ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ

 

Within Your Eyes (7)

by...Rai

อากาศยามบ่ายร้อนอบอ้าว ป้าสวาดมองนาฬิกาที่ข้างฝาเห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสามโมงเย็นแล้ว หญิงแม่ครัวเดินออกจากตัวบ้านไปที่สวนเพื่อตามตัวเด็กหญิงจุ๋มผู้เป็นลูกมือให้ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อจะได้เตรียมไว้สำหรับมื้อเย็น

หญิงสูงวัยแว่วเสียงสิปนนท์คุยอยู่กับภรรยาดังมาจากห้องนอนของจิตติกาบนชั้นที่สองของบ้าน เป็นเพราะหน้าต่างห้องนั้นเปิดอยู่ เสียงถึงได้ลอยลมได้ยินแว่ว ๆ มา

"อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า ก็แค่นี้แหละ ไม่มีอะไรหรอกน่า" เป็นเสียงของสิปนนท์

"อย่าเคี่ยวเข็ญหนิงเลยค่ะ หนิงไม่ยอมทำแบบนั้นแน่…"

เมื่อป้าสวาดร้องเรียกเด็กหญิงจุ๋ม เสียงโต้ตอบนั้นก็เงียบหายไปทันควัน ทำให้หญิงแม่ครัวคิดว่าทั้งคู่คงกลัวว่าจะมีใครได้ยินที่พูดกันกระมัง

ป้าสวาดออกตามหาเด็กหญิงจุ๋มจนพบ แล้วก็ใช้ให้ไปปอกเปลือกกระเทียมที่จะใช้ทำอาหารในตอนเย็น ส่วนตัวเองนั้นก็ไปอาบน้ำในตอนบ่าย เพราะอากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ทำให้รู้สึกเหนียวตัวเหลือทน

*****

ปรเมศและนินนะออกไปเดินเล่นที่หน้าผาตั้งแต่หลังรับประทานอาหารกลางวัน ทั้งคู่แวะนั่งพักกันใต้ชะง่อนผาซึ่งปกคลุมไปด้วยหญ้านุ่ม

ปรเมศนอนหงายบนพื้นหญ้า ท่อนแขนประสานกันไว้ที่ท้ายทอย สายตาเหม่อมองท้องฟ้าสีใสที่มีก้อนเมฆรูปร่างแปลก ๆ ลอยเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย จิตใจของชายหนุ่มมีแต่ความว่างเปล่า ทั้งสงบและไม่รุ่มร้อน ผิดกับที่เคยเป็นมา ชายหนุ่มคล้ายกับคนที่เพิ่งรอดชีวิตจากอาการป่วยด้วยไข้หนัก และกำลังจะฟื้นจากอาการไข้ เขารู้ดีว่าอีกไม่นานก็คงจะหายเป็นปกติ

นินนะนั่งพิงชะง่อนผาอยู่ใกล้ ๆ ชายหนุ่ม มือประสานรัดเข่าเอาไว้ ปรเมศอยู่ใกล้เขาจนแทบจะสัมผัสได้เพียงแค่โน้มตัวออกไปนิดเดียว แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ขยับเขยื้อน นัยน์ตากลมโตคู่นั้นเหม่อมองไปทางท้องทะเลเบื้องล่าง ในใจรู้สึกสงบอย่างประหลาด

ทั้งคู่พักผ่อนด้วยกันเงียบ ๆ เช่นนั้นโดยไม่พูดจาอะไรกัน คล้ายกับรู้อยู่แก่ใจว่าเมื่อถึงตอนนี้ คำพูดใด ๆ ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว

*****

บริเวณชายหาดส่วนตัวของบ้านริมอ่าวนั้น ทั้งธราดลและชนินทร์ต่างก็จับจองเตียงผ้าใบคนละตัวใต้ร่มบังแดดขนาดใหญ่เพื่อเอนกายนอนรับลมทะเล ในมือของชนินทร์มีนิตยสารทางธุรกิจเปิดอยู่ แต่สายตาของชายหนุ่มกลับไพล่ไปอยู่ที่ร่างของคนที่กำลังนั่งโกยทรายเล่นกับเด็กหญิงจีน่า เขาเพิ่งสังเกตว่าผิวที่เผือดขาวของฉัตรสิริดูคล้ำลงกว่าเดิมเล็กน้อย คงเป็นผลจากการที่ได้อยู่ริมทะเลแบบนี้ ใบหน้าที่เขาเคยคิดว่าไม่มีอะไรที่เด่นสะดุดตา แต่ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกดึงดูดให้มองซ้ำอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องปะทะคารมกับเขาในช่วงหลัง ๆ ดูเหมือนว่าสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเขาจะยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสนุกมากขึ้นทุกที

ส่วนธราดลนั้นเล่า สายตาก็จับอยู่ที่สองร่างที่ชายทะเลเช่นกัน แต่แววตาที่มองฉัตรสิริคล้ายจะจมดิ่งลงไปด้วยความลุ่มหลงไปทุกขณะ

"แกคิดยังไงกับเรื่องที่ฉันเคยพูดเอาไว้?" ธราดลเอ่ยปากถามเพื่อนสนิทขึ้นมาลอย ๆ

"เรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่แกคุยกับฉันมีเป็นร้อยเรื่องละมั้ง"

"ก็เรื่องคุณฉัตรไง"

"อ้อ" ชนินทร์ทำเสียงในลำคอ

"อ้อ… แล้วไงต่อล่ะ?"

"ก็อ้อ… แปลว่าฉันรับรู้แล้วว่าแกกำลังคุยเรื่องอะไร แล้วแกจะให้ฉันพูดอะไรต่อได้อีกล่ะ?"

"ก็อย่างที่ฉันถามไง แกคิดว่าเรื่องของฉันกับคุณฉัตรจะเป็นยังไงต่อ?"

"ถามฉัน แล้วฉันจะรู้ไหมนี่ เพราะไอ้หัวข้อที่แกกำลังคุยนี่มันไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย"

"แต่แกเป็นเพื่อนฉัน"

ชนินทร์สบตากับเพื่อนแล้วถอนหายใจลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ถ้าแกคิดว่าคนที่เป็นเพื่อนยังเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทำไมแกไม่คิดยาวออกไปมากกว่านี้ล่ะ อย่างคุณหญิงแม่ของแก หรือบรรดาคนรู้จักในสังคมที่แวดล้อมแก ลองใช้หัวแม่เท้าตรองดูหน่อยเถอะว่า พวกนั้นจะคิดยังไงถ้านายธราดล ทายาทคนเดียวของครอบครัวบอกว่าชาตินี้จะไม่แต่งงานแล้วจะใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายอีกคน แกเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะว้อย ไม่ใช่ลูกกำพร้าอย่างฉัน คุณหญิงแม่อาจจะเป็นลมล้มตึง ความดันโลหิตพุ่งปรี๊ด พ่อแกก็อาจจะยื่นคำขาดตัดแกจากกองมรดก เพื่อน ๆ ที่เคยคบหาก็จะซุบซิบนินทาพร้อมกับมองแกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ถ้าแกทนกับเรื่องพวกนี้ได้ ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วมั้ง"

"ที่พูดมาทั้งหมดนี้ แสดงว่าแกไม่เห็นด้วยล่ะสิ"

"ไม่ว่าฉันจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม มันก็ไม่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของแกอยู่แล้ว ถ้าแกคิดจะสานต่อเรื่องนี้น่าจะถามตัวเองก่อนดีกว่าว่าตอนนี้อารมณ์หรือเหตุผลที่มันมีมากกว่ากัน"

"ไม่รู้สิ" เสียงของธราดลฟังดูเลื่อนลอย

ชนินทร์ถอนใจยาว น้ำเสียงอ่อนลงไปด้วยความเวทนา "บางทีแกอาจจะต้องใช้เวลามากกว่านี้อีกนิด เพราะครั้งนี้ก็อาจจะเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา"

แม้ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม แต่ธราดลก็รู้ดีว่าเพื่อนของเขาหมายความว่าอย่างไร เขาเองรู้ดีว่านิสัยเสียที่แก้ไขไม่ได้ของตนก็คือการต้องตาต้องใจใครได้ง่าย ๆ แต่ลุ่มหลงเพียงชั่วครู่ พอเริ่มคิดได้ มองเห็นข้อเสียของอีกฝ่ายเพียงนิด เขาก็จะเปลี่ยนใจทันที แต่ตอนนี้เขายังไม่เห็นข้อเสียใด ๆ ในตัวของฉัตรสิริแม้แต่น้อย

ชนินทร์มองเพื่อนที่ยังสับสนด้วยความสมเพช ที่จริงเขาน่าจะบอกตรง ๆ ไปเลยว่าเขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ถ้าจะให้ยกเหตุผลนั้น เขาก็สามารถหามาสนับสนุนได้มากมาย แต่เขาก็รู้ดีว่า สำหรับคนบางคนนั้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดได้เองจะดีกว่า

แต่ชายหนุ่มก็อดปากตัวเองไม่ได้ "แล้วคุณฉัตรเขาคิดอะไรกับแกหรือเปล่า?"

"หือ?"

"เรื่องนี้มันก็สำคัญไม่ใช่หรือ ถ้าเขาไม่เล่นด้วย แกจะคิดฟุ้งซ่านไปก็ไร้ผล ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก"

"แต่ดูท่าทางเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนี่นา"

"เพราะเขายังไม่รู้วัตถุประสงค์ของแกมั้ง ถ้าเขารู้อาจจะเผ่นหนีไปเลยก็ได้ ถ้าเขาไม่ใช่พวกนิยมเรื่องทำนองนี้"

"ขนาดนั้นเชียวหรือ?"

"แต่ก็ไม่แน่ บางทีอาจจะผวาซบอกแกเลยก็ได้มั้ง" ชนินทร์พูดคล้ายจะเยาะ สายตาคมปลาบของชายหนุ่มจ้องไปที่ร่างเล็ก ๆ ที่กำลังพูดคุยหัวเราะกับน้องสาวของตนอย่างเคือง ๆ แม้จะได้รับการยืนยันจากเจ้าตัวหลายครั้งถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังเห็นหมอนี่ทำตัวสนิทสนมกับธราดลเกินเหตุทุกครั้งไป

เป็นจังหวะเดียวกับที่เด็กหญิงจีน่าเงยหน้าขึ้นจากกองทรายโบกมือให้กับพี่ชายของตนและธราดล ทั้งคู่โบกมือทักทายตอบ ธราดลพยายามส่งสายตาให้กับฉัตรสิริ แต่อีกฝ่ายเงยหน้ามองมาทางเขาวูบเดียว ก่อนจะก้มหน้าก้มตาก่อกองทรายง่วน

ฉัตรสิริกดมืออัดทรายในกระป๋องให้แน่นด้วยความแรงกว่าปกติเพื่อระบายความอัดอั้นใจ เขาไม่รู้ว่าทำไมชนินทร์ถึงได้จงเกลียดจงชังเขานักหนาทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรผิดใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ถ้าเป็นเรื่องของธราดลแล้ว เขาคิดว่าตนเองรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้ได้แล้ว เพียงแต่ธราดลมักจะเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเสมอ ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของเขาแม้แต่น้อย จะให้เขาทำอย่างไรได้เล่า เอ่ยปากขับไล่อีกฝ่ายออกห่างตัวเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ไร้มนุษยสัมพันธ์อย่างนั้นหรือ อย่างน้อยเขายังคิดว่าธราดลเป็นเพื่อนของเขาคนหนึ่ง

"จีน่าชอบที่นี่จังเลยค่ะ สนุกดี มีคนเยอะดีค่ะ แถมยังได้อยู่กับพี่ดลและพี่นินทร์นาน ๆ ด้วย"

ฉัตรสิริมองหน้าเด็กหญิงช่างพูดตรงหน้าอย่างเอ็นดู "อ้าว แล้วตอนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้อยู่กับ…เอ้อ…พี่นินทร์
หรือครับ"

"อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ค่อยเจอหน้ากันหรอกค่ะ นานน๊านจะได้มีเวลาคุยกันบ้าง บางทีตอนที่จีน่าไปโรงเรียน พี่นินทร์ก็ยังไม่ตื่น หรือกว่าที่พี่นินทร์จะกลับจากที่ทำงาน จีน่าก็คร่อกฟี้ไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ จีน่าเข้าใจดีว่าพี่นินทร์ทำงานหนักหาสตางค์มาให้จีน่าใช้"

ชายหนุ่มมองนัยน์ตากลมแป๋วไร้เดียงสาอย่างสงสาร ท่าทางคงจะเหงาอยู่ไม่น้อย เขาเองก็เพิ่งจะรู้ถึงชีวิตของคนที่เขาไม่ค่อยจะชอบหน้ามาบ้างเล็กน้อย จากคำบอกเล่าของธราดล

"ถ้านายนินทร์พูดอะไรขัดหูไปบ้าง ก็ปล่อยมันไปเถอะคุณฉัตร ไอ้หมอนี่มันต้องคอยลับเขี้ยวไว้ตลอดเวลา ชนิดปากกัดตีนถีบ ไม่งั้นมันพาธุรกิจของมันไม่รอดแน่ ทรัพย์สินชิ้นเดียวที่พ่อแม่มันทิ้งไว้ให้ก็มีแต่อาคารสำนักงานให้เช่ากับหนี้สินกองโต กว่าจะชำระสะสางหนี้หมดก็แทบรากเลือดละมั้ง แถมยังต้องส่งเสียน้องชายที่เรียนอยู่เมืองนอกคนหนึ่ง และยังต้องคอยดูแลยายจีน่าไม่ให้กลายเป็นเด็กมีปัญหาอีก ถ้าผมเป็นมันมีหวังเป็นบ้าไปแล้ว"

*****

เด็กหญิงจุ๋มเดินออกมาที่ชายหาดเพื่อบอกให้ทุกคนทราบว่าได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาห้าโมงครึ่ง แดดอ่อนแรงลงไปมาก แต่ท้องฟ้าก็ยังสว่างอยู่

"ที่นี่กินข้าวเย็นเร็วชะมัด" ธราดลเปรยกับเพื่อน "ยังไม่ทันหิวเลยว่ะ"

"ก็แกซัดขนมหมดไปทั้งห่อ แล้วยังจะหิวได้อีกเรอะ" ชนินทร์ขัดคอเพื่อน

"แกก็กินขนมหมดไปสองถุง แล้วยังจะกินข้าวได้นี่ เขาเรียกชูชกแล้ว"

"เขาเรียกว่าเจริญอาหารว้อย"

"อย่างแกนี่ทำให้เจ้าของบ้านล่มจมได้นะนี่ กินล้างกินผลาญขนาดนี้"

เด็กหญิงจุ๋มที่เดินตามกลุ่มของธราดลเข้าไปในบ้านถึงกับแอบหัวเราะ เธอรู้สึกว่าชายหนุ่มที่มาเป็นแขกของบ้านริมอ่าวทั้งสองคนนี้มีนิสัยเหมือนเด็ก ๆ ชอบพูดคุยหยอกล้อกันตลก ๆ ซึ่งบรรยากาศแบบนี้ไม่เคยมีในบ้านหลังนี้ เพราะแม้ว่าในบ้านจะมีปรเมศและนินนะที่สนิทสนมกัน แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยพูดคุยกันด้วยคำพูดทำนองนี้ให้ได้ยินสักครั้ง

เมื่อคนทั้งหมดเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นป้าสวาดตั้งกับข้าวไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จิตติกานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว

ชนินทร์เป็นคนแรกที่ถามถึงสิปนนท์เมื่อไม่เห็นเขาอยู่ที่โต๊ะอาหาร จิตติกาทำท่าชะงักเมื่อได้ยินคำถาม

"เขาบอกว่าจะขอนอนพักสักหน่อยค่ะ เพราะเมื่อคืนเขานอนดึก วันนี้เลยอยากจะพักเอาแรง"

"แต่นี่มันเย็นมากแล้ว หนิงไปเรียกเขามาดีกว่า จะได้ทานข้าวเย็นกัน" ฉัตรสิริแตะแขนน้องสาวเบา ๆ

"ผมไปตามให้เองก็แล้วกัน" ธราดลอาสา "อยู่ห้องทางซ้ายมือใช่ไหมครับ?"

