ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Within Your Eyes (3)

by...Rai

ชนินทร์กำลังวุ่นวายอยู่กับน้องสาวตัวแสบที่ทำเสียงออดอ้อนอยู่ข้างหู ขณะรับประทานอาหารเช้าก่อนออกไปทำงาน

"นะ พี่นินทร์นะ ไปเที่ยวกันเหอะ"

"งานพี่ยังท่วมหูท่วมหางอยู่เลย"

"พี่ดลเขาอุตส่าห์ชวน จีน่าอยากไปนี่นา ถ้าพี่นินทร์ไม่ไปด้วย จีน่าจะไปได้ยังไงล่ะคะ ให้ผู้ชายกับผู้หญิงไปต่างจังหวัดกันสองต่อสองได้ไงกัน"

ชนินทร์เหล่มองน้องสาววัยเก้าขวบด้วยสีหน้าหมั่นไส้สุดชีวิต ทำไมเด็กสมัยนี้มันถึงเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ "เห็นทุกทีก็อยากจะอยู่กับนายดลเขาสองต่อสองไม่ใช่เหรอ?"

"แหม พี่นินทร์ พูดอะไรก็ไม่รู้ โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความจริงเขาต้องแยกกันให้ออกนะคะ"

ถ้าจะบอกว่าคนปากจัดอย่างชายหนุ่มจะยอมแพ้ให้กับใครสักคน ก็คงจะเป็นน้องสาวของตนนั่นเอง เพราะไม่ว่าแต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยเถียงกับเด็กหญิงจีน่าชนะสักครั้ง ยอมแพ้ให้กับความแก่แดดแก่ลมของน้องสาวคนเดียวอย่างราบคาบ

"แล้วรู้รึยังว่าเขาจะไปไหน?"

"รู้สิคะ ชายทะเลแถวประจวบฯ ค่ะ น้องจีน่าเตรียมชุดว่ายน้ำไว้แล้วค่ะ จะวิ่งเล่นที่ชายหาด ที่มีทะเล สายลม และสองเรา" เด็กหญิงจีบปากจีบคอพูด

"อ้าว…แล้วเอาพี่ไว้ไหนล่ะ?"

"พี่นินทร์เอาไว้เฝ้าของสิคะ เวลาคนเขาไปวิ่งไล่จับกัน ต้องมีคนเฝ้ากระเป๋าคุณนายไว้ด้วย"

เด็กหญิงพูดถึงกระเป๋าถือใบกระทัดรัดของตนเอง ที่ใส่ข้าวของประดามีอันได้แก่ ที่ติดผม โบว์ผูกผมหลากสี แป้งฝุ่น ครีมสารพัด โดยตั้งชื่อเรียกมันว่า "กระเป๋าคุณนาย"

ชนินทร์กุมขมับ นึกไม่ออกว่าไอ้เจ้าดลมันทนกับน้องสาวของตัวเองได้ยังไง เพราะเจอหน้ากันทีไร หมอนั่นก็ยิ้มหว่านเสน่ห์พูดคะขาหวานจ๋อยกับเด็กหญิงจีน่าตลอดเวลา ขนาดเขาเองยังทนฟังไม่ได้ด้วยซ้ำ

"ว่าไงคะ พี่นินทร์ ถ้าเงียบแสดงว่าตอบรับใช่ไหมคะ?" น้องสาวเขย่าตัวพี่ชายที่กำลังนั่งกลุ้มใจอยู่

"พี่ปฏิเสธได้หรือครับ?"

"พี่นินทร์ใจดีจังค่ะ ถึงจะน้อยกว่าพี่ดลเขาไปบ้าง ก็ถือว่าใช้ได้แล้วล่ะ"

"ใครเขาจะดีเท่าพี่ดลของน้องจีน่าได้ล่ะ" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งหมั่นไส้

"แหม…มันคนละส่วนกัน พี่ดลก็ดีอย่างที่พี่ดลเขาเป็น ส่วนพี่นินทร์ก็ดีอย่างดีพี่นินทร์เป็น" น้องสาวเคลียคลอกับพี่ชาย ก่อนจะตบท้ายเสียงหวาน "ว่าแต่เย็นนี้แวะซื้อขนมมาให้จีน่าอีกนะคะ เอาเจ้าประจำที่อยู่ชั้นล่างนะคะ ร้านอื่นจีน่าไม่โปรดค่ะ"

*****

เย็นวันนั้นก่อนกลับบ้าน ชนินทร์แวะร้านเบเกอรี่ที่อยู่ชั้นล่างของตัวอาคาร เพื่อซื้อฟรุตเค้กของโปรดของน้องสาว ขณะยืนรอพนักงานบรรจุขนมลงกล่อง เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิดข้างหลัง เมื่อหันกลับไปก็พบกับใบหน้าสวยคมของหญิงสาวที่ยืนยิ้มให้

"อ้าว…เภตรา มาทำอะไรที่นี่หรือ?" ชายหนุ่มเอ่ยทักทาย

"มาหาคุณนินทร์นั่นแหละ นึกว่าจะไม่เจอเสียแล้ว เด็กที่ห้องบอกว่าคุณเพิ่งกลับไป ฉันเห็นว่ามาเสียเที่ยวแล้ว เลยจะมาหาอะไรกินที่นี่สักหน่อย เลยได้เจอจนได้"

"มาแถวนี้ไม่กลัวเจอแฟนละครรุมทึ้งหรือไง?"

"ฉันไม่ดังอย่างแต่ก่อนแล้ว เดี๋ยวนี้ดารารุ่นใหม่ ๆ มีตั้งเยอะ ว่าแต่คุณว่างพอจะคุยกับฉันหรือเปล่า?"

ชนินทร์มองสีหน้าของหญิงสาว เห็นแววกังวลในดวงหน้านั้น จึงพยักหน้ารับ

"ได้สิ งั้นไปคุยกันที่ร้านโน้นดีกว่า" เขาชี้ไปที่ร้านอาหารอีกร้านหนึ่ง

เมื่อทรุดตัวลงนั่ง ชายหนุ่มก็สังเกตว่าสีหน้าของหญิงสาวดูไม่ดีเลย แม้จะฉาบด้วยเครื่องสำอางอย่างมีราคาก็ตาม

"มีปัญหาอะไรหรือ?"

"ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีค่ะคุณนินทร์" เภตราทำหน้าลำบากใจ

ชนินทร์มีสีหน้ารำคาญใจซึ่งเป็นนิสัยประจำของตน เขาล่ะเกลียดนักเชียวประเภทอ้ำอึ้งอมพะนำแบบนี้ "ถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่าให้ฟังก็ได้"

"ยิ่งถ้าไม่เล่าก็จะยิ่งอึดอัดสิคะ ตอนนี้ฉันเองก็ไม่มีใครจะปรึกษาแล้วด้วย ให้ฉันพึ่งคุณนินทร์เถิดนะคะ" น้ำเสียงของหญิงสาวคล้ายคนกำลังจะจมน้ำ หวังจะให้อีกฝ่ายช่วยดึงขึ้นมา

"คุณเล่ามาเถอะ ถ้าช่วยได้ผมก็จะช่วย"

หญิงสาวทำหน้าเหมือนตัดสินใจดีแล้ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า "ถ้าฉันถูกขู่กรรโชก คุณจะแนะนำอย่างไรคะ?"

