ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Within Your Eyes (4) by...Rai "พี่นินทร์ขา จีน่าว่าเราไปเดินเล่นที่หาดกันเถอะค่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว" ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาคงไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว ตราบเท่าที่ธราดลยังไม่มาแกะยายจีน่าออกไปห่างจากตัวเขา "แล้วไม่รอให้นายดลกลับมาหรือ? เห็นบอกว่าจะไปย่ำน้ำทะเลกันสองคน พี่ไม่เกี่ยวสักหน่อย" "แหม จีน่าก็ต้องมีเวลาให้พี่นินทร์บ้างสิคะ เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียงรักแต่พี่ดลคนเดียว" "ใจดีเหลือเกินนะน้อง" ชนินทร์ขบเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะพากันเดินไปทางชายหาด เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ เด็กหญิงจีน่ากรี๊ดกร๊าดกับคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง เท้าเล็ก ๆ ย่ำไปมาอยู่แถวน้ำตื้น ตอนหลังก็ทำตัวเป็นนักสะสมเปลือกหอย ก้มหน้าก้มตาเก็บเปลือกหอยรูปร่างแปลก ๆ โดยไม่สนใจพี่ชายที่นั่งเฝ้ามองระวังความปลอดภัยให้น้องสาวอยู่ที่เพิงร่มริมชายหาด "คุณนินทร์ใช่ไหมคะนั่น" เสียงแหลมเล็กดังขึ้น แล้วร่างของดาราสาวก็โผล่ขึ้นมาในคลองจักษุของชายหนุ่ม เภตรามีสีหน้าท่าทีชื่นบานมาก หล่อนเดินควงคู่มากับชายหนุ่มผมยาวท่าทางอารมณ์ไม่ดีคนหนึ่ง หล่อนแนะนำสั้น ๆ ว่า "นี่ปรเมศ เป็นจิตรกรค่ะ" แล้วหล่อนก็ไล่ให้เขาไปซื้อบุหรี่ ก่อนจะตบท้ายว่า "ฉันรออยู่ตรงนี้แหละ ขอคุยกับเพื่อนเก่าสักหน่อย เป็นการส่วนตัว" ตอนท้ายหญิงสาวเน้นคำ คล้ายจะบอกอีกฝ่ายอยู่กลาย ๆ เมื่อปรเมศผละออกไปอย่างเงียบขรึมและขุ่นมัว เภตราจึงได้พูดกันตามลำพังกับชายหนุ่ม เภตราเล่าให้ฟังว่าหล่อนมาพักอยู่ที่บ้านริมหาด ไม่ต้องออกแรงคะยั้นคะยอ หญิงสาวก็พร้อมจะเล่ารายละเอียดออกมายาวเหยียด ชนินทร์จึงได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของปรเมศ การแบ่งบ้านกันอยู่ ตลอดจนพินัยกรรมที่นายกมลยกมรดกให้หลานชายที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน "และที่แปลกที่สุดคือนายฉัตรสิริที่ได้มรดกทั้งหมดคนนี้ น้องสาวของเขาแต่งงานกับนายสิปนนท์ค่ะ คุณนินทร์ยังจำเรื่องที่ฉันเล่าถึงนายคนนี้ได้ไหมคะ" ชายหนุ่มรับคำ ก่อนจะถาม "แล้วคุณทราบถึงการเกี่ยวดองพวกนี้มาก่อนหรือเปล่า?" "ก็ไม่เชิงค่ะ คือสิปนนท์ไม่เคยบอกใครตรง ๆ หรอกนะคะว่าตัวเองมีเมียแล้ว แต่ว่าฉันเป็นคนหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็ตลกนะคะ ถ้าหากว่าปรเมศได้รับมรดกจากลุงแทนที่จะเป็นนายฉัตรสิริอะไรนั่น ฉันอาจจะแต่งงานกับเขาก็ได้ แต่ถึงอย่างไรคุณสุชาติก็มีภาษีดีกว่าเยอะ อยู่กับคนอย่างคุณสุชาติรู้สึกว่าจะสบายกว่าอยู่กับคนอย่างปรเมศ แล้วญาติของเขาก็ร้ายไม่หยอก คุณสุชาติดีกว่าตรงที่พ่อแม่เขาตายหมดแล้ว ฉันยังเคยพูดเลยว่าจะไม่มีวันแต่งงานกับผู้ชายคนไหน จนกว่าจะแน่ใจว่าเขาเป็นลูกกำพร้าเสียก่อน อย่างที่พวกผู้ชายเขามักจะพูดกันน่ะค่ะว่า จะแต่งงานกับผู้หญิงทั้งทีต้องหาแบบพ่อตาตาย แม่ยายโง่ ทำนองนั้น ฉันเองก็มีสิทธิจะคิดแบบนี้ได้ไม่ใช่หรือคะ" เภตราพูดด้วยท่าทางเปิดเผย "ครับ" ชายหนุ่มยิ้มให้หล่อน แล้วพยายามไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ "คุณนินทร์ยังจำจดหมายขู่เอาเงินที่ฉันหยิบออกมาให้ดูได้ใช่ไหมคะ ที่ฉันบอกว่าสงสัยจะเป็นนายสิปนนท์น่ะ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังสงสัยอยู่เลย เพราะว่าคนอย่างปรเมศคงไม่ขู่เอาเงินจากใครหรอกค่ะ แต่ว่าถ้าไม่ใช่ปรเมศก็มีแต่สิปนนท์เท่านั้น จากจดหมายฉบับที่ว่าจำเหตุการณ์เมื่อเดือนมิถุนายนได้ไหม นั่นน่ะค่ะ มีแต่สองคนนี้เท่านั้นที่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" "แล้วเกิดเหตุการณ์ขึ้นหรือ?" "จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้" เภตราตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สมอะไรนัก "ฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้ ถ้าไม่เล่าเดี๋ยวจะนึกว่าเรื่องมันร้ายแรงกว่าที่เป็นจริง ความจริงก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันต่อว่าปรเมศว่าเขาจงใจทำ แต่ความจริงเขาคงไม่ได้ตั้งใจมากกว่า คือว่าที่ชายหาดมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ชายหาดด้านนี้เป็นหาดส่วนตัวของพวกตระกูลของปรเมศ แล้วก็มีถ้ำนี้ด้วย ถ้ำเล็ก ๆ น่ะค่ะ ไม่ใหญ่โตอะไร เมื่อสักปีสองปีมานี่เอง ปรเมศเขาพบโพรงทะลุไปถึงถ้ำที่สองได้ เขาก็เลยทลายหินออกพอที่จะลอดเข้าไปได้ ที่นั่นกลายเป็นที่ ๆ เขาชอบไปเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่ให้ใครไปกวน มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ ทีนี้เดือนมิถุนายนปีก่อนนี้ ฉันมาพักที่บ้านริมหาดเพื่อเป็นแบบวาดรูปให้เขาเหมือนปีนี้แหละค่ะ คืนหนึ่งพอทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว เราแอบลงไปที่ชายหาดกัน คืนนั้นอากาศดีมากค่ะ เราคิดว่าจะไปว่ายน้ำกัน แต่แล้วก็ไม่ได้ว่าย เราเข้าไปในถ้ำแทน แล้วไม่ทันดูเวลา พอจะกลับออกมาปรากฏว่าน้ำทะเลขึ้นจนท่วมปากถ้ำแล้ว เราก็เลยกลับออกมาไม่ได้ ต้องอยู่ที่นั่นจนเช้า" ชนินทร์นั่งฟังด้วยความตั้งใจโดยไม่ขัดจังหวะ "แต่ก็ไม่มีอะไรกันหรอกค่ะ แล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วย เรากลับมาตอนเขากินอาหารเช้ากัน คนที่บ้านนึกว่าเราออกไปว่ายน้ำกันตั้งแต่เช้าตรู่ ที่บ้านเขามียายแม่บ้านอยู่คนหนึ่งท่าทางจะเป็นคนขี้สงสัย แต่แกก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วคนอื่นคงไม่มีใครสงสัย เผอิญฉันไปปากโป้งบอกสิปนนท์เข้าเอง ไม่น่าไว้ใจเขาเลย" "ทำไมคุณถึงเล่าให้เขาฟัง?" "เผอิญกินเหล้าหลายแก้วไปหน่อยค่ะตอนนั้น คือตอนนั้นมันเป็นเรื่องสนุกนะคะ พูดออกไปไม่ได้คิดอะไรมาก พูดเสร็จฉันก็ลืม แต่ว่าสิปนนท์อาจจะไม่ลืม ถ้าหากว่าเขาไปเล่าให้คุณสุชาติฟังละก็ รับรองว่าไม่มีใครหัวเราะออกหรอกค่ะ" แม้จะไม่ค่อยชอบพฤติกรรมและนิสัยของดาราสาวมากนัก แต่ชายหนุ่มก็ยังมีความหวังดีให้ เขาจึงเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึมว่า "คุณยังตั้งใจที่จะแต่งงานกับคุณสุชาติใช่ไหม?" "ขืนปล่อยให้โชคอย่างนี้หลุดมือไปก็แย่ล่ะค่ะ" "เมื่อคุณมาปรึกษาผม ผมแนะนำให้คุณนำจดหมายเหล่านั้นไปให้ตำรวจเพื่อแจ้งความ แต่คุณบอกว่าทำไม่ได้ ผมก็อยากจะแนะนำให้คุณไปเล่าให้คุณสุชาติฟังเสีย ไม่ต้องปิดบังเขา" "คุณไม่รู้จักคุณสุชาติ ถึงได้พูดอย่างนี้" "คุณบอกว่าตอนนี้คุณแน่ใจแล้วว่าสิปนนท์คือคนที่พยายามขู่เอาเงินจากคุณ เท่าที่ฟังคุณเล่ามา ผมเองก็ค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคุณเหมือนกัน ว่าแต่คุณทราบหรือเปล่าว่าเวลานี้เขามาอยู่ที่เมืองนี้แล้ว" เภตราอุทานออกมาด้วยถ้อยคำที่ชายหนุ่มรู้สึกระคายหู แต่ชายหนุ่มทำใจคิดเสียว่าเป็นคำตอบว่าหญิงสาวไม่รู้มาก่อน จึงกล่าวต่อไปว่า "ผมเผอิญไปพบภรรยาของสิปนนท์ที่โรงแรม และเห็นสามีภรรยามาพบกัน ฟังจากที่เขาพูดกัน คิดว่าคงมีเรื่องขัดใจกันมาก่อน แต่ว่านายสิปนนท์อยากจะคืนดีด้วย ในเมื่อตอนนี้เขาไม่มีเงินติดตัว เขาจึงอยากกลับไปพักกับภรรยาที่บ้านริมอ่าว" "ถ้าเขาเข้าตาจนถึงอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ฉันคิดว่าจะแก้ปัญหานี้ได้ไม่ยาก แม้ว่าเมียของเขาจะใจอ่อนกับผัว แต่นายฉัตรสิริอยู่กันคนละฐานะกับน้องสาว ฉันรู้มาจากสิปนนท์ว่าฉัตรสิริเป็นคนหาเลี้ยงน้องสาวมาตลอด แล้วยังต้องให้เขาพึ่งอีกเวลาเขาถังแตก สิปนนท์จะกลับไปหาเมียกับพี่เมียก็ตอนถังแตกเท่านั้น เขาคงไม่กล้าตัดขาดกับสองคนนี้หรอกค่ะ ที่นายฉัตรสิริยังยอมทนกับน้องเขยแบบนี้เพราะน้องสาวของเขารักหมอนี่มากเท่านั้นเอง ฉันว่าจะไปบอกกับสิปนนท์ว่ารู้แล้วว่าเขาเป็นคนเขียนจดหมายขู่เอาเงิน จะยอมเสียค่าปิดปากให้สักสองหมื่น แต่ถ้าไม่ยอมตกลงกันดีดีละก็ ฉันก็จะไปแจ้งความ ถ้าสิปนนท์กำลังถังแตกอย่างที่คุณนินทร์บอกไว้ล่ะก็ เขาต้องยอมแน่ ๆ เลยค่ะ แล้วถ้าต่อไปเข้ายังจะกลับมารีดไถเอาเงินอีก ฉันก็หาทางออกไว้แล้ว ฉันจะบอกคุณสุชาติว่ายอมตกลงแต่งงานกับเขา พอแต่งกันแล้วก็ไม่ต้องวิตกเรื่องสิปนนท์อีก ขืนมาขู่อีกละก็ได้เห็นดีกัน ฉันจะฟ้องคุณสุชาติว่าสิปนนท์รังควาน ให้คุณสุชาติส่งลูกน้องเล่นงานหมอนั่นให้ยับเชียว แล้วถ้าเขาพูดมากเท่าไร คุณสุรชาติก็คงเชื่อเขาน้อยลงเท่านั้น คุณจงคิดว่าวิธีนี้เป็นอย่างไรคะ?" ใบหน้าคมสันของชนินทร์ไม่ได้แสดงออกซึ่งความอิดหนาระอาใจอย่างที่รู้สึกแม้แต่น้อย หากน้ำเสียงจะเย็นชาไปบ้าง แต่คู่สนทนาก็ไม่ทันสังเกตแต่ประการใด "ผมคิดว่าคุณหาทางออกของคุณได้แล้ว คุณเภตรา" ***** เมื่อเห็นสมควรแก่เวลา ธราดลจึงขอตัวกลับที่พัก "งั้นพรุ่งนี้คุณก็มาทานข้าวกลางวันที่นี่อีกสิครับ" ฉัตรสิริเอ่ยชวนอย่างบริสุทธิ์ใจ เขารู้สึกดีใจที่มีคนรู้จักมาสนทนาด้วยอย่างนี้ "ได้หรือครับ?" ธราดลเอ่ยคล้ายกับดีใจเมื่อได้ยินคำชักชวน เจ้าของบ้านรู้สึกแปลก ๆ ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย แต่ก็ยังฉีกยิ้มกว้าง "ก็ถ้าคุณอยากมา" "คุณก็รู้ว่าผมอยากมา" คราวนี้ฉัตรสิริเริ่มทำสีหน้าไม่ถูก จะยิ้มก็ดูเหมือนจะไม่เข้าที แต่จะไม่ยิ้มก็ดูจะไม่เข้าท่า ใบหน้าขาวใสจึงดูเจื่อนไปเล็กน้อย "ถ้าพรุ่งนี้มาก็ชวนเพื่อนมาด้วยกันสิครับ" "ไม่รบกวนหรือครับ" "คุณดลมาเที่ยวกับเพื่อน แต่ผมกลับแยกคุณดลมาอย่างนี้ ผมคงเป็นฝ่ายรบกวนเพื่อนคุณดลมากกว่า" "มันไม่ว่าอะไรหรอกครับ" ธราดลพลั้งปากออกไป แล้วก็เห็นสีหน้าของฉัตรสิริเปลี่ยนไป คาดว่าเจ้าตัวคงรู้แล้วว่าเพื่อนที่เขาพามาด้วยคือใคร "เอ้อ เจ้านินทร์เขาพาน้องสาวมาด้วยน่ะครับ ถึงผมมาอยู่ที่นี่ เขาสองพี่น้องก็ยังสนุกกันเองได้ ยายจีน่าอยู่ในวัยกำลังซนพอดี" "ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ชวนคุณนินทร์กับน้องสาวของเขามาด้วยสิครับ หลาย ๆ คนท่าทางจะสนุก" ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงคนพูดไม่มีเค้าว่าจะสนุกแม้แต่น้อย ฉัตรสิรินึกถึงฝีปากของชนินทร์แล้วก็ให้อ่อนใจ ***** หลังจากที่เดินออกไปส่งธราดลที่หน้าตึก ชายหนุ่มก็เพิ่งสังเกตว่าน้องสาวของตนกลับมาถึงบ้านแล้ว สีหน้าของจิตติกาซีดเซียว ท่าทางอิดโรย "หนิงกลับมาตั้งแต่เมื่อไร?" "สักพักแล้ว เห็นรถจอดที่หน้าตึก รู้ว่าพี่ฉัตรมีแขก หนิงเลยเข้าทางประตูหลังบ้าน" "แขกที่ไหนกัน หนิงก็รู้จักเขา คุณดลไงล่ะ" "หนิงรู้ค่ะว่าเป็นเขา