สักพักธราดลเปิดประตูห้องรับประทานอาหารเข้ามาโดยไม่มีสิปนนท์เดินตามมาด้วย สีหน้าชายหนุ่มมีแววหวาดหวั่น เขาเดินเข้ามาหยุดนิ่งตรงหน้าชนินทร์ก่อนจะพูดเสียงเบา

"ไอ้นินทร์ ฉันมีเรื่องจะบอก"

"อะไรวะ?"

"สิปนนท์ถูกแทงตายแล้วว่ะ"

แม้ธราดลจะลดเสียงลงไปแล้วก็ตาม แต่ทุกคนในห้องรับประทานอาหารที่ได้ยิน คล้ายกับเสียงนั้นกังวานก้องอยู่ในหู ชนินทร์กวาดสายตามองทุกคนในห้องก็พบว่าทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอาการตกตะลึง

*****

นายสิบตำรวจที่รับแจ้งความเดินเข้าไปพบสารวัตรอนุสรณ์ในห้องทำงานพร้อมแจ้งข่าวด่วน "เกิดเหตุฆาตกรรมอีกรายหนึ่งแล้วครับที่บ้านริมอ่าว เพิ่งได้รับรายงานมานี่แหละครับ"

"หา ว่าอะไรนะ?" สารวัตรหนุ่มคล้ายกับว่าตัวเองฟังผิดไป

"ผู้ตายชื่อนายสิปนนท์ครับ มีคนไปพบศพนอนตายอยู่บนเตียง ถูกแทงตายครับ แต่ว่าไม่พบอาวุธที่ใช้ฆ่า"

"ใครเป็นคนไปพบศพเข้าล่ะ?"

"คุณธราดลครับ เขาให้การว่าตั้งใจจะไปเรียกผู้ตายให้มากินข้าวเย็น พอไปถึงห้องก็กลายเป็นศพไปแล้ว"

"แล้วเขาเป็นคนโทร.แจ้งตำรวจหรือ?"

"ครับผม"

*****

"แพทย์ที่ชันสูตรสันนิษฐานว่า เวลาที่กระทำฆาตกรรมอยู่ระหว่างบ่ายสามโมงถึงห้าโมงครึ่ง ไม่ก่อนหรือหลังกว่านั้น จากการสอบสวนปากคำของคนในบ้าน เรารู้ว่าเมื่อประมาณบ่ายสามโมงเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าแม่ครัวได้ยินเสียงผู้ตายคุยอยู่กับภรรยาในตอนนั้น คุณจิตติกาคงจะบอกได้ว่าเขาออกไปจากห้องของเธอตอนกี่โมง ส่วนคุณธราดลมาเจอศพหลังจากห้าโมงครึ่งเย็นเล็กน้อย เพราะฉะนั้นก็มีช่วงเวลาสองชั่วโมงกว่า ระหว่างสามโมงเศษถึงห้าโมงครึ่ง ที่ฆาตกรจะลงมือฆ่าเขา"

คนทุกคนในบ้านทั้งสองหลังจะต้องเผชิญคำถามอย่างไม่หยุดปากจากนายตำรวจที่สอบปากคำว่า

"คุณอยู่ที่ไหน ในช่วงเวลาระหว่างสามโมงถึงหน้าโมงครึ่ง?"

"คุณอยู่ตามลำพัง หรือว่ามีใครอยู่ด้วยในตอนนั้น?"

"ถ้าอยู่ด้วยกัน อยู่กันนานเท่าไรครับ?"

"ถ้าคุณออกไปนอกบ้าน คุณกลับเข้ามาตอนกี่โมง?"

*****

จิตติกานั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าของหญิงสาวบอกให้รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาแล้วอย่างหนัก ผิวหน้าซีดขาวปราศจากเลือด นัยน์ตาบวมแดงและยังคงมีน้ำตาคลอคลองจักษุ

"ผมเสียใจที่ต้องรบกวนคุณในตอนนี้นะครับ แต่คุณคงจะเห็นใจว่าเรื่องนี้เราต้องทำตามหน้าที่"

หญิงสาวสะอื้นเบา ๆ ตอบกระท่อนกระแท่น "คะ…ค่ะ"

เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว สารวัตรอนุสรณ์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

"เท่าที่ทราบ สามีของคุณเข้ามาพูดคุยกับคุณในห้องนี้เมื่อเวลาประมาณบ่ายสามโมง คุณคงเข้าใจนะครับว่าเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ในบ่ายนี้ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งเราจะต้องถามรายละเอียดจากคุณอย่างถี่ถ้วน เอาละครับ เขามาคุยกับคุณ คุณจะบอกเราได้ไหมว่าคุณทั้งสองพูดกันเรื่องอะไรบ้าง?"

เสียงของหญิงสาวสั่นระริก "เราพูดกัน…"

"ครับ พูดกันเรื่องอะไร?"

จิตติกาสบตานายตำรวจ "ดิฉันต้องเล่าด้วยหรือคะ?"

"ตามกฏหมาย คุณมีสิทธิ์ที่จะสงวนปากคำไว้ให้การในชั้นศาลได้ โดยไม่ต้องให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ถ้าให้ผมแนะนำ ผมก็อยากให้คุณให้การเพื่อเป็นประโยชน์กับตำรวจ ถ้าหากคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่คุณต้องกลัว"

หญิงสาวมองหน้าสารวัตรตำรวจที่สอบปากคำแน่วนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้า ๆ

"ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิดจริง ๆ ค่ะ ดิฉันจะเล่าให้ฟังก็ได้ เพราะถึงเล่าไปก็ไม่กระทบกระเทือนถึงนนท์อีกแล้ว เพราะตอนนี้คงไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นฆาตกรแล้วละค่ะ"

"เรื่องเป็นอย่างไรหรือครับ?"

"เรื่องเริ่มต้นตั้งแต่คืนวันพฤหัสค่ะ ดิฉันนอนไม่หลับ เพราะกำลังกลุ้มใจเรื่องที่นนท์เคี่ยวเข็ญให้ฉันขอแบ่งมรดกครึ่งหนึ่งจากพี่ฉัตร แต่พี่ฉัตรไม่ยอมให้เขา เพราะทราบว่านนท์คงจะเอาเงินที่ได้ไปผลาญจนหมด"

"แล้วเป็นอย่างไรต่อไปครับ"

"ดิฉันก็ได้แต่กลุ้มใจ แล้วตอนนั้นเองที่ดิฉันเพิ่งรู้ว่าเขาสนิทสนมกับคุณเภตรา ฉันก็ยิ่งกลุ้มใจมาก เพราะคิดว่านนท์จะทิ้งดิฉันไปหาผู้หญิงคนนั้น ถึงได้นอนไม่หลับ แล้วดิฉันก็ได้ยินเสียงไม้กระดานหน้าห้องลั่นเอี๊ยด แสดงว่ามีคนออกจากห้อง ห้องนอนของนนท์ค่ะ"

"เวลานั้นกี่ทุ่มแล้วครับ?"