ชนินทร์มองใบหน้างดงามตรงหน้าอย่างเงียบขรึม "คำแนะนำของผม หรือของใครก็ตามที่มีวุฒิภาวะหรือพอจะมีสติสัมปัชชัญญะอยู่บ้างคงจะบอกให้คุณไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ดำรวจ"

"แล้วคุณนินทร์เคยเห็นใครเขายอมทำตามคำแนะนำอย่างนี้บ้างไหมล่ะคะ?" หญิงสาวย้อนถาม

ชายหนุ่มถอนใจ "คำแนะนำที่มีเหตุผลนั้น มักจะหาคนปฏิบัติตามได้ยากเสมอ"

"ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่หรอกค่ะ เพราะคนที่ขู่เข็ญเอาเงินจากใคร ย่อมต้องรู้ว่าคนนั้นมีความลับที่ไม่กล้าเปิดเผย ความจริงอาจจะไม่ใช่ความลับที่น่าอับอายอะไร หรืออาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ แต่คนเราทุกคนย่อมไม่อยากมีเรื่องอื้อฉาว โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่ใคร ๆ ก็รู้จักดี คุณก็ต้องไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวแพร่ออกไป ใช่ไหมคะ เรื่องที่จะแนะนำให้ไปหาตำรวจน่ะพูดง่าย แต่ใครจะกล้าไป เพราะถ้าขืนทำอย่างนั้น เรื่องที่เป็นความลับก็จะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ที่นี้เราก็คงจะได้เป็นขี้ปากชาวบ้านเขาทั่วนั่นแหละ ยังไงฉันก็ทำไม่ได้"

ชนินทร์ส่ายศีรษะอย่างระอา ก่อนจะถามต่อ "คุณบอกว่าเป็นเรื่องขู่กรรโชก คุณพอจะเล่าให้ฟังได้หรือเปล่าล่ะ ในเมื่อคุณก็คิดจะปรึกษาผมแล้ว ถ้าเล่าเรื่องให้ฟังผมก็อาจจะช่วยเหลือคุณได้"

สีหน้าของหญิงสาวมีแววคลางแคลงใจปรากฏอยู่แวบหนึ่ง แต่ก็พอทำให้ชายหนุ่มยืดตัวตรงเตรียมขยับตัวลุกขึ้น

"ถ้าคุณไม่ไว้ใจผม ผมคงจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้"

เภตรารีบฉุดแขนอีกฝ่ายไว้ทันควัน "ฉันเชื่อใจคุณนินทร์ค่ะ"

"งั้นก็บอกปัญหาของคุณมา" ชายหนุ่มขยับตัวนั่งพร้อมทำท่าตั้งใจฟัง

"คุณก็รู้ว่ากว่าฉันจะฝ่าฟันไต่เต้าขึ้นมาเป็นดาราที่มีชื่อเสียงอย่างในตอนนี้ได้มันยากเย็นขนาดไหน กับเด็กต่างจังหวัดที่ไม่มีอะไรนอกจากความสวยและความสามารถในการแสดง ฉันต้องถีบตัวเองขึ้นมาด้วยความพยายามอย่างที่ใครต่อใครคงจะคิดไม่ถึง กว่าจะมาเป็นนางเอกระดับแถวหน้า และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงช่วงที่ฉันจะหมดรัศมีนางเอกแล้ว ผู้จัดเขาต้องการเด็กใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า มีพื้นฐานทางบ้านที่ดี การศึกษาที่ดี มันหมดยุคของฉันแล้ว ที่นี้ฉันก็กำลังคิดจะหยุดตัวเองกับผู้ชายที่มีฐานะดีดีสักคน อย่างคุณนินทร์" น้ำเสียงตอนท้ายของหญิงสาวมีแววขบขัน "แต่รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่มหาเศรษฐีอย่างคุณนินทร์จะคิดขอฉันแต่งงาน แต่เมืองไทยไม่ได้มีมหาเศรษฐีแค่คนสองคนนี่คะ"

"อ้อ?" ชนินทร์เอ่ยเป็นเชิงถาม

เภตราเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างคนที่ตกลงใจเด็ดขาดแล้ว

"ที่จริงฉันจะแต่งงานเมื่อไรก็ได้ เขาเป็นนักธุรกิจทางภาคเหนือ เราเจอกันในงานจัดเลี้ยงแห่งหนึ่งที่จ้างฉันไปโชว์ตัว แล้วเขาก็ตามฉันตลอด เขายอมทุ่มเทเงินทองไม่อั้น ขอแต่ยอมแต่งงานกับเขาเท่านั้นเอง พอฉันคิดถึงวัยของตัวเองว่าไม่มีทางจะเป็นดาราได้ตลอดชีวิต ก็เลยคิดถึงเรื่องนี้อยู่เรื่อย ๆ เพราะโอกาสงาม ๆ แบบนี้ไม่ใช่ว่าจะมีมาเรื่อย ๆ หรอกนะ ถ้าเราไม่คว้าเอาไว้ก่อน คนอื่นก็จะคว้าไปกินเสีย พอละครเรื่องใหม่ที่ผู้จัดเขาติดต่อให้ฉันรับบทเป็นแม่ของนางเอกคนใหม่ คุณนินทร์คิดดูสิคะ ฉันเพิ่งจะอายุยี่สิบหกปี แต่กลับต้องมารับบทแม่แล้ว ถ้ายังขืนรับงานแสดงต่อไป ฉันอาจจะต้องแต่งหน้าทำตัวแก่เพื่อรับบทเป็นยายแก่อะไรก็ได้ ฉันก็เลยคิดจะเลิกจากวงการนี้เสียที ตัดสินใจจะแต่งงาน ตอนนั้นแหละที่ถูกขู่กรรโชก"

ดาราสาวเปิดกระเป๋าถือ แล้วหยิบซองจดหมายยับยู่ยี่ฉบับหนึ่งส่งให้ชายหนุ่ม

ภายในบรรจุเศษกระดาษครึ่งแผ่น มีตัวหนังสือพิมพ์ไว้ว่า

จำเรื่องที่หาดแม่กล่ำ ตอนเดือนพฤษภาคมได้ไหม อยากให้คุณสุชาติรู้หรือเปล่า

"สุชาติ?"

"สุชาติคือผู้ชายที่ฉันจะแต่งงานด้วย"

ชนินทร์ถึงกับร้องอ๋อ เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าคุณสุชาติที่เป็นคหบดีทางเหนือนั้นมีชื่อเสียงมากในวงการธุรกิจระดับภูมิภาค

ชายหนุ่มอ่านข้อความในจดหมายฉบับนั้นทวนอีกครั้งก่อนจะถาม "แล้วเกิดอะไรขึ้นที่หาดแม่กล่ำ เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา?"

ใบหน้าของเภตราเป็นสีเรื่อขึ้นเล็กน้อย ไม่ถึงกับเรียกได้ว่าหน้าแดง แต่ก็เห็นชัดว่าสีเข้มขึ้นกว่าปกติ

หล่อนตอบอย่างรวดเร็วว่า

"ไม่มีอะไรหรอก ตอนนั้นฉันไปโชว์ตัวในงานที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งจัด แล้วปรเมศเขาตามไปด้วย"

"ปรเมศนี่ใครรึ?"

"เขาเป็นจิตรกรที่วาดภาพเหมือนของพวกไฮโซ แล้วก็คนดัง ๆ ในสังคม ช่วงนั้นฉันเป็นแบบให้เขาวาดอยู่ เขาเป็นคนแปลก ๆ เพราะดูภายนอกเหมือนคนเงียบขรึม นิ่ง ๆ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวรุนแรงมาก"

"เขาหลงคุณล่ะสิ" ชายหนุ่มพูดปนหัวเราะ เขารู้ฤทธิ์เสน่ห์ของเภตราดี เพราะเพื่อนของเขาหลายคนต่างก็ตกอยู่ในบ่วงเสน่หาของหล่อนมากแล้ว แม้แต่ธราดลก็ไม่เว้น

"เรียกว่าคลั่งไคล้มากกว่า นี่แหละเรื่องมันถึงได้ยุ่ง"

หญิงสาวหยิบจดหมายอีกฉบับขึ้นมากจากกระเป๋าถือ ส่งให้อีกฝ่ายเช่นเดียวกับฉบับแรก

"แล้วนี่ ฉบับที่สอง"

จดหมายฉบับที่สองมีข้อความว่า

ถ้าคุณสุชาติรู้เรื่องนายปรเมศ งานแต่งงานของคุณคงจะล่มแน่ ๆ ถ้าอยากแต่งงานกับคุณสุชาติให้มาตกลงกัน

"นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้นนะ หลังจากนั้นอีกวันหรือสองวันก็มีโทรศัพท์พูดว่า "เธอได้รับจดหมายสองฉบับจากฉันแล้ว ถ้ายังอยากเข้าพิธีวิวาห์ละก็ เธอต้องปิดปากฉันก่อน ฉันต้องการเงินสองแสนบาท โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารเลขที่… ถ้าไม่ยอมทำตาม เธอจะต้องเสียใจ" ฉันก็เลยตอบไปว่า "เรื่องอะไรฉันจะทำ ถ้าฉันยอมจ่ายให้แกหนหนึ่งแล้ว จะมีอะไรประกันว่าแกจะไม่รีดไถฉันอีกต่อ ๆ ไป" เขาก็ตอบกลับมาว่า "นั่นสิ คุณสุชาติเป็นคนมีเงินมาก เธอแต่งงานกับเขาเมื่อไร เธอจะใช้เงินยังไงก็ได้ ขอให้จับเขาให้อยู่มือก่อนเถอะ"

"แล้วคุณตอบไปว่าอย่างไร?"

