ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Within Your Eyes (6) by...Rai ชนินทร์ ธราดล และเด็กหญิงจีน่ากลับไปที่โรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋าย้ายมาพักที่บ้านริมอ่าวแทน ฉัตรสิริจัดห้องพักให้ทั้งสามคนอยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามกับเขา เย็นวันนั้นหลังจากรับประทานอาหารเย็นและพูดคุยสนทนากันเล็กน้อย ทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนในห้องของแต่ละคน ป้าสวาดยกข้าวต้มเดินมาให้นินนะถึงห้อง ทั้งที่หญิงสูงวัยไม่ค่อยได้เฉียดกรายมายังบ้านอีกฝั่งเลย นับตั้งแต่ฉัตรสิริมาอยู่ที่นี่ "วันนี้คุณไม่ได้กินข้าวเลย รู้ไหมคะว่าอิฉันเป็นห่วง" "ป้าคิดว่าพี่เมศจะเป็นอะไรหรือเปล่า?" นินนะถามความเห็นอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบเครือ หญิงสูงวัยมองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจ "เรื่องนี้อิฉันไม่ขอพูดล่ะค่ะ แต่ถ้าคุณไม่กินอะไรเลย คุณนั่นแหละที่จะแย่" นินนะนั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไร หญิงแม่ครัวมองหน้าอีกฝ่ายแล้วถอนใจ "อิฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงคุณเมศ ป้าก็ห่วงเขาเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ห่วง แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะคะตอนนี้" "พี่เมศไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องร้าย ๆ แบบนี้แน่นอน" นินนะเอ่ยเหมือนพูดกับตัวเอง "อิฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้คุณเมศก็ไม่อยู่มาแก้ข้อกล่าวหานี่คะ" "แล้วป้าคิดว่าพี่เมศจะ " เด็กหนุ่มชะงักคำพูดร้าย ๆ นั้นไว้ในลำคอ "จะเป็นอะไรหรือเปล่า?" "เราอย่าไปคิดอะไรล่วงหน้าเลยค่ะ คิดเรื่องร้าย ๆ ใจคอจะพาลห่อเหี่ยวเสียเปล่า ๆ อิฉันว่าคุณกินอะไรสักหน่อยดีกว่า" หญิงแม่ครัวตัดบท ก่อนจะทำเสียงแข็ง "ถ้าคุณไม่กิน อิฉันไม่ไปไหนแน่" นินนะมองหน้าจริงจังของหญิงตรงหน้า คิดว่าอีกฝ่ายคงทำอย่างที่พูดแน่ เด็กหนุ่มจึงจำใจกินข้าวต้มชามนั้นจนหมด "ต้องอย่างนี้สิคะคุณ" ป้าสวาดชมก่อนจะยกชามข้าวออกไป นินนะนั่งอยู่ในท่าเดิมไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ยิ่งนึกถึงปรเมศก็ยิ่งให้ปวดร้าว เขาไม่เคยคิดว่าการลาจากกันจะทำให้เกิดความเจ็บช้ำได้ถึงเพียงนี้ ยามที่เขาเห็นปรเมศอยู่เคียงข้างกับเภตรา ตอนนั้นก็คิดว่าหัวใจของเขาเจ็บเสียเหลือเกิน แต่ยามนี้ที่เขาคิดว่าจะไม่ได้เห็นญาติผู้พี่อีกต่อไป หัวใจเขาเหมือนกับจะแตกสลายไปเสียแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายระหว่างเขาและปรเมศ แม้จะเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ในยามที่ปรเมศเกิดความรู้สึกเหงาและอ้างว้าง แต่นินนะก็ไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรมากไปกว่านั้น เขาไม่ได้คิดจะจับจองอีกฝ่ายไว้เป็นของตน เพราะรู้ดีว่าในวันข้างหน้าปรเมศอาจจะได้พบกับคนที่ดีและเหมาะสมกับตนเอง และเขาเตรียมใจไว้แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง แต่เขาไม่ได้เตรียมใจกับการจากไปอย่างชั่วนิรันดร์แบบนี้ นินนะรู้สึกไม่สบายใจเสียจนไม่อาจนั่งเฉยได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มเดินลงจากห้องไปยังหน้าบ้าน สายลมเย็นปะทะผิวจนต้องห่อตัว แต่ความหนาวเหน็บในใจกลับมีมากกว่า