"ตีหนึ่งค่ะ ดิฉันได้ยินเสียงนาฬิกาตีจากข้างล่างแว่วขึ้นมาข้างบนพอดี แล้วก็ได้ยินเสียงเดิน ดิฉันไปยืนฟังอยู่ที่ประตู แล้วค่อย ๆ เปิดประตูโผล่ออกไปดู เห็นนนท์เดินลงบันไดไปข้างล่าง เขามีไฟฉายไปด้วย ดิฉันคิดว่าเขาคงแอบไปพบกับคุณเภตรา ก็เลยตามไปดูที่หัวบันได เขาลงไปข้างล่าง เดินไปถอดกลอนประตูที่เปิดเข้าออกระหว่างบ้านนี้กับบ้านโน้น แล้วเภตราก็เข้ามา พูดกระซิบกระซาบกับสักครู่ นนท์ก็หยิบเสื้อคลุมของพี่ฉัตรให้คุณเภตราสวม แล้วส่งผ้าบาติกสีฟ้าให้เภตราคลุมผมด้วย หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปด้วยกันเข้าไปในห้องทำงาน ดิฉันเลยกลับเข้าห้องนอน"

"แล้วต่อจากนั้น…"

"ต่อจากนั้น ดิฉันไปยืนข้างหน้าต่าง ก็เห็นทั้งสองคนออกจากห้องทำงาน ลงบันไดด้านหลังตรงไปที่ระเบียง นนท์ฉายไฟฉายนำทางไปด้วยตั้งแต่ลงบันได"

"แล้วต่อไปล่ะครับ"

"ดิฉันก็…เกิดความรู้สึกว่า พอกันที ไม่ต้องการรู้ ไม่ต้องการเห็นอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาจะทำอะไรก็ช่างเขาเถอะ ดิฉันกลับมาที่เตียงแล้วลงนอนหลับไป ไม่ได้ยินเสียงนนท์เดินกลับเข้ามา จนกระทั่งได้ยินเสียงนาฬิกาบอกเวลาตีห้า คงจะหลับสนิทมาก เพราะไม่ได้ยินเสียงนนท์เดินลงไปข้างล่างเพื่อไปใส่กลอนประตูตามเดิม"

"เขาลงไปข้างล่างอีกครั้ง หลังจากกลับขึ้นมาแล้วหรือครับ?" นายตำรวจซักทันที "แล้วคุณทราบได้อย่างไร?"

"เขาบอกดิฉันค่ะ"

"เมื่อไรครับ?"

"เมื่อบ่ายนี้เองค่ะ"

"เขาเล่าให้คุณฟังหรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนวันพฤหัสบดี"

"เล่าค่ะ"

"คุณจะเล่าให้เราฟังได้ไหมครับ?"

จิตติกาเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยน้ำเสียงอ่อนเบาปราศจากความรู้สึกใด ๆ เมื่อหล่อนเล่าเรื่องจบลง ผู้กำกับก็เอ่ยขึ้นว่า

"เป็นอันว่าเขาสารภาพกับคุณว่าเขาขู่เข็ญเอาเงินจากเภตรา แต่ว่าหล่อนไม่ยอมให้ตามที่เขาขอ กลับให้ค่าปิดปากเพียงสองหมื่น เขาก็เลยบอกหล่อนว่าไม่ต้องพูดอะไรกันอีกแล้ว แล้วก็ผละกลับขึ้นบันไดเข้ามาในบ้าน ทิ้งเภตราเอาไว้โดยไม่ได้ทำร้ายอะไรอย่างนั้นใช่ไหมครับ?"

"ใช่ค่ะ"

"คุณคิดว่าสามีคุณพูดความจริงหรือครับ?"

หญิงสาวสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำถามนี้ น้ำเสียงของหล่อนจึงเปลี่ยนไป

"ตอนแรกก็…ไม่เชื่อหรอกค่ะ เพราะเรื่องผ้าคลุมผม เพราะว่ามีคนเอาผ้าเปื้อนเลือดกลับเข้ามาในบ้าน มีคนใส่กลอนประตูทางห้องทำงานเอาไว้ตามเดิม และยังใส่กลอนประตูที่เปิดทะลุไปอีกบ้านหนึ่งด้วย นนท์บอกดิฉันว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผ้าเปื้อนเลือดนั่น เขาเพียงแต่หยิบมันให้เภตราคลุมผม เผื่อใครเห็นจะได้ไม่รู้ว่าเป็นหล่อน แล้วเมื่อเขาผละจากเภตรากลับเข้ามาในบ้าน เภตราก็ยังนั่งอยู่ที่เก่า เขาเปิดประตูห้องทำงานเอาไว้ รวมทั้งประตูที่เปิดเข้าไปอีกบ้านหนึ่งด้วย เพื่อให้เภตรากลับเข้าไปนอนได้ พอเขาตื่นมาตอนเช้ามืดก็นึกขึ้นได้ว่าถ้าเภตรากลับเข้าไปในบ้านโน้นแล้วจะใส่กลอนทางด้านนี้ไว้ตามเดิมไม่ได้ เขาก็เลยลงไปใส่กลอนให้เรียบร้อย เขาบอกว่าตอนนั้นยังมืดมาก"

"แล้วเขาเห็นผ้าคลุมผมเปื้อนเลือดกลับมาแขวนอยู่ที่เดิมหรือเปล่าครับตอนนั้น"

"ดิฉันถามเขาแล้วค่ะ เขาบอกว่าไม่ได้สังเกต เพราะว่าห้องโถงยังมืดอยู่ แล้วเขาก็ไม่ได้เอาใจใส่เรื่องอื่น ตั้งใจลงไปใส่กลอนอย่างเดียวแล้วกลับขึ้นมา พอเขาเล่า…ดิฉันก็เชื่อเขาค่ะ ไม่ใช่ว่านนท์เขาไม่เคยโกหกนะคะ แต่เรื่องที่เขาบอกว่าไม่ได้ฆ่าคุณเภตรา ดิฉันเชื่อเขา ดิฉันดูออกว่าตอนไหนที่เขาพูดความจริง และตอนไหนที่เขาพูดไม่จริง ทีแรกดิฉันคิดว่านนท์มีเรื่องทะเลาะกับเภตราก็เลยฆ่าเธอเสีย แต่ไม่ใช่หรอกค่ะ เขาไม่ได้ทำ เขายังบอกอีกว่า…ว่า…"

ร่างของหญิงสาวเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพูดมาถึงตอนนี้

"เขาบอกว่า ผมไม่ได้ฆ่าเภตรา แต่ผมรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า เขาพูดอย่างนี้แหละค่ะ"

ภายในห้องเงียบงันไปในฉับพลัน

"เขาพูดอย่างนั้นค่ะ" จิตติกาย้ำ เสียงสั่นระรัว "เขาบอกฉันอย่างนั้น แต่ว่าเขาไม่ได้บอกว่าเป็นใคร"

"แล้วเขาไม่ได้บอกเป็นนัย หรือพอให้รู้เค้าว่าเป็นใครบ้างหรือครับ?"

หญิงสาวสั่นศีรษะ "เขาบอกว่า…อย่ารู้ดีกว่า"

"แล้วคุณคิดว่าเขารู้จริง ๆ หรือครับว่าใครเป็นฆาตกร"

"ค่ะ" จิตติกาลดเสียงลงจนเป็นเสียงกระซิบ "ดิฉันคิดว่าเขารู้ เขาบอกว่าเขา…เห็นคน ๆ นั้น แต่เขาไม่ยอมบอกอะไรอีกหรอกค่ะ แล้วเขาก็ตัดบทว่าเขาเพลียเพราะไม่ได้นอนเท่าที่ควร เขาอยากจะไปนอนพักให้เต็มอิ่ม"

"แค่นั้นหรือครับ?"

"ค่ะ"

"แล้วคุณกับเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีกหรือครับ?"