ได้ยินเสียงก็จำได้แล้ว" "แล้วทำไมไม่ออกไปทักทายเขาล่ะ?" "ไม่ล่ะค่ะ หนิงกลัวจะไปร้องไห้ให้เขาเห็นน่ะสิ" "ร้องไห้เรื่องอะไร?" ฉัตรสิริถามน้องสาว หากใจจริงรู้คำตอบล่วงหน้าอยู่แล้ว "ตอนนี้หนิงรู้สึกไม่สบายใจเลยพี่ฉัตร" "หนิงไปพบนายนนท์มาใช่ไหม?" "ค่ะ" จิตติกายอมรับโดยดี "เขาโทรศัพท์มา ให้หนิงออกไปพบเขาในเมือง" "แล้วทำไมหนิงถึงไม่บอกพี่" "เพราะ หนิงไม่อยากให้พี่ฉัตรหัวเสียเรื่องนี้" "แล้วนายนนท์ต้องการอะไร?" เสียงของชายหนุ่มมึนตึง หญิงสาวอึ้งไป ก่อนจะตอบว่า "นนท์เขาไม่มีเงิน เขาอยากจะมาอาศัยอยู่ด้วย" "ก็เรื่องนี้เอง" ฉัตรสิริโพล่งออกมาด้วยความอ่อนใจ "พี่ฉัตรจะว่ายังไง?" "แล้วเขาอยากจะมาเมื่อไรล่ะ?" "เอ้อ เย็นนี้ค่ะ เขาจะมาทานอาหารเย็นด้วย นนท์เขาไม่มีเงินติดตัวเลยค่ะในตอนนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าพอจะหาเงินได้ แต่ว่าเผอิญเกิดเรื่องขลุกขลักขึ้น เลยไม่ได้ นนท์เขา เขา เขาให้หนิงมาบอกพี่ฉัตรว่าเขาขอโทษที่พูดอะไรแรง ๆ ออกไปไม่ทันคิด คนเราเวลาโกรธก็ไม่ค่อยได้คิดกันทั้งนั้น หนิงเองบางทีก็เป็นเหมือนกัน" ถ้าถือว่าคำพูดของจิตติกาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง หญิงสาวก็แสดงได้อ่อนหัดเต็มที น้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่บอกเลยว่าหล่อนรู้สึกอย่างที่พูดออกมา หล่อนหลบตาพี่ชายโดยตลอดจนฉัตรสิริทนไม่ไหว เขาไม่เคยทนเห็นน้องสาวชอกช้ำระกำใจได้เลย ชายหนุ่มจึงเอ่ยตอบอย่างแจ่มใสที่สุดเท่าที่จะปั้นน้ำเสียงออกมาได้ "อย่างนั้นเองหรือ บอกให้เขามาเถอะ แล้วเราจะได้ปรับความเข้าใจกันเสียที แต่พี่คิดว่าเขาควรจะหางานทำให้เป็นเรื่องเป็นราวด้วยนะ" จิตติกาพยักหน้ารับ "ค่ะ นนท์เขาบอกว่าจะพยายามหางานทำให้ได้" ขณะนั้นเอง เด็กรับใช้ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับยอบตัวแล้วรายงาน "คุณหนิงคะ ห้องจัดเสร็จแล้วค่ะ" ฉัตรสิริเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม จิตติกาไม่กล้าสบตากับพี่ชาย "หนิงให้เขาจัดเตรียมห้องไว้ให้นนท์เขาพัก" อีกสิบห้านาทีต่อมา สิปนนท์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านริมอ่าวด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขามีรอยยิ้มแจ่มใสแจกจ่ายให้ทุกคนที่พบเห็น ตลอดเวลาที่จิตติกาแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ ฉัตรสิริต้องพยายามกล้ำกลืนกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากน้องเขยมาตลอด เขาเองไม่เคยบ่นเรื่องที่ต้องหาเลี้ยงน้องสาว เพราะถือเป็นหน้าที่ของพี่ชาย แต่ทำไมเขาจะต้องมารับภาระดูแลน้องเขยที่ไม่ได้เรื่องอย่างนี้อีกคน แต่เพื่อให้จิตติกาสบายใจ เขาจึงพยายามจะไม่ปะทะกับสิปนนท์ตรง ๆ อะไรที่พอจะอะลุ่มอะล่วยกันได้ เขาก็ยอมทั้งนั้น บทบาทของสิปนนท์ในค่ำคืนนี้ก็คือชายหนุ่มที่อาจจะพูดอะไรโดยไม่ทันคิด แต่ว่ารักใคร่และเทิดทูนภรรยาเพียงคนเดียว เมื่อเขารู้ว่าจิตติกาแยกห้องนอนกับเขา เขาก็สะเทือนใจแต่ก็ยอมรับด้วยความอดทน และวางตัวเป็นผู้ร่วมการสนทนาที่ดีตลอดเวลารับประทานอาหารค่ำ นินนะได้รับเชิญให้มาร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน ซึ่งป้าสวาดก็ได้พูดถึงสามีของจิตติกาให้เด็กหนุ่มฟังคร่าว ๆ ขณะที่เขาแว่บเข้าไปในครัว "พูดจ้อเป็นต่อยหอยเลยน่ะ คุณคนนั้นน่ะ ฟังแล้วขนลุก" "เขาอาจจะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมั้งป้า" "อิฉันไม่เคยดูคนผิดหรอกค่ะ คนพรรค์นี้อิฉันเคยเห็นมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคย สมัยที่อิฉันยังอาศัยอยู่กับป้าที่แถวโน้น มีผู้ชายอยู่คนชื่อนายสมชัย รูปหล่อ ผมดำหยักศก ตาเยิ้มปานจะหยด ผู้หญิงติดกันเกรียวกราว เขาก็ก้อร้อก้อติกกับคนโน้นคนนี้ไปทั่ว แต่กลับไปแต่งงานกับสาวคนที่มีสตางค์มากที่สุด น่าสงสารแม่คนนั้น มีผัวผิดคิดจนตัวตาย อย่างโบราณเขาว่า พอผลาญเงินเมียได้หมด ผัวก็หายตัวไปเลยไม่กลับมาอีก ทิ้งเมียให้ต้องรับจ้างซักผ้าเลี้ยงลูกแฝดหาใส่ปากใส่ท้องไปวัน ๆ" นินนะหัวเราะ "งั้นดีอยู่หน่อยที่พี่หนิงยังไม่มีลูกแฝด" "ไม่มีน่ะดีแล้ว" ป้าสวาดว่า นินนะสังเกตว่าในมื้ออาหารนี้ทั้งฉัตรสิริและจิตติกาต่างก็เงียบขรึม มีแต่สิปนนท์เท่านั้นที่พูดคุยอย่างสนุกสนานอยู่คนเดียว แต่ว่ายิ่งได้ยินเขาพูดมากเท่าใด นินนะก็ยิ่งชอบเขาน้อยลงเท่านั้น เด็กหนุ่มนึกเปรียบเทียบชายหนุ่มตรงหน้ากับญาติผู้พี่ของตน ปรเมศอาจจะเป็นคนที่มีมารยาทแย่ที่สุดในโลกก็จริง แต่ว่าเขาไม่ใช่คนปากหวานก้นเปรี้ยว ไม่มีทางที่พี่เมศจะพูดหวาน ๆ กับใคร นอกเสียจากว่าเขาจะรู้สึกอ่อนหวานในอารมณ์ การที่พี่เมศไม่ค่อยมีอารมณ์ชื่นมื่นอย่างนั้น เพราะว่าเขาไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนักในชีวิต น่าสงสารหากว่าเขาหมดประโยชน์สำหรับเภตราแล้ว หญิงสาวคงจะโยนเขาทิ้งอย่างไม่แยแส ก่อนจะไปหาผู้ชายคนใหม่ที่จะอำนวยประโยชน์ให้หล่อนได้แทน ***** "ฉันนึกว่าแกจะหายหัวไปทั้งวันเสียแล้ว รู้ไหมว่าฉันต้องรบกับยายจีน่าไปกี่ยก" ชนินทร์บ่นเป็นหมีกินผึ้ง หลังจากเห็นเพื่อนสนิทเดินยิ้มกริ่มกลับมายังโรงแรมที่พักทันเวลาอาหารเย็นพอดี "ชวนคนอื่นเขามาด้วยแท้ ๆ แต่กลับแยกหนีไปคนเดียว" "ใช่ พรุ่งนี้ห้ามทำแบบนี้อีกนะ" เด็กหญิงท้าวสะเอวแล้วทำเสียงขู่ "ไม่ทำแล้วครับ พรุ่งนี้ไปไหนจะพาไปด้วย" "จะไปไหนอีกล่ะ?" ชนินทร์เอะใจ "แกจำคุณฉัตรได้หรือเปล่า? วันนี้ฉันไปกินข้าวที่บ้านเขามา แล้วพรุ่งนี้เขาก็ชวนไปอีกด้วย" "ข้าวที่นั่นคงจะอร่อยล่ะสิ" ชนินทร์พูดคล้ายประชด ธราดลไม่ใส่ใจคำพูดของเพื่อน นั่งรับประทานอาหารพร้อมกับคุยแหย่เล่นกับเด็กหญิงจีน่าสักพักใหญ่ ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน "นินทร์ ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาแกหน่อย" ธราดลเอ่ยปาก ทำให้เพื่อนสนิทต้องหันไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย "มีอะไรวะ?" "ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี แกเคยเป็นอย่างฉันไหมวะ คือมองคนคนหนึ่งแล้วรู้สึกว่าเขาน่ามอง ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ดูจะถูกใจเราไปเสียหมด" "แกก็เป็นบ่อยไม่ใช่หรือวะ ไอ้อาการแบบนี้น่ะ?" เพื่อนสนิทดักคอ "แต่หนนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา" "อื่อ ใช่ แกเคยบอกกับฉันอย่างนี้เหมือนกันคราวที่เป็นยายป้อม ยายวิจิตรา ยายเจนนิเฟอร์ แล้วก็ใครอีกล่ะ จาระไนไม่หมด ฉันว่าทุกทีแกก็พูดอย่างนี้แหละ" "นินทร์ แต่หนนี้มันไม่เหมือนเดิมจริง ๆ" "ไม่เหมือนตรงไหนวะ บอกมาสิว่าคราวนี้เป็นใคร?" "เขาเป็นผู้ชาย" ชนินทร์ตาเหลือก "หา แกว่ายังไงนะ?" "คือฉันเองก็ไม่รู้ว่าคิดแบบนี้ได้ยังไง ตอนแรกก็ว่าแค่ถูกชะตากันเท่านั้น แต่พอได้พบได้คุยกันก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ" "ใคร? คงไม่ใช่ฉันนะว้อย" ชนินทร์ทำท่าเหมือนจะกระโดดหนี ธราดลกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ก่อนจะเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา "คุณฉัตร" ***** บ่ายวันนั้นอากาศค่อนข้างร้อน แต่ว่ามีลมพัดเย็นเฉื่อยฉิวมาจากทะเล พอให้คลายร้อนไปบ้าง แต่แถวชายหาดไม่มีร่มเงาเลยแม้แต่น้อย เว้นแต่ร่มขนาดใหญ่ที่ปักไว้บริเวณที่ใช้รับประทานอาหาร คุณดารณีรู้สึกหงุดหงิดเนื่องจากอากาศที่ร้อน อีกทั้งหญิงสูงวัยก็เป็นคนที่ร่างกายอวบอ้วนจึงยิ่งร้อนมากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า แต่เพื่อรักษามารยาททำให้คุณดารณีต้องนั่งอยู่บริเวณที่รับประทานอาหาร หากไม่ยอมขยับลุกไปจากเงาของร่มกันแดดแม้แต่น้อย สาเหตุที่คุณดารณีหงุดหงิดนอกจากอากาศที่ร้อนก็คงจะเป็นคนที่อยู่รอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นปรเมศที่ชอบทำกริยาหยาบคายจนดูขัดหูขัดตา ส่วนเภตราก็เปรี้ยวปรูดปราด ส่วนฉัตรสิริกับน้องสาวนั้นก็พูดได้เต็มปากว่าทั้งสองมาฉกชิงทรัพย์สมบัติที่หล่อนควรจะได้เอาไปแท้ ๆ เจ้านินนะก็ทำอะไรไม่เป็นที่พอใจหล่อนสักอย่าง แถมท่าทีที่หวงปรเมศจนคนอื่นต่างดูกันออกทั้งนั้น เรียกว่าวิปริตก็คงจะได้ ไม่น่าให้ปรเมศกับนินนะสนิทกันได้ถึงขนาดนี้ พูดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดแขวะชายหนุ่มที่ชื่อธราดลนั้นไม่ได้ รายนั้นก็เหมือนกัน ตอนแรกหล่อนคิดว่าจะมาติดใจจิตติกาเสียอีก แต่ดูไปดูมาดูเหมือนจะตามฉัตรสิริเสียมากกว่า ยังไม่รวมนายสิปนนท์อะไรนั่นอีก เอะอะโวยวาย คุยใหญ่โตจนหล่อนนึกรำคาญ แต่ที่ดีหน่อยก็คงจะเป็นชายหนุ่มที่ชื่อ ชนินทร์อะไรนั่น เพราะมีท่าทีไม่ใส่ใจอะไรกับใครที่ไหนทั้งนั้น แถมยังดูจะเขม่นฉัตรสิริหน่อย ๆ ทำให้หล่อนพอจะชอบขึ้นมาได้บ้าง แต่ที่ยังยกเว้นคงจะเป็นเพราะเด็กผู้หญิงที่ชื่อจีน่าที่ค่อนข้างจะแก่แดดจนคนแก่พาลจะเป็นลมเวลาฟังอีกฝ่ายพูดขึ้นมา ขณะรับประทานอาหาร เภตราคุยกระหนุงกระหนิงกับสิปนนท์ได้ไม่เท่าไร ก็ถูกแทรกการสนทนาจากคุณทิพย์วัลย์ จนหญิงสาวต้องเลี่ยงไปคุยกับธราดลแทน แต่ถึงกระนั้นคุณทิพย์วัลย์ก็ยังละจากสิปนนท์มาคุยกับธราดลอีก "อ้าว น้านึกว่าคุณดลเป็นเพื่อนกับพ่อฉัตรเสียอีก ที่แท้แม่เภตรารู้จักคุณดลมาก่อนแล้วรึ?" เภตราหัวเราะเสียงแหลม "เพื่อนเก่าน่ะค่ะ ว่าแต่ที่น่าแปลกก็คือทำไมคุณดลถึงได้สนิทกับคุณฉัตรได้ล่ะคะ" "รู้จักกันโดยบังเอิญน่ะครับ เจอกันครั้งแรกในลิฟต์ที่ตึกของเจ้านินทร์เขา" ธราดลอธิบาย "แล้วหลังจากนั้นก็เจอกันอีกหลายครั้ง ตอนที่เขาไปติดต่อกับทนายสุรศักดิ์ เผอิญช่วงนั้นผมกำลังตกแต่งสำนักงานในตึกนั้นเหมือนกัน" "แหม แต่ท่าทางสนิทเหมือนคบหากันมานานมากแล้วนะคะ" เภตราจ้องหน้าชายหนุ่มเหมือนอย่างจะมองให้ทะลุ เพราะเท่าที่สังเกตท่าทีของธราดลกับฉัตรสิริแล้ว หญิงสาวก็พอจะสรุปความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ไว้ในใจได้แล้ว แต่หล่อนก็พูดออกมาตรง ๆ ไม่ได้ เพราะยังรักษาหน้าคนรักเดิมอยู่ อันที่จริงเรื่องแบบนี้ในวงการมายาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่เธอค่อนข้างจะเสียดายธราดลอยู่ไม่น้อยทีเดียว "ก็คุยถูกคอนี่ครับ" "คงจะถูกใจด้วยสิคะ" คุณทิพย์วัลย์เสริม แม้ว่าหล่อนจะมีอายุมากแล้ว แต่เรื่องทำนองนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมองไม่ออก อีกทั้งในบ้านก็มีปรเมศกับนินนะให้เห็นอยู่ตำตา ชนินทร์เหลือบตามองเพื่อนสนิทอย่างปลงอนิจจัง ดูท่าทางจะกู้ชื่อเสียงของธราดลกลับมายากเสียแล้ว เพราะไม่ว่าใครต่อใครต่างก็ดูออกทั้งนั้นว่าเพื่อนของเขาคิดอย่างไรกับฉัตรสิริ ทั้งเขาและธราดลไม่เพียงเป็นเพื่อนสนิท แต่ทั้งสองครอบครัวก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี หลังจากที่บิดาและมารดาของเขาถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบิน บิดาและมารดาของธราดลก็เหมือนจะเป็นพ่อแม่คนที่สองของเขาและน้องสาว เขารู้ดีว่าครอบครัวของธราดลหวังในตัวบุตรชายคนเดียวนี้มาก เขาจึงไม่อาจปล่อยให้ธราดลหลงเดินไปในทางที่ผิดเช่นนี้ได้ ตอนนี้ยังเป็นเพียงการเริ่มต้น ธราดลมักจะหลงรักใครต่อใครง่าย ๆ อย่างนี้เสมอ ถ้าเขารีบตัดไฟแต่ต้นลมก็น่าจะช่วยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วย ธราดลก็คงจะหายเพ้อไปเอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวของฉัตรสิริคิดอย่างไรกับเพื่อนของตน สายตาของชายหนุ่มลอบสังเกตชายร่างเล็กผิวซีดขาวที่นั่งคุยเล่นกับเด็กหญิงจีน่าอยู่แถวโต๊ะอาหารแยกห่างออกไป ดูเหมือนฉัตรสิริจะเข้ากับน้องสาวของเขาได้ดี เพราะยายจีน่าไม่เข้ามาวุ่นวายกับธราดลเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ด้วยอคติเขาก็อดจะนึกเขม่นอีกฝ่ายไม่ได้ ฉัตรสิริเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเมื่อรู้สึกว่ามีสายตาใครบางคนจับตามองตนเองอยู่ แล้วชายหนุ่มก็เห็นธราดลโบกมือมาทางเขา ฉัตรสิริได้แต่ยิ้มตอบ ก่อนจะหุบยิ้มทันควันเมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้นมีสีหน้าคล้ายจะเยาะ เขาไม่รู้ว่าทำไมชนินทร์ถึงไม่ชอบเขา ที่จริงก็นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว สงสัยว่าศรศิลป์จะไม่กินกันกระมัง ชนินทร์เลื่อนสายตาเสไปสำรวจคนอื่นแทน ทั้งนินนะและจิตติกาหน้าตาดูไม่มีความสุขด้วยกันทั้งคู่ ชนินทร์สังเกตเห็นสายตาของนินนะยามมองสีหน้าหม่นหมองของปรเมศ สายตานั้นไม่ได้ซ่อนเร้นปิดบังสิ่งใดไว้ มีแต่ความเห็นใจอยู่เต็มเปี่ยม เพราะเภตราไม่ได้ชายตามองปรเมศแม้แต่ครั้งเดียว เอาแต่สนทนากับเขา ธราดล และสิปนนท์ ส่วนจิตติกาก็ทอดสายตามองไปที่ทะเลเสียเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งเด็กหญิงจีน่าเริ่มดึงแขนหญิงสาวให้ออกไปเดินที่ชายหาดด้วยกัน "พี่ไม่ค่อยสบายจ้ะจีน่า ชวนคนอื่นเถอะ" หญิงสาวเอ่ยปากกับเด็กหญิงอย่างเกรงใจ ฉัตรสิริที่รู้สึกเบื่อ ๆ อยู่แล้วจึงรับอาสาแทน "งั้นไปกับพี่ก็ได้" ธราดลเห็นดังนั้นจึงรีบผุดลุกขึ้นเช่นกัน "ผมไปด้วยสิ" "อะไรกันคะ กำลังคุยกันสนุก ๆ เชียว" เภตราค้อนอีกฝ่ายตาคว่ำ "คุณก็มีคนคุยด้วยตั้งหลายคนแล้ว ผมกินอิ่มแล้วขืนนั่งอยู่เฉย ๆ จะเดินไม่ไหวเอา" ธราดลบอกเหตุผล ก่อนจะเอ่ยปากชวนคนอื่นตามมารยาท "จะมีใครไปด้วยกันไหมครับ?" ชนินทร์ลุกขึ้นยืนช้า ๆ เภตราเห็นอย่างนั้นก็นึกอยากจะไปกับชายหนุ่มทั้งสอง แต่เห็นแสงแดดยามบ่ายที่แรงขนาดนั้นก็ให้ท้อใจ "ถ้าแดดร่มกว่านี้จะไปด้วยหรอกค่ะ ไว้รอตอนเย็น ๆ แล้วไปเดินกันอีกรอบสิคะ ฉันจะได้ไปด้วย" ***** แดดในยามบ่ายนั้นร้อนแรงกว่าที่คิดไว้ คนทั้งสี่หลังจากเดินเลียบชายหาดมาได้สักพัก ถึงกับเหงื่อซึม "ร้อนจังค่ะ" เด็กหญิงจีน่าบ่นพร้อมแลบลิ้นออกมายาว "จะเป็นเนื้อแดดเดียวอยู่แล้ว" "ไปทางโน้นไหม มีเพิงขายเครื่องดื่มอยู่ที่นั่น" ฉัตรสิริชี้ให้เด็กหญิงดูเพิงขายของที่อยู่ตรงหน้าลิบ ๆ เด็กหญิงจีน่าพยักหน้า ก่อนจะจูงมือพี่ดลของตนให้วิ่งนำไปกันก่อน ชนินทร์มองร่างของน้องสาวและเพื่อนสนิทที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ก่อนจะหันไปคุยกับฉัตรสิริด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "ไม่ได้เจอกันพักเดียว ดูเหมือนคุณจะเปลี่ยนไปเยอะนี่นะ" "ผมไม่ได้เปลี่ยนอะไรสักหน่อย" ฉัตรสิริตอบด้วยท่าทีระแวดระวัง เพราะไม่รู้ว่าจะโดนอีกฝ่ายแขวะเรื่องอะไรอีกบ้าง "ก็เป็นยาจกในเมืองหลวงไม่ทันไร ก็กลายเป็นเศรษฐีต่างจังหวัดเสียแล้วสิ แบบนี้เรียกว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองก็ได้มั้ง" "ผมไม่เหมือนคุณหรอก ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นเศรษฐีตลอด" "ไม่เท่าเจ้าดลมันหรอก" สีหน้าของฉัตรสิริเต็มไปด้วยความสงสัยที่อยู่ดีดีอีกฝ่ายก็พูดถึงบุคคลที่สามขึ้นมา "คุณว่าอะไรนะ?" "ผมกำลังจะบอกว่า ผมน่ะมีแต่เปลือก หนี้สินท่วมหัวท่วมหู ถ้ารวยจริง ๆ แบบคาบช้อนเงินช้อนทองก็ต้องนายดลเขา นายดลน่ะลูกคนเดียวของพ่อแม่ ท่านก็หวังจะให้มันประสบกับความสำเร็จในชีวิต ทั้งหน้าที่การงาน และก็เรื่องครอบครัว" "แล้วคุณมาบอกผมทำไม?" "นึกว่าคุณอยากรู้" "ผมคบกับใครไม่เคยคิดอยากจะรู้หรอกว่าเขามีเงินมากน้อยขนาดไหน ทำไมคุณถึงได้คิดว่าคนอื่นเขาจะคิดเหมือนคุณนักนะ" สายตาคมกร้าวของชายหนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง "คุณพูดเหมือนคุณจริงใจมากเลยนะนี่ จะบอกไว้ก่อนว่านายดลเขาเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมรู้ว่ามันเป็นคนดี ขี้สงสารคนอื่น แบบนี้จะทำให้โดนหลอกง่าย ๆ แถมนิสัยเสียอีกอย่างหนึ่งของมันคือหลงรักใครเขาง่าย ๆ เสียด้วย" "ผมไม่รู้ว่าคุณมีจุดประสงค์อะไรที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้าคิดว่าเขาเป็นเพื่อนคุณ ก็ควรจะคิดว่าเขาเป็นเพื่อนผมเหมือนกัน" ฉัตรสิริทำตาวาวใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ "ถ้าคิดว่าเป็นเพื่อนก็ดีแล้ว