ก่อนหน้านี้เขายังมีปรเมศเป็นที่พักพิงทางใจ แต่ตอนนี้เขาไม่มีใครสักคนเดียว ความคิดของนินนะสะดุดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังย่ำมาจากอีกด้านหนึ่งของตัวบ้าน เสียงฝีเท้านั้นแผ่วเบา เดิน ๆ หยุด ๆ ไม่สม่ำเสมอ ถ้าไม่ตั้งใจฟังดี ๆ ย่อมไม่ได้ยินแน่นอน เด็กหนุ่มเพ่งตามองไปยังจุดที่เกิดเสียง ร่างใครคนหนึ่งเคลื่อนออกมาจากใต้เงาสลัวของแนวต้นไม้ นินนะจำเงาร่างนั้นได้ไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะมืดมิดสักเพียงใด ขอเพียงแต่เห็นโครงร่างนั้นผ่านตา เขาย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เด็กหนุ่มวิ่งโผเข้าไปกอดร่างนั้นไว้ พร้อมทั้งร้องเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด "พี่เมศ พี่เมศ" ร่างของชายหนุ่มเย็นเฉียบและสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนของนินนะ เสียงกระซิบเปล่งออกมาแหบพร่า "ฉัน ฉันกลับ มาแล้ว" นินนะกอดอีกฝ่ายไว้แน่น แน่นเท่าที่จะมีเรี่ยวแรงกอดเขาไว้ได้ "หนาว" ปรเมศพึมพำ "เข้าบ้านเถอะ " นินนะพยักหน้า ก่อนจะประคองชายหนุ่มเข้ามาในบ้าน ปรเมศทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หวายเก่า ๆ อย่างอ่อนแรง นินนะเดินเข้าไปในครัวชงเครื่องดื่มร้อน ๆ มาให้อีกฝ่าย ตลอดเวลาปรเมศนั่งนิ่งเงียบ เขาสวมเสื้อผ้าค่อนข้างคับและมอมแมม "ดื่มหน่อยนะพี่เมศ" ปรเมศขยับตัว ก่อนจะพูดขึ้นลอย ๆ เสียงเบา "จะกินไปทำไม" "พี่เมศกินอะไรมาบ้างหรือยัง" น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงหาและอาทร ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างอ่อนล้า "งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมอะไรหนัก ๆ ท้องให้ดีกว่า พี่เมศดื่มนี่ไปก่อนนะ" เด็กหนุ่มค่อย ๆ วางแก้วเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนที่นินนะจะขยับตัวกลับไปที่ครัวอีกครั้ง ปรเมศก็ผุดลุกขึ้นแล้วสวมกอดอีกฝ่ายไว้แน่น ซบหน้าลงกับไหล่ของญาติผู้น้องพร้อมสะอื้นอย่างหมดความอดทน แม้จะตกใจในท่าทีของอีกฝ่าย แต่นินนะก็ยังตั้งสติได้ เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อนหวานคล้ายจะปลอบโยน "พี่เมศอย่าร้องไห้เลยครับ ผมอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรพี่เมศหรอกครับ แต่พี่เมศ บอกผมหน่อยเถอะนะครับ ว่าพี่ไม่ได้เป็นคนทำ" ปรเมศเงยหน้าขึ้นจากบ่าของนินนะแล้วย้อนถาม "ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นหรือ?" แววตาของนินนะเชื่อมั่นในตัวของชายหนุ่มเต็มเปี่ยม "พี่เมศไม่ได้ทำเรื่องนั้นแน่ ใช่ไหมครับ แต่ว่าทำไมพี่ต้องหนีด้วย?" น้ำเสียงของปรเมศยังเลื่อนลอย "ไม่รู้ ฉันแค่อยากตาย" ชายหนุ่มซบหน้าลงบนไหล่บอบบางของญาติผู้น้องอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ร้องไห้ หากแต่พูดพึมพำ "เมื่อคืนนั้น ฉันนอนไม่หลับ เภตราจะแต่งงาน ทุกอย่าง จบสิ้นกันแล้ว พอเช้ามืดฉันลงไปที่ชายหาด จะไปว่ายน้ำ แต่ฉันเจอ เภตรานอนอยู่ตรงนั้น" ตัวของชายหนุ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอีก นินนะต้องกอดอีกฝ่ายแน่นเข้าจนอาการสั่นนั้นคลายลง "แล้วตอนนั้นคุณเภตราตายแล้วหรือครับ?" "ใช่ แต่ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้แต่ว่าตัวเองคุกเข่าอยู่ข้างตัวเภตรา จับตัวเธอไว้ มีแต่เลือด เลือดเต็มไปหมด" "พี่เมศไม่ได้เป็นคนทำร้ายคุณเภตราหรอกครับ" "ฉันไม่ทำยังงั้นรึ นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนอารมณ์ร้าย ฉันไม่เคยทำร้ายใคร ตราบใดที่ฉันยังมีสติ แต่ถ้าฉันไม่มีสติล่ะ ถ้าหากว่าฉันทนไม่ได้ ฉันอาจจะทำลงไปก็ได้ ฉันไม่รู้" น้ำเสียงของปรเมศเต็มไปด้วยความสับสน "พี่เมศแค่ตกใจมากเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรนะครับ" "ตอนนั้นฉันไม่อยากอยู่อีกต่อไป ฉันเลยว่ายน้ำออกไป ว่ายไปเรื่อย ๆ" "ผมนึกว่าพี่จมน้ำตายไปแล้วเสียอีก" นินนะเอ่ยคล้ายจะตัดพ้อ "ถ้าตายจริง ๆ คงจะดี" ปรเมศตอบอย่างเลื่อนลอย "คนอื่นคงคิดว่าฉันเป็นคนทำ" คล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก "แล้วใครฆ่า " "ตำรวจยังไม่รู้ครับ" "คงคิดว่าเป็นฉันแน่ ๆ" "เดี๋ยวตำรวจเขาคงสืบหาได้เองแหละครับ พี่เมศว่ายน้ำออกไป แล้วเป็นไงต่อครับ?" "ไปเจอเรือลำหนึ่ง มีคนอยู่ในเรือ เป็นผู้ชายคนหนึ่งกับเด็กอีกคน เขาเป็นคนดี ให้เสื้อผ้าฉันใส่ แล้วให้เงิน เขาเอาเรือมาส่งที่ชายฝั่ง แต่ฉันรอให้มืดเสียก่อนแล้วค่อยเดินกลับมาบ้าน" "ยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือครับ เดี๋ยวผมไปเตรียมอะไรให้พี่กินดีกว่า" เด็กหนุ่มทำท่าจะผละออกไป ปรเมศรวบข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น "นินนะ " เด็กหนุ่มยิ้มอ่อนโยน "ครับ ผมไม่ไปไหนหรอก จะอยู่กับพี่เมศครับ" ***** เก้าโมงเช้าวันต่อมา สารวัตรอนุสรณ์ก็มาถึงบ้านริมอ่าว พร้อมกับรายงานที่ได้รับจากลูกน้อง "นายปรเมศปรากฏตัวแล้วครับ เขากลับมาบ้านเมื่อคืนนี้ แล้วตอนเช้าก็โทรมาแจ้งให้เราทราบ บอกว่าเขาไปเจอศพหลังจากที่ผู้หญิงถูกฆ่าตายไปแล้ว แล้วตัวเองก็เลยว่ายน้ำออกไปไหนก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน คงจะไปฆ่าตัวตาย แต่ไม่ยักตายจริง" สารวัตรอนุสรณ์พยักหน้าหงึก "แล้วเรื่องเรือที่เขาบอกว่ารับเขาขึ้นไปน่ะ สืบได้ความว่ายังไง?" "ครับ เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง คนที่เจอกับนายปรเมศเป็นพ่อลูกคู่หนึ่ง เอาเรือออกไปเที่ยวกัน เจอนายปรเมศกำลังหมดแรงจวนเจียนจะจมน้ำตายห่างฝั่งไปราวสองกิโลได้" นายตำรวจหนุ่มลูบคางอย่างใช้ความคิด "อืมม์ อาจจะเป็นไปได้ว่านายปรเมศเจอศพผู้หญิงที่เขารักถูกฆ่าตาย ความเสียใจอาจจะทำให้เจ้าหนุ่มนี่คลุ้มคลั่งขึ้นมา เลยตัดสินใจฆ่าตัวตายตาม" "ถ้าอย่างนั้น ใครเป็นคนฆ่าผู้หญิงคนนั้นล่ะครับท่าน?" "ไม่รู้ว่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าน้ำหนักเหตุผลที่ว่านายปรเมศเป็นฆาตกรยังอ่อนไปหน่อย แต่ตอนนี้ฉันอยากสอบปากคำคนที่เปิดประตูรับนายปรเมศเข้าบ้าน ชื่อนินนะใช่ไหม?" ***** สารวัตรอนุสรณ์นึกเปรียบเทียบภาพของเด็กหนุ่มเมื่อวานกับวันนี้แล้วก็เห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะเมื่อวานนี้นินนะเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและโศกเศร้า แต่วันนี้กลับสดใส นัยน์ตากลมโตที่มองสบกับเขานั้นเป็นประกายแจ่มใส "ช่วยเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังอีกครั้งได้ไหม?" "ครับ พี่เมศกลับมาที่บ้าน" "แล้วคุณทราบล่วงหน้าหรือเปล่า?" เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ "ไม่ครับ ตอนแรกผมคิดว่าเขาตายไปแล้วเสียอีก" "คุณเป็นคนเปิดประตูรับไม่ใช่หรือครับ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขากลับมา?" "ผมนอนไม่หลับ เลยออกไปนั่งเล่นนอกบ้าน ได้ยินเสียงเขาเดินมาตามถนน" "ท่าทางเขาเป็นยังไง?" "อ่อนเพลียมากครับ เพราะเดินมาจากในเมือง แล้วก็ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน" "แล้วเขาเล่าให้ฟังหรือเปล่าว่าเขาไปทำอะไรมา?" นินนะพยักหน้ารับ "เล่าครับ" "งั้นช่วยเล่าให้ฟังหน่อย" คำพูดของเด็กหนุ่มเกือบไม่มีคำไหนผิดเพี้ยนไปจากข้อความคำให้การของปรเมศในกระดาษที่ท่านสารวัตรถืออยู่ในมือ "คุณโตมาพร้อมกับคุณปรเมศใช่ไหม?" สารวัตรอนุสรณ์จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง "ครับ" "คุณสนิทกับเขามากใช่ไหม?" คำถามนี้นายตำรวจถามขึ้นด้วยนัยที่ผู้ถามรู้ดีอยู่แล้ว เรื่องของนินนะและปรเมศเป็นที่พูดกันอย่างสนุกปากของคนที่รู้จัก แม้แต่คุณดารณีและคุณทิพย์วัลย์ต่างก็ยืนยันในความสนิทสนมของคนทั้งคู่ด้วยท่าทีขยะแขยง แต่นินนะก็ตอบคำถามนั้นอย่างเต็มปากเต็มคำ "ครับ" "แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาพูดความจริงหรือเปล่า?" สีหน้าของนินนะเข้มขึ้นเล็กน้อย เสียงที่พูดก็ดังขึ้นด้วย "พี่เมศไม่ใช่คนโกหกครับ" "ถ้าหากว่าเขาพูดโกหก คุณจะรู้ได้อย่างไร?" "พี่เมศไม่เคยพูดโกหก เขาไม่ใช่คนแบบนั้น เขาพูดแต่ความจริงตลอด นิสัยของพี่เมศเป็นแบบนั้น" "ตอนที่เขาเล่าถึงคุณเภตรา เขาเสียอกเสียใจมากหรือเปล่าครับ?" "ครับ เขาต้องเสียใจมาก ก็เขาสนิทกับเธอ พอไปเจอศพก็ต้องเสียใจ" "ก็จริง ถ้าเป็นเพื่อนฝูงกัน เวลาไปเจอศพก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา แล้วตอนที่เขาเล่าเรื่องให้คุณฟังนี่ เขาอยู่ในอาการเสียอกเสียใจมากอย่างนี้น่ะหรือ?" "ครับ" "แล้วคุณคิดว่าเขาไม่ได้เสแสร้งหรอกหรือ?" ใบหน้าของนินนะแสดงอาการขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด "ผมรู้ว่าพี่เมศพูดความจริงครับ คนอย่างพี่เมศทำร้ายใครไม่ได้หรอกครับ เขาเป็นคนอารมณ์ร้ายก็จริง แต่เป็นประเภทโกรธง่ายหายเร็ว เขาอาจจะปึงปังออกมาเวลาโกรธ แต่ไม่เคยทำร้ายใครจริง ๆ สักคน ใคร ๆ ก็ชอบพูดว่าเขาร้าย แต่ไม่มีใครรู้ว่าตัวจริงเขาเป็นอย่างไร แล้วผมจะบอกอะไรสารวัตรอีกอย่างนะครับ สมมุติว่าพี่เมศทนกับสิ่งที่คุณเภตราทำกับเขาไม่ไหว แล้วพลั้งมือทำอะไรลงไปเพราะโทสะ เช่น ผลักคุณเภตราตกบันไดโดยไม่ตั้งใจ แต่พี่เมศจะไม่มีวันตามลงไปแล้วใช้ก้อนหินทุบหัวเธอซ้ำจนตายหรอกครับ" "ขอบคุณครับ คุณนินนะ ผมแค่อยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ เพราะเห็นคุณสนิทกับเขามาก" "ผมพูดความจริงทั้งหมดครับ ไม่ได้ปั้นเรื่องขึ้นมาแม้แต่คำเดียว" สารวัตรอนุสรณ์ทบทวนคำให้การของนินนะอย่างละเอียด ด้วยประสบการณ์ที่ได้เจอกับคนร้ายที่โป้ปกมดเท็จมามาก เขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้โกหกแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่ปรเมศ แล้วใครล่ะที่จะเป็นฆาตกร เมื่อธราดลเล่าเรื่องการขู่กรรโชกเภตราให้นายตำรวจฟัง สารวัตรอนุสรณ์ถึงกับต้องการหาตัวสิปนนท์กลับมาสอบปากคำเพิ่มเติมทันที แต่ไม่มีใครสามารถพบตัวชายหนุ่มเลย ***** สิปนนท์กลับมาถึงบ้านในตอนเช้าวันถัดมา เงินที่ได้จากฉัตรสิริเกลี้ยงกระเป๋าไปแล้ว ชายหนุ่มจึงต้องกลับมายังสถานที่เดียวที่จะกินอยู่หลับนอนได้โดยไม่ต้องเสียเงิน แถมบางทีอาจจะได้เงินอีกด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจที่มีคนเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านเพิ่มขึ้น ทำให้เขาทำอะไรในบ้านไม่ใคร่สะดวกนัก