"ไม่ได้พูดเรื่องนี้กันอีกค่ะ"

"คุณจิตติกาครับ ผมเห็นจะต้องคาดคั้นความจริงจากคุณมากกว่านี้สักหน่อย มีคนที่เผอิญอยู่ในสวนดอกไม้ข้างล่างในตอนนั้นได้ยินเสียงคุณพูดว่า "อย่าเคี่ยวเข็ญหนิงเลยค่ะ หนิงไม่ยอมทำแบบนั้นแน่…" รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้จะไม่ค่อยกลมกลืนเข้ากับเรื่องที่คุณเล่าให้เราฟังเท่าไรหรอกนะครับ"

สีเลือดฉีดขึ้นบนดวงหน้าของจิตติกา หล่อนตอบสั้น ๆ ว่า "ใช่ค่ะ"

"คุณพอจะอธิบายให้ฟังได้ไหมครับว่า ทำไมคุณจึงตอบเขาแบบนั้น"

"นนท์ต้องการให้ดิฉันให้การกับตำรวจว่า เมื่อคืนวันพฤหัสเขาอยู่กับดิฉันในห้องนอนทั้งคืนค่ะ"

"อย่างนั้นหรือ แต่คุณก็เล่าให้เราฟังตั้งแต่แรกแล้วนี่ครับว่าเขาไม่ได้อยู่กับคุณ"

"ค่ะ ดิฉันบอกเขาอย่างนั้นเหมือนกัน ดิฉันบอกเขาว่าจะไม่เป็นพยานเท็จให้เขา ถ้าเขารู้ว่าใครเป็นตัวการ…" เสียงหล่อนขาดหายไปอีกครั้งหนึ่ง

"เพราะอย่างนี้หรือครับ คุณถึงตอบว่าไม่ยอม แล้วคุณยืนยันว่าจะไม่ยอมท่าเดียวหรือเปล่า"

"ค่ะ นนท์ก็เลยโกรธ แล้วเขาก็ปึงปังออกจากห้องไป" หญิงสาวยกมือขึ้นปิดหน้าสะอื้นฮัก

*****

สารวัตรอนุสรณ์นำหมายค้นมาแสดง แล้วสั่งให้ตำรวจค้นตัวผู้อยู่ในบ้านทั้งสองหลัง รวมทั้งข้าวของของทุกคน
เพราะเขาเห็นว่าอย่างน้อยฆาตกรที่ฆ่าลิปนนท์น่าจะถูกเลือดกระเซ็นเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าบ้าง

"มีอะไรคืบหน้าไหม?" นายตำรวจถามลูกน้อง

"ยังเลยครับ ท่าน พอเรากำลังตรวจตราเสื้อผ้าของผู้หญิงในบ้านโน้นอยู่ครับ คุณดารณีกับคุณทิพย์วัลย์โวยวายกันใหญ่เลยครับ"

สารวัตรอนุสรณ์ก้มหน้าอ่านบันทึกคำให้การของหญิงสูงวัยทั้งสองอย่างครุ่นคิด

คุณดารณีให้การว่าในตอนบ่ายเธอนั่งอ่านหนังสือนวนิยายอยู่ในห้องนั่งเล่น ซึ่งห้องนี้ติดอยู่กับห้องที่สิปนนท์ถูกฆ่าแต่อยู่กันคนละซีกบ้าน ถ้าหากใครออกประตูหน้าไป หรือผ่านหน้าต่างห้อง คุณดารณีจะต้องเห็น แต่ทั้งนินนะและคุณทิพย์วัลย์ให้การตรงกันว่า ในตอนบ่าย ๆ คุณดารณีจะนั่งหลับคาหนังสือเป็นประจำ แม้ว่าคุณดารณีจะเถียงว่าตนเองไม่ได้หลับแม้แต่งีบเดียว แต่เขาก็สงสัยว่าหล่อนน่าจะหลับมากกว่าตื่น เพราะดูเหมือนจะเป็นคนประเภทหลับแล้วตื่นยากเสียด้วย

ส่วนคุณทิพย์วัลย์นั้นให้การว่า ในตอนบ่ายหล่อนมักจะชงกาแฟหนึ่งถ้วยแล้วยกขึ้นไปบนห้องนอนของตน นั่งทำอะไรกระจุกกระจิกนิดหน่อยก่อนจะงีบกลางวันตามประสาคนมีอายุทั่วไป เมื่อถามว่าได้ยินเสียงป้าสวาดเรียกหาเด็กหญิงจุ๋มในสวนหรือไม่ คุณทิพย์วัลย์ก็ตอบว่าไม่แน่ใจ เพราะป้าสวาดมักจะมีเรื่องดุด่าเด็กหญิงจุ๋มเป็นประจำอยู่แล้ว และเมื่อถามว่าได้ยินเสียงสิปนนท์คุยกับจิตติกาหรือไม่ คุณทิพย์วัลย์ก็ตอบว่าถึงได้ยินก็ไม่ได้เอาใจใส่ เพราะว่าบ้านนี้ไม่ใช่บ้านของพวกเธอฝ่ายเดียวอีกแล้ว ต้องทนเสียงหนวกหูอะไรอีกร้อยแปด เพราะมีคนมาอยู่เพิ่มขึ้น ไม่เงียบเหมือนอย่างสมัยที่คุณกมลยังอยู่

เมื่อเขาลองให้ลูกน้องนายหนึ่งเข้าไปในห้องของคุณทิพย์วัลย์แล้วให้พลตำรวจอีกนายหนึ่งเข้าไปในห้องของจิตติกา โดยนั่งในตำแหน่งที่สิปนนท์นั่ง พูดด้วยเสียงที่ดังเท่ากับเสียงของสิปนนท์ในตอนนั้น ก็พบว่าถ้าหากคุณทิพย์วัลย์นอนอยู่บนเตียงก็จะได้ยินเพียงเสียงแว่ว ๆ จับคำไม่ถนัด แต่ถ้าไปยืนที่หน้าต่างก็จะได้ยินเสียงมากขึ้นหน่อย แต่ถ้าจะให้ได้ยินชัดว่าพูดอะไรกัน ก็ต้องยืนข้างหน้าต่างและชะโงกตัวออกไปเงี่ยหูฟังถึงจะได้ยิน

*****

"ฉันอยากจะพาสองพี่น้องนี่ไปพักอยู่ที่อื่นชั่วคราว ทั้งคู่ไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไปแม้แต่คืนเดียว ฉันว่าที่นี่มีคนบ้าอาละวาดฆ่าคนอยู่แน่ ๆ อันตรายมากจริง ๆ ฉันมองไม่เห็นเหตุผลเลยว่าใครจะฆ่าเจ้าสิปนนท์ จะฆ่าเขาไปทำไมกัน"

"เพราะหมอนั่นรู้ว่าฆาตกรที่ฆ่าเภตราคือใครน่ะสิ" ชนินทร์ตอบอย่างเคร่งขรึม

"เดี๋ยวก่อน" ธราดลยกมือห้ามก่อนจะเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง "ฉันไม่อยากให้เรื่องที่เราสองคนคุยนี่ได้ยินไปถึงข้างนอก"

"แกก็ฉุกใจคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหม?"

"อะไร?"

"ก็เรื่องหน้าต่างนี่ไงล่ะ ฉันคิดว่าตอนที่สิปนนท์คุยกับคุณหนิง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง และหน้าต่างคงจะต้องเปิดอยู่อย่างแน่นอน เพราะป้าสวาดที่อยู่ในสวนข้างล่างยังได้ยินเสียงสามีภรรยาพูดโต้ตอบกัน ถ้าหากหน้าต่างปิดก็คงจะไม่ได้ยิน"

"แกคิดว่าอาจจะมีบุคคลที่สามได้ยินคำพูดของนายสิปนนท์บอกว่าเขารู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเภตราอย่างนั้นหรือ?"