ผมไม่อยากให้เพื่อนผมมันหลงเดินทางผิด" "นี่คุณคิดอะไรอยู่กันแน่?" ฉัตรสิริเริ่มจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ "ต้องถามตัวคุณเองมากกว่าว่าคุณอะไรอยู่ในใจแน่ รู้ไหมว่าที่คุณทำน่ะ มันไม่ได้เรียกว่ามิตรภาพหรอก แต่คุณกำลังทำให้เจ้าดลมันหลงอยู่" "คุณชนินทร์" ฉัตรสิริอุทานอย่างโกรธ ๆ "คุณพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า?" "รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ แล้วรู้ไหมว่าคนอื่นเขามองคุณกับนายดลยังไง น่าจะอายบ้าง" "คุณสิน่าอาย คิดแต่เรื่องสกปรก" ฉัตรสิริรู้สึกโกรธจนไม่อยากมองหน้าอีกฝ่าย คิดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างไรกันนะ คนประเภทนี้มันน่าฆ่าให้ตายนัก "ถ้าผมคิดสกปรก แล้วก็อยากให้คุณมองดูบ้างว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไรกัน ถ้าคุณมองนายปรเมศกับนินนะอย่างไร รับรองว่าคนอื่นก็มองคุณกับเจ้าดลอย่างนั้นเหมือนกัน" ฉัตรสิริอ้าปากคิดจะโต้กลับ แต่ธราดลก็ส่งเสียงเรียกมาแต่ไกล "วู้ สองคนนั้นจะเป็นหมูย่างแดดเดียวหรือไง รีบเข้ามาหลบแดดกันก่อนเร้ว" "เร็วเถอะค่ะ ที่นี่มีน้ำมะพร้าวเย็นชื่นใจเชียวค่ะ" จีน่ากวักมือเรียกอยู่หยอย ๆ ฉัตรสิริเลยถือโอกาสจ้ำเดินอ้าว ๆ ไม่เหลียวหลังกลับไปมองชายหนุ่มที่เดินตามมาข้างหลังอีกเลย เขาไม่เคยรู้สึกเกลียดใครแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ หมอนี่คงคิดได้แต่เรื่องอกุศลทำนองนี้กระมัง ธราดลยื่นแก้วน้ำมะพร้าวส่งให้ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาถึง "โห คุณฉัตรหน้าแดงก่ำเลยนี่ สงสัยจะโดนแดดมากไปแล้วมั้ง เดี๋ยวได้แสบผิวกันพอดี ทาครีมกันแดดเพิ่มสักหน่อยดีกว่ามั้งครับ" พูดจบชายหนุ่มก็ล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงที่มีขวดโลชั่นทากันแดดขนาดพกพาออกมาเทครีมใส่อุ้งมือ แล้วทำท่าจะทาให้อีกฝ่าย แต่ฉัตรสิริหลบวูบ "ผมทาเองได้" ชายหนุ่มพูดพร้อมกับทำคอแข็งเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหัวเราะหึหึในลำคอ "บริการมากเกินไปแล้วนะว้อยไอ้ดล เพื่อนฝูงคนนี้ก็ตากแดดตัวดำเหมือนกัน ทาให้มั่งสิวะ" ชนินทร์ยื่นอวัยวะที่ใช้เดินไปข้างหน้าอีกฝ่าย "พี่นินทร์ถอยไป" เด็กหญิงวิ่งมาผลักขาพี่ชายตัวเองเซไปอีกทาง แล้วยื่นแขนให้ชายหนุ่ม "พี่ดลทาให้น้องจีน่าดีกว่าค่ะ" ธราดลจึงค่อย ๆ ป้ายครีมใส่แขนเด็กหญิง "น้องจีน่าก็ตัวแดงเลยนี่นา ระวังนะ เดี๋ยวไม่กี่วันผิวก็ได้ลอกเป็นงูเลย" "ขนาดนั้นเลยหรือคะ จีน่าไม่อยากเป็นงูค่ะ จีน่าอยากเป็นนางสาวไทย" ธราดลหัวเราะก๊าก ก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยแก้มเด็กหญิงเบา ๆ "น้องจีน่าสวยขนาดนี้เป็นได้อยู่แล้วครับ เป็นนางงามจักรวาลยังได้เลย" เด็กหญิงจีน่าหัวเราะชอบใจพร้อมกับโอบรอบคอธราดล "พี่ดลพูดถูกใจจังค่ะ" ชนินทร์มองภาพน้องสาวตัวเองนัวเนียกับธราดล แล้วก็หันมาทางฉัตรสิริที่กำลังทาครีมกันแดดอยู่ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ อีกฝ่าย แล้วเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ "ผิวคุณท่าทางคงจะลอกแน่ ๆ" ฉัตรสิริชะงัก มองหน้าอีกฝ่ายอย่างระวัง "ผมกำลังคิดว่า ถ้าคนเราลอกผิวออกมาแล้วสามารถเห็นว่าข้างในอีกฝ่ายเป็นอย่างไรก็คงจะดีนะ จะคิดอะไร จะทำอะไร จะได้รู้กันไปเลย" "ผมคิดอะไร ผมก็จะพูดและทำอย่างนั้น" ฉัตรสิริพูดเสียงหนักแต่ก็เบาพอให้ได้ยินกันสองคน "และรับรองว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดแน่ ๆ" "จะเชื่อได้หรือ?" น้ำเสียงนั้นคล้ายจะเย้ยอยู่ในที "ท่าทางคุณก็ไม่มีเสน่ห์กับผู้หญิงอยู่แล้ว ถ้าจะทำให้ผู้ชายสักคนถูกใจคุณขึ้นมา ผมว่าคุณจะดีใจมากกว่ามั้ง" คำพูดที่ได้ฟังนั้น เกินกว่าที่จะทนได้อีกต่อไป ฉัตรสิริบีบขวดโลชั่นกันแดดที่ถืออยู่ในมืออย่างแรง เนื้อครีมเหลวพุ่งใส่หน้าคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างจงใจ "เฮ้ย!" ชนินทร์ร้องลั่น "อะไรกันวะ?" ธราดลร้องถาม ฉัตรสิริตอบโดยปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างที่สุด "คุณชนินทร์เขาอยากจะทาครีมกันแดดบ้างน่ะครับ เพราะเขาคิดว่าใบหน้าเป็นส่วนที่บอบบางมาก ควรจะรักษาไว้ให้ดี ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดีควรจะรักษาความสะอาดของปากด้วยนะครับ อย่าให้มันสร้างความลำบากกับคนอื่นเขา" ธราดลฟังแล้วก็ต้องเกาศีรษะแกรก เพราะไม่รู้ว่าฉัตรสิริหมายถึงอะไร แต่ก็คงไม่พ้นเพื่อนของเขานั่นแหละ เพราะดูเหมือนทั้งสองคนมีท่าทางจะฮึ่มฮั่มใส่กันอยู่กลาย ๆ ชายหนุ่มเลยเอ่ยปากเสนอ "เราน่าจะกลับกันได้แล้วมั้ง" "ร้อนออกอย่างนี้ จะให้เดินกลับอีกหรือคะ" เด็กหญิงจีน่าโวยวาย "แต่เราจะอยู่ที่นี่จนถึงเย็นก็ไม่ได้นะครับ" ธราดลพูดชี้แจง ก่อนจะเหลือบไปเห็นผ้าบาติกแขวนเรียงรายอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านค้า "เอาผ้านี่คลุมหัวกลับดีไหมจีน่า?" ธราดลออกความเห็น "ดีค่ะดี พี่ดลซื้อให้น้องจีน่านะคะ ลายสวย แถมสีก็สวยจังเลยค่ะ" "จะได้เหมาะกับคนสวย ๆ อย่างจีน่าไงครับ" ชายหนุ่มทำเสียงอ่อนหวาน เด็กหญิงจีน่าหัวเราะชอบใจ ก่อนจะวิ่งไปยังแผงผ้าบาติก "พี่ดลขา ผืนไหนสวยกว่ากัน" เด็กหญิงชูผ้าบาติกหลากสีสันให้ชายหนุ่มช่วยเลือก "สวยทุกผืนแหละน่า" ธราดลเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปทางฉัตรสิริ "ไม่ซื้อสักผืนหรือครับ?" ฉัตรสิริส่ายศีรษะ "ไม่ล่ะครับ ผมคงไม่กล้าใช้ ถ้าซื้อไปฝากยายหนิงก็ว่าไปอย่าง แต่เราคงจะยังอยู่แถวนี้กันอีกนาน ไว้เดี๋ยวผมพายายหนิงมาเลือกซื้อเองดีกว่า" จนกระทั่งเด็กหญิงเลือกผ้าสีสดใสได้แล้ว ธราดลจึงเดินไปจ่ายเงิน ไม่ทันเห็นว่าชนินทร์ก็เลือกหยิบผ้าบาติกสีฟ้าสดใสจากกองขึ้นมาผืนหนึ่ง ตอนแรกฉัตรสิรินึกว่าอีกฝ่ายจะซื้อไปฝากใครที่ไหน หากเมื่อเดินออกมาจากร้าน ชนินทร์ก็ครอบผ้าบาติกลายดอกสีฟ้าสดลงบนศีรษะอีกฝ่ายให้บังแดด ตอนแรกเขาคิดจะขยับตัวหนี แต่อีกฝ่ายพูดดักคอไว้ก่อน "ขืนคุณตากแดดหัวแดงกลับไปอีกรอบ มีหวังได้เป็นลมแถวนี้แน่ แต่ถ้าอยากจะให้มีคนช่วยอุ้มกลับก็เป็นอีกอย่าง" ฉัตรสิริตวัดสายตามองหน้าอีกฝ่ายแล้วรวบชายผ้าไว้แน่น ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา "ขอบคุณ" "ไม่เป็นไร อะไรที่พอจะทำไม่ให้เพื่อนลำบากได้ ผมก็อยากจะทำ อีกทั้งจะได้ตอบแทนที่คุณอุตส่าห์ช่วยทาครีมกันแดดให้ผมด้วย" ฉัตรสิริสาวเท้าเดินพยายามไม่ให้ใกล้กับธราดลมากเกินไป และพยายามจะเดินให้ห่างจากชนินทร์ให้มากที่สุด ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดกับสภาพของตนในตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง ***** กระทั่งทั้งสี่คนเดินกลับมา วงสนทนาที่ชายหาดก็ยังไม่หายไปไหน คุณดารณียังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้เงาของร่มเช่นเดิม คุณทิพย์วัลย์ยังคงจ้ออยู่กับสิปนนท์ ส่วนจิตติกาก็ยังนั่งเหม่อมองทะเลอยู่เช่นเดิม แต่เภตราและปรเมศไม่อยู่ที่นั่นแล้ว "ไปเดินกันถึงไหนล่ะคะ" คุณทิพย์วัลย์ตะโกนทักกลุ่มคนที่เพิ่งเดินเข้ามาแข่งกับเสียงคลื่นในทะเล "แถวหาดที่เขามีเพิงขายของให้นักท่องเที่ยวครับ เลยได้ผ้าคลุมมาด้วย ไม่งั้นคงเดินกลับไม่ไหว แดดแรงจริง ๆ" คุณทิพย์วัลย์มองสภาพเมื่อยล้าของคนทั้งสี่แล้วหัวเราะคิกคัก "แหม ใครเขาไปเดินกันตอนบ่ายร้อนเปรี้ยงแบบนี้กันละคะ แต่ผ้าสีสวยจังเลยนะพ่อฉัตร" ฉัตรสิริยิ้มรับคำชมอย่างเนือย ๆ ก่อนจะเดินห่างออกมาจากกลุ่มคน พอเห็นปลอดคนดีแล้วชายหนุ่มก็ดึงผ้าบาติกผืนใหญ่ออกจากศีรษะส่งให้ชนินทร์ "คุณเอาของคุณคืนไป ผมไม่อยากได้" "แล้วจะให้ผมเอาไปทำอะไรกันล่ะคุณ ไว้ทำอย่างนี้หรือไง?" ชนินทร์พูดแล้วยกชายผ้าขึ้นจดปลายจมูก เมื่อเห็นกริยาของอีกฝ่าย ฉัตรสิริถึงกับหน้าแดงด้วยความโมโห อันที่จริงใบหน้าซีดขาวของเขานั้นก็แดงก่ำเพราะฤทธิ์แห่งความร้อนของอากาศอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเลือดในตัวของเขาเดือดพล่าน เขากระชากผ้าผืนใหญ่ออกจากมืออีกฝ่าย แล้วโพล่งใส่หน้าอีกฝ่าย "คุณนี่แย่จริง ๆ" ชนินทร์หัวเราะด้วยความขบขัน แววตาระยับเมื่อเห็นความโกรธแล่นเป็นริ้วบนใบหน้าอีกฝ่าย "คุณคิดว่าผมจะทำอะไรกับมันหรือไง ผมไม่ใช่เจ้าดลนะ ถ้าคุณไม่เก็บผ้าผืนนี้ผมก็เอาไปสั่งขี้มูกแล้ว" ***** จิตติกากำลังมีความทุกข์เพราะนัยน์ตาสว่างขึ้นมาแล้ว หล่อนไม่รู้ว่าเมื่อก่อนนั้นได้หลงใหลไปกับหน้าตาและน้ำคำของผู้เป็นสามีได้อย่างไรกัน หญิงสาวล๊อคประตูห้องนอน พลางนึกถึงสิปนนท์และห้องพักที่จัดให้เขานอน อดนึกไม่ได้ว่าคืนนี้สิปนนท์จะพยายามเข้ามาหาหล่อนไหม จิตติกาเหม่อมองผ่านหน้าต่างในยามค่ำคืน หญิงสาวมองเห็นน้ำทะเลหนุนเนื่องขึ้นมาที่ชายหาด กลืนหาดไปทีละน้อยอย่างเชื่องช้า โขดหินที่มองเห็นอยู่ในตอนหัวค่ำกลืนหายไปในกระแสน้ำแล้ว เห็นแต่คลื่นน้อย ๆ ซัดสาดอยู่ไหว ๆ จิตติกายืนเหม่ออยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งตัดสินใจเข้านอน ในห้องชั้นล่างมีนาฬิกาอยู่เรือนหนึ่ง เป็นนาฬิกาเรือนใหญ่แบบโบราณที่เดินอย่างแผ่วเบา แต่ย่ำเสียงกังวานบอกเวลาเมื่อครบชั่วโมง มันอยู่ในห้องโถงแต่เสียงตีของมันยังดังแว่วไปถึงชั้นบน เมื่อกำลังจะล้มตัวลงนอน จิตติกาได้ยินเสียงนาฬิกาตีหนึ่งที แล้วหญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงพื้นไม้กระดานลั่นเอี้ยดอ้าดดังมาจากห้องที่หล่อนเตรียมไว้ให้สิปนนท์ แปลว่าใครคนหนึ่งก้าวออกจากห้องนอนนั้น จิตติกาผุดขึ้นยืน นิ่งเงียบแทบไม่หายใจ หญิงสาวคิดว่าสิปนนท์อาจจะมาเคาะเรียกหล่อนที่หน้าห้อง แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น แล้วหล่อนก็ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่ง เป็นเสียงจากห้องโถงข้างล่าง จิตติกาบิดลูกบิดประตูแล้วเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านทางเดินแคบ ๆ ที่มีทางทะลุไปถึงอีกฟากหนึ่งของบ้านอีกหลัง แต่ว่าประตูที่เปิดถึงกันนั้นใส่กลอนแน่นหนา บ้านนี้มีประตูแบบนี้อยู่สองบาน อยู่ชั้นบนและชั้นล่างอย่างละประตู และปิดในลักษณะเดียวกันหมดคือ ใส่กลอนบนและกลอนล่างทางซีกนี้ ส่วนอีกซีกหนึ่งก็มีลูกบิดและใส่กุญแจเอาไว้ หญิงสาวเดินมาจนถึงหัวบันได แต่ก่อนจะก้าวลงไป ก็ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง ตอนนี้จิตติการู้แล้วว่าเป็นเสียงอะไร เสียงถอดกลอนประตูที่เปิดถึงกันระหว่างสองบ้านนั่นเอง แต่ไม่ใช่บานที่อยู่ชั้นบน เป็นประตูบานที่เปิดทะลุระหว่างชั้นล่าง