"ฉันก็ทนไม่ไหวน่ะสิ เลยเอ็ดตะโรไปด่ามันไป แล้วก็วางหูโทรศัพท์โครม"

"แล้วหลังจากนั้น?"

"ค่ะ มีหลังจากนั้นจริง ๆ นี่ไงคะ"

กระดาษอีกแผ่นถูกล้วงออกมาจากกระเป๋าถือ มีข้อความว่า

ขี้โมโหจริง ถ้าหากทำอย่างนี้อีก คุณสุชาติจะต้องรู้เรื่องทั้งหมด จำเรื่องตอนกลางเดือนมิถุนายนปีก่อนได้ไหมล่ะ

เภตรามองหน้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่วางตา พลางอธิบายว่า "นี่แหละ เรื่องทั้งหมด"

"แล้วคุณได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายนี้เมื่อไร?"

"เมื่อเช้านี้เอง พอได้รับจดหมายฉบับนี้ ฉันก็วุ่นวายใจมาก เพราะไม่รู้จะหันไปปรึกษาใคร ชีวิตฉันเหมือนอยู่โดดเดี่ยว นึกได้แต่ชื่อคุณเท่านั้น เลยตัดสินใจมานี่แหละค่ะ"

ชนินทร์ถอนหายใจยาว ส่วนใหญ่คนที่นึกถึงเขานี่มักจะเป็นพวกที่มีปัญหากันทั้งนั้น เวลามีความสุขคนพวกนั้นไม่เคยคิดถึงเขาสักครั้งเดียว แต่อาจจะเป็นเพราะเขามักจะให้ความช่วยเหลือเพื่อนและคนรู้จักที่เดือดร้อนอยู่เสมอ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ใช่คนกว้างขวางอะไร ที่มีอยู่ก็เพียงความคิดและการไตร่ตรองที่มีมากกว่าคนอื่นขั้นหนึ่งเท่านั้นเอง

"คุณพอจะทราบไหมว่าใครเป็นคนขู่กรรโชกคุณ"

"ฉันจะทราบได้อย่างไรกันเล่า" หล่อนขึ้นเสียงสูงอย่างประหลาดใจที่อีกฝ่ายถามเช่นนั้น

"ถ้าคุณไปหาตำรวจ เขาก็จะตรวจสอบเลขบัญชีนี้กับธนาคารก็จะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของบัญชี เท่านี้เราก็รวบตัวคนขู่กรรโชกได้แล้ว"

"ฉันไม่ยอมไปหาตำรวจหรอก" น้ำเสียงของหญิงสาวเด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ตัดสินใจในเรื่องนี้ไว้นานแล้ว

"งั้นคุณก็ต้องพยายามนึกดูบ้างว่าใครอยู่ในข่ายเป็นคนขู่กรรโชกคุณได้บ้าง ตอนที่ฟังเสียงจากโทรศัพท์ คุณพอจะจำเสียงได้ไหม?"

"ไม่ได้เลย เขาแกล้งดัดเสียงให้อู้อี้"

"ผู้ชายใช่ไหม?"

"อ๋อ ค่ะ ใช่"

"รู้สึกคุณจะแน่ใจในข้อนี้" ชนินทร์หรี่ตามองหน้าอีกฝ่าย

"คือ…มีผู้ชายอยู่คนหนึ่งที่เราเจอที่หาดตากล่ำเมื่อปีก่อน เขามากับน้องเจน เอ้อ…เจนจิราน่ะค่ะ ผู้ชายคนนี้เขาเป็นนักแสดงตัวประกอบ นิสัยแย่มาก แต่น้องเจนดูจะหลงเขาอยู่ไม่น้อย เพราะเขาหน้าตาดีและมีเสน่ห์กับผู้หญิง เขาชื่อสิปนนท์คะ คนอย่างเขาอาจจะทำเรื่องสกปรกแบบนี้ได้" น้ำเสียงตอนท้ายของหญิงสาวดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย

ชนินทร์จับกระแสเสียงอีกฝ่ายได้ จึงถามดักคอ "ความจริงคุณคิดว่าอาจจะเป็นใครอีกคนใช่ไหม?"

"เอ้อ…ไม่รู้สิ แต่ว่า…" หญิงสาวทำท่าเหมือนไม่อยากพูด แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจ "เอาเถอะ ไหน ๆ เล่าแล้ว ฉันก็พูดให้หมดเปลือกไปเลยดีกว่า ฉันเคยคิดว่าอาจจะเป็นปรเมศก็ได้ เพราะเขาหวงดิฉันมาก เขาอาจจะหาทางทำแบบนี้เพื่อให้คุณสุชาติเลิกราไปก็ได้"

"แล้วคนอย่างปรเมศจะขู่เอาเงินจากคุณเชียวหรือ?" ชนินทร์ขมวดคิ้ว เพราะเท่าที่ฟังว่าปรเมศเป็นนักวาดภาพมีชื่อ ดังนั้นอีกฝ่ายคงไม่ถึงขั้นตกอับขาดเงินทองแล้วมาขู่เอาเงินแบบนี้

"ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเหตุบังหน้าก็ได้ หรือไม่ก็แกล้งให้ฉันไม่สบายใจ เขาอาจจะเจ็บแค้นฉันอยู่บ้างก็ได้ที่ฉันไม่รักเขา ส่วนคุณสุชาตินั่นเป็นคนขี้หึง ฉันเคยไปพบครอบครัวของเขาที่อยู่ทางเหนือมาแล้ว ตอนแรกพวกนั้นก็มีอคติที่ฉันเป็นพวกดาราเต้นกินรำกิน แต่ฉันก็พิสูจน์ตัวเองว่าฉันไม่ได้เสื่อมเสียอะไร ตั้งแต่คบกับสุชาติฉันก็ต้องระวังตัวแจ จะให้เขารู้เรื่องส่วนตัวไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเขารู้เรื่องประเภทไปค้างคืนอะไรที่ไหนกับใคร ถึงไม่มีอะไรกันก็ตามเถอะ เป็นอันจบเห่กันแน่นอน คนอย่างสุชาตินั้นรู้แต่ว่ามีผู้หญิงอยู่สองประเภทเท่านั้น คือผู้หญิงดีกับผู้หญิงไม่ดี ถ้าเป็นผู้หญิงดีก็จะได้แต่งงานกับเขา ถ้าเป็นคนไม่ดีก็อดแต่ง เขาคิดของเขาง่าย ๆ อย่างนี้แหละ"

"ถ้าให้ผมแนะนำล่ะก็ ผมคิดว่าคุณควรจะเอาจดหมายนี้ไปปรึกษาตำรวจจะเป็นการสมควรที่สุด แต่ถ้าคุณไม่คิดทำตามนี้ก็มีอีกทางคือ คุณควรจะบอกให้คู่หมั้นทราบว่ามีคนพยายามขู่กรรโชกคุณ คุณอาจจะอธิบายให้เขาเชื่อได้ว่าคุณตกเป็นเป้าหมายการกลั่นแกล้งให้เสียหาย ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ถ้าเขารักคุณจริง เขาย่อมจะช่วยเหลือและปกป้องคุณ ผมคิดว่าคุณคงจะทำให้เขาเชื่อได้ไม่ยากว่าคุณเป็นผู้บริสุทธิ์ในการใส่ร้ายป้ายสีคราวนี้"

น้ำเสียงของชายหนุ่มมีแววเย็นชาอยู่บ้าง แต่เภตราไม่ทันสังเกต หญิงสาวพูดเสียงหนักแน่นว่า

"ที่คุณพูดแบบนี้เพราะคุณยังไม่รู้จักคนอย่างคุณสุชาติ"