โดยเฉพาะเมื่อคิดจะพูดคุยกับจิตติกาตามลำพัง เพราะตั้งแต่เขากลับมาจนกระทั่งถึงตอนกลางวันหญิงสาวมักจะขลุกอยู่กับเด็กหญิงจีน่าบ้าง พี่ชายของหล่อนบ้าง หรือไม่ก็รวมกลุ่มสนทนากับชายหนุ่มที่เป็นแขกทั้งสองคน จนกระทั่งหลังรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ฉัตรสิริก็ออกไปที่ชายหาดกับธราดลและน้องจีน่า ส่วนจิตติกาก็กลับขึ้นไปยังห้องนอนโดยไม่อยู่พูดคุยกับเขา ด้วยเหตุนี้สิปนนท์จึงดูงุ่นง่านและขัดหูขัดตายิ่งนัก ชายหนุ่มอดเปรยเสียงดังกับชนินทร์ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถงตามลำพังไม่ได้ "คุณนินทร์ไม่รู้สึกแปลก ๆ หรือครับ ท่าทางพี่ฉัตรกับคุณดลน่ะ" ชนินทร์เงยหน้ามองคนถามอย่างยิ้ม ๆ "มีอะไรหรือครับ?" "ที่จริงผมก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากหรอกครับ เพราะยังไงคุณดลเขาก็เป็นเพื่อนของคุณ" สิปนนท์ทำหน้าแปลก ๆ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าชนินทร์เป็นเพื่อนสนิทของธราดล ทำให้เรื่องที่คิดจะพูดต้องถูกกลืนหายไปในลำคอ ก่อนจะเปลี่ยนหัวเรื่องจากเดิมไปเล็กน้อย "แต่ผมว่าพี่ฉัตรนี่ค่อนข้างจะแปลกนะครับ ทั้งที่เพิ่งจะเกิดเรื่องฆ่ากันตายไปหยก ๆ ยังจะชวนคุณดลกับคุณมาพักกันเต็มบ้านอีก" "เรื่องแบบนี้ต้องเห็นใจคุณฉัตรเขาหน่อยครับ เจอเรื่องแบบนี้ควรจะมีเพื่อนมาคอยให้กำลังใจ โดยเฉพาะคุณหนิงท่าทางจะเสียขวัญมาก" "เรื่องพรรค์นี้ไม่ว่าใครก็ตกใจด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่หนิงเขาจะต้องเป็นกรณีพิเศษนี่ครับ พูดยังกับว่าหนิงกับคุณเภตราเป็นเพื่อนรักกันอย่างนั้นแหละ ความจริงสองคนนี้แทบจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ใครตายไปเสียคน อีกคนเขาไม่กระทบกระเทือนหรอก" "คุณพูดอย่างนี้เหมือนกับคิดว่ามีเบื้องหลังอย่างอื่นแอบแฝงหรือครับ?" "เปล่า ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น อย่างหนิงนี่อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย ฆ่าแมลงยังแทบไม่อยากทำ ถ้าใครคิดว่าหนิงฆ่าเภตราก็บ้าไปแล้ว ผมหมายความว่าหนิงเขาไม่ชอบเภตรา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่ชอบเภตราทั้งนั้นแหละ เพราะชอบแย่งคู่รักคนอื่นอยู่เรื่อย ก็ต้องเกิดการอิจฉาริษยากันเป็นธรรมดา ส่วนนายปรเมศนี่ก็แปลก ตั้งใจจะฆ่าตัวตาย แล้วจู่ ๆ ก็กลับมา แล้วตำรวจทำไมถึงไม่จับเขาในฐานะผู้ต้องหาล่ะ?" "บางทีตำรวจอาจจะคิดว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอก็ได้ครับ" "ผมถึงว่ามันพิลึกไงล่ะ" "คุณพูดเหมือนกับเชื่อว่าปรเมศฆ่าเภตราอย่างนั้นแหละ" "ลองไปถามคนอื่นก็รู้แล้วว่าเขาคิดอย่างนี้หรือเปล่า" ***** เมื่อตำรวจรู้ว่าสิปนนท์กลับมาที่บ้านแล้ว สารวัตรอนุสรณ์ก็ตรงดิ่งมาสอบปากคำชายหนุ่มทันที "ถ้าหมอนี่ไม่ใช่คนเหลี่ยมจัด ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาไม่รู้เรื่องราวอะไรจริง ๆ มั้งครับ" นายตำรวจผู้ช่วยเปรยขึ้นกับท่านสารวัตรขณะขับรถไปยังบ้านริมอ่าว "เขาเป็นนักแสดงนะ อย่าลืม" "ก็แค่นักแสดงตัวประกอบ ไม่มีชื่อเสียงอะไรนี่ครับ" "ใครจะรู้ บางทีหมอนี่อาจจะเล่นบทบาทนอกจอ ได้แนบเนียนกว่าในจอก็ได้ ท่าทางไม่ได้ตื่นเต้นประหม่าอะไรเลยไม่ใช่หรือ? คิดดูสิ เขาขู่เอาเงินจากผู้หญิงคนหนึ่ง จู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นถูกฆ่าตาย แต่พอตำรวจมาสอบสวนกลับไม่ตกประหม่าหรือหวาดผวาบ้างเลย