ผลงานทั้งหมดที่ลงอยู่ในหน้า
Novel เป็นสิทธิส่วนตัวของผู้เขียน หากมีผู้ใดต้องการจะทำการคัดลอกหรือดัดแปลงผลงานบางส่วน
หรือทั้งหมดเพื่อนำไปใช้ในการอื่น นอกจากอ่านเพื่อความบันเทิง กรุณาติดต่อเพื่อขออนุญาตจากผู้เขียนตาม
e-mail ที่ให้ไว้เสียก่อน ขอบคุณสำหรับความร่วมมือค่ะ อีกประการหนึ่งนักเขียนทุกคนต้องการกำลังใจและคอมเมนท์(แม้ว่าบางคนจะไม่พูดออกมา)ไม่ว่าจะเป็นคำติหรือคำชมนะคะ
เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงไ ก็เมลไปคอมเมนท์ได้ตามอีเมลที่ให้ไว้ของแต่ละคน
หรือไม่ก็โพสต์คำติชมไว้ในบอร์ดก็ได้ค่ะ
|
Within Your Eyes (8-End) by...Rai สี่ทุ่มสิบห้านาที ชายหนุ่มจับลูกบิดประตูห้องของจิตติกาแล้วค่อย ๆ หมุนเปิดประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง หน้าต่างในห้องนั้นปิดสนิท ชนินทร์เดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าต่าง เปิดหน้าต่างบานขวาออกแล้วชะโงกหน้าออกไป เมื่อหันไปทางด้านหนึ่งก็มองเห็นบานหน้าต่างห้องของฉัตรสิริที่อยู่ถัดไปมีแสงสว่างส่องนวลออกมา แต่เมื่อหันไปอีกด้าน ก็จะเห็นบานหน้าต่างของบ้านอีกฟากหนึ่ง บานหน้าต่างนี้หันออกนอกทะเลเช่นกัน แต่ตอนนี้มันมืดสนิท เขารู้ว่ามันเป็นห้องของคุณทิพย์วัลย์ ชนินทร์ปิดหน้าต่างเข้ามาตามเดิม ใส่กลอนเอาไว้เรียบร้อยเช่นเก่า แล้วออกจากห้องของจิตติกาเดินข้ามทางเดินหน้าห้องไปยังห้องของตนเอง ชายหนุ่มเข้าไปในห้องโดยไม่เปิดไฟ หากแต่เดินฝ่าความมืดเข้าไปหยุดที่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังบ้านอีกหลังหนึ่งเช่นเดียวกับที่ทำเมื่อครู่นี้ หน้าต่างห้องนอนที่อยู่ถัดไปจากหน้าต่างห้องของชายหนุ่มคือหน้าต่างห้องของคุณดารณี อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ฝาบ้านคั่นเท่านั้น แสงสว่างของหลอดไฟ ส่องลอดผ้าม่านเนื้อบางออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อชะโงกหน้าออกไป ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงพูดงึมงำแว่วออกมา เขาฟังคำสนทนาระหว่างคุณดารณีและน้องสาวของหล่อนอย่างตั้งใจ ***** เด็กหนุ่มหยิบหนังสือในห้องรับแขกที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาวางบนโต๊ะ เลื่อนเก้าอี้ที่ตั้งเกะกะอยู่ให้กลับเข้าที่ แล้วเดินออกจากห้องรับแขกไปที่ห้องทำงานของปรเมศ ญาติผู้พี่ของเขาขึ้นไปนอนโดยลืมปิดประตูทางด้านสวนดอกไม้อีกเช่นเคย อากาศภายนอกโชยเข้ามาในห้อง ทำให้ได้กลิ่นหอมหวานของดอกไม้ที่ส่งกลิ่นยามค่ำคืน เด็กหนุ่มปิดประตูใส่กลอน แล้วยืนนิ่งมองสภาพความยุ่งเหยิงภายในห้องที่กองระเกะไปด้วยผืนผ้าใบ พู่กัน แปรงวาดรูป หลอดสีน้ำ และขวดสีน้ำมันกระจัดกระจายอยู่เต็ม ภายในห้องเต็มไปด้วยร่องรอยของเจ้าของห้อง ราวกับว่าเจ้าตัวยังอยู่ในห้อง อยู่แค่เอื้อมของเขานี่เอง เมื่อตรวจตราทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นินนะก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ทางเดินระหว่างห้องมืดสลัว เว้นแต่สุดทางเดินมีลำแสงส่องออกมาจากห้องของป้าดารณี เพราะว่าประตูเปิดแง้มอยู่ มีเสียงแหลมของน้าทิพย์วัลย์แว่วออกมา ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะเดินไปเปิดสวิตช์ไฟที่ข้างประตูห้อง "ฉันจะบอกว่าตาเมศเป็นคนฆ่านายสิปนนท์" มือที่กำลังเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟหยุดชะงักอยู่เพียงแค่นั้น เด็กหนุ่มยืนตัวแข็ง เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ เขาได้ยินเสียงป้าดารณีทำเสียงอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นอุทานหรืออะไรก็ได้แต่ไม่ชัดนัก ผิดกับเสียงของน้าทิพย์วัลย์ที่ดังแหลมเช่นเดิม "ฉันจะบอกว่าเขาเป็นคนฆ่าสิปนนท์ ตำรวจจะได้ลากคอเอาไปเสียที เราจะได้อยู่กันอย่างสงบ ๆ กันมั่งละทีนี้" คราวนี้เขาได้ยินเสียงป้าดารณีพูดตอบ "นึกหรือว่าตำรวจเขาจะเชื่อหล่อน" เสียงน้าทิพย์วัลย์บอกความไม่พอใจ "ทำไมจะไม่เชื่อ ก็เหตุผลมันฟังขึ้นนี่พี่ดา นอกจากตาเมศแล้วมีใครอยากฆ่านังเภตรา บอกหน่อยได้ไหม? พี่เองก็ไม่มีเหตุผลจะทำอย่างนั้น คนอื่น ๆ ในบ้านก็ไม่มีเหตุผลอะไรเหมือนกัน มีแต่ตาเมศเท่านั้นแหละที่บ้าคลั่งอยู่คนเดียว หึงหวงแม่คนนั้นจนหน้ามืดตามัว เขามองเห็นหล่อนจากแสงไฟฉาย เลยย่องตามลงไปที่ระเบียง แล้วผลักแม่เภตราตกลงไปจากขอบระเบียงตอนที่นายสิปนนท์กลับเข้ามาในบ้านแล้ว นายสิปนนท์คงจะเดาออก ก็เลยพยายามขู่กรรโชกเอาค่าปิดปาก ตาเมศก็เลยฆ่าเขาอีกคน เห็นไหมล่ะมีเหตุผลจะตายไป" "หล่อนรู้ได้อย่างไร?" เสียงคุณดารณีย้อนถาม "ฉันก็เห็นตาเมศแอบย่องเข้ามาในบ้านก่อนที่นายสิปนนท์จะตาย" "หล่อนเห็นเมื่อไร?" "ตอนนั้นฉันกำลังชะโงกหน้าต่างมองหาตานินนะอยู่ เด็กคนนี้พออยู่กับตาเมศแล้วไม่ค่อยได้คิดอะไรมากนักหรอก ฉันห่วงว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้วตานินนะยังไม่ยอมกลับมา ก็เลยชะโงกหน้าออกไปมองหา ฉันว่าจะไปบอกตำรวจว่าฉันเห็นตาเมศเดินเข้าบ้านมาพอดี" "แล้วหล่อนเห็นจริงหรือ?" "ตายแล้ว ทำไมพี่ดาถามอย่างนี้ ไม่เชื่อฉันอย่างนั้นหรือ?" "ตาเมศเพิ่งจะกลับเข้าบ้านมาหลังจากนายสิปนนท์ถูกฆ่าตาย แล้วตำรวจมาถึงบ้านนี้ก่อนหน้าตาเมศเสียอีก" "เขาแอบเข้ามาก่อนไม่ได้หรือไง ฉันมองเห็นเขาทางหน้าต่าง ตาเมศมาถึงบ้านตอนสี่โมงสี่สิบนาทีเห็นจะได้ แต่เขาไม่ทันเห็นฉันหรอก เพราะฉันแอบอยู่หลังม่าน" "ตาเมศจะมาถึงที่นี่ตอนนั้นได้อย่างไร เพราะว่าตอนที่นินนะลงจากหน้าผาน่ะมันตอนสี่โมงสามสิบห้านาที แค่ห้านาที ตาเมศเดินมาถึงบ้านไม่ได้หรอก" "โธ่เอ๋ย! พี่เชื่อเจ้าเด็กนินนะนั่นได้ลงคอเรอะ มันพร้อมจะโกหกยังไงก็ได้เพื่อช่วยพี่เมศของมัน แล้วอีกอย่างนาฬิกาของตานินนะอาจจะเดินเร็วไปช้าไปหรืออะไรก็ได้ หรือไม่อย่างนั้นตาเมศก็ปล่อยให้ตานินนะกลับมาก่อน ส่วนตัวเองก็วิ่งเร็วหน่อย ก็อาจจะมาถึงบ้านเวลาไล่เลี่ยกันก็ได้ ตำรวจเขาไม่ฟังหรอกว่าตานินนะจะพูดแก้ตัวว่าอย่างไร เขาไม่มีโอกาสหรอก จะบอกให้" เสียงเคลื่อนไหวในห้องเหมือนกับป้าดารณีลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความสะเทือนด้วยน้ำหนักอันมหึมาของหล่อน "เธออย่าชะล่าใจนักนะ ทำอะไรลงไปนึกว่าเก่งนักหรือ ฉันไม่คิดหรอกนะว่า " "พี่ดารู้จักคิดกับเขาเหมือนกันหรือ" เสียงน้าทิพย์วัลย์ขัดขึ้น น้ำเสียงเหมือนจะเยาะ "คนอย่างพี่ดาน่ะคิดอะไรไม่เป็นหรอก ไม่ฉลาดพอ ฉันว่าพี่อยู่เฉย ๆ แล้วอย่ายุ่งอะไรดีกว่า ยังไงก็ร่วมมือกับฉันเสียดี ๆ รู้ไหมว่าตำรวจเขาได้เสื้อผ้าของพี่ไปแล้ว ลองเจอว่าเป็นรอยเลือดละก็ พี่จะทำยังไง?" "รอยเลือด!" เสียงป้าดารณีอุทาน น้ำเสียงบอกความตระหนกตกใจ แต่ครู่ต่อมาก็ดูเหมือนจะคุมสติได้ "รอยเลือดอะไรกัน หล่อนก็รู้ดีเท่า ๆ กับฉันว่าเป็นรอยเปื้อนจากขนมหวานที่เรากินกันตอนกลางวัน" "แน่ใจหรือว่าใช่? แน่ใจจริง ๆ รึถึงได้พูดออกมาได้เต็มปากอย่างนี้ ถ้าหากว่าฉันเป็นพี่ดาล่ะก็ ฉันไม่กล้าพูดเต็มปากอย่างนี้หรอก" "หล่อนเองก็นั่งอยู่ด้วย หล่อนก็เห็นว่าฉันทำขนมหกเลอะเสื้อฉันเอง" "งั้นหรือ? เอ! เรื่องนี้ฉันก็จำไม่ได้แล้วเสียด้วย" "ตานินนะก็เห็นเหมือนกัน " "ฉันว่าเราคงเอาตานินนะมาเป็นพยานไม่ได้หรอก" "มันแค่น้ำเชื่อม ตำรวจดมกลิ่นก็รู้แล้ว" "โถ! พี่ดา ฉันว่าตำรวจเขาอาจจะเจอรอยอะไรยิ่งกว่ารอยน้ำเชื่อมนะจ๊ะ ก็ข้อนี้แหละที่ฉันอยากบอกตำรวจว่าตาเมศเป็นตัวการ เขาอาจจะฆ่านายสิปนนท์เสร็จแล้วย่องเข้าไปในห้องรับแขก เอามีดเปื้อนเลือดเช็ดเสื้อของพี่ ตอนที่พี่กำลังนอนหลับกรนคร่อก ๆ อยู่นั่นไง" นินนะได้ยินเสียงทั้งคู่คุยกันแว่ว ๆ อีกสองสามประโยค แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ทันฟังแล้วเพราะว่าตอนนั้นเขาจรดปลายเท้าวิ่งออกไปอย่างเงียบที่สุด และอย่างลังเลเล็กน้อย แทนที่เด็กหนุ่มจะเดินเข้าห้องของตนเอง กลับมุ่งตรงไปยังห้องของน้าทิพย์วัลย์ แล้วปิดประตูห้อง ***** นาทีเดียวกันนั่นเอง ชนินทร์ที่เงี่ยหูฟังอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องพักตัวเองก็ถอยกลับเข้ามาในห้องอย่างฉับไว แล้วเดินออกไปจากห้องด้วยความเงียบ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเห็นฉัตรสิริยืนอยู่ตรงทางเดินหน้าห้อง "คุณมาทำอะไรตรงนี้?" ชนินทร์พูดคล้ายจะต่อว่าอีกฝ่าย "ผมน่าจะถามคุณมากกว่า ที่คุณขอให้ยายหนิงกับจีน่ามาอยู่รวมกันในห้องของผมนี่ ผมยังไม่รู้สาเหตุเลย" "ผมก็บอกแล้วว่าคุณหนิงท่าทางไม่ค่อยสบายใจ น่าจะอยู่รวมกันคนอื่น ส่วนน้องสาวผมนั้นก็เห็นว่าสนิทกับคุณดี ฝากช่วยดูหน่อยจะเป็นไรไป" "แล้วนี่คุณกำลังจะไปไหน?" "หือ?" ชายหนุ่มเลิกคิ้ว "ก็คุณทำเหมือนกับว่าคืนนี้คุณทำอะไรสักอย่างโดยไม่ยอมบอกใคร ทั้งที่ผมเป็นเจ้าของบ้าน ผมก็น่าจะรู้ไว้บ้าง ว่าคุณกำลังจะทำอะไรในบ้านของผม" ชนินทร์ทำหน้าเหมือนรำคาญ "เอาละ ผมยอมแพ้คุณแล้ว คุณเจ้าของบ้าน ผมในฐานะคนอาศัยกำลังคิดจะเดินเข้าไปบ้านโน้น ทางประตูที่เปิดเชื่อมชั้นสองนี่แหละ" "แต่มันปิดอยู่ทั้งสองฝั่งไม่ใช่หรือ?" "ผมจัดการเปิดทางฝั่งโน้นแล้ว เอาละ เมื่อคุณรู้แล้วว่าผมกำลังจะไปไหน กรุณากลับเข้าไปในห้องของคุณ แล้วอยู่แต่ในนั้น จะนั่งจะนอนหรือกระโดดโลดเต้นก็ตามใจคุณ" "ผมได้ยินเรื่องแบบนี้แล้ว ยังจะนอนได้อีกหรือ? คุณไปไหน ผมไปด้วย" ชนินทร์ทำหน้าหนักใจขึ้นมาทันที "คุณนี่บทจะดื้อก็ทำได้ไม่ถูกกาลเทศะเสียบ้างเลย กลับเข้าไปในห้องของคุณเดี๋ยวนี้" "ไม่" น้ำเสียงของฉัตรสิริเด็ดขาด นัยน์ตาวาวในความมืด "ถ้าคุณเป็นเด็กผมจับตีก้นไปแล้วนะนี่ คุณกำลังทำให้ผมเสียเวลา" ชนินทร์คำรามเสียงหนัก ก่อนจะคว้าข้อมืออีกฝ่ายเดินไปด้วยกัน "จะไปด้วยก็ได้ แต่ห้ามทำเสียงดังเด็ดขาด" ***** หญิงสูงวัยเห็นนินนะยืนอยู่ในห้อง ใบหน้าของเด็กหนุ่มขาวซีด "นี่แกกำลังทำให้ฉันหัวใจวายนะตานินนะ เข้ามาทำอะไรมืด ๆ ในห้องน้าฮึ?" "ผมมีเรื่องจะคุยกับน้าทิพย์ครับ" "มีเรื่องอะไรก็ว่ามา" สายตาของนินนะจับตามองร่างเล็ก ๆ ของผู้เป็นน้าในทุกอิริยาบถ หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง คุณทิพย์วัลย์ก็เตือนซ้ำอย่างหงุดหงิด "ว่ายังไงล่ะ? แกต้องการอะไร?" "ผมอยากจะบอกน้าทิพย์ว่า เมื่อครู่นี้ผมได้ยินที่น้าทิพย์พูดกับป้าดา" คุณทิพย์วัลย์สะดุ้ง แล้วร้องออกมาอย่างกราดเกรี้ยวว่า "เสียมรรยาทจริงตานินนะ การแอบฟังคนอื่นแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ เรื่องอะไรต้องมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น" "ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นนี่ครับ ผมได้ยินน้าทิพย์พูดว่าจะบอกตำรวจว่าพี่เมศเป็นคนฆ่าคุณสิปนนท์ เพราะว่าน้าเห็นเขาเข้ามาในบ้านตอนสี่โมงสี่สิบนาที" คุณทิพย์วัลย์พยักหน้า "ใช่สิ ก็หน้าที่ของพลเมืองดีนี่ ฉันจะต้องแจ้งให้ตำรวจเขารู้" "แต่มันไม่จริงนี่ครับ ผมทิ้งพี่เมศไว้ที่หน้าผาแล้วกลับมาถึงบ้านตอนสี่โมงสี่สิบห้า พี่เมศตามกลับมาหลังจากนั้นอีกนานเลยครับ จนกระทั่งสารวัตรอนุสรณ์มาถึงแล้วนั่นแหละ พี่เมศถึงได้กลับเข้ามา" "แกจะอ้างยังไงก็เรื่องของแก แต่ยังไงฉันก็จะบอกตำรวจว่าฉันเห็นตาเมศตอนสี่โมงสี่สิบ ถ้าตำรวจสอบสวนฉัน ฉันก็จะให้การไปตามนี้" "ทำไมทำแบบนี้ล่ะครับ?" "ถามอย่างนี้หมายความว่ายังไง?" "งั้นผมจะตอบเอง ผมรู้ว่าทำไมน้าทิพย์คิดจะบอกตำรวจอย่างนั้น ผมก็มีเรื่องจะบอกตำรวจเหมือนกัน ตำรวจเขาเอาเสื้อของน้าทิพย์ไปแล้วใช่ไหมครับ น้าทิพย์ให้การว่าได้ซักเสื้อเมื่อวันเสาร์ แล้วผึ่งเอาไว้เพื่อจะรีดทีหลัง แต่ผมรู้ว่าน้าทิพย์ไม่ได้ซักเสื้อตัวนั้นในวันเสาร์ เพราะเมื่อเช้าวันนั้นผมเอาผ้าคลุมเตียงมาเปลี่ยนในห้องของน้าทิพย์ ประตูตู้เสื้อผ้าของน้าเปิดทิ้งไว้ เสื้อสีน้ำเงินตัวนั้นยังแขวนอยู่ในตู้" "ฉันจะซักเสื้อตอนไหน มันเกี่ยวอะไรด้วย?" "ก่อนกินข้าวเที่ยง ผมเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ตอนนั้นอ่างล้างมือสะอาด