ใครคนหนึ่งกำลังถอนสลักกลอนอยู่ เสียงกริ๊กเบา ๆ ดังตามมา แสดงว่ามีใครบางคนหมุนลูกบิดไขกุญแจทางประตูอีกด้านหนึ่งของบ้าน ถึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตู แต่หญิงสาวก็รู้ว่ามีใครคนหนึ่งทางบ้านซีกโน้นเปิดประตูเข้ามาแล้ว คนที่อยู่ทางนี้คือสิปนนท์ เขาถอดกลอนออกเพื่อให้อีกคนหนึ่งเข้ามาได้นั่นเอง มือที่ยึดปุ่มหัวบันไดไว้สั่นสะท้าน ร่างของจิตติกาทรุดลง รูดลงจนติดลูกกรง หล่อนซุกกายอยู่ตรงนั้น ใช้ลูกกรงบันไดเป็นเครื่องกำบัง แต่ในขณะเดียวกันหญิงสาวสามารถมองลอดออกไปเห็นเหตุการณ์ข้างล่างได้ โดยที่คนข้างล่างไม่อาจมองขึ้นมาเห็นได้ แสงไฟสว่างวาบเป็นลำยาว ที่แท้เป็นแสงจากไฟฉายนั่นเอง มันส่องกระทบบานประตูระหว่างบ้านทั้งสอง ก่อนจะตกกระทบมือขาวผ่องที่เคลือบปลายนิ้วด้วยสีแดงเข้มเหมือนเลือด มือที่เห็นทำให้จิตติการู้ทันทีว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นใครไม่ได้นอกจากดาราสาวเภตรา หล่อนเล็ดลอดออกมาจากอีกซีกหนึ่งของบ้านเพื่อมาพบกับสิปนนท์ บัดนี้คนทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันตรงทางเดินยาวระหว่างห้องต่าง ๆ กระซิบกระซาบกันแผ่วเบา แสงจากไฟฉายส่องเป็นวงกลมจับพื้นห้อง แล้วเคลื่อนไหววูบวาบ เคลื่อนไปทางโน้นทางนี้เหมือนส่องหาอะไรอยู่ ที่ผนังห้องมีตาขอแขวนเสื้อคลุมกันฝนเก่า ๆ ของจิตติกาและฉัตรสิริที่หอบเอามาจากบ้านเดิม เพราะทนายสุรศักดิ์เตือนไว้ก่อนแล้วว่าบริเวณนี้มักจะมีฝนนอกฤดูหลงเข้ามาบ่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีร่มกันฝนแขวนรวมอยู่ด้วย ไฟฉายในมือของสิปนนท์เบนขึ้นจับข้าวของเหล่านั้น แล้วมือขวาของเขาก็เอื้อมขึ้นไปปลดเสื้อคลุมกันฝนหนึ่งในสองตัวนั้นลงมา พร้อมกับสิ่งหนึ่งที่เบาหวิวปลิวร่วงติดเสื้อลงมาด้วย ผ้าผืนนั้นเป็นผ้าบาติกสีฟ้าสดใส ซึ่งจิตติกาจำได้ว่าพี่ชายของตนเพิ่งจะได้มาเมื่อวันนี้นี่เอง แต่ดูเหมือนฉัตรสิริจะไม่ค่อยชอบมันเท่าไรนัก เพราะเมื่อมาถึงบ้าน ชายหนุ่มก็แขวนมันไว้กับตาขออย่างไม่ใยดี จิตติกาได้ยินเสียงแกรกกรากเบา ๆ เมื่อเภตราสวมเสื้อฝนของฉัตรสิริเข้ากับตัว เพราะเภตราเป็นหญิงร่างสูง และฉัตรสิริมีรูปร่างไม่ใหญ่โตนัก เสื้อฝนตัวนั้นจึงคลุมบนร่างของหญิงสาวได้พอดี ลำแสงจากไฟฉายส่องวูบวาบไปที่พื้น กระทบผ้าบาติกสีสดใสที่หล่นอยู่ มือของเภตราคว้าจับไปที่ผ้าคลุมนั้น แล้วลำไฟฉายก็ตวัดขึ้นตามเดิม ส่องกราดไปตามทางเดินในห้องโถง ร่างทั้งสองออกเดินคู่กันไป เภตรากำลังตวัดผ้าบาติกขึ้นคลุมศีรษะ หญิงสาวกระซิบพร้อมกับมีสำเนียงขบขันเจืออยู่ "ทีนี้ก็ปลอดภัยละ" เสียงสิปนนท์ตอบกลับไปว่า "ระวังไว้ก่อนละก็ดี" ทั้งสองเดินไปตามทางเดิน จนกระทั่งถึงประตูห้องทำงาน ก่อนจะก้าวเข้าไปแล้วปิดประตูเข้าที่ ***** ยามเช้าของธราดลมาถึงพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ในห้องพักของโรงแรม ซึ่งชายหนุ่มจำได้ว่าตนเองไม่ได้บอกให้พนักงานโรงแรมโทรขึ้นมาปลุกในตอนเช้าแน่นอน แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงจากปลายสายก็ทำให้หายง่วงได้ทันที "คุณดลครับ" เสียงนั้นคล้ายจะตื่นเต้นมากทีเดียว "มีอะไรหรือครับคุณฉัตร" เสียงของฉัตรสิริคล้ายกับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว "เกิดเรื่องแล้วครับ" "เรื่องอะไรหรือ?" "เรื่องร้ายแรงมากครับ เกิดอุบัติเหตุขึ้น" "ใครประสบอุบัติเหตุ?" ธราดลรู้สึกตกใจขึ้นมาบ้าง "เภตราครับ " เสียงจากปลายสายชะงักไปช่วงหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ "คุณเภตราเสียชีวิตแล้ว" คราวนี้ธราดลระงับความตระหนกไม่อยู่ "เพราะอะไร เกิดจากอะไร?" "เรายังไม่ทราบแน่ชัดเลยครับ ลูกจ้างทำงานของบ้านซีกโน้นมาถึงที่บ้านตอนแปดโมงเช้า แล้วไม่เห็นคุณเภตราลงมากินข้าวเช้า เลยคิดว่าคุณเภตราจะออกไปว่ายน้ำเล่น ป้าสมฤดีเลยเดินออกไปดูว่าจะกลับกันมาหรือยัง แต่ก็มองไม่เห็น เลยเดินลงบันไดไปอีก ก็เลยเห็นคุณเภตรานอนอยู่ที่หาดตรงสุดบันไดขั้นสุดท้ายพอดี คุณดลคงพอจะนึกออกนะครับว่าบันไดช่วงนั้นชันมาก ป้าสมฤดีเห็นคุณเภตรานอนนิ่งอยู่ก็นึกว่าตกบันไดลงไปบาดเจ็บ เลยรีบลงไปดู ก็พบว่าคุณเภตราเสียชีวิตแล้ว" ธราดลนึกภาพบันไดช่วงสุดท้ายที่ตัดลงสู่หาดได้ราง ๆ มันหักมุมลงจากบันไดช่วงบน และค่อนข้างชัน ซ้ำไม่มีราวให้เกาะพยุงตัว หรือจะมี พอนึกมาถึงตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้ว "เคราะห์ร้ายจริง" "ครับ ผมเลยจะโทรมาบอกคุณว่าวันนี้อย่าเพิ่งมาหาผมที่บ้านเลยครับ มันไม่ค่อยจะดี เพราะว่าตำรวจจะต้องมาที่บ้าน" "ให้ผมไปหาคุณดีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมากนะ ผมอาจจะพอช่วยได้" "อย่าดีกว่าครับ ผมไม่อยากให้คุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นอกจากตำรวจแล้วยังมีผู้สื่อข่าวอีกด้วย คือมันไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา" เสียงของฉัตรสิรินั้นแทบจะหายไปในลำคอ "พวกเขาคิดว่ามีคนฆ่าคุณเภตราครับ" "คุณฉัตร" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม "ถ้าอย่างนั้นผมยิ่งต้องไป ใจคอคุณจะไม่ให้ผมไปได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องมันร้ายแรงถึงขนาดนี้ รอเดี๋ยวนะ ผมจะไปที่บ้านให้เร็วที่สุด" *****
|