม"

"พี่เมศอย่าพูดแบบนี้สิครับ เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าจะไม่ดี ว่าแต่พี่ทานข้าวเช้าหรือยังครับ"

"กินแต่กาแฟ…" ปรเมศตอบเสียงเครือด้วยอาการวูบไหวในอารมณ์ ตามแบบศิลปินที่อารมณ์มักจะแปรปรวนอยู่ตลอด

นินนะวางมือบนแขนญาติผู้พี่อย่างปลอบโยน "งั้นเราไปกินด้วยกัน ถ้าขืนผมเข้าไปคนเดียวมีหวังโดนคุณป้ากับคุณน้ารุมเหน็บอีก"

ไม่มีใครได้ยินเสียงประตูห้องอาหารเปิดออก สิ่งหนึ่งที่คุณกมลที่ล่วงลับไปแล้วเกลียดที่สุดในบ้านนี้ก็คือการเคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบปราศจากเสียงฝีเท้า ซึ่งน้องน้องสะใภ้และน้องสาวของหล่อนทำได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าคนหนึ่งจะมีรูปร่างอ้วนใหญ่ และอีกคนผอมบาง แต่ว่าสำหรับเรื่องนี้แล้วทั้งคู่ชำนาญไม่แตกต่างกัน ไม่มีใครได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนนี้เปิดประตูเข้าออกที่ไหน ๆ อย่างเด็ดขาด ดังนั้นจึงมีบ่อย ๆ ที่ใครสักคนกำลังทำอะไรตามสบายเพราะนึกว่าอยู่คนเดียว แต่จู่ ๆ ไม่คุณดารณีหรือคุณทิพย์วัลย์ก็อาจปรากฏตัวขึ้นมาเฉย ๆ เหมือนปาฏิหาริย์ ทำลายความสันโดษนั้นให้หมดไป และต่อให้ใครคนนั้นได้รับคำยืนยันจากแพทย์ว่าหูของเขายังใช้งานได้ดีอยู่ เขาก็ยังไม่มีวันได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของพี่น้องคู่นี้อยู่นั่นเอง

ปรเมศและนินนะก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ ไม่มีใครได้ยินเสียงเปิดประตู แต่เมื่อเด็กหนุ่มออกแรงดึงแขนญาติผู้พี่เบา ๆ ให้ตามไป ก็ปรากฏว่าคุณทิพย์วัลย์มาปรากฏตัวอยู่บนพื้นเชิงบันไดเรียบร้อยแล้ว หญิงสูงวัยเอียงคอมองคนทั้งคู่ด้วยสายตาคมปลาบ

ปรเมศเห็นผู้เป็นน้าเช่นกัน เขากระตุกแขนออกห่างจากญาติผู้น้องแทบจะเป็นผงะ ก่อนจะลงบันไดพรวดลงมาโดยเร็ว

*****

"อิฉันยังไม่ได้ตกลงใจเลยค่ะ" ป้าสวาด แม่ครัวของบ้านพูดกับนินนะ ขณะที่เด็กหญิงจุ๋มกำลังเป็นลูกมือช่วยหั่นผักอยู่ข้าง ๆ

หญิงแม่ครัวเป็นผู้หญิงร่างสูง ผอมแบนเหมือนไม้กระดาน มีท่าทางชวนให้ผู้ที่พบเห็นได้เกรงใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัยน์ตาที่ดุดันคู่นั้นคล้ายจะมองลึกเข้าไปถึงจิตใจของผู้ที่สนทนาด้วย คล้ายกับรู้ทันไปเสียทุกเรื่อง

"ยังไม่ได้เห็นหน้าของคุณฉัตรสิริสักหนเลยยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ นี่คุณอย่าขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำอาหารสิ คุณนินนะ ลงมาเดี๋ยวนี้เลย" แม่สวาดดุใส่

นินนะเลื่อนตัวไปพิงข้างฝา หยิบไก่ทอดชิ้นหนึ่งใส่ปาก "ป้าอย่าเพิ่งหัวเสียสิ จะตัดสินใจยังไงเมื่อไรก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่ขออย่างเดียว อย่าลาออกไปจากทั้งสองบ้านก็แล้วกัน เดี๋ยวผมอดตายแน่ ๆ"