ไม่มีร่องรอยอะไรเลย แต่ตอนที่ผมกลับมาจากหน้าผา ผมเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ผมเห็นคราบสีน้ำเงินติดอยู่ที่อ่าง เสื้อสีน้ำเงินเข้มมักจะสีตกเวลาซัก เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าน้าทิพย์จะต้องซักเสื้อผ้าอะไรสักอย่างที่เป็นสีน้ำเงิน" ภายในห้องเงียบงันทันที ที่หน้าห้องนั้น ร่างสูงของชนินทร์กับร่างผอมบางของฉัตรสิริยืนเคียงคู่กัน ทั้งคู่ยืนเงี่ยหูฟังอยู่ว่าเมื่อไรจะมีเสียงตอบเสียที จากประตูห้องที่แง้มไว้เพียงเล็กน้อย ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนที่อยู่ในห้องยืนอยู่ในตำแหน่งไหน ชนินทร์รู้แต่ว่าหากได้ยินเสียงคุณทิพย์วัลย์เดินเข้าไปใกล้นินนะมากกว่าเดิม เห็นทีเขาจะต้องโผล่พรวดเข้าไปขัดจังหวะเป็นแน่ ฉัตรสิริยืนเบียดร่างเข้าชิดประตูเพื่อจะมองให้เห็นภาพภายในห้องให้ชัดขึ้น แต่มือแข็งแรงของคนที่ยืนข้าง ๆ ก็ยึดเขาเอาไว้พร้อมกับรวบตัวเขาไว้แน่น ลมหายใจอุ่น ๆ ของอีกฝ่ายเป่าผ่านหน้าผากเขาจนรู้สึกร้อนวูบ ฉัตรสิริหมายจะขยับตัวออกห่าง แต่อีกฝ่ายกลับทำเสียงตำหนิในลำคอคล้ายจะบอกให้เขาอยู่นิ่ง ๆ ชนินทร์เพิ่งรู้ว่าฉัตรสิริผอมบางกว่าที่เขาเห็นด้วยตา เพราะแค่รวบตัวอีกฝ่ายไว้ ร่างเล็ก ๆ นั้นก็แทบจมหายเข้าไปในอ้อมแขนเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพูและสบู่กรุ่นขึ้นปะทะจมูก ชายหนุ่มอดจะก้มลงสูดกลิ่นนั้นอย่างพอใจไม่ได้ เขาเป็นคนที่เกลียดน้ำหอมเป็นชีวิตจิตใจ ได้กลิ่นแล้วพาลจะคลื่นเหียนเอาได้ แต่กลิ่นสบู่อ่อน ๆ แบบนี้ทำให้นึกถึงเด็กเล็ก ๆ ตอนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ อีกทั้งใบหน้าขาวซีดของฉัตรสิริก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วด้วย พลันเสียงของคุณทิพย์วัลย์ก็กังวานขึ้น "แกนี่คิดอะไรเหลวไหลสิ้นดี ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ไปนอนได้แล้ว ดื่มอะไรร้อน ๆ สักถ้วยแล้วกินยาระงับประสาทสักเม็ดดีไหม ใจคอจะได้สบายขึ้น" "ไม่ครับ" "เถอะน่า เมื่อวานพี่ดาเขาเอายานอนหลับมาให้ฉันสองเม็ด ฉันกินไปเสียเม็ดหนึ่งแล้ว ยังเหลืออีกเม็ดหนึ่ง เก็บเอาไว้ข้างเตียงแน่ะ ยานี่อ่อนดี กินแล้วหลับสบาย กินพร้อมกาแฟนี่ก็ได้ ฉันชงเอาไว้กินก่อนนอน แกเอาไปกินก็แล้วกัน" "อย่าเลยครับ ผมไม่อยากกิน" "เอ! แกจะเอาอะไรกับฉันหา จะให้ฉันโทรไปบอกตำรวจเสียเดี๋ยวนี้หรือยังไงกัน ถ้ายังดื้อแบบนี้ ฉันจะโทรไปบอกตำรวจเลยว่าฉันเห็นตาเมศกลับเข้ามาในบ้านตอนสี่โมงสี่สิบ ฉันยืนยันได้ว่านาฬิกาของฉันตรงเวลาเผง แต่ถ้าแกกินยาแล้วไปนอนดี ๆ พรุ่งนี้เราค่อยมาทำความเข้าใจกันใหม่ ตอนนั้นแกคงไม่ฟุ้งซ่านเหมือนกับตอนนี้แล้วแหละ" "ไม่ครับ" คุณทิพย์วัลย์ตบโต๊ะดังปัง "เอ๊ะ! ตานินนะ แปลว่าแกจะลองดีกับฉันหรือไง ฉันอุตส่าห์เลี้ยงแกมานะ มานี่ดีกว่ากินกาแฟแล้วก็ยานอนหลับเสีย พรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกันใหม่ แกคงไม่อยากบังคับให้ฉันต้องทำอะไรชนิดที่แกต้องเสียใจไม่ตลอดชีวิตหรอกนะ ฉันคิดว่าแกยอมทำทุกอย่างเพื่อตาเมศเสียอีก ถ้าแกไม่อยากช่วยเขา ฉันก็บังคับไม่ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์ไปบอกตำรวจเดี๋ยวนี้แหละ" "อย่านะครับ" นินนะร้องเสียงสั่น ด้วยเกรงอีกฝ่ายจะทำจริง ๆ "งั้นก็กินกาแฟแล้วก็ยานอนหลับนี่ซะ" นินนะเอื้อมมือไปรับถ้วยกาแฟและยานอนหลับจากผู้เป็นน้า นาทีนั้นเอง ชนินทร์ก็ตัดสินใจปล่อยร่างที่เขากอดอยู่แล้วผลักบานประตูก้าวเข้าไปในห้องทันที คุณทิพย์วัลย์หันขวับมา นัยน์ตาของหล่อนเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะร้องออกมาอย่างตระหนก "ตายแล้ว ใจหายหมด เรื่องอะไรกันคะคุณนินทร์ แล้วคุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง? คุณนินทร์เข้ามาทำอะไร?" เสียงของหญิงสูงวัยบอกถึงความเกรี้ยวกราดได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อเห็นฉัตรสิริค่อย