แต่เราเองก็ยังไม่ได้สืบเรื่องที่หมอนั่นขู่เอาเงินจากเภตราว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ได้ยินแต่จากปากของคุณธราดลมาเท่านั้น" เมื่อถึงบ้านริมอ่าว สารวัตรอนุสรณ์ก็เริ่มต้นสอบปากคำสิปนนท์ทันที เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเภตรา ชายหนุ่มก็ตอบอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา "ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เราเคยแสดงละครร่วมกันหลายปีมาแล้ว แล้วก็เคยเจอกันบ้าง ก็คบหากันอย่างเพื่อนแหละครับ" "คุณมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับเธอหรือเปล่า?" นายตำรวจถามอย่างไม่อ้อมค้อม "ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับ?" สิปนนท์อุทานเสียงสูงอย่างตกใจ "แล้วจริงหรือเปล่า?" "ไม่มีอะไรเลยครับ ผมสาบานได้เลยว่าไม่เคยมีอะไรกับเภตราเลย เป็นแค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น" "แล้วเคยมีเรื่องโกรธเคืองกันบ้างหรือเปล่า?" "เปล่านี่ครับ เราไม่เคยมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจอะไรเลย" "แม้แต่เรื่องรีดไถเอาเงินอย่างนั้นหรือ?" สีหน้าของสิปนนท์เปลี่ยนเป็นตกตะลึง "ท่านสารวัตรพูดว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ถนัด" "ผมพูดว่า รีดไถเอาเงิน" สารวัตรอนุสรณ์เอ่ยย้ำ "ผมไม่รู้ว่าท่านสารวัตรพูดถึงเรื่องอะไร" "เภตราได้รับจดหมายสองฉบับและโทรศัพท์ลึกลับอีกหนึ่งครั้ง ขู่เอาเงินจากเธอ มิฉะนั้นจะเปิดเผยเรื่องส่วนตัวบางเรื่องให้คู่หมั้นของเธอรู้" "ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย" สีหน้าของสิปนนท์ยังไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย "เภตราแน่ใจว่าคุณเป็นคนส่งจดหมายขู่ไปให้เธอ เพราะเหตุการณ์ที่อ้างถึงในจดหมายนั้นเป็นเหตุการณ์ที่มีแต่คุณกับคุณปรเมศเท่านั้นที่รู้" "แล้วทำไมท่านสารวัตรไม่สงสัยนายปรเมศล่ะครับ?" "เพราะเภตราได้บอกกับคนคนหนึ่งไว้ว่าเธอตั้งใจจะคุยกับคุณเรื่องนี้ที่บ้านริมอ่าวก่อนจะกลับกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น และคิดจะจ่ายเงินให้คุณสองหมื่นเพื่อตัดความรำคาญ ถ้าหากคุณยังไม่ยอมรีดไถ เธอก็จะไปแจ้งความกับตำรวจ หลังจากที่เราสอบปากคำคนในบ้านแล้วก็พบว่า ตั้งแต่คุณมาถึงที่นี่ คุณยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเภตราตามลำพังเลยเพราะเขามีปิกนิคกันที่ชายหาด ในเมื่อเภตราตั้งใจว่าจะต้องพูดเรื่องนี้กับคุณให้ได้ เธอก็ต้องทำในตอนกลางคืน เราคิดว่าเธอออกจากบ้านไปกลางดึกเพื่อจะพบกับใครสักคนที่ลานหินตรงระเบียง จากหลักฐานแวดล้อมที่เราสรุปมาได้ เราคิดว่าคนคนนั้นไม่น่าจะเป็นใครอื่นได้อีก นอกจากคุณ" สีหน้าของสิปนนท์ซีดเผือด "ไม่ใช่ครับ ไม่จริง ผมไม่มีวันออกไปพบเภตราเขากลางดึกแน่ จะออกไปทำไมกัน ถ้าเภตรามีเรื่องจะพูดกับผม เราไปพูดกันในรถก็ได้ คือเราจะออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกันครับ" "หมายความว่าคุณกับเภตราตกลงกันว่าจะออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกันในตอนเช้าวันศุกร์อย่างนั้นหรือ?" "ครับ เภตราเป็นคนชวนผมเอง เธอรู้ว่าผมต้องไปเข้ากล้องที่กรุงเทพฯ เธอก็บอกว่าจะกลับกรุงเทพฯ เหมือนกัน แล้วก็ชวนให้ผมนั่งรถกลับไปกับเธอครับ เพราะเธอมีเรื่องจะพูดกับผมด้วย แต่ตอนนั้นผมไม่รู้นะครับว่าเภตราเขาคิดว่าผมรีดไถเขาอยู่ ถ้ายังไงท่านลองไปถามพวกที่อยู่ในบ้านนี้ได้เลยครับว่าตอนปิกนิกกันน่ะ ผมกับเภตราคุยเรื่องอะไรกันบ้าง เราสนิทกับจะตายไปครับ ถ้าหากเภตราคิดว่าผมขู่เอาเงินจากเธอ เรื่องอะไรเธอจะมาคุยจ้อกับผมอย่างนั้นล่ะครับ ทุกคำที่ผมพูดมานี่เป็นความจริงทั้งหมดครับ สาบานได้" ***** สิปนนท์เคาะประตูเรียกผู้เป็นภรรยาอย่างเร่งร้อน "หนิง เปิดประตูหน่อย ผมมีเรื่องจะพูดด้วย" จิตติกาเดินมาที่ประตูห้องนอนอย่างเชื่องช้า แล้วปลดล๊อคก่อนจะเปิดประตูรับอีกฝ่าย หญิงสาวก็มีเรื่องที่จะต้องพูดกับสามีเช่นกัน "ตำรวจหาว่าผมฆ่าเภตรา" ชายหนุ่มโพล่งออกมาเป็นประโยคแรกหลังจากเห็นหน้าภรรยา "แล้วนนท์ไม่ได้ฆ่าเขาหรอกหรือ?" "จะบ้าแล้วหรือไง?" สิปนนท์อุทาน น้ำเสียงบ่งบอกความตกใจ "นนท์เป็นคนฆ่าเขา ไม่ใช่หรือ?" หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ "หนิงเห็น" "นี่เธอจะบ้าแล้วหรือไง?" "หนิงเห็นจริง ๆ" "ไม่มีทาง หนิงเห็นผมทำอะไรมิทราบ" "เมื่อคืนวันพฤหัสหนิงนอนไม่หลับ หนิงได้ยินเสียงนนท์เดินออกมาจากห้องนอน หนิงเลยลุกขึ้นฟัง กลัวว่านนท์จะเข้ามาในห้อง แต่ว่านนท์ก็เดินผ่านไป ได้ยินเสียงนนท์เดินลงบันไดไปข้างล่าง หนิงออกมาชะโงกมองจากราวบันได คุณลงไปเปิดประตูที่ทะลุระหว่างบ้านนี้กับบ้านโน้น เปิดให้คุณเภตราเข้ามา" "หนิง!!" ชายหนุ่มอุทานเสียงดัง "นนท์หยิบเสื้อคลุมกันฝนของพี่ฉัตรจากที่แขวนมาสวมให้คุณเภตรา" "แปลว่านนท์ขู่เอาเงินจากคุณเภตราจริง ๆ น่ะสิ" "ทำไมต้องเรียกให้น่าเกลียดด้วยนะ เภตราเขาจะแต่งงานกับเศรษฐี เงินแค่นี้ไม่มีความหมายอะไรหรอก ผมจะพูดต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ได้ แล้วก็ไม่มีโอกาสจะพูดตามลำพัง เพราะเจ้าปรเมศมันคอยคุมเภตราแจ ถึงต้องนัดกันว่าจะพูดกันตอนดึก ทีแรกก็ว่าจะให้เภตราเขาเข้ามาพูดกันในบ้าน แต่ผมเห็นว่ามันไม่ปลอดภัย เผื่อหนิงยังนอนไม่หลับ หรือว่าตื่นลงมาเจอจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่" "ใช่หนิงนอนไม่หลับ แล้วก็เห็นนนท์กับคุณเภตราจริง ๆ" "แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาหึงหวงอะไรกันเลย เพราะผมสาบานได้เลยว่าระหว่างผมกับเภตราไม่มีเรื่องชู้สาวกันจริง ๆ" "เล่าต่อไปสิ" "พอผมเปิดประตูให้เภตราเข้ามา แล้วคิดถึงเรื่องที่คุณหรือใคร ๆ อาจจะเดินลงมาเจอพวกเรา ผมก็เลยบอกกับเภตราให้ออกไปพูดกันข้างนอก แล้วผมก็หยิบเสื้อคลุมให้สวม เผื่อใครมองออกไปทางหน้าต่างจะได้มองไม่ถนัดว่าเป็นใคร ทีนี้เสื้อคลุมของคนอื่นก็ตัวเล็กไป ผมเลยให้เภตราใช้เสื้อคลุมของพี่ฉัตร แล้วเราก็เดินออกไปทางห้องทำงานแล้วลงไปที่ระเบียง" "หนิงเห็นแล้ว" "ไม่เห็นจะต้องตามออกไปด้วยเลยนี่นะ ไม่มีเรื่องอย่างที่เธอคิดสักนิดเดียว" "หนิงไม่ได้ตามคุณออกไป หนิงกลับขึ้นไปบนห้องนอน แต่เห็นนนท์กับคุณเภตราทางหน้าต่าง นนท์ฉายไฟฉายตอนก้าวลงบันไดจากบ้านลงไปที่สวน คุณเภตราคลุมผ้าคลุมผมมิดชิดก็จริง แต่ไฟฉายส่องให้เห็นผ้าคลุมผมสีฟ้าถนัดทีเดียว เธอไม่ควรหยิบฉวยของของพี่ชายฉันไปโดยพลการ" "ย้ำแต่เรื่องนี้อยู่ได้ ห่วงแต่ผ้าของพี่ชายตัวเอง เหมือนคนปัญญาอ่อนไม่มีผิด" "เล่าต่อไปสิ" จิตติกาเอ่ยเสียงเรียบ "ก็อย่าขัดคอบ่อยนักสิ ที่ขอบระเบียงมีม้านั่ง เราก็เลยไปนั่งคุยกันที่นั่น คืนนั้นอากาศไม่ค่อยหนาว เภตราเลยถอดเสื้อคลุมออก ตอนนั้นไม่มีใครอยู่แถวนั้นสักคน เราพูดกันอยู่นาน แต่ไม่ไหว เภตราไม่ยอมฟังกันบ้างเลย