"อื่อ" ชนินทร์พยักหน้า

"แกคิดว่าเจ้าสิปนนท์รู้จริง ๆ หรือว่าใครเป็นฆาตกร"

"แล้วแกคิดว่ามีสาเหตุอื่นอีกไหมที่ทำให้นายสิปนนท์ถูกฆ่าตาย"

"มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่านี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หมอนั่นถูกฆ่า แต่ถ้าหากว่าหมอรู้เรื่องนี้จริงล่ะก็ ทำไมไม่ไปบอกตำรวจตั้งแต่แรก กลับยอมให้เป็นผู้ต้องสงสัย แล้วกลบเกลื่อนเอาตัวรอดจากข้อหาด้วยการไปรบเร้าให้เมียตัวเองให้การเท็จกับตำรวจว่าเขาอยู่กับเธอตลอดคืน มันค่อนข้างจะแปลก ๆ เอาการอยู่นา"

ชนินทร์กระแอมเบา ๆ เป็นเชิงท้วง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า "แกยังไม่ลืมไม่ใช่หรือว่าไอ้เจ้าสิปนนท์นี่พยายามจะขู่เอาเงินจากเภตรามาหนหนึ่งแล้ว ในเมื่อนิสัยเขาเป็นคนอย่างนี้ เขาย่อมจะปิดปากไม่ยอมไปบอกตำรวจเพื่อจะได้หาทางขู่เข็ญเอาเงินกับรายใหม่ได้สะดวกโดยใช้ความลับที่เขารู้นี่แหละเป็นเครื่องมือ และในเมื่อเขาคิดจะทำอย่างนี้ ก่อนอื่นเขาก็ต้องหาพยานมาสักคนเพื่อช่วยให้เขาพ้นข้อหาของตำรวจได้เสียก่อน เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วเขาก็เลยไปขอให้คุณหนิงช่วย แต่อย่างหนึ่งที่นายสิปนนท์อาจจะไม่ทันคิดคือการขู่เอาเงินจากฆาตกรนี้นับว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายมากกว่าที่เขาขู่เอาเงินจากเภตรามากนัก ในสายตาของฆาตกร ทางเดียวที่ตัวเองจะรอดไปได้ก็คือต้องกำจัดคนขู่เสียเท่านั้นเอง"

ธราดลฟังแล้วขนลุกขึ้นมาทันทีด้วยความสยดสยอง "อาจจะเป็นไปได้"

"แต่อย่างหนึ่งที่เราไม่รู้ก็คือ ฆาตกรฆ่าสิปนนท์เพราะได้ยินเขาคุยกับคุณหนิงเรื่องนี้ หรือว่าเจ้าสิปนนท์มันไปขู่เอาเงินจากฆาตกรแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็ตาม นับตั้งแต่เจ้าฆาตกรรู้ว่าความลับของตนไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว เจ้าสิปนนท์ก็มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องตาย"

"แกพูดเหมือนตัวแกเป็นฆาตกรอย่างนั้นแหละ"

"ก็ถ้าฉันเป็นเจ้าฆาตกรฉันก็ต้องทำแบบนี้"

ธราดลทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "แต่แบบนี้แสดงว่าไอ้เจ้าปรเมศนี่รอดยากเสียแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ตำรวจยังไม่จับตัวหมอไปขังเพราะติดเรื่องที่เขาไม่สามารถเอาผ้าคลุมผมมาแขวนไว้ในบ้านของคุณฉัตรได้ แต่จากคำให้การของคุณหนิง ทำให้เรารู้ว่าบ้านของคุณฉัตรไม่ได้ปิดสนิทอย่างที่เราคิดกันไว้ตั้งแต่แรก ตรงกันข้าม กลับเปิดเข้าออกได้อย่างง่ายดายทั้งประตูระหว่างบ้านและประตูด้านหลัง ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นายปรเมศก็สามารถเข้าออกได้อย่างสบาย ฆ่าเภตราแล้วเอาผ้าคลุมผมเปื้อนเลือดเข้ามาแขวนในบ้านของคุณฉัตรได้โดยไม่มีใครเห็น"

ชนินทร์กระแอมเป็นเชิงไม่เห็นด้วย "ที่แกว่ามานั่นก็ถูก แต่คนอื่น ๆ ทุกคนในทั้งสองบ้านนี้ก็ทำได้เหมือนกัน"

ธราดลเบิกตากว้างเมื่อคิดถึงข้อนี้ "ตายห่ะ แบบนี้คดีมันก็ยิ่งคลุมเครือหนักเข้าไปอีก กลายเป็นว่าทุกคนในสองบ้านนี้มีโอกาสที่จะฆ่าเภตราได้ด้วยกันทุกคน แล้วปัญหาที่เหลือก็คือ ใครในจำนวนนี้เป็นคนฆ่าสิปนนท์ ตอนแรกทางตำรวจเชื่อว่าปรเมศเป็นคนที่ฆ่าเภตรา เพราะถ้าดูจากเหตุการณ์ นายคนนี้ก็น่าสงสัยมากที่สุด แต่ว่าพอเกิดเรื่องสิปนนท์ถูกฆ่าขึ้นมา นายปรเมศกลับน่าสงสัยน้อยที่สุด เพราะจากปากคำให้การของนายปรเมศในช่วงเวลาที่นายสิปนนท์ถูกฆ่านั้น เขากับนินนะญาติผู้น้องไปเดินเล่นบนหน้าผาข้างบนโน้น นินนะกลับมาก่อนตอนสี่โมงครึ่งเพื่อเตรียมอาหารเย็นให้ป้าและน้า ส่วนปรเมศยังคงอยู่บนหน้าผาตามเดิมจนกระทั่งห้าโมงครึ่ง พอเขาเห็นว่านินนะยังไม่กลับไปหาตัวเองที่หน้าผาเสียที เขาก็เลยลงจากที่นั่นเดินกลับมาถึงบ้าน แล้วเจอกับพวกสารวัตรอนุสรณ์ที่หน้าประตูบ้าน"

"แล้วเด็กนินนะให้การว่าอะไร?"

"เขาก็ให้การสอดคล้องกับปรเมศว่า เวลาสี่โมงยี่สิบเขาเดินกลับมายังบ้านเพื่อเตรียมอาหารเย็นให้กับป้าและน้า เพราะว่าเดินจากที่นั่นใช้เวลาราวสิบนาที พอมาถึงก็เตรียมอาหาร แต่ยังไม่ทันยกสำรับก็ได้ยินเสียงคุณหนิงและพวกเราร้องดังมาจากบ้านอีกหลังหนึ่ง ก็คงเป็นตอนที่ฉันกลับออกมาบอกว่านายสิปนนท์ตายแล้วนั่นแหละ พอเด็กนินนะได้ยินเสียงก็เลยวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านอีกหลัง แต่ไอ้นินทร์… ฉันสงสัยอยู่เรื่องว่ะ เป็นไปได้ไหมที่เจ้าปรเมศมันจะเดินตามเด็กนินนะมาห่าง ๆ แล้วเข้าไปในห้องนอนของสิปนนท์ที่อยู่ชั้นล่าง อาจจะปีนหน้าต่างเข้าไปก็ได้เพราะอยู่สูงจากพื้นดินไม่เท่าไร นี่ฉันแค่พูดว่าอาจจะเป็นไปได้เท่านั้นนะ เพราะถ้าคำนึงถึงเหตุผลแล้ว น้ำหนักยังอ่อนอยู่มาก เพราะว่าเจ้าปรเมศไม่มีทางได้ยินเรื่องที่สิปนนท์คุยกับคุณหนิงตอนบ่ายสามโมงแน่ ๆ เพราะตอนนั้นหมอออกไปเดินเล่นกับเด็กนินนะที่หน้าผาแล้ว ห่างออกไปจากบ้านตั้งไกล หรือถ้าหากว่าเจ้าสิปนนท์เริ่มดำเนินการขู่เอาเงินจากเขา ทำให้นายปรเมศวางแผนที่จะฆ่าปิดปาก ก็น่าแปลกที่เขาลงมือเอาเกือบจะเย็น ก่อนหน้านี้เขาอยู่กับนินนะไม่มีทางลงมือได้จนกว่าจะถึงเวลาประมาณสี่โมงสี่สิบ ซึ่งตอนนั้นคนในบ้านต่างก็ออกมาเตรียมรับประทานอาหารเย็นกันแล้ว นับว่าไม่ใช่เวลาปลอดคน แล้วนอกจากนี้ นายปรเมศจะรู้ได้อย่างไรว่าในช่วงเวลานั้นเจ้าสิปนนท์กำลังหลับอยู่ในห้อง สมมุติอีกประเด็นหนึ่งว่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้วางแผนมาก่อนเลย เพียงแต่เกิดความคิดวู่วามว่าจะต้องฆ่าปิดปากเสียให้หมดปัญหา เขาก็จะต้องเข้าไปในบ้านของเขาเพื่อหาอาวุธสักอย่าง อาจจะเป็นมีดทำครัว แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เพราะตอนนั้นนินนะกำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว แล้วหลังจากที่นายปรเมศฆ่าลิปนนท์แล้ว เขาก็ต้องเอามีดมาล้างคราบเลือด แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะในครัวมีคนอยู่ หรือถ้านายปรเมศจะเก็บมีดทำครัวไว้ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะตรวจสอบแล้วพบว่ามีดในครัวยังอยู่ครบทุกเล่มในครัวทั้งสองบ้าน"