ๆ เดินตามเข้ามาอีกคน สีหน้าของคุณทิพย์วัลย์ก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยโทสะ "นี่แกด้วยหรือ? เข้ามาทำอะไรกันฮึ?" ชนินทร์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ผมแค่เข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่านินนะจะต้องไม่ดื่มกาแฟหรือกินยานอนหลับที่คุณให้" คุณทิพย์วัลย์หัวเราะเสียงแหลม "ยานอนหลับ นี่คุณนินทร์คิดอะไรอยู่ในใจกันแน่คะ คิดว่าฉันจะทำอะไรหลานฉันหรือไง จะเอายานอนหลับนี้ไปตรวจก็ได้นะคะ มันไม่มีอันตรายอะไรหรอก พี่ดาเขากินอยู่ทุกคืนนั่นแหละ" "ตอนที่คุณเอามาห้องของพี่สาวคุณ ยายังมีอยู่เต็มขวดไม่ใช่หรือ สิ่งที่ผมคิดว่าจะนำไปตรวจก็คือกาแฟถ้วยนั้นแหละ" ชายหนุ่มเดินตรงไปที่โต๊ะ แต่ยังไม่ทันหยิบถ้วยขึ้นมา คุณทิพย์วัลย์ก็ปราดเข้ามาปัดถ้วยกาแฟหล่นลงบนพื้นพรม กาแฟกระฉอกลงมาแล้วไหลนองเลอะเทอะบนพื้น ฉัตรสิริอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ คุณทิพย์วัลย์หัวเราะเสียงแหลมอย่างสะใจ "อยากได้ก็เอาไปสิ ถ้ามีปัญญานะ" ชนินทร์ก้มลงเก็บถ้วยกาแฟขึ้นมาแล้วพูดเสียงเรียบ "ถึงจะหกไปมาก แต่ก็ยังเหลือติดก้นถ้วยอยู่คงพอจะเอาไปตรวจวิเคราะห์ได้ แถมก้นถ้วยก็ยังมีผงขาว ๆ ละลายติดอยู่มากเหมือนกัน" พอได้ยินประโยคสุดท้าย คุณทิพย์วัลย์ก็ถลาเขาไปคว้าแขนชายหนุ่มไว้ แต่ชนินทร์ไวกว่ารีบยกมือขึ้นสูง ร่างเตี้ยเล็กของคุณทิพย์วัลย์ไม่สามารถแย่งชิงถ้วยกาแฟมาได้ หญิงสูงวัยกรีดร้องแล้ววิ่งถลาออกจากห้อง ชนินทร์เห็นดังนั้นจึงส่งถ้วยกาแฟให้ฉัตรสิริ "คุณอยู่ที่นี่นะ อย่าตามออกไป" พูดจบก็วิ่งตามร่างของคุณทิพย์วัลย์ไปติด ๆ ตรงทางเดินระหว่างสองบ้านนั้น ธราดลที่ได้ยินเสียงดังผิดปกติกำลังยืนมองประตูที่กั้นระหว่างสองบ้านที่เปิดอยู่ด้วยความสงสัย จนกระทั่งเพื่อนของเขาตะโกนเรียก "ดล ดล จับคุณทิพย์วัลย์ไว้ที" ชายหนุ่มทั้งสองคนวิ่งไปจนถึงสุดขอบสนามที่ลาดต่ำลงไปเป็นบันไดทอดสู่ชายหาด
ถ้าหากว่าคุณทิพย์วัลย์วิ่งมาทางนี้คงจะลงบันไดไปแล้ว ข้างล่างนั้นน้ำทะเลขึ้นมาท่วมหาด
ไม่มีทางได้ยินเสียงของคุณทิพย์วัลย์วิ่งไปตามชายหาดได้ ถ้าหากว่าคุณทิพย์วัลย์มุ่งตรงไปยังหน้าผา
ก็คงพอจะได้ยินเสียงบ้าง แต่ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทั้งธราดลและชนินทร์ยืนมองซ้ายมองขวาอยู่แถวนั้น
สักพักฉัตรสิริก็วิ่งตามมา พร้อมกับนินนะ "เห็นแก่ ๆ อย่างนี้ แต่ไวชะมัด" ธราดลบ่นเสียงดัง "คิดว่าจะหนีออกไปที่แหลมได้ไหม?" ชนินทร์หันไปถามเด็กหนุ่มข้างตัว "ไม่มีทางเลยครับ สามชั่วโมงยังวิ่งไม่ถึงเลย" ชนินทร์มองสภาพภูมิศาสตร์บริเวณนั้น แล้วหันไปถามนินนะอีกครั้ง "หรือว่าจะออกไปที่อ่าวแล้ว" "คงจะยากครับ เพราะมืด ๆ อย่างนี้จะเสี่ยงว่ายน้ำไปมันอันตรายครับ" ทั้งสี่คนเดินออกสำรวจบริเวณบ้านอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่พบร่องรอยของหญิงชราแม้แต่น้อย เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน ก็พบว่าทุกคนในบ้านทั้งสองหลังได้ตื่นขึ้นมาหมดแล้ว "เกิดอะไรขึ้น?" สีหน้าของปรเมศดูตื่นเต้น "คุณทิพย์วัลย์พยายามจะฆ่านินนะครับ" ชนินทร์บอกอีกฝ่าย สีหน้าของปรเมศซีดเผือดลงทันที "แล้วนินนะ " ราวกับว่าเสียงนั้นคือเสียงเรียก นินนะที่เดินรั้งท้ายอยู่ด้านหลังวิ่งโผเข้าไปหาญาติผู้พี่ทันที ***** หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าคุณทิพย์วัลย์ตัดสินใจจบชีวิตลงในทะเลดีกว่าจะต้องไปเผชิญหน้ากับโทษทัณฑ์ตามกฏหมาย ***** "ผมยังมองไม่เห็นเลยว่าอาทิพย์จะฆ่าคุณเภตราไปเพื่ออะไร" ฉัตรสิริเอ่ยขึ้นอย่างสนเท่ห์ "แกคิดว่ายังไงวะ นินทร์" ธราดลหันไปทางเพื่อน ชนินทร์ลอบมองใบหน้าขาวซีดของฉัตรสิริก่อนตอบคำถามเพื่อน "คุณทิพย์วัลย์ไม่มีเหตุผลจะสังหารเภตรา มันก็จริง แต่หลังจากประมวลเรื่องทั้งหมดแล้ว ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ประเด็นของการฆาตกรรมอาจจะเป็นไปได้อีกประการหนึ่งคือ เป็นไปได้ไหมที่เภตราอาจจะไม่ใช่คนที่ฆาตกรมุ่งสังหาร เพราะว่าอาจจะมีใครอีกสักคนในบ้านนี้เป็นเป้าหมายอันแท้จริง ใครสักคนที่เป็นเป้าหมายของความริษยา จงเกลียดจงชัง ความมุ่งร้ายหมายขวัญ จนกระทั่งทำให้ฆาตกรตัดสินใจว่าจะต้องกำจัดเสีย เภตราอาจจะถูกฆ่าเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นบุคคลคนนั้นเนื่องจากผ้าที่เธอใช้คลุมศีรษะอยู่ในคืนเกิดเหตุ ฉันเห็นว่าผ้าคลุมผมนี่แหละคือเงื่อนงำแรกที่น่าสะดุดใจ" "ผ้าคลุมผมนี่นะ?" ธราดลเอ่ยอย่างไม่เชื่อถือ "ตอนบ่ายเมื่อทุกคนอยู่ที่ชายหาด คุณฉัตรใช้ผ้าบาติกสีฟ้าคลุมผม" ชนินทร์อธิบายทั้งที่พยายามจะไม่หันไปมองฉัตรสิริ แต่เขาก็อดใจไม่ได้ นี่กระมังที่เพื่อนของเขาพูดเอาไว้ตั้งแต่แรก บางครั้งคนเราก็ไม่สามารถห้ามใจตนเองได้ เขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่า ยากที่จะละสายตาไปจากใบหน้าขาวนวลนั้นได้เช่นกัน "เพราะสีของมันสะดุดตามาก คนในบ้านทุกคนที่ไปชุมนุมกันอยู่ย่อมเห็นและจำได้ว่าเป็นผ้าของคุณฉัตร ในตอนกลางคืนที่ระเบียงนั้นมืดสนิท จากคำให้การของคุณหนิง คนที่ลงไปที่ระเบียงนั้นสวมเสื้อกันฝนของคุณฉัตร คลุมหน้าตาด้วยผ้าคลุมของคุณฉัตร เพราะว่าสิปนนท์ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาลอบลงไปพบกับเภตรา เนื่องจากกลัวว่าจะอื้อฉาว ดังนั้นถ้าใครสักคนมองลงมาจากตัวบ้าน จะเห็นอะไรในความมืดสลัว? ก็จะเห็นร่างของใครบางคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของคุณฉัตร และคลุมหน้าตาด้วยผ้าคลุมที่ทุกคนจำได้ดีว่าเป็นของคุณฉัตร คน ๆ นั้นย่อมปักใจในทันทีว่าคนที่เขาเห็นนั้นคือคุณฉัตรแน่ ๆ ฉันคิดทบทวนดูแล้ว คิดว่าข้อนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด มากกว่าข้ออื่น ๆ" ธราดลพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ชนินทร์จึงกล่าวต่อ "ด้วยเหตุนี้ฉันจึงต้องกลับมาทบทวนแต่ละคนในสองบ้านนี้ว่าใครมีเหตุจูงใจที่อยากกำจัดคุณฉัตรบ้าง และใครที่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ เมื่อสำรวจห้องนอนแต่ละคนแล้ว ทางบ้านโน้น ห้องที่หันไปทางทะเลมีอยู่สองห้องด้วยกัน คือห้องนอนของคุณทิพย์วัลย์ และห้องนอนของนินนะ ส่วนคุณดารณีกับปรเมศอาจจะมองเห็นได้ ถ้าหากว่าอยู่ในห้องน้ำแล้วมองออกมา แต่ถ้าอยู่ในห้องของตัวเองจะมองเห็นระเบียงไม่ได้ เพราะว่าหน้าต่างห้องเปิดไปทางถนนหน้าบ้าน ไม่ใช่ทางทะเล" ฉัตรสิริฟังการวิเคราะห์ของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสนใจ นัยน์ตาคู่ใสจ้องอีกฝ่ายอย่างชื่นชม ทำให้ชนินทร์อดที่นึกย้อนไปถึงความรู้สึกของตนในยามที่ร่างของอีกฝ่ายเบียดชิดเขาที่หน้าประตูห้องของคุณทิพย์วัลย์เมื่อคืนไม่ได้ แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของธราดลที่นั่งเหม่อมองฉัตรสิริอยู่ ชายหนุ่มก็ต้องสลัดความคิดที่วุ่นวายอยู่ในหัวออกไป เขาไม่อาจทรยศเพื่อนของตนเองได้ "สำหรับคุณดารณีนั้น ถ้าจะวิจารณ์กันตรง ๆ เธอไม่ใช่คนที่น่าคบหาเท่าใดนัก ขาดมนุษยสัมพันธ์ และเป็นคนเฉื่อยชา มีชีวิตอย่างเรื่อย ๆ ซังกะตายไปวัน ๆ ฉันไม่คิดว่าคนอย่างคุณดารณีจะเกิดความคิดชั่วแล่น แอบย่องลงจากห้องนอนกลางดึกลงไปที่ระเบียงเพื่อฆ่าใครสักคนให้ได้ ฉันคิดว่าถึงคุณดารณีจะมีโอกาสก็คงจะคิดว่าทำไปทำไมให้เหนื่อยแรง ใช่ไหมวะดล?" ตอนท้ายชายหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนที่กำลังนั่งเหม่อมองเสี้ยวหน้าของฉัตรสิริอยู่อย่างไม่วางตา ธราดลสะดุ้งก่อนจะรีบพูด "เออว่ะ ฉันก็คิดแบบนั้นแหละ" ชนินทร์แอบหัวเราะก่อนจะอธิบายต่อ "คนต่อไปที่น่าสงสัยคือปรเมศ เขาอาจจะเป็นคนฆ่าเภตราเพราะความหึงหวง หากเขารู้ว่าคนที่ลงไปที่ระเบียงคือหล่อน หรือเขาอาจจะตั้งใจฆ่าคุณฉัตร เพราะหวังว่าเมื่อคุณฉัตรตาย มรดกส่วนหนึ่งจะตกเป็นของเขาตามพินัยกรรม