"คุณจะพูดอย่างนี้ได้สักเท่าไรกันคะ ถึงอิฉันอยู่ต่อ แต่ถ้าคุณเมศเขาแต่งงานกับแม่เภตราอะไรนั่น คุณยังคิดจะอยู่บ้านนี้ต่ออีกหรือคะ?" หญิงแม่ครัวพูดอย่างรู้ทันในเรื่องความไม่ชอบหน้าดาราสาวของอีกฝ่าย เพราะฐานะจริง ๆ ของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็เป็นเพียงผู้อาศัยคนหนึ่งของบ้าน และถ้าให้ปรเมศเลือกระหว่างดาราสาวพราวเสน่ห์อย่างเภตรากับญาติผู้น้อง ชายหนุ่มคงไม่ต้องลังเลอะไรมาก

สีหน้าของนินนะเปลี่ยนไป "ถ้าถึงตอนนั้นผมก็คงจะออกจากบ้านนี้เหมือนกัน เอาอย่างนี้ไหม เราไปพร้อมกัน แล้วไปเช่าห้องอยู่กันข้างนอก"

"พูดเป็นยี่เกไปได้ค่ะคุณ อิฉันน่ะอย่างน้อยก็ยังไปรับจ้างเป็นแม่ครัว หรือทำกับข้าวขายได้ไม่อดตาย แต่คุณนี่จะไปทำอะไร?"

"อย่ามาดูถูกกันนะป้า อย่างน้อยผมก็ทำงานบ้านได้หลายอย่าง ซักผ้า ทำความสะอาดบ้านอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถึงไม่มีปริญญาก็รับรองไม่อดตายหรอกน่า" เด็กหนุ่มพูดอย่างน้อยใจ เพราะความที่เป็นเพียงญาติห่าง ๆ ทำให้น้าสาวคือคุณทิพย์วัลย์ส่งเสียให้เรียนจบเพียงระดับชั้นมัธยมศึกษาเท่านั้น

หญิงสูงวัยมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความปรานี "อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยค่ะ ตีตนไปก่อนไข้แท้ ๆ บางทีคุณฉัตรสิริอาจจะเป็นคนดี อิฉันก็ยังทำงานที่นี่ต่อ หรือบางทีคุณเมศอาจจะไม่ได้แต่งงานกับแม่เภตรานั่นก็ได้ อารมณ์คุณเมศนั่นลมเพลมพัดจะตายไป วันนี้บอกจะเอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่อยากได้แล้ว"

"แต่พี่เมศเขาดูไม่มีความสุข"

"ก็คุณเมศไม่รู้จักทำใจเองนี่คะ ปล่อยตามอารมณ์ตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จักหัดควบคุมอารมณ์ตัวเองซะบ้าง ดูอย่างเรื่องที่คุณเมศชอบพูดอะไรพล่อย ๆ นั่นปะไร เมื่อเช้านี้นังสมฤดีมันกำลังจะเดินขึ้นไปทำความสะอาด มันได้ยินคุณเมศด่าลุงตัวเอง แถมยังด่าพาดพิงไปถึงใครอีกคน ถึงไม่ออกชื่อก็รู้หรอกค่ะว่าเป็นคุณฉัตรสิริ มีอย่างหรือ ดันพูดว่าจะฆ่าเขาให้ตายไปให้พ้นหน้าแบบนี้ คนในบ้านฟังก็ว่าไม่ดีอยู่แล้ว แต่นี่คนนอกมาได้ยินด้วยสิ มันจะเอาไปพูดกันได้"

เนื่องจากบ้านนี้มีลูกจ้างประจำที่ทำงานและกินอยู่ที่นี่เสร็จสรรพเพียงสองคนเท่านั้น คือป้าสวาดกับเด็กหญิงจินตนา ส่วนหน้าที่ทำความสะอาดบ้านใหญ่โตขนาดนี้ คุณดารณีตัดสินใจจ้างลูกจ้างที่เป็นหญิงชาวบ้านแถวนี้มาทำงาน โดยจ่ายค่าจ้างถูกกว่าที่จะรับเข้ามาอยู่ในบ้าน ดังนั้นคนทำความสะอาดก็เปรียบเสมือนคนนอกของบ้าน ไม่ใช่คนในเหมือนดังป้าสวาดและเด็กหญิงจินตนา

"พี่เมศเขาก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรอย่างที่พูดหรอก"

