ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Within Your Eyes (5) by...Rai อีกพักใหญ่ต่อมากลุ่มของธราดลก็มาถึงบ้านริมอ่าว อันที่จริงชายหนุ่มทั้งสองก็ไม่อยากให้เด็กหญิงจีน่ารับรู้เรื่องความตายของเภตรา แต่จะปล่อยให้อยู่ที่โรงแรมเพียงคนเดียวก็เกรงเด็กหญิงจะก่อปัญหา ดังนั้นจึงต้องกระเตงกันมาด้วย ป้าสวาดเปิดประตูให้คนทั้งสามเข้ามาในบ้าน แล้วให้เด็กหญิงจุ๋มพาน้องจีน่าไปหาขนมในครัวรับประทาน "อย่าพาคุณจีน่าซนกันล่ะนังจุ๋ม" ป้าสวาดเตือนเด็กหญิงลูกมือ ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วตัดสินใจเล่าเรื่องคร่าว ๆ ให้ชายหนุ่มทั้งสองฟัง หญิงแม่ครัวเล่าว่าเสื้อคลุมกันฝนของฉัตรสิริถูกพบข้างศพของเภตรา และผ้าบาติกของฉัตรสิริก็เกรอะกรังไปด้วยเลือด มันแขวนอยู่ที่ทางเดินก่อนถึงประตูที่เปิดทะลุไปถึงบ้านอีกซีกหนึ่ง ถัดมาธราดลกับชนินทร์ได้พบกับป้าสมฤดีลูกจ้างที่เข้ามาทำความสะอาดบ้านผู้ไปพบศพของเภตรา หญิงผู้นั้นกำลังอยู่ในความสับสนอย่างยิ่ง ใจหนึ่งหญิงสูงวัยก็ขวัญหนีดีฝ่อจนทำอะไรไม่ถูก แต่อีกใจก็อยากจะเล่าเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นที่สุดเท่าที่ประสบมาในชีวิตและเท่าที่ชีวิตอันราบเรียบของหล่อนจะพึงประสบได้ ความจริงหล่อนได้เล่าเหตุการณ์นี้ซ้ำซากมาหลายครั้งแล้ว กว่าจะมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ป้าสมฤดีก็จำเรื่องได้แม่นยำแล้วว่าต้องเล่าอย่างไรบ้าง หล่อนจึงทบทวนเรื่องโดยไม่สับสนเลยสักคำ " อิฉันออกไปที่ระเบียงค่ะ แล้วก็เห็นใครก็ไม่รู้นอนนิ่งอยู่บนหาดกรวดข้างล่าง อิฉันไม่รู้เหมือนกันค่ะคุณว่าวิ่งลงบันไดไปได้ยังไง จำได้แต่ว่าชะโงกมองจากข้างบนลงมาเห็น แล้วมารู้สึกตัวอีกทีก็ลงมาถึงข้างตัวแล้ว อิฉันจับมือเธอขึ้นมา มือเย็นยังกะน้ำแข็ง ตายสนิทเชียวค่ะ แต่ถึงไม่จับตัวก็รู้ว่าตายแน่ เพราะหัวแตกยับยังกะถูกทุบ" ***** ฉัตรสิริก้าวออกมาจากห้องทำงาน แต่ทันทีที่เห็นหน้าธราดลและชนินทร์ ชายหนุ่มก็ยกนิ้วขึ้นจ่อริมฝีปากเป็นสัญญาณเตือน แล้วถอยหลังกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองคนเดินตามฉัตรสิริเข้าไปในห้องนั้นแล้วปิดประตู "ผมไม่อยากให้พวกคุณต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย" ฉัตรสิริเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก สีหน้าของชายหนุ่มซีดขาวไม่มีสีเลือด ธราดลมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเห็นใจ "เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือคุณฉัตร ไม่มีใครคิดว่าคุณมีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้หรอก เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณไม่ได้รู้จักกับเภตราเขามาก่อน" สีหน้าของฉัตรสิริก็ยังไม่ดีขึ้น ชนินทร์ไม่สนใจสีหน้าอีกฝ่าย เอ่ยปากขึ้นหนัก ๆ "เมื่อครู่ตอนเข้ามา เห็นตำรวจบอกว่าปรเมศเขาหายตัวไปใช่ไหม?" "ครับ" "ถ้าอย่างนั้น เขาก็อาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของตำรวจล่ะสิ" "ครับ" ฉัตรสิริตอบซ้ำ "แล้วนินนะล่ะ?" อยู่ดีดีชนินทร์ก็เอ่ยถามถึงลูกพี่ลูกน้องอีกคนที่อยู่ในบ้าน ฉัตรสิริมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะตอบ "ผมยังไม่ได้เจอนินนะเลย ป้าสวาดบอกว่าท่าทางแกยังช๊อคอยู่จนบัดนี้ เพราะแกรักพี่เมศของแกมาก" ธราดลพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะถามข่าวคราวคนใกล้ชิดของคนตรงหน้า "แล้วคุณหนิงล่ะครับ เป็นอย่างไรบ้าง?" "เรื่องนี้ใครต่อใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละครับ หนิงเขายิ่งขี้กลัวอยู่ด้วย ตอนนี้เลยอยู่แต่ในห้องนอน ไม่ยอมลงมาเลย" "ตำรวจเขาสอบปากคำทุกคนหรือยัง?" ชนินทร์ซักถามอีกฝ่ายต่อ โดยไม่สนใจว่าเพื่อนของเขาจะทำสีหน้าเหมือนจะปราม ฉัตรสิริได้แต่ตอบคำถามของอีกฝ่าย "ครับ ถามพวกเราทุกคนแล้วว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรผิดปกติบ้างไหม เพราะเขาดูรูปการณ์แล้ว คิดว่าคุณเภตราคงจะต้อง ร้องออกมาเมื่อถูกทำร้าย แต่ว่าไม่มีใครได้ยินเสียงอะไร เขาเลยบอกว่าเดี๋ยวจะมีสารวัตรตำรวจมาสอบปากคำพวกเราอีกที ขอให้อยู่ที่บ้านอย่าออกไปไหนเป็นอันขาด แต่สิปนนท์เขาบอกว่าจะต้องเข้ากรุงเทพฯ เห็นว่ามีคิวถ่ายละครอยู่" "ผมว่าเขาไม่ควรไปไหนทั้งนั้น" ชนินทร์เอ่ยเสียงหนัก "แต่เห็นบอกว่าเพิ่งได้บทสำคัญ" "งั้นก็ต้องบอกตำรวจเสียก่อน" พูดไม่ทันขาดคำ สิปนนท์ก็ก้าวเข้ามาในห้องพอดี "สวัสดีครับคุณดล คุณนินทร์ พวกคุณมากันแต่เช้าเชียว เรื่องนี้น่ากลัวจริง ๆ นะครับ" "ครับ" ธราดลดตอบเพียงคำเดียว ส่วนชนินทร์ได้แต่เหยียดยิ้มน้อย ๆ "เขาพากันสงสัยว่าปรเมศจะเป็นคนทำ ผมว่าเขาไม่น่าวู่วามขนาดนี้เลยนะครับ แต่ก็นั่นแหละ เราก็รู้กันดีว่าหมอนี่คลั่งเภตราจะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แล้ว" "สิปนนท์" เสียงของฉัตรสิริขัดขึ้นทันที "เราไม่มีสิทธิ์ไปกล่าวหาคุณปรเมศ โดยที่เรายังไม่รู้ความจริง" "เอาละ ผมไม่พูดก็ได้ แต่ถึงผมไม่พูด ตำรวจเขาก็พูดอยู่วันยังค่ำ พูดกันตามความจริงแล้ว ผมก็ว่าน่าจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้นะ เรื่องหล่นไปนั่นอาจจะเป็นเพราะอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าตำรวจเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรมก็ต้องยกให้เขา ไม่ใช่เรื่องอะไรของผม ผมแค่เวทนาหมอนั่นเท่านั้นเอง อ้อ! อีกเรื่องหนึ่ง หนิงเขาเป็นอะไรก็ไม่รู้ วันนี้ผมว่าจะเข้ากรุงเทพฯ แต่เขากลับปิดประตูเงียบ ผมจะไปได้ยังไงในเมื่อไม่มีตังค์ติดตัวเลย เรียกเท่าไรก็ไม่เปิด" "ตำรวจเขาไม่ให้นายไปไหนทั้งนั้นแหละ" ฉัตรสิริเอ่ยเสียงเข้ม สิปนนท์เลิกคิ้ว "ตำรวจเขามีสิทธิ์อะไรจะมาห้ามผม เดี๋ยวผมจะเข้าไปหาสารวัตรแล้วเล่าเท่าที่ผมได้รู้ได้เห็น ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรสักหน่อย แล้วผมค่อยนั่งรถประจำทางเข้ากรุงเทพฯ แต่ถ้าตำรวจเขาอยากให้ผมอยู่ที่บ้าน ผมขอลาไปแค่ตอนกลางวันก็ได้ เดี๋ยวคืนนี้จะกลับมา ว่าแต่พี่ฉัตรมีเงินสักพันสองพันพอแก้ขัดไหมล่ะ" ฉัตรสิริเม้มริมฝีปากก่อนจะควักเงินในกระเป๋าส่งให้อีกฝ่ายตามที่ขอ เขาไม่กล้ามองหน้าบุรุษอีกสองคนที่อยู่ในห้องนั้นด้วย รู้ดีว่าหนึ่งในสองนั้นคงจะมีสีหน้าสมเพชเขาเต็มทน ที่ยอมให้สิปนนท์ไถเงินไปได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ "ขอบคุณมากครับคุณพี่ ผมไปล่ะ" แล้วอีกฝ่ายก็เดินเอ้อระเหยออกไป อย่างไม่อนาทรร้อนใจต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เมื่อลับร่างของน้องเขยแล้ว ฉัตรสิริก็ทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนใจ "ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว เดี๋ยวสักพักสิปนนท์ก็จะกลับมาโดยไม่มีเงินติดกระเป๋าสักแดงตามเคย เราไม่มีทางรู้ว่าเขาไปแสดงละครจริงหรือเปล่า เพราะจู่ ๆ เขาก็พูดเรื่องนี้ออกมา ก่อนหน้าก็ไม่เห็นเอ่ยปากสักคำ ผมสงสัยว่าเขาคงอยากจะหนีเรื่องเดือดร้อนที่บ้านนี้มากกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องวุ่นวายไปด้วย" ธราดลทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ อีกฝ่าย ได้แต่ส่งสายตาแสดงความเห็นใจ "ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือครับว่าเราเป็นเพื่อนกัน ผมอยากช่วยคุณ" "แต่คุณกลับต้องมาวุ่นวายไปกับเราด้วย ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมาเลย" "เป็นอันว่าผมมาแล้ว แล้วก็จะยังอยู่ที่นี่ คุณจะให้ผมช่วยอะไรก็ว่ามาเถอะ ผมยินดีทุกอย่าง" ฉัตรสิริได้ยินเสียงชนินทร์ร้องในลำคอเบา ๆ คล้ายกับ "ฮึ" หรือ "เฮอะ" ทำนองนั้น แต่ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่อยากมีเรื่องกับอีกฝ่าย จึงได้แต่มองหน้าธราดลด้วยแววตาที่มีความวิตกกังวลฉายชัด "คุณดลจำผ้าผืนเมื่อวานที่ " ชายหนุ่มหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเว้นชื่อคนที่ซื้อมันเสีย "ที่ซื้อจากร้านขายของที่ระลึกได้ไหมครับ" "ผืนสีฟ้าใช่ไหมครับ?" "ครับ เมื่อวานผมกลับมาที่บ้าน แล้วแขวนไว้ที่ตะขอตรงทางเดิน รวมกับพวกร่มและก็เสื้อกันฝน วันนี้ตำรวจเขาอยากรู้ว่าผมแขวนเสื้อกันฝนไว้ที่ไหน ผมเลยพาเขาไปดู พอเขาเห็นผ้าผืนนั้นก็ถามว่ามันเป็นของผมหรือเปล่า ผมบอกว่าใช่ เขาก็หยิบลงมา ปรากฏว่ามันเปื้อนไปหมดเลยครับ" "เลือด?" "ครับ มันเปื้อนเลือด" ธราดลนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ คิ้วขมวด สมองทำงานอย่างเต็มที่ สักพักจึงทบทวน "ผ้าของคุณเปื้อนเลือด แล้วถูกนำกลับมาแขวนไว้ที่เก่า นี่แสดงว่ามีใครสักคนต้องการป้ายข้อสงสัยให้คุณแน่" "บางที เขาอาจจะไม่รู้" "คุณคิดว่า คนที่เอาผ้าผืนนั้นไปอาจจะเอามาแขวนเก็บไว้ที่เดิม โดยไม่รู้ว่ามันเปื้อนเลือดอย่างนั้นหรือ แล้วผ้านั่นเปื้อนเลือดมากไหม หรือว่านิดเดียว?" "มากครับ โชกไปทั้งผืนเลย" "งั้นคนที่ถือผ้ากลับมาก็ต้องเห็นน่ะสิ" "ครับ ต้องเห็นแน่" "คุณฉัตรครับ" อยู่ดีดีชนินทร์ก็เรียกชื่ออีกฝ่าย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองชนินทร์ สะดุ้งน้อย ๆ "ครับ?" "ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นความจงใจ คนที่เอาผ้าเปื้อนเลือดมาแขวนไว้ในบ้านต้องการจะป้ายความผิดให้คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจด้วย แต่คุณฉัตรครับ ผมรู้ว่าคุณกลัวอะไร คุณไม่จำเป็นต้องบอกออกมาตรง ๆ ผมก็พอจะเดาได้" "แกพูดอะไรวะ?" ธราดลหันไปทางเพื่อน ชนินทร์ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกล่าวต่อไป "คุณฉัตรกลัวว่าคนที่ฆ่าเภตราคือคุณหนิงใช่ไหมครับ? คุณถึงได้คิดอะไรไม่ออกเอาเลย นอกจากกลัดกลุ้มเรื่องนี้อยู่คนเดียว" คำพูดของอีกฝ่ายตรงกับที่ฉัตรสิริคิดจริง ๆ ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า "ครับ ผมกลัวจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ" ธราดลเอื้อมมือไปบีบมืออีกฝ่ายเบา ๆ "ผมว่าตอนนี้คุณระงับสติอารมณ์ให้ดีแล้วค่อย ๆ คิดกันดีกว่านะ" ชนินทร์แกล้งทำเป็นไม่เห็นภาพตรงหน้า เขาพูดคล้ายจะให้อีกฝ่ายได้คิด "เมื่อบ่ายวานนี้ เราเห็นกันว่าสิปนนท์มีท่าทีสนิทสนมกับเภตราต่อหน้าคนอื่นมากมาย แล้วคุณคิดหรือว่าคุณหนิงจะเกิดอารมณ์หึงหวงขึ้นมาอย่างมาก จนกระทั่งหาทางล่อเภตราด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งออกไปที่ชายหาดกลางดึก แล้วฆ่าเสียอย่างเลือดเย็น" "ไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ ยายหนิงไม่ทำเรื่องแบบนั้นแน่" ชนินทร์หัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อไป "แต่ถ้าสมมุติว่าคุณเชื่อข้อนี้ได้ คุณจะเชื่อต่อไปไหมว่าคุณหนิงจะแอบเอาเสื้อกันฝนของคุณกับผ้าบาติกผืนนั้นมาสวม เมื่อฆ่าผู้หญิงคนนั้นแล้ว ก็ทิ้งเสื้อฝนไว้ในที่เกิดเหตุ แล้วเอาผ้าผืนนั้นลงไปเช็ดเลือดของเภตราจนเปียกโชกทั้งผืน ก่อนจะเอามาแขวนไว้ในบ้านเพื่อให้ตำรวจเข้ามาเจอได้ง่าย ๆ คุณฉัตรครับ ผมว่าคุณคิดให้ดี คุณหนิงจะทำเรื่องใส่ร้ายคุณแบบนี้ได้หรือ?" "ไม่ครับ ยายหนิงไม่ทำแน่" "ผมอาจจะพูดแรงไปหน่อย แต่คุณกลัวเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่หรือ ผมจึงได้พูดออกมาดัง ๆ ให้คุณคิดได้ คุณคงเห็นแล้วสินะว่าคนอย่างคุณหนิงทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก คุณขึ้นไปหาคุณหนิงแล้วถามเธอตรง ๆ ว่าเธอไม่ได้เอาเสื้อฝนและผ้าบาติกของคุณออกไป เดี๋ยวตำรวจเขาจะมาสอบปากคำคุณโดยละเอียดแล้ว คุณจะได้มีเวลาตั้งสติ" ฉัตรสิริมีสีหน้าโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด "เห็นไหมครับ ว่าไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกครับ ถ้าเราช่วยกันคิด" ธราดลยิ้มให้อีกฝ่าย "แกหรือคิด มีแต่ฉันคิดคนเดียว" ชนินทร์ต่อว่าเพื่อน ก่อนจะเหล่มองเจ้าของบ้านที่มีสีหน้าดีขึ้น ทำให้ฉัตรสิริรู้สึกตัว ชายหนุ่มค่อย ๆ ชักมือของตนออกจากมือของธราดล "ใครจะคิดก็ไม่สำคัญหรอกวะ ขอแค่คุณฉัตรสบายใจขึ้นเท่านั้นเป็นพอ" ธราดลเถียงเพื่อน ฉัตรสิริได้แต่บอกขอบคุณเขา "อย่างนั้นผมขอตัวขึ้นไปดูยายหนิงก่อนนะครับ" แล้วชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องทำงาน ขึ้นบันไดไปชั้นบน ธราดลลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ออกจากห้องเดินตามขึ้นไปด้วย ชนินทร์โคลงศีรษะคล้ายระอาในพฤติกรรมของเพื่อน ยามที่ธราดลกำลังหลงใหลใครนั้น มักจะไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังอะไรจริง ๆ แล้วชายหนุ่มก็เดินตามไปอีกคน ชนินทร์ตามขึ้นไปบนชั้นสองเห็นฉัตรสิริหยุดอยู่หน้าประตูห้องของจิตติกา โดยมีธราดลยืนเยื้องไปทางด้านหลัง "หนิง นี่พี่เอง เปิดประตูให้พี่เข้าไปหน่อย" ไม่มีเสียงตอบ "หนิง ตำรวจเขาจะมาสอบปากคำพวกเราทุกคน พี่ต้องพูดกับหนิงก่อน" มีเสียงปลดล๊อคจากภายในห้องดังเบา ๆ แล้วประตูก็เปิดออก จิตติกายืนอยู่หลังประตู สีหน้าซีดเซียวก่อนจะเอ่ยปากเบา ๆ "สิปนนท์อยู่ไหน?" ธราดลเป็นคนตอบแทนฉัตรสิริ "เขาบอกว่าจะต้องไปแสดงละคร เลยไปขออนุญาตตำรวจเข้ากรุงเทพฯ" "แล้วตำรวจยอมหรือคะ?" "ก็ไม่น่าจะมีอะไรขัดข้องนี่ครับ" ***** อีกห้านาทีต่อมา นายสิบตำรวจออกมาจากอีกซีกหนึ่งของบ้าน แจ้งให้ทราบว่าท่านสารวัตรต้องการจะสอบปากคำของทุกคนในบ้านฟากนี้ ดังนั้นจึงขอให้ไปพร้อมกันที่ห้องนั่งเล่นด้วย ฉัตรสิริและจิตติกาเดินลงบันไดไปชั้นล่าง โดยมีชายหนุ่มที่เป็นแขกทั้งสองคนเดินตามไปห่าง ๆ คนทั้งหมดเดินผ่านประตูที่ทะลุระหว่างสองบ้านไปยังห้องนั่งเล่นในบ้านอีกซีกหนึ่ง ที่นั่นคุณดารณีและคุณทิพย์วัลย์นั่งเคียงกันอยู่บนโซฟาที่ตั้งอยู่ชิดผนัง สิปนนท์แต่งตัวโก้เหมือนกำลังจะออกจากบ้านยืนพิงตู้โชว์อยู่ด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มกลืน ส่วนนินนะนั่งซึมอยู่บนเก้าอี้ มือประสานไว้บนตัก สายตาก้มต่ำจับอยู่ที่มือตนเองโดยไม่หันไปมองทางอื่น นอกจากนี้ยังมีชายล่ำสันเป็นมะขามข้อเดียวในชุดเครื่องแบบตำรวจ ท่าทางขึงขังเอาการเอางาน เขาคือสารวัตรอนุสรณ์ ที่มาพร้อมกับนายสิบตำรวจอีกนายหนึ่งมาช่วยจดบันทึกปากคำ เมื่อฉัตรสิริและจิตติกามาถึงก็ทรุดตัวนั่งลงที่โซฟา ธราดลก็ลากเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ ฉัตรสิริด้วยความเป็นห่วง ส่วนป้าสวาดก็เดินก้าวฉับ ๆ เข้ามาแล้วไปยืนเกาะพนักเก้าอี้ของนินนะ ชนินทร์ก็ได้แต่หาที่ยืนเฉพาะตัวอยู่บริเวณนั้น สารวัตรอนุสรณ์กวาดสายตามองทุกคนในห้องอย่างถี่ถ้วน "ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ คือคนที่นอนในบ้านนี้เมื่อคืนทั้งหมดใช่ไหม?" จู่ ๆ สารวัตรอนุสรณ์ก็เหลียวขวับมามองทางธราดลและชนินทร์ "ขอโทษ คุณทั้งสองคนเป็นใคร? พวกคุณอยู่ในบ้านนี้เมื่อคืนหรือ? ผมยังไม่เห็นพวกคุณมาก่อน" "ผมเป็นเพื่อนคุณฉัตรครับ ชื่อธราดล แล้วนี่ก็เพื่อนผมชื่อชนินทร์ เมื่อคืนพวกเราไม่ได้นอนค้างที่นี่ แต่ว่าพวกเรามาอยู่ที่นี่ทั้งวันเมื่อวานนี้" "แล้วคุณกลับไปตอนกี่โมง?" "ราวสี่ทุ่มครับ" ชนินทร์ตอบแทนเพื่อน สารวัตรอนุสรณ์มองหน้าชายหนุ่มท่าทางดีทั้งคู่อยู่ชั่วอึดใจ แล้วตัดสินใจ "ก็ได้ อย่างนั้นคุณต้องอยู่ให้ปากคำ" หลังจากนั้น สารวัตรหนุ่มก็หยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง แล้วอ่านเสียงดังคล้ายจะประกาศให้ได้ยินโดยทั่วกัน "ผมขอตรวจสอบความถูกต้องสักหน่อยนะ ในบ้านนี้ในชั้นบนมีห้องเก็บของที่คุณนินนะใช้เป็นที่นอน และก็มีห้องนอนสองห้องหันหน้าไปทางทะเล คือห้องของคุณทิพย์วัลย์กับห้องของคุณเภตรา ส่วนอีกสองห้องที่หันไปทางถนนหน้าบ้านคือห้องของคุณดารณีกับคุณปรเมศ ส่วนบ้านอีกหลังหนึ่งมีคุณสวาดกับเด็กหญิงจินตนานอนที่ห้องชั้นล่าง ส่วนห้องนอนชั้นสองที่หันหน้าไปทางทะเลนั้นคุณฉัตรสิริกับคุณจิตติกานอนกันคนละห้อง ส่วนคุณสิปนนท์นอนในห้องชั้นสองที่หันหน้าไปทางถนน ผมพูดอย่างนี้ถูกต้องไหมครับ?" ทุกคนไม่มีใครโต้แย้ง นายตำรวจหนุ่มจึงกล่าวต่อไปอีกว่า "ผมอยากจะถามว่ามีใครได้ยินเสียงคุณเภตรากรีดร้อง หรือตะโกนขอความช่วยเหลือบ้างหรือเปล่า นอกจากนี้ผมยังต้องการทราบว่ามีใครได้ยินเสียงคุณเภตราเดินลงบันไดหรือว่าออกจากบ้านไปบ้าง เมื่อตอนเช้า คุณสมฤดีที่มาทำงานบ้านในตอนเช้าบอกว่าประตูห้องทำงานของคุณปรเมศที่เปิดไปสวนดอกไม้เปิดอ้าอยู่ คนที่เปิดอาจจะเป็นคุณปรเมศที่หายตัวไปตอนนี้ ผมอยากทราบว่ามีใครได้ยินเสียงประตูเปิดไหมครับ คุณทิพย์วัลย์ครับ ห้องนอนคุณอยู่เหนือห้องทำงานของคุณปรเมศพอดี ผมอยากทราบว่าคุณได้ยินเสียงใครเปิดประตูออกไปหรือเปล่าครับ?" นัยน์ตาของคุณทิพย์วัลย์จ้องเป๋งไปที่นายตำรวจ คนที่รู้จักหญิงผู้นี้ย่อมรู้ว่าหล่อนกำลังตื่นเต้นที่จะให้ปากคำ และออกจะสนุกเสียด้วยซ้ำ ป้าสวาดมองคุณทิพย์วัลย์อย่างตำหนิ มีอย่างหรือ นี่มันเรื่องฆาตกรรมแท้ ๆ ยังจะมาทำเป็นเรื่องสนุกไปได้ "ประตูห้องทำงานของตาเมศน่ะรึคะ? โอ๊ย! คนเราเวลานอนหลับจะไปได้ยินเสียงอะไรกันล่ะคะ แล้วประตูบานนั้นน่ะมันเปิดปิดได้เงียบจะตายไป ไม่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดหรอกค่ะ" "แล้วคุณได้ยินเสียงร้องบ้างหรือเปล่า?" "แหม! มันพูดลำบากนะคะ แต่จะบอกว่าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยก็ไม่ได้" "ผมถามว่าคุณได้ยินเสียงร้องบ้างไหม?" "คือดิฉันบอกไม่ถูกว่าเป็นเสียงนกกลางคืนหรือเปล่านะคะ" "นกกลางคืน?" "ก็มันเป็นตอนกลางคืนนี่คะ แต่ไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยามกันแน่ เพราะขี้เกียจลุกไปดูนาฬิกา แต่ถ้าไม่ใช่นกกลางคืนก็อาจจะเป็นเสียงค้างคาวก็ได้มั้งคะ" "ค้างคาว?" "ค่ะ สารวัตร ค้างคาวมันร้องเสียงแหลมมาก แต่คลื่นเสียงของมันสูงมากจนคนส่วนมากไม่ได้ยิน แต่ฉันเผอิญเป็นข้อยกเว้นค่ะ" "เอาล่ะ คุณตื่นมากลางดึก เวลาเท่าใดไม่แน่ชัด และได้ยินเสียงร้องซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงมนุษย์หรือเปล่า อย่างนั้นใช่ไหม?" "ใช่ค่ะ แต่บางทีอาจจะเป็นเสียงแมวก็ได้ เพราะแถวนี้บางทีก็มีแมวเดินหลงเข้ามาเหมือนกัน" สารวัตรเคาะโต๊ะอย่างหมดความอดทน "สรุปว่า คุณได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคล้ายเสียงร้อง แล้วอย่างอื่นล่ะ ได้ยินเสียงใครเดินไปมาในบ้านนี้ไหม? ได้ยินเสียงคุณเภตราเดินออกจากห้องนอนหรือเปล่า? ผมไม่ได้หมายถึงตอนที่พวกคุณทุกคนยังไม่เข้านอน แต่หมายถึงกลางดึกเมื่อทุกคนเข้านอนหมดแล้ว" คุณทิพย์วัลย์ส่ายศีรษะ "ไม่เลยค่ะ ไม่ได้ยินเสียงอะไร ได้ยินแต่เสียงแมว หรือว่าค้างคาว หรือว่านกกลางคืน หรือตัวอะไรนี่แหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงอะไร" สารวัตรอนุสรณ์หันไปทางนินนะ ซึ่งนั่งนิ่งเงียบอยู่ "แล้วคุณล่ะ ได้ยินเสียงอะไรนอกบ้านหรือในบ้านหรือเปล่า?" "ไม่ครับ" เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน สารวัตรอนุสรณ์นึกอย่างโล่งอกที่คนในบ้านไม่ได้พูดเป็นต่อยหอยอย่างคุณทิพย์วัลย์ ขืนเป็นอย่างนั้น กูคงเป็นบ้าตาย! เขาเหลียวไปจับตามองคุณดารณีเป็นลำดับต่อไป "คุณดารณีครับ ห้องของคุณหันไปทางถนน แต่คุณคงจะพอได้ยินเสียงอะไรที่เกิดขึ้นในบ้านนี้ได้บ้าง