*****

เภตรามาถึงบ้านริมอ่าวในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าเจ้าหล่อนอยู่ที่ส่วนไหนของบ้าน ทุกคนต่างก็รู้กันหมด เพราะกลิ่นน้ำหอมที่โชยออกมาจากตัวของหญิงสาวนั้นกรุ่นกำจายไปทั่ว

ภาพหญิงสาวงดงามที่นั่งเอนตัวตามสบายบนตั่งเป็นแบบให้จิตรกรหนุ่มวาดภาพนั้นทั้งงามสง่าและน่าหลงใหลแก่ผู้พบเห็น

"เขาสวยกว่าในโทรทัศน์อีกนะป้า" เด็กหญิงจุ๋มรายงานป้าสวาดด้วยหน้าที่บานเป็นจานเชิง

ป้าสวาดค้อนเด็กหญิง "ตอนที่เขามาเมื่อหนที่แล้ว แกก็พูดอย่างนี้ ข้าจำได้"

"แหม ก็เขาสวยจริง ๆ นี่นา ยิ่งตอนนั่งเป็นแบบให้คุณเมศวาดด้วยนะ สวยอย่างนี้เลย" เด็กหญิงจุ๋มยกนิ้วโป้งแสดงคุณภาพให้แม่ครัวสูงวัยเห็น

"สวยแต่รูปแหละว้า" ป้าสวาดสรุป ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหันไปเห็นนินนะกำลังเดินเข้ามาในห้องครัว "อ้าว ทำไมทำหน้าจ๋อยขนาดนั้นล่ะคะคุณนินนะ"

"ไม่เข้ากับบรรยากาศล่ะสิ ช่วงนี้มีดารามาถึงบ้านต้องยิ้มกันให้มากหน่อยใช่ไหม?" เด็กหนุ่มพูดคล้ายจะประชด

"ใครเขาจะเห่อก็เห่อกันไปเหอะคุณ อิฉันไม่เห็นใครในบ้านเห่อกันสักคน มีแต่นังจุ๋มคนเดียวนั่นแหละ คนอื่นไม่เห็นพูดอะไรสักคน"

"ใครว่าจุ๋มเห่อคนเดียว ยังมีพี่เมศอีกคน ยิ้มไม่หุบเลยตั้งแต่คุณเภตรามาถึง"

"ก็เป็นงานเขาไม่ใช่หรือคะ เขาวาดรูปก็ต้องยิ้มให้กับนางแบบสิ จะทำหน้าบึ้งเดี๋ยวคนมาจ้างก็เผ่นหนีหรอกค่ะ ถ้าวาดกล้วยวาดส้ม แล้วยิ้มให้พวกนั้นสิถึงจะแปลก"

เสียงเด็กหญิงจุ๋มหัวเราะคิกเมื่อได้ยินคำเปรียบเทียบของป้าสวาด จนหญิงแม่ครัวต้องหันไปทำหน้าดุใส่ ก่อนจะเอ่ยต่อ "แล้วอีกอย่าง อิฉันได้ยินมาว่าแม่เภตราอะไรนั่นจะแต่งงานกับเศรษฐีทางเหนืออะไรนี่ไม่ใช่หรือคะ นี่ยังมีแก่ใจมานั่งเป็นแบบให้วาดรูปอีก คุณเมศก็น่าจะรู้แล้วเหมือนกัน เพราะข่าวซุบซิบนี่ออกจะดัง ออกหนังสือพิมพ์หน้าบันเทิงกรอบใหญ่เชียว"

"ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรกับพี่เมศ แต่ผมคิดว่าพี่เมศคงจะรักเขาจริง ๆ" นินนะเอ่ยเสียงอ่อย "วันก่อนผมแกล้งพูดกับพี่เมศเรื่องนี้ แต่รู้ไหมครับว่าพี่เมศบอกผมว่าอะไร เขามองผมตาเขียวแล้วบอกว่า ยิ่งรักมากก็แค้นมากนั่นแหละ"

"ก็แม่นั่นเป็นประเภทชอบปั่นหัวผู้ชายนี่นา เขาคงจะยั่วให้คุณเมศเจ็บใจอยู่บ่อย ๆ ล่ะมั้ง ความเจ็บใจนี่มันหมักหมมได้นะคุณ หมักหมมนาน ๆ เข้ามันก็เป็นพิษขึ้นมาได้"

นินนะพยักหน้ารับ แต่ก็ยังพูดแก้แทนให้กับญาติผู้พี่ "พี่เมศคงไม่ได้หมายความอย่างที่พูดหรอก เพราะเขาคงจะรักผู้หญิงคนนี้เกินไปจริง ๆ"

"มีอะไรอัดอั้นตันใจหรือคะคุณ"

"ผมรู้นะว่าความเกลียดชังเป็นสิ่งที่ไม่ดี ผมเองก็อยากเกลียดใคร แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงได้เกลียดและแค้นผู้หญิงคนนี้นัก โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุให้พี่เมศกลายเป็นแบบนี้"

*****

ในห้องทำงานพลันมีเสียงกริ่งโทรศัพท์กังวานขึ้น

ฉัตรสิริกำลังสำรวจเอกสารต่าง ๆ ที่พบตามลิ้นชักโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของลุงผู้วายชนม์ ชายหนุ่มเลื่อนกองกระดาษตรงหน้าไปเสียทางหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบหูโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา

"สวัสดีครับ ฉัตรสิริครับ"

"สวัสดีคร้าบ จำผมได้ไหม?" เสียงผู้ชายคนหนึ่งแว่วมาตามสาย

ฉัตรสิริไม่ต้องนึกนานก็พอจะจำท่วงทำนองการพูดแบบนี้ได้ "จำได้สิครับ คุณดล ว่าแต่ได้เบอร์โทรศัพท์ของที่นี่มาจากไหนกันครับ?"

"คุณสุรศักดิ์ไงครับ เผอิญผมกับเพื่อนมาเที่ยวกันที่ประจวบฯ นึกขึ้นได้ว่าคุณก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน เลยแวะไปถามคุณสุรศักดิ์ เขาก็เลยให้เบอร์ติดต่อกับผมมา รบกวนหรือเปล่าครับ?"

"ไม่ครับ ตอนนี้ยังไม่ได้ทำอะไร แล้วตอนนี้คุณดลอยู่ที่ไหนครับ?"

"อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ผมพักอยู่ที่โรงแรมในเมือง ผมจะแวะไปหาคุณที่บ้านใหม่ได้ไหมล่ะ?"

"ได้สิครับ มาทานข้าวกลางวันด้วยกันเลยไหมครับ" ฉัตรสิริรู้สึกดีใจที่จะได้เจอใครสักคน เพราะเขารู้สึกเหงาเมื่ออยู่ในบ้านใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยนัก

"วันนี้หรือครับ?"

ฉัตรสิริรู้สึกว่าตนเองเสียมารยาทที่ชวนอีกฝ่ายเร็วเกินไป เพราะไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะว่างหรือไม่ "ถ้าคุณดลมีธุระก็ไม่เป็นไรครับ"

เสียงจากปลายสายกลั้วหัวเราะ "ผมไม่มีธุระอะไรหรอก งั้นรอผมนะ ผมจะไป"

"บ้านอยู่ห่างออกจากตัวเมืองไปไม่ไกลเท่าไรหรอกครับ เดินมายังได้เลยครับ แต่ถ้าคุณขับรถมาก็ให้มาตามถนนเลียบชายทะเล หาง่ายมากครับ เป็นบ้านสีขาว ส่วนประตูรั้วทาสีฟ้า"

ชายหนุ่มวางหูโทรศัพท์ลง แล้วออกจากห้องไปสั่งการกับแม่ครัว

"ช่วยเตรียมอาหารรับรองแขกผมนะครับป้าสวาด ออกจะกระทันหันสักหน่อย คงไม่ว่ากันนะครับ"

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะออกไปจากครัว ป้าสวาดก็เอ่ยขึ้น

"อิฉันมีเรื่องอยากจะเรียนให้คุณทราบสักเรื่องค่ะ คุณฉัตร"