ชนินทร์พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย "แกพูดถูก ฉันก็ไม่เชื่อว่านายปรเมศจะเป็นฆาตกร"

"แล้วถ้าเรามาคิดกันใหม่ว่า นินนะอาจจะเป็นฆาตกร ด้วยวิธีการทีเราคิดว่าปรเมศทำเมื่อกี้ล่ะ เพียงแต่เปลี่ยนจากนายปรเมศเป็นเด็กนินนะ ความจริงถ้าเป็นเด็กคนนี้ ฉันว่ายังน่าจะมีน้ำหนักมากกว่าเสียอีก เพราะว่าเขายังมีเวลาเตรียมตัวในครัว แล้วออกจากบ้านโน้นปีนหน้าต่างเข้ามาในห้องของสิปนนท์ จ้วงแทงขณะหลับ แล้วกลับออกไปตามเดิม ล้างมีดให้สะอาด เก็บเข้าที่ ถ้าหากเป็นเจ้าหนูนี่ล่ะก็ น่าจะมีทางเป็นไปได้มากกว่า แล้วไม่มีใครคิดหรอก แม้แต่สารวัตรอนุสรณ์ก็ยังไม่ได้ระแวงสงสัยรายนี้เลย"

"แต่ฉันคิดว่าเรื่องนี้สารวัตรอนุสรณ์คิดถูกแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กอย่างนินนะจะฆ่าใครลง"

ธราดลมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย "แกไม่คิดหรือว่าบางทีเด็กนั่นอาจจะทำเพื่อป้องกันให้เจ้าปรเมศพ้นผิดจากคดีฆาตกรรมเภตรา เพราะดู ๆ เด็กนินนะจะสนิทสนมกับนายปรเมศมากเหลือเกิน"

"แต่ฉันไม่คิดว่านินนะจะฆ่าคนทั้งที่อีกฝ่ายกำลังหลับได้ลง ใจของเด็กคนนี้ไม่เหี้ยมโหดขนาดนั้นหรอก"

"ฉันอาจจะคิดผิดก็ได้ เพราะแม้แต่สารวัตรอนุสรณ์ก็ไม่ได้สงสัยเด็กคนนี้เสียเลย ถ้าหากตัดนินนะออกไป ก็เหลืออีกคนหนึ่งที่มีเวลาเหลือเฟือที่จะฆ่าสิปนนท์ ป้าสวาด แม่ครัวยังไงล่ะ แกก็ยอมรับว่าแกได้ยินเสียงคุณหนิงพูดกับสามี ตอนที่แกอยู่ในสวนดอกไม้ใต้หน้าต่างห้อง แกอาจจะได้ยินถึงตอนที่สิปนนท์บอกคุณหนิงว่าเขารู้ว่าใครเป็นฆาตกร แล้วอาจจะได้ยินต่อไปว่าเขาบอกคุณหนิงว่าจะกลับไปนอนพักที่ห้องของเขา ป้าสวาดให้การว่าแกกลับเข้าไปในบ้านเพื่ออาบน้ำ แต่ยังไงก็เถอะ แกมีเวลาว่างตลอดบ่ายที่จะรอว่านายสิปนนท์หลับ แล้วย่องเข้าไปในห้อง แทงเขาตาย เอามีดไปล้างเสียให้หมดรอยเลือด แล้วค่อยไปอาบน้ำอย่างที่อ้างไว้ ส่วนสาเหตุก็อาจจะเป็นอย่างเดียวกับที่ฉันพูดถึงเด็กนินนะ คือแกทำลงไปเพื่อฆ่าปิดปากสิปนนท์ไม่ให้เผยความลับออกมาว่าฆาตกรคือปรเมศ เพราะว่าแกรักเอ็นดูเจ้าหนุ่มนี่มาก เลี้ยงดูอุ้มชูกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย"

คราวนี้ชนินทร์หัวเราะ "ตลกเกินไปแล้วไอ้ดล ป้าสวาดน่ะไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ ฉันว่านิสัยของป้าสวาดแกเป็นนักเลงพอ ปากตรงกับใจ ไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่"

ธราดลขมวดคิ้ว "งั้นฉันก็จนปัญญาว่ะ"

*****

ชนินทร์เดินออกมาห้องของตนก็เป็นเวลาเดียวกับที่ฉัตรสิริก็เดินออกมาจากห้องของจิตติกาเช่นกัน ทั้งสองคนเผชิญหน้ากันอย่างไม่สามารถเลี่ยงได้

ตอนแรกชนินทร์คิดจะพูดแขวะอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำมาทุกครั้ง แต่พอเห็นใบหน้าซีดขาวที่คล้ายแบกโลกไว้ทั้งโลกของอีกฝ่ายแล้วก็พาลทำไม่ลงขึ้นมา อีกทั้งเขามีเรื่องที่ต้องคุยอย่างจริงจังกับอีกฝ่ายด้วย

"ท่าทางคุณจะเหนื่อยมาก"

ฉัตรสิริมองหน้าอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทักเขาด้วยประโยคนี้ อันที่จริงเขาก็เตรียมใจคอยรับฝีปากจัดจ้านของอีกฝ่ายไว้อยู่ก่อนแล้ว

ชนินทร์มองใบหน้าที่อยู่ในอาการตกตะลึงของผู้อ่อนวัยกว่าคล้ายจะกลั้นหัวเราะ "ที่ผมพูดด้วยนี่แปลกมากนักรึ?"

"ก็คุณไม่เคย…" ฉัตรสิริชะงักเพราะหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้

"พูดดีดีกับคุณเลยอย่างนั้นหรือ?" ชนินทร์ต่อคำพูดให้อีกฝ่าย

"ก็จริงไม่ใช่รึไง? เจอกันทีไรคุณก็ต้องต่อว่าผมทุกครั้ง ผมไม่ใช่ที่ลับฝีปากคุณนะ แล้วเรื่องของคุณดลนี่คุณก็วางใจได้ ผมบอกว่าไม่ยุ่งก็จะทำตามที่พูดแน่"

ชนินทร์ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงให้ลดเสียงลง "พูดเบา ๆ ก็ได้คุณ วันนี้พักการวิวาทะเรื่องคุณกับเจ้าดลไว้ชั่วคราว ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณสักหน่อย"

ฉัตรสิริมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อหู คนอย่างนายชนินทร์มีเรื่องจะขอร้องเขาอย่างนั้นหรือ?