คุณได้ยินเสียงอะไรไหมเมื่อคืนนี้?" "ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย" น้ำเสียงของคุณดารณีเรียบเฉยเป็นปกติ "ห้องของคุณปรเมศอยู่ติดกับห้องของคุณ คุณได้ยินเสียงเขาออกจากห้องไหมครับ?" "ไม่ได้ยิน ฉันนอนหลับสนิท" สารวัตรหันไปทางคนอื่น ๆ "เอาละ เป็นอันว่าผมถามคนที่อยู่ทางบ้านนี้หมดทุกคนแล้ว เว้นแต่คุณเภตราที่เสียชีวิต กับคุณปรเมศที่หายตัวไป ที่นี้ก็ถึงคนที่อยู่ทางบ้านอีกหลังหนึ่งบ้างละครับ คุณฉัตรสิริ คุณได้ยินเสียงอะไรบ้างไหม?" ฉัตรสิริสบตาสารวัตรด้วยท่าทางสงบ "ผมไม่รู้เหมือนกันครับ จำได้ว่าตัวเองสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก แต่บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงตื่นขึ้นมา แต่พอฟังดูก็เงียบ ไม่มีเสียงอะไร ผมก็เลยนอนต่อ" "พอทราบไหมว่าเป็นเวลากี่ทุ่ม?" "ผมไม่ได้ดูนาฬิกาครับ รู้แต่ว่าเป็นเวลาที่น้ำขึ้น" สารวัตรอนุสรณ์ย้อนถามทันควัน "คุณแน่ใจ?" "ครับ ผมได้ยินเสียงคลื่นซัดหาด ถ้าหากเป็นเวลาน้ำลง เราจะไม่ได้ยินเสียงคลื่น" นายตำรวจกวาดสายตามองคนอื่น ๆ ภายในห้อง "มีใครรู้ไหมว่าน้ำขึ้นเวลากี่ทุ่มเมื่อคืนนี้?" "ผมทราบแต่ว่า เมื่อตอนหนึ่งทุ่มน้ำลงมากทีเดียว" ชนินทร์ตอบ "น้ำลงมากที่สุดตอนหนึ่งทุ่มยี่สิบนาทีค่ะ" ป้าสวาดขยายความ สารวัตรอนุสรณ์พยักหน้าหงึก ๆ "ไม่เป็นไร เราสามารถตรวจสอบได้ ประมาณว่าน้ำคงจะขึ้นสูงสุดราว ๆ ตีหนึ่ง แล้วน้ำลงต่ำสุดราว ๆ หกโมงครึ่ง ถ้าคุณฉัตรสิริได้ยินเสียงคลื่นตอนที่คุณตื่นขึ้นมา ผมคะเนว่าคงเป็นช่วงเวลาตั้งแต่สองยามถึงตีสอง หรือราว ๆ นั้น" สารวัตรอนุสรณ์หันไปทางจิตติกาเป็นรายต่อไป "คุณจิตติกาครับ ห้องคุณอยู่ถัดไปจากห้องของพี่ชาย แล้วหันไปทางทะเลเหมือนกันด้วย เมื่อคืนคุณสะดุ้งตื่นบ้างหรือเปล่าครับ?" ฉัตรสิริกุมมือน้องสาวไว้ รู้สึกว่ามือของจิตติกาเย็นเฉียบ และมีอาการสะดุ้งน้อย ๆ "ไม่ค่ะ ดิฉันไม่ได้ตื่น" ฉัตรสิริเกิดความรู้สึกว่าน้องสาวของตนคงจะไม่ได้นอนทั้งคืน ถ้าคนเราไม่ได้นอนคงจะไม่มีทางสะดุ้งตื่นแน่นอน "คุณไม่ได้ตื่นขึ้น และก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ?" มือที่ฉัตรสิริกุมอยู่มีอาการสะดุ้งน้อย ๆ อีกครั้ง จิตติกาตอบสั้น ๆ ว่า "เปล่าค่ะ" นัยน์ตาคมกริบของสารวัตรหนุ่มเพ่งมองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ "คุณเภตราสนิทสนมกับคุณหรือเปล่า?" จิตติกาสั่นศีรษะ ก่อนจะตะกุกตะกักตอบ "ปละ เปล่าค่ะ ดิฉันไม่รู้จัก เธอมาก่อน เพิ่งมาพบ เมื่อสองสามวันก่อน นี่เอง" "มีเรื่องวิวาทกันบ้างหรือเปล่า?" หญิงสาวสะดุ้งผวาเมื่อได้ยินคำถาม "เปล่าค่ะ เปล่า ดิฉัน เคยพูดกับเธอแค่หนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น แล้วก็ เป็นการทักทายกันธรรมดา เท่านั้น" "อย่างนั้นหรือ?" สารวัตรย้อนถามเสียงเฉียบขาด "ผมถามเพราะดูเหมือนคุณจะได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างมาก" จิตติการู้สึกว่ามือของพี่ชายที่กุมมือของตนไว้บีบกระชับแน่นขึ้นอย่างอ่อนโยน ก่อนที่ฉัตรสิริจะตอบแทนให้ "น้องสาวของผมมีสุขภาพไม่แข็งแรงครับ เจอเรื่องแบบนี้ในบ้านก็เลยตกใจมาก" สารวัตรพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะหันไปทางแม่ครัว "ทีนี้ถึงตาป้าสวาดแล้วนะครับ ป้าได้ยินเสียงอะไรบ้างหรือเปล่า?" ป้าสวาดทำเสียงคล้ายไม่พอใจอยู่ในลำคอ ก่อนจะพูดห้วน ๆ กลับไปว่า "ไม่ได้ยิน" "แน่ใจหรือคุณ?" เหมือนนางแมวถูกตีขนดหาง ป้าสวาดเค้นเสียงหนักแน่น "คนโกหกพูดคำเดียวก็โกหก คนไม่โกหกถึงไม่ต้องสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาก็ไม่ยอมโกหก ฉันขอบอกว่าฉันหลับสนิท แล้วไม่ได้คอยฟังเสียงค้างคาว เสียงแมว หรือเสียงอะไรทั้งนั้น แล้วไม่ได้เตรียมตัวไว้ด้วยว่าจะตื่นมาเจอใครถูกฆ่าตายอยู่ในบ้าน แถมยังต้องเจอตำรวจมาถามอะไรต่อมิอะไรที่ไม่มีใครตอบได้อีกด้วย" "ครับเท่านั้นแหละครับ ป้า" สารวัตรหนุ่มรีบตัดบท แล้วหันมาทางสิปนนท์ "ทีนี้คุณบ้างละครับ คุณสิปนนท์ เมื่อคืนคุณพักอยู่ในห้องอีกด้านหนึ่ง คุณไม่ได้พักห้องเดียวกับภรรยาหรือครับ" "คือภรรยาของผมไม่ค่อยสบาย เราเลยแยกกันอยู่คนละห้อง" "แล้วคุณได้ยินเสียงอะไรไหม?" "ไม่ได้ยินเลยครับ ผมหลับสนิท" สารวัตรอนุสรณ์ไล่สายตาไปตามใบหน้าของแต่ละคนในห้องนั้น คิ้วยังคงขมวดเข้าหากัน "เมื่อตำรวจมาที่นี้เมื่อเช้านี้ คำให้การมีอยู่ว่า เมื่อวานนี้คนในบ้านไปชุมนุมกันที่ชายหาดเป็นเวลาหลายชั่วโมง รวมทั้งแขกอีกสามคนด้วย ซึ่งแขกทั้งสามคนกลับไปตอนสี่ทุ่ม หลังจากนั้นคนในบ้านทั้งสองฟากก็แยกย้ายกันเข้านอนหลังสี่ทุ่มเล็กน้อย ที่ผมพูดมานี่ถูกใช่ไหมครับ?" เสียงพึมพำแว่ว ๆ ในทำนองตอบรับ "ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งหนึ่ง