"ถ้าไม่คิดก็อย่าพูดพล่อย ๆ สิคะ คุณน่าจะเตือนเขาไว้บ้าง เพราะใครมาได้ยินมันไม่ดีนะคะ วันนี้คุณฉัตรสิริก็จะมาแล้วด้วย ถ้าเขาเกิดได้ยินล่ะก็ไม่งามแน่"

"โอย…ผมเกือบลืมแน่ะว่าพวกเขาจะมากันวันนี้"

*****

เสียงรถกระบะรับจ้างแล่นบดถนนเลียบกำแพงบ้านที่ก่อด้วยหินก้อนใหญ่ ๆ กั้นอยู่ระหว่างอาณาเขตของบ้านกับถนนที่ผ่านหน้าบ้าน รถรับจ้างมาจอดหน้าประตูเหล็กทาสีฟ้าตามที่อยู่ที่คุณสุรศักดิ์ให้ไว้

ฉัตรสิริเห็นบ้านหลังหนึ่งผุดตระหง่านต้อนรับพวกตน ตัวบ้านนั้นเป็นบ้านไม้สองชั้นแบบโบราณขนาดใหญ่ทาสีขาวสะอาดทั้งหลัง

เด็กหญิงจุ๋มวิ่งออกมาเปิดประตูรั้วด้วยสีหน้าตื่นเต้นเพราะอยากเห็นเจ้านายคนใหม่ของบ้านเต็มทนแล้ว

รถรับจ้างเลื่อนตัวผ่านรั้วขนาดใหญ่เข้าไปจอดหน้าประตูบ้าน ฉัตรสิริเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหน้ามีประตูทางเข้าสองประตูอยู่กันคนละซีกของบ้าน ชายหนุ่มจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าบ้านหลังนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยส่วนหน้านั้นมีขนาดใหญ่กว่าส่วนหลังอย่างเห็นได้ชัด

ป้าสวาดกับนินนะยืนรอต้อนรับที่ประตูทางเข้าส่วนหน้าซึ่งเป็นฟากที่เจ้าของบ้านคนใหม่จะมาอาศัย

ฉัตรสิริเดินลงมาจากรถก่อน แล้วตามมาด้วยจิตติกา

"สวัสดีครับ ผมชื่อนินนะเป็นญาติของน้าทิพย์ ส่วนป้าสวาดเป็นแม่ครัวของที่นี่" นินนะยกมือไหว้พร้อมเอ่ยแนะนำตัวเองและป้าสวาดกับผู้มาใหม่

ฉัตรสิริยกมือไหว้หญิงสูงวัยในทันทีที่ได้รับการแนะนำ "สวัสดีครับ"

สีหน้าของหญิงแม่ครัวดีขึ้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีท่าทีสุภาพอ่อนโยน "ไหว้ทำไมล่ะคะ อิฉันแค่ลูกจ้างทำงานบ้าน"

"ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่กว่าแหละครับ"

ดูเหมือนว่าการสนทนาของผู้มาใหม่และแม่บ้านที่อยู่เดิมจะเข้าขาและถูกคอกันเป็นอย่างดี นินนะอยากจะให้ปรเมศออกมาต้อนรับฉัตรสิริเสียเหลือเกิน เพราะในฐานะผู้อยู่อาศัย สมควรอย่างยิ่งที่จะมาทำความรู้จักกับเจ้าของคนใหม่ของบ้าน แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่า ถ้าปรเมศออกมาจริง ๆ เขาอาจจะลำบากใจกว่านี้ก็เป็นได้ เนื่องจากไม่รู้ว่าญาติผู้พี่จะพูดหรือแสดงกิริยาอะไรออกมาบ้าง

ป้าสวาดไม่เพียงแต่จะเป็นแม่ครัวของบ้าน แต่ก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นแม่บ้านที่คุมระเบียบของบ้านไว้ด้วย หญิงสูงวัยเดินนำหน้าเจ้าของบ้านคนใหม่ขึ้นบันไดไปชั้นสองเพื่อแนะนำบ้าน

"ห้องนอนนี้เคยเป็นของคุณกมลค่ะ เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน อิฉันคิดว่าคุณฉัตรสิริคงจะนอนห้องนี้ เลยให้เด็กจัดเตรียมเครื่องนอนใหม่ไว้ให้แล้วค่ะ ส่วนห้องถัดไปนี้ดิฉันจัดไว้ให้น้องสาวของคุณ ทั้งสองห้องนี้มองเห็นทะเลได้ถนัดมากค่ะ"