*****

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ชนินทร์บอกคนอื่น ๆ ว่าตนจะแวะไปที่บ้านอีกฟากหนึ่งเสียหน่อย

"จะไปดูพวกบ้านโน้นเขาสักหน่อย รู้สึกว่าเขาจะไม่ค่อยสบายใจที่ถูกค้นแบบนี้"

เมื่อชนินทร์เดินไปเคาะประตูบ้านอีกหลัง นินนะเป็นฝ่ายเปิดประตูรับ ดวงหน้าของเด็กหนุ่มซีดเซียวด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ยังดีที่เขายังได้เห็นปรเมศมีอารมณ์วาดรูปได้ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเบาใจขึ้นอย่างประหลาด เพียงเห็นว่าปรเมศเริ่มทำงานได้ แม้ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายอย่างอื่นก็ไม่สำคัญนัก

นินนะพาชายหนุ่มไปในห้องรับแขกเพื่อสนทนากับป้าและน้าของเขา หรือที่จริงก็คือฟังทั้งสองพร่ำบ่นกันยาวเหยียดถึงระบบการทำงานของตำรวจ ที่เข้ามาค้นข้าวของเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

ชนินทร์มีสีหน้าและท่าทีเห็นอกเห็นใจหญิงสูงวัยทั้งสองเป็นอันมาก "ครับ เรื่องนี้ทำให้ลำบากกันมากนะครับ แต่จะทำอย่างไรได้ มันเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเป็นหน้าที่ของตำรวจเขา เราก็ต้องยอมเขาแหละครับ อยากจะให้เรื่องจบเสียที"

"คุณนินทร์คะ ฉันอยู่ที่นี่มาเกือบยี่สิบปีแล้วนะคะ ไม่เคยเจอเรื่องอะไรบ้า ๆ แบบนี้มาก่อน จนกระทั่งพี่สามีฉันทำพินัยกรรมบ้า ๆ นี่แหละ เรื่องมันถึงได้ยุ่งขึ้นมา" คุณดารณีบ่นเสียงดัง

คุณทิพย์วัลย์สะบัดหน้าอย่างไม่ชอบใจในเรื่องที่พี่สาวพูด

"ฉันว่าคุณนินทร์คงไม่อยากฟังเรื่องพินัยกรรมนั่นหรอก แล้วอีกอย่าง ฉันก็ไม่เห็นว่าพินัยกรรมของพี่กมลจะเกี่ยวอะไรกับแม่เภตราหรือว่านายสิปนนท์ ทั้งสองคนนี่เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยเลยสักนิดเดียว"

"อ้อ" ชนินทร์พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

"ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้หรอกค่ะ นึกถึงเรื่องที่จะพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว ทั้งวันศุกร์วันเสาร์ ยายสวาดต้องคอยต้อนผู้สื่อข่าวออกไปตั้งไม่รู้กี่ราย ตอนนี้เราก็ได้แต่ปิดประตูบ้านเท่านั้น แล้วคอยดูเถอะ พรุ่งนี้ต้องเป็นข่าวมากกว่านี้อีกแน่" นัยน์ตาของคุณทิพย์วัลย์เป็นประกายวาวขึ้นมาเมื่อพูดถึงตอนนี้

คุณดารณีสงบปากไม่พูดอะไรมาก แต่ผู้เป็นน้องสาวยังพูดต่อไปอีก

"เท่าที่เป็นอยู่นี่ก็แย่พอแล้ว แค่ศพแรกพวกคนที่เราจ้างมาทำงานที่บ้านก็ไม่อยากจะมาอยู่แล้ว แล้วพอรู้ข่าวว่ามีคนตายอีกเป็นศพที่สอง ยังจะมีใครรับมาทำงานที่บ้านพวกเราอีกล่ะ"

ในที่สุดคุณดารณีต้องเอ่ยปากออกมาจนได้ "ในเมื่อเรื่องมันก็ร้ายแรงอย่างนี้แล้ว หล่อนจะตีโพยตีพายไปให้มันได้อะไรขึ้นมา นังสมฤดีก็คงจะยังมาทำงานให้อยู่หรอก เห็นเวลาเล่าเรื่องให้นักข่าวฟังก็ลอยหน้าลอยตาจะตายไป"

หญิงสูงวัยยังกดลิ้นไว้ไม่ถึงกับพูดต่อไปว่า 'เธอเองก็เหมือนกัน ชอบเป็นข่าว'

คุณทิพย์วัลย์สะบัดหน้า "งั้นรึ งั้นเราก็คงได้มีรูปลงหนังสือพิมพ์กันหมดทุกคนนั่นแหละ"

ชนินทร์อยู่ร่วมการสนทนาอยู่ไม่นานนัก ก็ลากลับ โดยบอกว่าจะขอใช้ประตูหลังเพื่อผ่านสวนดอกไม้ไปเข้าประตูหลังของบ้านอีกฟากหนึ่ง เด็กหญิงจุ๋มจะได้ไม่ต้องมาเปิดประตูรับเขาทางประตูหน้า

นินนะพาชายหนุ่มเข้าไปในครัวเพื่อจะออกจากหลังบ้าน แต่เมื่อเข้าไปถึงในครัว ชนินทร์ก็หยุดอยู่แค่นั้น แล้วเอ่ยถามเด็กหนุ่มร่างเล็ก

"ยังนอนอยู่ที่ห้องเก็บของหรือเปล่า?"

คำถามนั้นทำให้ผู้ฟังมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบ "เปล่าหรอกครับ ตอนแรกที่ผมมานอนห้องเก็บของก็เพราะคุณเภตรามาพัก แต่ตอนนี้ใคร ๆ ก็คิดว่าผมควรจะกลับไปนอนที่ห้องเดิมได้แล้ว"

"ก็ดีแล้ว เอ้อ…ฉันมีเรื่องอยากจะให้นินนะช่วยสักอย่างได้ไหม?"

"ได้สิครับ เรื่องอะไรหรือครับคุณนินทร์"

"อาจจะฟังดูประหลาดสักหน่อยนะ"

"อะไรหรือครับ?"

ชายหนุ่มลดเสียงลง "ฉันอยากให้นินนะไขกุญแจบานที่เปิดทะลุระหว่างสองบ้านนี้เอาไว้ได้ไหม ประตูบานที่อยู่ชั้นบนของบ้านนะ ไม่ใช่ชั้นล่าง"

"ถึงผมจะเปิดกุญแจทางด้านนี้ไว้ แต่ว่าประตูทางด้านโน้นก็ยังติดกลอนอยู่ดีนี่ครับ"

"ก็ใช่นะ"

นัยน์ตาของนินนะเบิกกว้าง จับอยู่ที่ใบหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างประหลาดใจ "หมายความว่า คุณอาจจะเปิดเข้ามาในบ้านนี้หรือครับ?"

"ฉันอาจจะไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ ถ้าหากคืนนี้จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น"

นินนะยังคงไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร จึงมองอีกฝ่ายด้วยความพิศวงเช่นเดิม "ผมคิดว่า ผมไม่…"

"ฉันขอร้องไม่ได้หรือ?"

"ก็…ก็ได้ครับ"

"ถ้าอย่างนั้นไปไขกุญแจเสียตอนนี้เลยได้ไหม" ชายหนุ่มพูดเรียบ ๆ แต่ทว่าหนักแน่น

ทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด เพราะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ปลอดคน ไม่มีใครอยู่ชั้นบนของบ้าน ถ้านินนะจะขึ้นไปไขกุญแจประตูทิ้งเอาไว้ก็จะไม่มีผู้ใดเห็น

นินนะเดินไปส่งชนินทร์ที่หน้าประตูหลังบ้าน ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่อไขกุญแจประตูตามที่ชายหนุ่มได้ขอร้องไว้

เมื่อนินนะเดินผ่านห้องทำงานของปรเมศ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบิดลูกบิดประตูให้เปิดแง้มออก แล้วมองเข้าไป

ปรเมศนั่งอยู่หน้าผืนผ้าใบ กำลังตวัดพู่กันระบายสีสันบนนั้น คล้ายกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านริมอ่าวแห่งนี้ ไม่ได้มีความหมายสลักสำคัญกับเขาเท่ากับงานตรงหน้าแม้แต่น้อย

นินนะยืนมองญาติผู้พี่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะปิดประตูแล้วผละจากไปอย่างเงียบ ๆ

*****
(End Of Part 7)

comment