มีใครได้ยินเสียงคุณเภตราหรือคุณปรเมศออกไปนอกบ้านหรือเปล่า?" มีแต่ความเงียบกริบเป็นคำตอบ ทำให้สารวัตรหนุ่มหันไปมาอย่างหงุดหงิด ในที่สุดเขาก็หันไปซักถามคุณดารณี "คุณดารณีครับ คุณบอกว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของลูกชายคุณยังอยู่ครบ ยกเว้นแต่เสื้อยืดและกางเกงผ้ายืดขายาวซึ่งเป็นชุดที่เขาใส่นอนเมื่อคืนใช่ไหมครับ?" "ใช่" คุณดารณีตอบสั้น ๆ "มีอีกอย่างค่ะ คือกางเกงว่ายน้ำ" คุณทิพย์วัลย์ขัดขึ้น หล่อนหันไปบอกสารวัตรอนุสรณ์ด้วยท่าทางเต็มอกเต็มใจจะให้การที่เป็นประโยชน์กับตำรวจมากที่สุด "กางเกงว่ายน้ำสีดำค่ะ" สารวัตรหันกลับไปที่คุณดารณีอีกครั้ง "คุณดารณีครับ เวลาลูกชายคุณออกไปเดินเล่นข้างนอกตอนเช้า ๆ เขาจะแต่งตัวแบบไหนครับ?" "ก็จะใส่ชุดอย่างที่เขาใส่นอนนี่แหละค่ะ เสื้อยืดกับกางเกงผ้ายืดขายาว แต่ถ้าคิดจะไปว่ายน้ำเล่นก็จะสวมกางเกงว่ายน้ำแล้วใส่ชุดนั้นทับอีกที" คุณดารณีชะงักคำพูด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ "แล้วฉันอยากจะบอกให้ทราบโดยทั่วกันด้วยค่ะว่า ปรเมศไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของฉันค่ะ" "หมายความว่าเขาเป็นลูกบุญธรรมของคุณหรือครับ?" "เปล่า เขาเป็นลูกติดจากเมียเก่าของพ่อเขา ตอนฉันแต่งงานกับพ่อของเขา เขาเพิ่งอายุได้สองขวบเท่านั้นเอง" เห็นได้ชัดว่านี่คือการตัดญาติกันอย่างโจ่งแจ้งนั่นเอง ป้าสวาดทำเสียงไม่พอใจในลำคอ ส่วนนินนะขยับตัวด้วยความอึดอัด "ตั้งแต่เด็กแล้วค่ะนายคนนี้ อารมณ์ร้ายจนไม่มีใครทนได้" คุณทิพย์วัลย์เสริม นินนะเมินหน้าไปมองทางอื่นทันที เขาไม่อยากเห็นผู้ใหญ่สองคนนี้อีกแล้ว เขารู้มาตลอดว่าคนทั้งคู่ไม่ได้รักใคร่เอ็นดูปรเมศมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในวัยเด็กนั้น ปรเมศมักจะขลุกตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่ได้ร่าเริงเหมือนเช่นเด็กอื่นในวัยเดียวกัน เพราะถูกเลี้ยงดูอย่างไม่ไยดีจากแม่เลี้ยงและญาติ ดังนั้นทั้งเขาและปรเมศจึงได้แต่ปลอบโยนซึ่งกันและกัน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก โดยเฉพาะปรเมศที่กลายเป็นคนอารมณ์ร้อนและก้าวร้าว สิ่งที่เขาทำได้ก็เพียงแต่เอาน้ำเย็นเข้าลูบทุกครั้งที่อีกฝ่ายเดือดจัดเท่านั้นเอง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ย่ำเข้ามาในห้อง แล้วตำรวจคนหนึ่งก้าวเข้ามาหยุดต่อหน้าสารวัตรอนุสรณ์ "สารวัตรครับ เราพบเสื้อผ้าที่คิดว่าจะเป็นของนายปรเมศแล้วครับ" "ที่ไหนล่ะ?" "กองอยู่บนชายหาดครับ" "แล้วรอหาอะไรอยู่เล่า เอาเข้ามาสิ" สารวัตรตวาดลูกน้องก่อนจะหันไปทางคุณดารณี "จะเป็นลูกแท้หรือลูกเลี้ยงก็ตามที คิดว่าคุณคงพอจะจำเสื้อผ้าของเขาได้นะครับ" ตำรวจคนเดิมกลับมาอีกครั้งพร้อมวางเสื้อผ้ากองไว้ที่หน้าสารวัตรอนุสรณ์ สารวัตรหยิบกางเกงผ้ายืดขายาวชูให้คุณดารณีเห็นถนัด ๆ "กางเกงนี่ของลูกชายคุณหรือเปล่าครับ?" คุณดารณีตวัดสายตามอง ก่อนตอบ "ค่ะ" สารวัตรโยนกางเกงลงไปบนโต๊ะตามเดิม แล้วหยิบเสื้อยืดขึ้นมา ขณะที่คลี่ออก ก็พลันมีเสียงอุทานเบา ๆ ดังขึ้นประสานกันหลายเสียง เพราะด้านหน้าของเสื้อยืดตัวนั้นมีเลือดเปื้อนอยู่เป็นหย่อม ๆ แถมตรงแขนขวาของเสื้อนั้นมีเลือดเปื้อนจนชุ่มโชก ***** หลังจากการสอบปากคำคนในบ้านเรียบร้อยแล้ว ธราดลกับชนินทร์ก็นั่งคุยเรื่องนี้ขณะอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องโถงของบ้าน "แกคิดว่าเรื่องนี้เป็นไงวะ?" ธราดลเอ่ยปากถามความเห็นจากเพื่อน ชนินทร์มองหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดช้า ๆ อย่างใช้ความคิด "คนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้คือนายปรเมศ เพราะเขาหายตัวออกจากบ้านไปจนป่านนี้ยังไม่กลับ แถมยังมีเสื้อเปื้อนเลือดเป็นหลักฐานอีก เขาคงออกไปโดยสวมกางเกงว่ายน้ำ ทับด้วยเสื้อยืดและกางเกงยืด ถ้าเขาไม่ได้ฆ่าเภตราก็คงต้องอุ้มหรือยกศพขึ้นมาดูแน่ ๆ แขนขวาของเสื้อยืดถึงได้เปื้อนเลือดขนาดนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเขาถอดเสื้อผ้ากองทิ้งไว้แล้วลงทะเลไป แต่ถ้าเขาคิดจะว่ายน้ำหนีคงจะไปได้ไม่ถึงไหน ในเมื่อมีแต่ตัวเปล่า ๆ อย่างนั้น ถ้าหากจะหนีตำรวจเขาน่าจะกลับมาบ้าน เพื่อเก็บเสื้อผ้าเงินทองหนีไปเสียก่อนที่คนรู้มากกว่า ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นคนฆ่าเภตราหรือไม่ก็ตาม ฉันว่าไอ้หมอนี่มันบ้าพอที่ว่ายน้ำออกไปฆ่าตัวตายตามเภตรา" "แกบอกว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นคนฆ่าเภตราหรือไม่ก็ตาม แปลว่าแกคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นฆาตกรอย่างนั้นหรือ?" ชนินทร์พยักหน้ารับ "อันที่จริง ดูไปแล้วก็น่าจะเป็นคดีฆาตกรรมที่เห็นตัวฆาตกรกันอยู่ชัด ๆ แต่ว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันขบไม่แตก" "อะไร?" "นายปรเมศคนนี้น่ะเป็นคนเจ้าอารมณ์ แล้วหลงรักเภตราถึงขั้นบ้าคลั่งเลยก็ได้ คนแบบนี้ถ้าหากว่าผิดหวังคงจะเป็นประเภทฆ่าผู้หญิงแล้วฆ่าตัวตายตามได้ไม่ยาก รูปการณ์ก็ชวนให้คิดอย่างนี้ได้เหมือนกัน ยกเว้นแต่ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เข้ากันไม่สนิทนัก" "หือ?" "เมื่อวานคุณฉัตรเอาผ้าบาติกแขวนไว้ที่ตาขอตรงทางเดินในบ้านใกล้กับประตูที่เปิดทะลุกับบ้านอีกหลังหนึ่ง ตรงนั้นมีเสื้อฝนและร่มแขวนอยู่ด้วย ประตูที่เปิดทะลุระหว่างบ้านทั้งสองหลังปิดสนิท ทางด้านนี้ใส่กลอน ทางด้านโน้นก็ล๊อคเอาไว้ เป็นอย่างนี้ทุกบานทั้งสองชั้น ตอนเช้ามีคนพบศพของเภตรา พบว่าเสื้อฝนของฉัตรสิริวางพาดอยู่บนระเบียง ตรงที่ที่เภตราน่าจะถูกผลักหรือพลัดตกลงไป ตรงนั้นมีม้านั่งอยู่ตัวหนึ่ง เสื้อฝนวางพาดอยู่บนม้านั่ง แต่ผ้าคลุมผมที่แขวนอยู่ที่ตาขอยับยู่ยี่แล้วเปรอะเปื้อนเลือดไปหมดทั้งผืน ในกรณีนี้แกคิดยังไง?" จู่ ๆ ตอนท้ายชนินทร์ก็ตั้งคำถามกับเพื่อน ธราดลค่อย ๆ เรียบเรียงคำพูด "อย่างที่แกเคยบอกไว้ในตอนแรกนั่นแหละ ฉันรู้สึกเหมือนมีใครสักคนจงใจจะดึงเอาคุณฉัตรเข้าไปเป็นผู้ต้องสงสัยด้วย เพราะเสื้อฝนของเขาไปอยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนผ้าผืนนั้นก็เปื้อนเลือดไปหมด อย่างนี้จะหมายความว่ายังไงกัน" ชนินทร์พยักหน้าเห็นด้วย "ก็จริงอย่างที่แกว่า นี่แหละที่ฉันว่ามันเป็นปัญหาที่ยังขบไม่แตกข้อแรก นายปรเมศอาจจะฆ่าเภตราด้วยความหึงหวงแล้วว่ายน้ำออกไปเพื่อจะฆ่าตัวตายตามคนรัก แต่ฉันมองไม่ออกว่าคนอย่างหมอนั่นจะคิดเรื่องถือเสื้อฝนของคุณฉัตรไปวางพาดที่ระเบียงเพื่อดึงเขาเข้าไปพัวพันด้วยทำไม แถมยังเอาผ้าผืนนั้นไปเช็ดเลือดจนเปรอะเปื้อนแล้วเอากลับมาแขวนที่ตะขอตามเดิม เพื่อจะป้ายข้อหาให้หนักแน่นขึ้นอีก คนที่วู่วามอารมณ์รุนแรงอาจจะฆ่าคนแล้วฆ่าตัวตายได้ตอนที่เกิดความรู้สึกชั่ววูบขึ้นมา แต่ว่าเรื่องการป้ายความผิดให้คนอื่นนี่น่าจะเป็นเรื่องของการฆาตกรรมด้วยฝีมือคนที่จิตใจเยือกเย็นมากกว่า ฉันว่าฆาตกรประเภทหลังนี่น่าจะคิดคนละอย่างกับฆาตกรประเภทแรก นี่เป็นข้อหนึ่งที่ฉันขบไม่แตก" "อีกข้อล่ะ?" "อีกข้อคือปัญหาด้านการลงมือทำตามแผน ฆาตกรจะทำได้อย่างไร? เพราะปัญหาอยู่ที่ว่าประตูที่เปิดทะลุกันระหว่างบ้านทั้งสองหลังมันปิดสนิท ทั้งประตูหน้าต่างที่เปิดออกสู่ภายนอกก็ปิดสนิททุกบานตั้งแต่หัวค่ำ ตอนนั้นฉันแน่ใจว่าเสื้อฝนกับผ้าบาติกผืนนั้นยังแขวนอยู่ที่เดิมตอนที่พวกเราลากลับ ถ้าอย่างนั้นนายปรเมศจะสามารถเข้ามาในบ้านเพื่อขโมยมันออกไปได้อย่างไร หรือถ้าไม่ใช่เขา คนที่อยู่ในบ้านหลังโน้นจะเข้ามาเพื่อเอามันออกไปได้อย่างไร หรือว่าผ้าผืนนั้นกลับเข้าแขวนไว้ที่เดิมได้ด้วยวิธีไหน ฉันยังมองไม่เห็นทางที่จะเป็นไปได้เลย" "แกอธิบายได้แจ่มแจ้งดีว่ะ งั้นขอถามสักหน่อยว่า แกสงสัยใครเป็นตัวการ?" "ฉันบอกไม่ได้ว่ะ เพราะฉันไม่รู้จักคนในบ้านทั้งสองหลังนี้ดีสักคน" ชนินทร์ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น ก่อนจะย้อนถามเพื่อน "แล้วแกคิดว่าใคร?" "ใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ฉันยืนยันว่าไม่ใช่คุณฉัตรกับคุณหนิงแน่นอน" ชนินทร์หรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างเยาะ ๆ "ฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมแกถึงปกป้องสองพี่น้องนัก" "ไอ้นินทร์ แกพูดอะไร? แกก็เห็นอยู่แล้วว่าคุณฉัตรเขาไม่มีวันทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรคนอย่างคุณฉัตรไม่มีทางทำเรื่องร้าย ๆ แบบนี้ได้หรอก" "แกรู้จักเขามานานขนาดไหน ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ" สายตาของชายหนุ่มเป็นเชิงตำหนิ "รู้ไหมว่าข่าวการตายของเภตราต้องเป็นข่าวดังแน่นอน แล้วที่แกเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องแบบนี้ มันคุ้มกันหรือ?" "จะรู้จักกันนานแค่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก ฉันรู้แต่ว่าคุณฉัตรเขาเป็นคนดี" กริยาท่าทางของธราดลเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม "ไม่ว่าแกจะว่าฉันอย่างไรก็ตาม ฉันต้องการจะคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย" "แกคิดจะทำอะไร?" ชนินทร์ถามทั้งที่รู้คำตอบของอีกฝ่ายดีอยู่แล้ว ธราดลมักจะทำอะไรโดยทุ่มสุดตัวเสมอ ไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมาสักนิดเดียว "ฉันอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ไม่ใช่ที่โรงแรม แต่เป็นที่บ้านหลังนี้" ชนินทร์ถอนหายใจยาวด้วยความหนักใจ "แกอยู่ที่นี่แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา?" "บอกแกตามตรงว่า ฉันไม่ค่อยสบายใจนัก