ใจของฉัตรสิริฝ่อลง แม้จะอยู่ที่นี่แค่สองวัน ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าบ้านนี้จะขาดแม่บ้านอย่างป้าสวาดไม่ได้ ตอนนี้ป้าสวาดทำเสียงเหมือนว่าอยากจะลาออก ขนาดเขาเพิ่งมาอยู่ยังรู้สึกเสียดายถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าป้าดารณีและอาทิพย์วัลย์ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของบ้านถึงได้บ่นกันพึมเรื่องความไม่เป็นระเบียบของบ้านฝั่งโน้น

ป้าสวาดกล่าวเสียงดังว่า "อิฉันไม่ชอบเห็นเรื่องอะไรคาราคาซัง ถ้าหากคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ขอให้บอกอิฉันล่วงหน้าด้วยนะคะ"

"ผมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้นแหละ"

"ถ้าอย่างนั้นอิฉันก็ยินดีที่จะทำงานอยู่ที่นี่ต่อไป อิฉันคิดว่าอยู่บ้านซีกนี้คงจะเหมาะสมกว่าบ้านซีกโน้น"

"ผมดีใจที่ได้ยินป้าพูดแบบนี้ แต่ผมก็เกรงใจคุณป้าดารณีอยู่เหมือนกัน"

"ทางโน้นเขาก็จ้างคนมาดูแลแล้วค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง และถ้าคุณจะอนุญาต อิฉันก็อยากจะให้คุณเมศกับคุณนินนะมาคุยกับอิฉันบ้างเท่านั้นแหละค่ะ"

*****

อีกซีกหนึ่งของบ้าน คุณทิพย์วัลย์นั่งอ่านนิยายที่เป็นบทโทรทัศน์ในหนังสือพิมพ์รายวัน ก่อนจะบ่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

"ฉันดีใจอยู่เรื่องหนึ่งที่ตาเมศมีอาชีพเป็นจิตรกร นางแบบของเขาจะได้นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องมาเดินจุ้นจ้านให้เห็นในบ้าน"

"คนอื่นเขาอยากเห็นดารากันจะเป็นจะตาย" คุณดารณีเอ่ยโดยที่สายตายังไม่ละจากงานโครเชญ์ที่ถักค้างอยู่

"ถ้าคนอื่นเขารู้นิสัยแม่นั่นที่ต่างจากในโทรทัศน์ยังอยากจะเห็นอีกหรือเปล่าล่ะ? และที่สำคัญ พี่นึกยังไงถึงยอมให้หล่อนมาพักอยู่ด้วย ฉันไม่เข้าใจเลย"

"พี่ไม่ได้เป็นคนยอม แล้วตาเมศคงจะเอาหล่อนมาไว้ได้ไม่นานหรอก"

"พี่รู้ได้ยังไง ฉันว่าลองแบบนี้ผู้หญิงเขาจับตาเมศได้อยู่มือแน่"

คุณดารณีส่ายศีรษะ "เขาจะจับไปทำไม ในเมื่อไม่มีมรดกของพี่กมลสักบาทเดียว"

"ต่อให้ได้มรดก แต่ถ้าได้ตัวหล่อนมาเป็นสะใภ้ หล่อนก็ผลาญหมดจนได้" คุณทิพย์วัลย์ต่อประโยคให้สมบูรณ์

*****

ในห้องทำงานของปรเมศ ชายหนุ่มวางพู่กันลงในกระป๋องล้างสี ก่อนบอกกับผู้ที่มาเป็นแบบ

"พักหน่อยก็แล้วกัน"

แสงแดดสาดส่องเข้ามาเต็มห้องทางหน้าต่างทั้งสามบาน สองบานที่อยู่ทางซ้ายเปิดกว้าง แต่ว่าบานตรงกลางซึ่งความจริงเป็นประตูออกไปที่ลานสวนนั้นปิดสนิท ม่านที่ห้อยอยู่ล้วนเป็นผ้ายกดอกซึ่งสีสันซีดลงไปบ้างแล้ว ห้องนี้อยู่ตรงกับห้องทำงานของลุงกมลที่อยู่อีกซีกหนึ่งของบ้าน มองสภาพของห้องแล้วให้บรรยากาศที่สงบ ฝาผนังปิดด้วยวอลเปเปอร์สีงาช้าง ประดับด้วยภาพวาดฝีมือชายหนุ่มเจ้าของห้องหลายภาพ เครื่องเรือนเป็นแบบยุโรปหรูหรา

ท่ามกลางความอลังการ เภตราในชุดซิ่นและเสื้อลูกไม้แขนหมูแฮมมองดูนุ่มนวลและแจ่มใสเหมือนแสงแดดที่ส่องเข้ามาในยามนั้น ครั้งนี้หญิงสาวคิดจะให้ภาพที่ออกมาเป็นแนวย้อนยุค ผมสีดำสนิทถูกปล่อยให้ยาวเคลียบ่า เปิดหน้าผากให้เห็นไรผมบาง ๆ ล้อมกรอบใบหน้าสวยคมขำ

"ดีค่ะ เมื่อยอยู่เหมือนกัน" หญิงสาวบิดกายเพื่อคลายความเมื่อยล้า ก่อนจะเดินไปยืนมองภาพบนผืนผ้าใบ "อีกนานไหมคะ?"

"ไม่อยากเป็นแบบให้ผมแล้วล่ะสิ"

"คิดไปโน่นเชียว ฉันแค่ถามดูเพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองยังต้องนั่งท่านี้ไปอีกนานเท่าไรเท่านั้นเอง"

"สัปดาห์นี้คุณก็ไม่มีธุระอะไรไม่ใช่หรือ?"

"ก็ใช่อยู่หรอกค่ะ แต่ถ้าเสร็จแล้ว ฉันจะได้เข้ากรุงเทพฯ ไปจัดการเรื่องอีกหลายเรื่อง"

"คุณจะไม่เล่นละครอีกแล้วหรือ?"

"คุณอยากเห็นฉันรับบทแม่บทยายหรือไงคะ ไม่เอาหรอก ฉันอยากจะให้คนดูจำฉันในภาพของนางเอกมากกว่า"

"ถ้าไม่แสดงละครแล้วคุณจะไปทำอะไรล่ะ? คุณตั้งใจจะทำอะไรหลังจากนี้?"

เภตราจับสำเนียงขุ่น ๆ ในคำพูดอีกฝ่ายได้ ถึงตอนนี้หญิงสาวจึงยิ้มหวาน "ไว้มาเป็นแบบให้คุณวาดภาพต่อไปดีไหมคะ?"

"จริงหรือ?" น้ำเสียงของชายหนุ่มมีวี่แววประชด "ผมนึกว่าคุณจะขึ้นเหนือเสียอีก"

"แหม ฉันจะไปทำไมล่ะคะ"

"คุณจะไปทำไม ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว" ชายหนุ่มมีสีหน้าฮึดฮัดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะรวบพู่กันแล้วเหวี่ยงไปทั่วห้องพร้อมตะโกน "ไม่วงไม่วาดมันแล้ว วันนี้พอแค่นี้"

หญิงสาวตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยความตกใจ "คุณเมศ จะบ้าหรือไงกัน เพราะอารมณ์คุณเป็นแบบนี้ถึงได้เข้ากับใครเข้าไม่ได้"

"ใช่ ผมเป็นคนบ้า" ปรเมศแหกปากตะโกนเสียงดังขึ้น "แต่เพราะใครกันล่ะ ไม่ว่าจะถามอะไร คุณก็ได้แต่บ่ายเบี่ยง แล้วจะให้ผมคิดอะไรได้อีกล่ะ?"