ห้องนอนที่จัดไว้เป็นห้องของชายหนุ่มนั้นมีขนาดใหญ่ จนฉัตรสิริคิดว่ามันใหญ่กว่าบ้านเดิมที่เขากับน้องสาวเคยอยู่กันด้วยซ้ำ หน้าต่างห้องเปิดออกไปรับลมทะเลบริสุทธิ์ ชายหนุ่มเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองสำรวจไปจนทั่ว ถัดจากตัวบ้านคือสวนต้นไม้ล้อมรอบด้วยกำแพงเตี้ย ๆ มีไม้ผลขึ้นอยู่เรียงรายชิดกำแพง มะม่วงกำลังออกดอกติดลูกสะพรึ่บไปทั้งต้น แล้วมีบันไดทอดต่ำจากสวนแคบ ๆ นั้นลงไปยังลานหินกว้างซึ่งประดับประดาด้วยกระถางต้นไม้ จำพวกไม้ดอกสีสันสดใส ต่ำลงไปจากลานหินนั้นก็มีบันไดทอดต่ำลงไปที่ชานหิน ที่ด้านล่างนั้นเป็นชายหาดที่อ่าวเบื้องล่าง อันเป็นที่มาของชื่อ "บ้านริมอ่าว"

อ่าวนั้นหันไปทางทิศใต้ ขนาบด้วยผาหินทั้งสองด้าน เลยออกไปคือท้องทะเลสีฟ้าอ่อนกระจ่างตาเหมือนท้องฟ้าที่ทอดยาวอยู่เบื้องบน

ความสว่างสดใสของภายนอกทำให้เมื่อชายหนุ่มเหลียวกลับมามองข้างในห้อง ก็ให้รู้สึกว่าภายในห้องค่อนข้างจะอับแสงลงไป แต่ทว่าห้องนั้นโปร่งสบายและดูรื่นตาด้วยผนังสีขาว มีม่านสีขาวยกดอกสีห้าเข้าชุดกับผ้าคลุมเตียง มีห้องน้ำอยู่ภายในห้อง

ส่วนห้องของจิตติกาซึ่งอยู่ติด ๆ กันนั้นแม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็ยังโอ่โถงสบายตา การตบแต่งห้องก็คล้ายคลึงกัน

จิตติกาเกือบจะไม่พูดอะไรออกมาเลย นอกจากคำว่า "ค่ะ" เมื่อถามว่าชอบห้องของเธอไหม และ "ไม่ค่ะ" เมื่อมีคำถามว่าเหนื่อยหรือเปล่า ดวงหน้าของหญิงสาวซูบซีดจนกระทั่งสีสันเครื่องสำอางที่หล่อนแต่งอย่างประณีตเมื่อเช้าลอยเด่นออกมาเหมือนสวมหน้ากาก เมื่อพี่ชายออกเดินดูบ้านต่อไป จิตติกาก็ขอตัวพักผ่อนแทน

ป้าสวาดกับเด็กหญิงจินตนาจัดข้าวของที่ฉัตรสิรินำมาไว้ตามที่ที่มันควรจะอยู่ ดังนั้นหน้าที่แนะนำบ้านจึงเป็นของนินนะ

"บ้านนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนครับ จะเรียกว่าบ้านแฝดคงไม่ถูกนัก เพราะส่วนหน้าจะใหญ่กว่าส่วนหลัง แต่ละซีกบ้านก็จะมีห้องนอนห้องน้ำและห้องครัวแยกกัน มีประตูเปิดทะลุถึงกันได้ทั้งสองชั้นของตัวบ้าน ชั้นละประตู บ้านส่วนหน้ามีห้องนอนหกห้อง มากกว่าบ้านส่วนหลังซึ่งมีสี่ห้อง ป้าสวาดกับเด็กจุ๋มนอนที่ห้องชั้นล่างทางบ้านซีกของพี่ฉัตร เพราะฉะนั้นทางซีกของพี่ฉัตรก็ยังเหลือห้องนอนว่างอีกสามห้อง เผื่อพี่ฉัตรจะมีแขกมาพัก นอกจากนี้ก็มีห้องกินข้าว แล้วก็ห้องทำงานของคุณลุงกมล ผมชอบห้องนี้มากเลยครับ ท่านสะสมหนังสือไว้เยอะมาก โดยเฉพาะหนังสือเก่า ๆ และหายาก ส่วนบ้านฟากโน้นมีห้องกินข้าวเหมือนกัน แล้วก็มีห้องรับแขก แต่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปนอกจากพี่เมศ เพราะพี่เมศเขาทำห้องเป็นห้องทำงานแล้ว มีพวกผ้าใบและก็อุปกรณ์วาดภาพเต็มไปหมด"