ฉันคิดว่าใครสักคนพยายามจะดึงคุณฉัตรเข้าไปพัวพันกับเรื่องฆาตกรรม เหมือนจะใส่ร้ายให้กับเขา สาเหตุอาจมาจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพราะคุณฉัตรเขาเพิ่งจะได้รับมรดกมาจากลุงเมื่อไม่นานนี่เอง" "อ๋อ เรื่องมรดกนี่ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน เพราะนายกมลเขาก็มีชื่อเสียงพอตัวเหมือนกัน เมื่อเขาตายแล้วยกมรดกให้หลานชายที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ชาวบ้านก็ซุบซิบกันเป็นธรรมดา ฉันได้ยินมาว่าคุณกมลยกมรดกทั้งหมดให้หลานชายคนนี้เพียงคนเดียว" "ใช่ คุณหนิงไม่มีส่วนในมรดกนี้เพราะคุณกมลไม่ไว้ใจนายสิปนนท์ที่เป็นสามี ส่วนเรื่องที่ลุงกับหลานไม่เคยพบหน้ามาก่อนนั่นไม่จริง เพราะคุณลุงกมลเคยพบกับคุณฉัตรมาแล้ว และท่านก็ยังให้คนคอยติดตามพฤติกรรมของคุณฉัตรให้ท่านทราบตลอดมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งท่านก็พอใจหลานชายคนนี้มาก จึงได้ยกมรดกให้กับคุณฉัตร แต่ถ้าคุณฉัตรเกิดมีอันเป็นไป มรดกครึ่งหนึ่งจะตกเป็นของคุณหนิง ส่วนอีกครึ่งก็แบ่งกันระหว่างปรเมศ แม่ของเขา แล้วก็น้า" "แล้วไง?" "ฉันไม่อยากปล่อยให้คุณฉัตรกับน้องอยู่ในบ้านกันโดยมีเจ้าสิปนนท์อยู่ด้วย บอกตามตรงก็ได้ ฉันสงสัยว่าเจ้าสิปนนท์จะเป็นตัวการเรื่องนี้ ถ้าหากว่าฆาตกรเป็นสิปนนท์จริง ขั้นต่อไปเขาต้องคิดกำจัดคุณฉัตรอย่างแน่นอน และเมื่อเขาได้เงินมรดกมาแล้ว เขาก็คงไม่ปล่อยคุณหนิงไว้แน่" ชนินทร์มองหน้าเพื่อนสนิทอย่างสมเพช ก่อนจะพูดอีกเรื่องหนึ่งที่เขาคิดว่ามันอาจจะเกี่ยวโยงกัน "ฉันยังไม่ได้บอกอะไรแกเรื่องหนึ่ง ฉันเจอยายเภตรานี่เมื่ออาทิตย์ก่อน" "เห็นเภตราเขาก็บอกอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หรือ?" "เขามาพูดกับฉันเรื่องถูกขู่กรรโชกทรัพย์ เธอบอกว่าถ้าไม่ใช่นายสิปนนท์ก็คงเป็นนายปรเมศ เพราะว่ามีแต่ผู้ชายสองคนนี้เท่านั้นที่รู้เหตุการณ์ที่นำมาใช้อ้างในการขู่เข็ญ เมื่อวานตอนที่ฉันเดินเล่นที่ชายหาดก็เจอเภตรา ฉันเลยบอกไปว่าเจอเจ้าสิปนนท์ที่นี่ เธอเลยบอกว่าจะไปเปิดฉากเจรจากับเจ้าสิปนนท์ให้รู้เรื่องกันไป" "แล้วเขาไปคุยกันจริงหรือเปล่า?" "เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ แต่ทั้งคู่เจอกันแล้วที่บ้านริมอ่าว แล้วพูดคุยกันตอนที่เราไปปิคนิคที่ชายหาด แต่ว่าเภตราไม่มีโอกาสจะได้พูดกับสิปนนท์ตามลำพัง" "ถ้าอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมที่เภตราจะหาทางพูดกับสิปนนท์เมื่อคืนที่ผ่านมา" "อาจจะเป็นอย่างนั้น" "แล้วอย่างนั้นทำไมสิปนนท์ถึงได้ฆ่าเภตราล่ะ? ในเมื่อเขาขู่เข็ญเอาเงินจากเธอ เขาย่อมเป็นฝ่ายได้ประโยชน์" "เภตราอาจจะขู่ว่าจะแจ้งตำรวจก็ได้ เห็นเธอบอกว่าจะยกเรื่องตำรวจมาขู่ให้นายสิปนนท์กลัว จะได้ไม่กล้ามารบกวนอีก" "เท่าที่ฟังที่แกพูด ฉันว่าฆาตกรต้องเป็นเจ้าสิปนนท์แน่" "แกจะสรุปอะไรง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก ฟังนะไอ้ดล คนที่มีเหตุจูงใจที่จะฆ่าเภตราหรือใส่ร้ายคุณฉัตรของแกน่ะมีอีกหลายคน อย่างนายปรเมศนั้นเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง ตอนนั้นเภตราแกล้งเขาด้วยการหันไปทำความสนิทสนมกับผู้ชายอื่นให้บาดหูบาดตา ส่วนจิตติกาก็กลัดกลุ้มเรื่องที่สามีกำลังบีบคั้นขู่เข็ญจะเอาเงินจากพี่ชายของหล่อน ตลอดเวลาที่ปิกนิค จิตติกาเอาแต่ซึมเซา ไม่พูดไม่จากับใคร นอกจากนี้นินนะก็ดูไม่มีความสุขเหมือนกัน เพราะเด็กคนนี้โตขึ้นมาพร้อมกันกับนายปรเมศ รู้สึกจะสนิทสนมยิ่งกว่าพี่น้องคลานตามกันมาด้วยซ้ำ เมื่อต้องมาทนเห็นคนที่ตนเองรักและนับถือถูกผู้หญิงปั่นหัว เขาก็ต้องขมขื่นเป็นธรรมดา รู้สึกว่านายปรเมศนี้มีฝีมือในเรื่องวาดรูปมากทีเดียว แต่มัวมาตามเภตราอยู่ เลยไม่ค่อยได้รับงาน เห็นว่าปฏิเสธงานใหญ่ ๆ ไปหลายหนเพราะผู้หญิงที่ชื่อเภตรานี่แหละ คนอื่นในบ้านคือคุณดารณีกับคุณทิพย์วัลย์นั้นเคยหวังว่าจะได้มรดกจากนายกมล แต่เมื่อผิดหวังก็แสดงออกเอามาก ๆ ว่าไม่พอใจ" "แสดงว่าทุกคนในบ้านต่างก็มีเหตุที่จะฆ่าเภตราทั้งนั้นน่ะสิ" ธราดลครางอย่างอ่อนใจ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นกระตือรือร้น "แล้วแบบนี้จะให้ฉันอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร ในเมื่อคุณฉัตรตกอยู่ในกลุ่มของคนที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้ายคนดี ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะมาพักที่นี่จนกว่าจะจับตัวฆาตกรได้" ชนินทร์พูดอะไรไม่ออก ได้แต่นึกเจ็บใจที่ไม่น่าบอกรายละเอียดให้เพื่อนสนิทรู้ ถ้าธราดลคิดจะพักอยู่ที่นี่ เขาก็จำเป็นต้องอยู่ด้วย เพราะถ้าขืนธราดลเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นความผิดของเขาส่วนหนึ่ง *****
|