"แล้วคุณจะต้องมาคิดอะไรด้วยล่ะ ไม่เกี่ยวกับคุณสักนิด"

"พูดอย่างนี้คงถูกฆ่าตายสักวัน"

เภตราสะดุ้ง หญิงสาวรู้ว่าเวลาปรเมศโกรธ เขาจะโพล่งอะไรแรง ๆ ออกมาโดยปราศจากความหมายเช่นนี้เสมอ หากขณะนั้นหล่อนบอกไม่ถูกว่าทำไมคำพูดของเขาจึงทำให้หล่อนนึกหวาดขึ้นมาได้อย่างประหลาด

หญิงสาวถอยห่างออกไป หล่อนเพิ่งสังเกตเห็นประตูห้องไม่ได้ปิดอยู่ แต่ว่าแง้มอยู่ครึ่ง ๆ หญิงสาวจึงเดินตรงไปเปิดประตูออก ชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอกก็เห็นหญิงทำความสะอาดกำลังง่วนอยู่กับการถูพื้นห่างออกไปเล็กน้อย

เภตราปิดประตูด้วยท่าทีที่คุมสติเอาไว้ได้เแล้ว ปรเมศกำลังหัวเสียอยู่อย่างเดิม แต่ไม่ได้ทำให้หล่อนเกิดความกลัวขึ้นมาอีกแล้ว หล่อนเชิดคางขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า

"คราวหน้า ถ้าเธอรู้สึกว่าอยากจะฆ่าใครสักคน หวังว่าฉันคงจะไม่ใช่คนแรกนะ" แล้วหล่อนก็เปลี่ยนเสียงเป็นหัวเราะเสียงใส "ไม่เอาน่า ปรเมศ อย่าทำหน้าบูดอย่างนั้นหน่อยเลย ออกไปเดินที่ชายหาดกันดีกว่า"

*****

ธราดลจอดรถไว้ที่หน้าคฤหาสถ์สีขาว มันตั้งเด่นแวดล้อมด้วยไม้พุ่มที่ล้อมเป็นฉากกั้น เขาเดินลงจากรถยนต์ ตรงเข้าไปถึงบานประตูที่เปิดรอเขาอยู่ ร่างผอมบางของชายเจ้าของบ้านยืนรอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

"มายากไหมครับ?" ฉัตรสิริเอ่ยถามกึ่งทักทาย ก่อนจะพาเดินเข้าไปในบ้าน

"หาง่ายครับ"

เจ้าของบ้านเชิญให้อีกฝ่ายนั่งที่เก้าอี้ในห้องรับแขก ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวข้าง ๆ ก่อนจะเปรยขึ้น "นึกว่าคุณดลจะพาเพื่อนมาด้วย"

"หือ?"

"คือผมได้ยินว่าคุณดลมาเที่ยวกับเพื่อน เลยคิดไปเองว่าคุณดลคงจะพาเพื่อนมาที่บ้านนี้ด้วยกัน"

"เกรงใจครับ ถ้ามากันหลายคนจะรบกวนคุณฉัตรเปล่า ๆ" ธราดลไม่กล้าบอกว่า เพื่อนที่มากับเขาคือใคร ได้แต่เลี่ยงไปถามไถ่ทุกข์สุขแทน "อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้างครับ?"

"ก็ดีครับ นี่ผมกำลังดูว่าจะทำอะไรดี เพราะอยู่เฉย ๆ แบบนี้มันดูไร้จุดหมายไปหน่อย กำลังคิดว่าจะลงทุนทำอะไรสักอย่าง ให้มันมีกำไรงอกเงยขึ้นมาได้บ้าง"

"เศรษฐกิจช่วงนี้ทำอะไรก็ต้องระวังนะครับ แทนที่จะมีกำไรงอกเงย อาจจะกลายเป็นว่าหนี้สินล้นตัวแทน"

"ผมก็คิดกลัวเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เลยยังไม่กล้าทำอะไรนี่แหละครับ ไว้เดี๋ยวคงจะหาที่ปรึกษาสักคน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที"

"ผมเองก็มีคนรู้จักที่เก่งเรื่องธุรกิจนี่หลายคน ไว้จะแนะนำให้นะครับ" พูดไปแล้ว ชายหนุ่มก็นึกถึงเพื่อนสนิทของตนขึ้นมาทันที ถ้าชนินทร์ยอมช่วยคงจะดีไม่น้อย

เมื่อถามถึงจิตติกา ฉัตรสิริจึงรู้สึกเป็นกันเองถึงกับบอกเขาอย่างเปิดเผยว่า

"ผมเป็นห่วงหนิงเขาเหมือนกัน ผมเคยเล่าให้คุณฟังเรื่องของสิปนนท์ ตอนนี้มีเรื่องขัดใจกันเขาก็เลยเป็นฝ่ายไป"

"เพราะคุณไม่ยอมแบ่งอาณาจักรให้เขาครอบครองครึ่งหนึ่งน่ะหรือ?"

"ก็ทำนองนั้นแหละครับ"

"แล้วคุณไม่ยอมหรือ?"

"ขืนให้ เขาก็คงจะเอาไปถลุงหมดน่ะสิ แต่ว่าหนิงเขาออกจะอาการหนักเอามาก ๆ"

"น้องสาวคุณรักเขามากสินะ"

ชายหนุ่มพยักหน้า "ดูยายหนิงเขาเสียใจมากเหลือเกิน วันนี้หนิงคงไม่มารับประทานอาหารร่วมกับเรานะครับ เพราะเขาไม่อยู่บ้าน คือเขาไม่รู้ว่าคุณจะมาเป็นแขกของเราวันนี้ ที่จริงตั้งแต่พวกเราย้ายมาอยู่ที่นี่ หนิงเขาไม่เคยออกไปไหนเลย"

"คุณสงสัยว่าน้องสาวจะแอบออกไปพบกับสามีใช่ไหม?"

ฉัตรสิริเกือบสะดุ้ง "คุณทราบได้ยังไงครับ?"

นัยน์ตาทั้งสองสบกัน ธราดลเป็นฝ่ายยิ้ม "แล้วน้องเขยคุณจะไม่ตรงเข้ามาที่นี่เลยหรือ ถ้าอยากจะพบภรรยา"

"เขาคงจะต้องดูท่าทีก่อน คงใช้วิธีผ่านเข้ามาทางยายหนิง"

"แล้วคุณไม่สบายใจหรือเปล่าล่ะ ถ้าเขาจะมาอยู่ด้วย?"

"ผมกลัวว่าเขาจะทำให้ยายหนิงเป็นทุกข์มากขึ้นเท่านั้นแหละครับ"

"ผมว่าน้องเขยคุณคงจะรู้ว่าตอนนี้จะต้องหาพันธมิตรไว้ก่อน ใช้ไม้แข็งไปก็คงไม่ได้ผล"

"จริงครับ"

"เขาก็คงได้คิดแล้วละมั้ง อย่างน้อยก็คงเอาใจน้องสาวคุณไว้ก่อนอยู่ดี"

"คนอย่างสิปนนท์น่ะหรือจะรู้จักคิด ไม่มีทางเป็นไปได้" ฉัตรสิริบอกกับชายหนุ่มพร้อมหัวเราะขื่น ๆ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด นานมาแล้วที่เขาไม่มีใครสักคนจะปรับทุกข์ด้วย ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต บัดนี้เขามีธราดลเป็นเพื่อนที่คอยปรับทุกข์เป็นคนแรก

*****

เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ทั้งคู่ก็ออกจากบ้านเดินลงไปตามขั้นบันไดหินที่ทอดลงไปสู่ชายหาดเบื้องล่าง ตัวหาดเป็นทรายสีขาวละเอียด มีโขดหินเป็นแนวคู่กันอยู่เหนือพื้นน้ำตื้น ๆ ริมทะเล ทั้งคู่เดินไปด้วยกัน พูดกันบ้างหรือบางครั้งก็เงียบกันไป ต่างคนต่างรู้สึกสงบด้วยกันทั้งสองฝ่าย

เมื่อย้อนกลับขึ้นบันไดไปสู่ตัวบ้าน ทั้งสองพบปรเมศและเภตราเดินสวนทางลงมาพอดี หญิงสาวสวมกางเกงขาสั้นเผยเรียวขายาวสวย เสื้อยืดตัวเล็กสีน้ำเงินสดใส มองดูเหมือนหล่อนเพิ่งก้าวออกมาจากหน้าปกหนังสือไม่มีผิด

บันไดนั้นแคบจนสวนทางกันได้ลำบาก ปรเมศกับเภตราจึงหยุดยืนคอยอยู่บนลานหินชั้นบน เมื่อร่างของธราดลโผล่ขึ้นมาเต็มตัว เภตราก็ร้องกรี๊ดออกมาอย่างดีใจ ผวาเข้าหาชายหนุ่ม

"คุณด๊ล คุณดล นี่คุณโผล่มาจากไหนคะนี่"