ฉัตรสิริสังเกตได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าทำสีหน้าและน้ำเสียงชื่นชม "พี่เมศ" อย่างเห็นได้ชัด เขาจำได้ว่าจิตติกาเคยบอกว่าพวกตนมีญาติที่เป็นคนดังอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ปรเมศ เป็นจิตรกรนักวาดภาพเหมือนฝีมือดี

*****

จิตติกายืนอยู่ริมหน้าต่างในห้องนอนของตน ชะโงกหน้าออกไปมองทิวทัศน์ข้างนอก ภาพที่เห็นนั้นสวยงามอย่างยิ่ง แต่ไม่ทำให้หญิงสาวมีความสุขเลยแม้แต่น้อย ระยะหลัง ๆ นี้สิปนนท์ทำตัวเหลวไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ หล่อนรู้แล้วว่าสิปนนท์ไม่ต้องการทำมาหากินใด ๆ ทั้งนั้น เขาต้องการได้เงินทองมานั่งกินนอนกินโดยไม่ต้องออกแรงทำงาน สิปนนท์พยายามให้พี่ชายของหล่อนแบ่งมรดกของจิตติกาให้เขาครึ่งหนึ่ง แต่ฉัตรสิริไม่ยอม

จิตติกาพูดกับพี่ชายแล้ว พูดทุกอย่างที่สามีต้องการให้หล่อนพูด ถึงกระนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนใจพี่ชายได้ ลึกลงไปในใจจิตติการู้ว่าพี่ชายของตนเป็นฝ่ายถูก และเมื่อถึงตอนนี้หญิงสาวก็ได้เห็นธาตุแท้ของผู้เป็นสามีแล้วว่า สิปนนท์นั้นเป็นเพียงผู้ชายที่เห็นแก่ตัว เจ้าอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

สิปนนท์ไม่ได้ตามมาที่บ้านริมอ่าวนี้ด้วย เพราะสองวันก่อนนี้ หลังจากอาละวาดอย่างขนานใหญ่ เขาก็ผลุนผลันออกจากบ้าน ปิดประตูจนบ้านสะเทือนไปทั้งหลัง จิตติกาไม่รู้ว่าเวลานี้สามีอยู่ที่ไหน และไม่รู้ด้วยว่าหลังจากนี้จะได้พบหน้าอีกฝ่ายอีกต่อไปหรือไม่

ถ้าไม่เห็นก็ดี เพราะหล่อนระอาเต็มทีแล้ว

หญิงสาวตกใจกับความคิดที่ผุดขึ้นมา จิตติการู้สึกเวียนศีรษะกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้จนต้องชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่าง

หูของหญิงสาวแว่วเสียงพูดโต้ตอบมาจากหน้าต่างอีกบาน ซึ่งหันไปทางทะเลเช่นเดียวกัน แต่ว่าอยู่ทางซีกหนึ่งของบ้าน ห่างไปราว ๆ สองถึงสามเมตร และบานหน้าต่างเปิดอยู่ ทำให้ได้ยินเสียงในห้องนั้นแว่วออกมา

เสียงทั้งสองเสียงเป็นผู้หญิงทั้งคู่ คนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า "ถ้าไอ้หมอนั่นตายได้ก็ดีหรอก จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป"

อีกเสียงหนึ่งตอบว่า "คนเขาไม่ตายง่าย ๆ แค่โดนแช่งเท่านั้นหรอกน่า"

จิตติกาใจหายวาบเมื่อได้ยิน รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวรีบถอยออกห่างจากหน้าต่าง เหลียวมาก็เห็นเด็กหญิงจุ๋มยืนยิ้มอาย ๆ ที่หน้าประตูห้อง

"มีอะไรหรือจ๊ะ?"

"ป้าเขาเตรียมของว่างไว้ให้คุณค่ะ เลยให้หนูมาตามคุณลงไป คุณฉัตรสิริก็นั่งรอที่ห้องอาหารแล้วค่ะ"

*****
(End Of Part 2)

comment