เอาแต่ขู่ว่าจะไปแจ้งความ แต่ผมรู้ทันว่าหล่อนไม่มีวันกล้าทำหรอก เพราะถ้าเรื่องนี้เป็นข่าวออกไป นายเศรษฐีนั่นต้องถอนหมั้นหล่อนแน่ เราก็โต้เถียงกันอยู่พักหนึ่ง เภตรายอมอ่อนข้อให้เงินผมสองหมื่น โธ่เอ๋ย จะไปพออะไรกัน ผมก็เลยบอกว่าไม่เอา แล้วเดินกลับเข้ามาในบ้าน" "นนท์ฆ่าคุณเภตราหรือเปล่า?" จิตติกาถามตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม "เปล่า เรื่องอะไรผมจะฆ่า ก็ตอนเช้าเราจะเดินทางไปพร้อมกัน ถ้าหากว่าเภตรายังไม่ยอมเปลี่ยนใจให้เงินผมห้าแสนล่ะก็ ผมก็จะไปหาคู่หมั้น ไปแสดงความเห็นใจว่าเขาเป็นคนดี ไม่ควรถูกผู้หญิงเลว ๆ หลอกปั่นหัว ขี้คร้านนายคนนั้นจะถอนหมั้นแทบไม่ทัน เภตราเองก็รู้ คิดเสียคืนหนึ่งก็คงจะยอม ผมก็เลยเดินขึ้นบ้านก่อน ให้หล่อนคิดตามสบาย" จิตติกายังคงมองหน้าสามีอย่างไม่เชื่อถือแม้แต่น้อย "แต่ว่ามีคนเอาผ้าผืนนั้นเข้ามาในบ้าน หลังจากคุณเภตราถูกฆ่า" "ใครก็ไม่รู้ แต่ว่าไม่ใช่ผมก็แล้วกัน ผมกลับเข้าบ้านแล้วก็ขึ้นนอน ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าเภตราตาย จนเช้านั่นแหละถึงได้รู้" หญิงสาวนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสนใจ "แล้วใครปิดประตูใส่กลอนห้องทำงานเอาไว้อย่างเก่า" สิปนนท์ทำหน้านิ่ว "ผมไม่ได้ปิด ผมเปิดทิ้งเอาไว้เพื่อให้เภตรากลับเข้าบ้านได้" "แต่ว่าตอนเช้า ประตูปิดใส่กลอนตามเดิมเหมือนตอนหัวค่ำ" จิตติกาย้ำ "แล้วผ้าผืนนั้นก็กลับมาแขวนที่เก่า มันกลับเข้ามาได้ยังไงคะนนท์?" "ไม่รู้" สิปนนท์ตอบอย่างหงุดหงิด "อย่าถามนักได้ไหม คิดให้มันได้อะไรขึ้นมา" "ให้หนิงหยุดคิดไม่ได้หรอก คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก เพราะประตูที่เปิดทะลุไปถึงบ้านทางด้านโน้นก็ใส่กลอนไว้เรียบร้อย ใครเป็นคนใส่กลอนกันแน่?" "อ๋อ ข้อนี้ตอบได้" สิปนนท์ตอบง่าย ๆ "ผมใส่เอง ผมตื่นมาตอนเช้ามืด นึกเรื่องประตูที่เปิดทะลุถึงบ้านโน้นกับประตูห้องทำงานขึ้นมาได้ เพราะว่าเปิดทิ้งเอาไว้เพื่อให้เภตราเข้ามา ผมคิดว่าเภตราคงเข้าบ้านกลับไปนอนนานแล้ว ก็เลยลงไปปิดใส่กลอนทั้งสองแห่ง" "คุณปิดประตู ทั้งประตูห้องทำงานกับประตูระหว่างบ้านสองหลังนี้หรือคะนนท์?" "ก็บอกอยู่นี่ไงเล่าว่าผมเป็นคนปิดเอง" "แล้วผ้าผืนนั้น คุณสังเกตหรือเปล่าว่ามันแขวนอยู่ที่ตะขอใกล้ตะปูหรือเปล่า" "ไม่รู้ ไม่ได้มอง" สิปนนท์ตอบอย่างรำคาญ "ตอนนั้นยังเช้ามืด ทางเดินก็ยังมืดจนมองอะไรแทบไม่เห็น ผมไม่ได้สนใจมองอะไรทั้งนั้น แค่ลงไปใส่กลอนอย่างเก่าแล้วก็กลับขึ้นนอน ก็เท่านั้นแหละ" จิตติกาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหล่อนจึงเชื่อว่าสิปนนท์ไม่ได้เป็นคนฆ่าเภตรา แต่ว่าหล่อนเชื่อใจเขา เชื่อว่าเขาพูดความจริง ความจริงที่ประจักษ์อีกประการหนึ่งก็คือ บัดนี้จิตติกาดูสามีออกอย่างทะลุปรุโปร่งเป็นครั้งแรก ว่าอีกฝ่ายทั้งใจแคบและเกียจคร้าน หนักไม่เอาเบาไม่สู้ และไม่เคยรักหล่อนเลย คนอย่างเขาไม่เคยรักใครนอกจากตนเอง เขารีดเอาเงินทองจากหล่อนและพี่ชายอย่างไม่มีวันหยุด บีบคั้นจะเอามากขึ้นเรื่อย ๆ ให้เท่าไรก็จะเอาอีกมากขึ้นเท่านั้น โดยไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย แต่ข้อหนึ่งที่จิตติกาเชื่อคือ เขาไม่ได้ฆ่าเภตรา "คุณไม่ได้ฆ่าคุณเภตราจริง ๆ หรือคะนนท์?" "ถามซ้ำซากอยู่ได้ ผมขอบอกเป็นครั้งสุดท้ายว่าผมไม่ได้ฆ่าเภตรา
แต่ผมรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า" *****
|