ธราดลมีท่าทีว่ายินดีที่ได้พบกับหล่อน แต่ก็ไม่ถึงกับปลาบปลื้มเช่นอีกฝ่ายหนึ่ง

"ผมก็ไม่นึกว่าจะได้พบคุณที่นี่"

"แหม พูดแค่นี้เองหรือ เมื่อวันก่อนฉันเพิ่งคุยกับคุณนินทร์ ยังถามถึงคุณอยู่เลย"

"อ้อ…"

"ถ้าไม่รีบไปไหน ไปเดินเล่นชายหาดกับฉันเถอะค่ะ อ้อ…นี่ปรเมศ เป็นจิตรกรกำลังวาดภาพฉันอยู่ค่ะ ฉันมาพักอยู่กับครอบครัวของเขา แล้วนี่…อ้อ…คุณคงรู้จักกับคุณฉัตร"

ปรเมศมองหน้าธราดลเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ เขาไม่พอใจผู้ชายทุกคนที่เข้ามาใกล้หญิงสาวอันเป็นที่รัก

"ผมกับคุณฉัตรเป็นเพื่อนเก่ากันครับ" ธราดลตอบเรื่อย ๆ "ชายหาดข้างล่างสวยมาก ผมว่าคุณคงจะชอบ เราไปเดินเล่นกันมาเมื่อครู่นี้เอง ตอนนี้จะกลับขึ้นบ้านแล้ว และถ้าคุณอยู่ที่นี่อีกหลายวัน เราคงจะได้พบกันอีกนะครับ"

ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมฉัตรสิริโดยไม่หันกลับไปมองทั้งสองคนอีก

*****

เด็กหญิงจุ๋มยกถาดน้ำเย็นมาให้ในห้องรับแขก เด็กหญิงตอบคำถามของนายใหม่ที่ถามถึงคนในบ้านว่า คุณหนิงยังไม่กลับจากในเมือง ส่วนคุณนินนะนั้นไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ไหน ก่อนจะถอยออกไป ซึ่งฉัตรสิริเดาว่าคงเป็นผลจากการที่เภตรามาพักอยู่ในบ้าน ทำให้เด็กนินนะต้องหลบลี้หนีไป

ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักว่า บัดนี้มีหญิงสาวสวยมากคนหนึ่งมาพักอยู่ในบ้านหลังนี้ แต่ว่าคนในบ้านทุกคนดูเหมือนจะไม่ชอบหล่อนกันทั้งนั้น แม้แต่ปรเมศที่มีท่าทีว่าหลงรักหล่อน หากก็ไม่ชอบอะไรหลายอย่างในตัวหล่อน เช่นเดียวกับคนในบ้านทุกคนรู้สึกเหมือนกัน

เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ ฉัตรสิริจึงเอ่ยปากถามชายหนุ่มตรงหน้าว่า

"คุณรู้จักคุณเภตราดีหรือครับ"

"ก็เคยสนิทกันครั้งหนึ่ง ราว ๆ หนึ่งสัปดาห์เห็นจะได้"

"หรือครับ?"

"คุณก็เห็นไม่ใช่หรือว่าเธอสวยขนาดไหน ตอนนั้นผมไปเจอหล่อนที่งานเลี้ยงเปิดอาคารใหม่ของญาติผู้ใหญ่ของนายนินทร์ เจอแล้วก็ลุ่มหลงโงหัวไม่ขึ้น"

ฉัตรสิริจ้องหน้าอีกฝ่าย "แล้วเกิดอะไรขึ้นหรือครับ"

ธราดลหัวเราะ "แล้วผมก็โงหัวขึ้นมาได้ แล้วพบว่าเราต่างคนต่างเบื่อกันจนทนเห็นหน้ากันไม่ไหวแล้วก็จบ"

"คุณดลทำแบบนี้บ่อยไหมครับ"

"ทำอะไรครับ?"

"ก็หลงรักใครง่าย ๆ แล้วเลิกง่าย ๆ"

ธราดลสะอึก แต่ก็เสหัวเราะ "ผมว่าคุณใช้คำผิดไปหน่อยนะ แบบนี้ผมว่ายังไม่ใช่รัก แต่เป็นความหวือหวาชั่วแล่นมากกว่า ผมคงไม่เอามาพูดหรอกหากว่าเป็นเรื่องจริงจัง คุณว่าอย่างนั้นไหม?"

"ผมไม่รู้ จะว่าไป ผมยังไม่รู้จักคุณดีเลย"

"จริงหรือ แต่ผมว่าผมรู้จักคุณดีทีเดียว"

"คุยกันไม่เท่าไรคุณก็รู้จักผมดีเสียแล้ว" ฉัตรสิริอมยิ้ม รู้สึกสบายใจที่ได้สนทนากับอีกฝ่าย ก่อนจะชะงักเมื่อหันไปเห็นร่างเล็ก ๆ ของนินนะเดินตรงเข้ามาในห้อง

"เห็นจุ๋มบอกว่าพี่ฉัตรถามหาผม"

"พี่คิดจะชวนเรามากินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่ก็หาตัวไม่เจอ จะแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนพี่ด้วย ชื่อคุณดล คุณดลครับนี่ลูกพี่ลูกน้องของผมอีกคน ชื่อนินนะครับ"

นินนะรักษามรรยาทด้วยการพูดคุยกับชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยเรื่องทั่วไป ก่อนจะขอตัวกลับออกไปทางประตูที่เข้ามา

เมื่อลับร่างของเด็กหนุ่ม ธราดลก็มองด้วยสายตาตั้งคำถาม

"เด็กนั่นเป็นอะไรไปหรือครับ?"

"อะไรหรือครับ?"

"ดูแกหงอย ๆ เอ! ผมใช้คำพูดถูกไหมนี่ ผมว่าแกดูไม่แจ่มใสเลยนะครับ ยังเด็กอยู่แท้ ๆ ทำหน้าเหมือนแบกโลก"

ฉัตรสิริมีสีหน้าหนักใจ "ผมคิดว่าแกคงจะหวงพี่ชายมั้งครับ"

"หือ?"

"ผมหมายถึงปรเมศนั่นแหละครับ เพราะดูเหมือนทั้งคู่จะโตมาด้วยกัน แล้วต่างคนต่างก็ไม่มีใคร เลยเหมือนเป็นพี่น้องกัน แล้วตอนนี้ปรเมศเขากำลังวุ่นอยู่กับคุณเภตรา แกก็คงจะเหงา และก็คงจะน้อยใจด้วยมั้งครับ"

*****

ในห้องโถงของโรงแรมนั้น ชนินทร์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ โดยมีแม่หนูจีน่านั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้าง ๆ

"พี่ดลนะพี่ดล อยู่ดีดีก็ออกไปโดยไม่รอน้องจีน่าเลย มาด้วยกันแต่ไม่ไปด้วยกัน แบบนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณแล้ว"

"เขามีธุระไม่ใช่หรือ?" ชายหนุ่มพูดทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์

"เรามาเที่ยวกันนะคะ ธุระอะไรก็ต้องวางไว้ บรรยากาศแบบนี้ต้องวิ่งจนน้ำทะเลแตกกระจายต่างหาก" แม่หนูทำปากอูดไม่พอใจ "คอยดูนะ ถ้ากลับมาต้องชำระความ"

"เราเป็นอะไรกับเขาหือ รู้ไหมว่าผู้หญิงที่จุ้นจ้านมาก ๆ นี่ ผู้ชายเขาไม่ชอบหรอกนะ"

"ต๊าย พี่นินทร์ พูดแบบนี้ หาว่าจีน่าจุ้นจ้านอย่างนั้นหรือคะ ปากอย่างนี้ถึงหาแฟนไม่ได้สักที"

"แล้วปากเราอย่างนี้ พี่ดลเขาจะทนได้หรือไง?"

"อยู่ไปนาน ๆ เดี๋ยวก็ชินค่ะ อีกสักหน่อยถ้าไม่ได้ยินเสียงจีน่า พี่ดลอาจจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง"

"จ้า จ้า จ้า" ชายหนุ่มตัดบทน้องสาว ก่อนจะสะดุดใจเมื่อสายตาของชายหนุ่มพลันปะทะกับร่างผอมบางที่คุ้นตา

หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะแถวหน้าประตูโรงแรมนั้นดูคุ้นตาเขาพิกล เมื่อระลึกความจำก็พอจะนึกขึ้นได้ว่าเคยเจอแม่สาวคนนี้ที่ไหน ผิวขาวจนซีดแบบนี้ทำให้เขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา และก็จำอีกฝ่ายได้ในทันที ที่แท้หญิงสาวคนนี้ก็คือน้องสาวของฉัตรสิรินั่นเอง

จากที่เห็น ชายหนุ่มสังเกตว่าจิตติกามีทีท่ากระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด สายตาจับอยู่ที่ทางเข้าโรงแรมอย่างใจจดใจจ่อ

มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา สีหน้าของหญิงสาวแสดงอาการกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่เดินเข้ามามีทั้งแม่ที่จูงลูกเล็ก ๆ เข้ามา คนสูงอายุที่เดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวท่าทางเปรี้ยวจัดอีกคนหนึ่งที่แต่งตัวน้อยชิ้นเสียเหลือเกิน เมื่อเห็นบุคคลเหล่านี้ สีหน้าของจิตติกาก็ม่อยลงอย่างผิดหวัง

แม้คนที่โง่ที่สุดก็ดูออกว่าหญิงสาวนัดพบกับใครสักคนหนึ่งไว้ที่นี่ แม้จะไม่อยากสนใจเรื่องของคนอื่นนัก แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจนัก เพราะอยู่ดีดีจิตติกาก็ทำท่าสะดุ้ง เหมือนจะถลาออกไป แต่แล้วก็ควบคุมตัวเองให้นั่งอยู่กับที่ หากสายตาส่งประกายสดใส แสดงว่าคนที่หล่อนรออยู่ได้มาถึงแล้ว

ชายหนุ่มหน้าตาเข้าทีคนหนึ่ง ผมหยักศก โกรกเป็นสีน้ำตาลอ่อนตามสมัยนิยม เดินกวาดสายตาไปทั่วห้องโถงโรงแรม เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่มุมห้อง นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายวาวขึ้น

"นนท์คะ"

สงสัยว่าจะเป็นสามีของเจ้าหล่อน ชนินทร์คิดในใจ ดูท่าทางเจ้าสำราญและจับจด

"เป็นไงบ้างหนิง?"

"หนิงเกือบจะไม่มาแล้ว"

"แต่หนิงก็มาแล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ ตอนนี้พี่ชายของหนิงยังโมโหอยู่หรือเปล่า?"

"พี่ฉัตรเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไร"

"หนิงน่าจะเกลี้ยกล่อมให้เขาเห็นใจ ผมเสียใจที่วู่วามไปหน่อยวันนั้น แต่ใครจะไปทนไหว ปล่อยให้เขากำกระเป๋าเงินอยู่คนเดียว ผมว่ามันเอาเปรียบกันเกินไป ถ้าหากหนิงได้ครึ่งหนึ่งอย่างที่ควรจะได้ เราคงไม่ต้องลำบากอีก แล้วนี่เภตราเขาไปพักอยู่ที่บ้านด้วยใช่ไหม?"

ชื่อของเภตราที่ได้ยิน กระทบความสนใจของชนินทร์ให้เพิ่มขึ้นอีก

"นนท์รู้ได้ยังไงคะ?"

"เถอะน่า อย่าถามมากนักเลย ผมต้องการพบหล่อน"

จิตติกามองหน้าสามีอย่างเคลือบแคลง "ทำไมหรือคะนนท์"

"เรื่องเกี่ยวกับงานของผมน่ะ แล้วหนิงก็ไม่ต้องมาซักถามให้วุ่นวายไปหรอก ผมไม่ได้มีอะไรกับแม่เภตรานั่นหรอก ไม่ต้องระแวง ผู้หญิงอย่างเภตราเขาหมายตาแต่พวกกระเป๋าหนักทั้งนั้น แล้วตอนนี้ก็กำลังเจอขุมทรัพย์เข้าด้วย ผมเพียงแต่จะช่วยหล่อนบ้างเท่านั้นเอง เผื่อจะได้ประโยชน์บ้าง"

"ตายจริง ตอนนี้เขาติดพันอยู่กับคุณปรเมศนี่คะ ฉันไม่ได้หมายความว่าเขามีอะไรกันนะคะ แต่ว่าตอนนี้เภตรามาพักอยู่อีกซีกหนึ่งของบ้าน แล้วคุณปรเมศก็หลงรักผู้หญิงคนนี้ยังกับอะไรดี"

"เจ้าหมอนั่นมันโง่ ช่วยไม่ได้ ถ้าลุงกมลมอบมรดกให้เขาแทนจะให้พี่ฉัตร ไอ้เจ้าปรเมศคงไม่แย่ถึงขนาดนี้หรอก ว่าแต่ว่าตอนนี้เรามาพูดเรื่องของเราดีกว่า ผมอยากกลับไปอยู่กับหนิงเต็มทีแล้ว ทำยังไงดี"

"เอ่อ…" สีหน้าของหญิงสาวมีแววกังวลใจ

"หนิงต้องเกลี้ยกล่อมให้พี่ฉัตรใจอ่อนให้ได้ ผมรู้ว่าหนิงต้องทำได้"

"หนิงน่ะหรือคะ?"

"หนิงไม่สงสารผมหรือ" น้ำเสียงชายหนุ่มบอกความน้อยใจ "หนิงก็รู้ว่าผมห่างจากหนิงไม่ได้ ถึงอย่างไรผมก็ต้องกลับมาหาหนิงอยู่ดี"

"แต่ตั้งแต่เราแต่งงานกัน นนท์ก็ไม่ได้สนใจจะมาอยู่กับหนิงนี่คะ"

"โธ่ หนิง ทำไมพูดอย่างนั้นได้ลงคอ ถ้าไม่จำเป็นผมจะอยู่ห่างหนิงทำไม ผมยินดีสละทุกอย่างในโลก ขอแต่ได้อยู่ใกล้หนิงเท่านั้น"

"จริงหรือคะ?"

"จริงสิ แล้วตอนนี้เราก็สามารถจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดไปแล้ว อย่าเอาเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ นั่นมาทำให้เราหมางใจกันเลย ฟังนะ หนิงต้องบอกกับพี่ฉัตรว่าผมเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น และละอายใจมากที่วู่วามไปหน่อย ขอให้พี่ฉัตรลืมเรื่องทั้งหมดเสีย หนิงควรจะพูดกับพี่ฉัตรภายในวันนี้ เพราะผมจะได้ไปค้างที่บ้านได้คืนนี้ พูดตรง ๆ เลยนะหนิง ผมกำลังแย่เต็มที ไม่มีเงินพอค่าพักเสียด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้หนิงมีเงินติดกระเป๋าสักพันไหม ขอติดกระเป๋าหน่อย เดี๋ยวเราออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน ถ้าหนิงต้องเป็นฝ่ายควักเงินต่อหน้าบ๋อยก็คงจะดูยังไง ๆ ผมว่าเอามาสักสองพันก็แล้วกัน เผื่อขาดเผื่อเหลือ"

"หนิงมีเงินติดตัวมาไม่ถึงสองพันหรอกค่ะ"

"มีเท่าไรก็เอามาเท่านั้นก็แล้วกัน"

จิตติกามีสีหน้าซีด ท่าทางเคร่งขรึม สิปนนท์ไม่เคยเห็นภรรยามีท่าทางเช่นนี้มาก่อน แต่เขาคิดว่าถ้าพูดหวาน ๆ กับหล่อนสักหน่อย หล่อนก็คงจะกลับเป็นเหมือนเดิม

สิปนนท์รับธนบัตรใบละพันจากมือของภรรยา มองในกระเป๋าสตางค์หล่อนเพื่อให้แน่ใจว่าเหลือเพียงเศษเงินอยู่อีกแค่ไม่ถึงร้อย แล้วบอกภรรยาอย่างร่าเริงว่า "ไปกันเถอะที่รัก อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ผมจะพาไปกินข้าวที่ร้านอาหารข้างนอก ร้านนี้มีชื่อมากเลยนะ เพิ่งออกรายการโทรทัศน์แนะนำร้านอาหารไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง"

*****
(End Of Part 3)

comment