แต่ถ้าเป็นปรเมศในกรณีใดกรณีหนึ่งจากที่กล่าวมานี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเอาผ้าเปื้อนเลือดเข้าไปแขวนไว้ในบ้านของคุณฉัตร เพราะถ้าเขาตั้งใจฆ่าเภตรา เขาย่อมจะคลุ้มคลั่งไปด้วยอารมณ์จนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่น นอกจากฆ่าตัวตายตามหล่อนไป เหตุผลนี้จะนำมาใช้ได้เช่นกันในกรณีที่ปรเมศอาจตั้งใจฆ่าคุณฉัตร แล้วมารู้เมื่อสายเกินไปว่าเภตราต่างหากที่ตายไปเพราะเขา เขาก็ย่อมคลุ้มคลั่งเพราะความเสียใจจนไม่เป็นอันวางแผนเรื่องผ้าเปื้อนเลือดนั่นหรอก อีกกรณีหนึ่งคือ เขาอาจจะตั้งใจฆ่าคุณฉัตร ผลักคนตกลงไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าผิดตัว ถ้าอย่างนั้นเขาจะว่ายน้ำออกไปฆ่าตัวตายทำไม หรือถ้าเขาเกิดความสำนึกผิดขึ้นมาจนอยากจะฆ่าตัวตาย ก็ย่อมไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเอาผ้าเปื้อนเลือดเข้าไปแขวนไว้ในบ้านของคุณฉัตร เมื่อพิจารณาดูทุกทางแล้ว ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่านายปรเมศคือฆาตกรได้เลย" ฉัตรสิริเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่สั่นนิด ๆ "แล้วคุณไม่คิดหรือครับว่า ฆาตกรตัวจริงอาจจะอยู่ในบ้านฝั่งของผมก็ได้" "ไม่หรอกครับ ฆาตกรรมก็เหมือนต้นไม้นั่นแหละ มันต้องมีรากและมีดินที่เหมาะสมมันถึงจะเติบโตขึ้นมาได้ ผมมองแล้วไม่เห็นว่าจะมีใครในบ้านนี้ไม่ว่าน้องสาวของคุณ ตัวคุณ สิปนนท์ หรือป้าสวาด จะเป็นคนที่มีพืชพันธุ์ร้ายกาจแบบนี้งอกงามขึ้นมาในใจได้ แม้แต่คนอย่างสิปนนท์ซึ่งเป็นคนไม่สุจริตนักก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะกระทำสิ่งที่โหดเหี้ยมหวาดเสียว เขาเป็นคนเจ้าสำอางประเภทขยะแขยงเลือดตกยางออกเสียมากกว่า นอกจากนี้เขาไม่มีเหตุจูงใจพอจะอยากฆ่าเภตรา ในเมื่อหล่อนยอมจ่ายเงินให้เขาแล้ว ผมเชื่อว่าเขายังหวังจะรีดไถเอาเงินจากหล่อนอีกในคราวต่อไป ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะเป็นคนฆ่าเภตราเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคุณฉัตรก็เป็นอันตกไปได้ เพราะเขาเป็นคนพาเภตราออกไปนั่งข้างนอกเอง จะเข้าใจผิดได้อย่างไร" ฉัตรสิริมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแสดงความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด ชนินทร์พยายามเลี่ยงไม่มองหน้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มรวบรวมความคิดแล้ววิเคราะห์เหตุการณ์ต่อ "ทีนี้กลับมาพิจารณาทางบ้านโน้นกันต่อ
คนถัดมาคือนินนะ สำหรับคนนี้ผมตัดออกไปได้ เพราะเขาเป็นเด็กดีทุกอย่าง ถ้าพูดกันตามเหตุผลแล้วเขาย่อมอยากให้เภตราออกนอกทางไป
แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ผมไม่เชื่อเลยว่านินนะจะทำร้ายใครลง ดังนั้นผมจึงมุ่งไปที่คนที่เหลือคือคุณทิพย์วัลย์
คุณคงจำได้ดีว่าหน้าต่างห้องนอนของเธอหันไปทางทะเล นอกจากนี้เธอยังเป็นคนที่มีหูไวมาก
เธอย่อมจะมีทางได้ยินเสียงประตูห้องทำงานชั้นล่างเปิดออกเมื่อสิปนนท์และเภตราไปที่ระเบียง
นิสัยของคุณทิพย์วัลย์เป็นคนอยากรู้อยากเห็น เจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่เธอเกิดความอยากรู้ว่าใครลงไปทำอะไรข้างล่าง
เมื่อมองจากหน้าต่างห้อง เธอเห็นอะไร? เธอเห็นคนสองคนออกจากห้องทำงานชั้นล่าง
คุณก็รู้ดีว่าเภตราสูงพอ ๆ กับผู้ชายคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายสองคน
คนหนึ่งคือสิปนนท์ ส่วนอีกคนนั้นคุณทิพย์วัลย์เข้าใจว่าต้องเป็นคุณฉัตรจากเสื้อคลุมและผ้าคลุม" "เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ นอกจากจะต้องสันนิษฐานเอา สิปนนท์กับเภตราคงเป็นปากเป็นเสียงกัน เขาก็เลยผละกลับเข้าไปก่อน เภตราอาจจะยังคงนั่งอยู่เพื่อสงบสติอารมณ์หรืออะไรสักอย่าง ที่ที่เธอนั่งอยู่นั้นเสียงคลื่นคงจะกลบเสียงฝีเท้าที่แอบย่องมาทางด้านหลัง ก็ไม่ยากอะไรที่คุณทิพย์วัลย์จะผลักเธอตกลงไปจากระเบียงไปนอนอยู่ที่พื้นทรายข้างล่าง" "เราไม่มีทางรู้ว่าตอนไหนที่คุณทิพย์วัลย์ตระหนักว่าทำร้ายผิดคนเสียแล้ว คนที่ตกลงไปนั้นไม่ใช่คุณฉัตรแต่ว่าเป็นเภตรา เภตราอาจจะร้องลั่นเมื่อตกลงไป ผมคิดว่าน่าจะเป็นข้อนี้ เพราะคุณทิพย์วัลย์หลุดปากออกมากับตำรวจในตอนแรกว่าเธอได้ยินเสียงร้อง แล้วพยายามกลบเกลื่อนว่าเป็นเสียงค้างคาวบ้าง เสียงแมวบ้าง เพื่อไม่ให้ใครสะดุดใจ" "คงจะเป็นเสียงร้องนั่นเอง" ฉัตรสิริพึมพำ "ผมจำได้ว่าสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะอะไรสักอย่าง" "ครับ เสียงร้องนั่นคงทำให้คุณทิพย์วัลย์ตกใจ เธออาจจะรู้ในตอนนั้นเองว่าผิดคน หรืออาจจะรู้หลังจากนั้นก็ได้ ผมแน่ใจว่าน่าจะเป็นหลังจากนั้น เมื่อคุณทิพย์วัลย์ลงบันไดไปที่หาดทรายเพื่อดูให้แน่ใจว่าเหยื่อของเธอตายสนิท แต่ว่าก่อนที่จะลงไป เธอหยิบเอาเสื้อคลุมกันฝนที่เภตราถอดวางเอาไว้บนที่นั่งมาสวม ไม่ให้เลือดเปรอะเปื้อนเสื้อนอนของเธอ" "แล้วคุณทิพย์วัลย์รู้ได้ยังไงว่าเสื้อคลุมวางพาดอยู่ตรงไหน?" ธราดลถามขึ้นอย่างสงสัย "ในเมื่อมันมืดขนาดนั้น" ชนินทร์ทำหน้าเหมือนจะติงอีกฝ่าย "แล้วคุณทิพย์วัลย์แกจะไม่มีไฟฉายเลยหรือไง ก็ไม่ยากอะไรที่จะสวมเสื้อคลุมกันไม่ให้เสื้อเปรอะเปื้อน ถ้าพบว่าเหยื่อยังไม่ตายก็จัดการเสียให้ตายสนิท เธอไม่กล้าเสี่ยงให้เหยื่อรอดตายไปได้เพราะว่าอาจจะจำคนร้ายได้ตอนที่ถูกผลักตกลงมา เมื่อตอนที่ทุบหัวจนแน่ใจว่าตายแล้วนั่นเอง เธอคงเอาไฟฉายส่องดูให้แน่ใจ ก็พบว่าฆ่าเภตราแทนคุณฉัตรไปแล้ว" ชายหนุ่มหันไปทางฉัตรสิริก่อนจะอธิบายต่อ "แต่แทนที่จะเสียใจ ผมเชื่อว่าคุณทิพย์วัลย์คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรจึงจะปัดความสงสัยให้พ้นตัวได้ แล้วดึงเอาคุณฉัตรเข้ามาเป็นผู้ต้องสงสัยแทน เธอก็เลยเอาผ้าเช็ดเลือดให้เปรอะเปื้อนไปทั้งผืน กลับขึ้นไปที่ระเบียง ถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ที่เดิม แล้วเอาผ้าเข้าไปในบ้านของคุณฉัตร เธออาจจะเห็นตั้งแต่ตอนที่สิปนนท์กลับเข้าไปว่าประตูหลังทางเข้าบ้านคุณฉัตรยังไม่ได้ปิด เธอก็เลยย่องเข้าไป เอาผ้าไปแขวน แล้วกลับมาอย่างเก่า ย้อนกลับเข้าทางประตูด้านหลังของบ้านที่เธอแอบออกมา คุณทิพย์วัลย์คงสบายใจได้ข้อหนึ่งว่า ไม่มีใครเลยที่จะระแวงสงสัยว่าเธอฆ่าเภตรา เพราะว่าทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันไม่ว่าทางไหน" "แล้วสิปนนท์ก็ก่อเรื่องขึ้นมาใช่ไหมครับ?" ฉัตรสิริเอ่ยขึ้นเสียงเบา "ครับ คงจะต้องเรียกว่าอย่างนั้น สิปนนท์อาจจะเห็น หรือว่าได้ยินอะไรสักอย่างที่ทำให้เขารู้ว่าเป็นคุณทิพย์วัลย์ เราไม่อาจรู้ได้ว่าสิปนนท์เห็นอะไร เขาอาจจะอยู่ในห้องน้ำชั้นบน มองออกไปเห็นคุณทิพย์วัลย์ขณะเดินออกไปที่ระเบียงหรือเดินกลับเข้ามา นัยน์ตาเขาชินกับความมืด เพียงแค่เห็นเงาคนหรืออะไรไหว ๆ สักหน่อย เขาก็คงพอเดาได้ว่าเป็นใคร รูปร่างของคุณทิพย์วัลย์เป็นที่เดาได้ไม่ยาก ความจริงสิปนนท์อาจจะไม่เห็นชัดเจนพอจะระบุได้เต็มปาก แต่ว่าคงจะเดาเอา อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาบอกตำรวจ คุณทิพย์วัลย์ก็ต้องตกอยู่ในฐานะลำบากมาก" ฉัตรสิริขมวดคิ้ว "แล้วอาทิพย์วัลย์รู้ได้อย่างไรว่าสิปนนท์รู้ความลับข้อนี้ ท่านได้ยินสิปนนท์คุยกับยายหนิงก่อนที่เขาจะถูกฆ่าหรือครับ?" "ผมคิดว่าคงจะเป็นอย่างที่คุณพูดนั่นแหละ สิปนนท์เก็บความลับข้อนี้เอาไว้ไม่ยอมบอกตำรวจ เพื่อจะได้ขู่เข็ญเอาเงินจากคุณทิพย์วัลย์ทีหลัง แต่ผมสงสัยว่าเขามีเวลาจะลงมือขู่เอาเงินจากคุณทิพย์วัลย์ได้อย่างไร ในเมื่อตำรวจอยู่ที่นี่เกือบตลอดเวลา แล้วตัวสิปนนท์เองก็ออกจากบ้านตั้งแต่วันศุกร์ กลับมาในวันอาทิตย์ อย่างหนึ่งที่เรารู้กันแน่ ๆ คือบ่ายวันอาทิตย์ สิปนนท์พูดเรื่องนี้กับคุณหนิง ในเวลาเดียวกันนั้น คุณทิพย์วัลย์ยอมรับว่าเธออยู่ในห้องนอนของเธอซึ่งอยู่ติดกับห้องของคุณหนิง เพียงแต่ฝาบ้านคั่นเอาไว้เท่านั้น ซ้ำหน้าต่างก็เปิดอยู่พอที่เสียงพูดโต้ตอบจะดังแว่ว ๆ ออกมาได้ ขนาดป้าสวาดซึ่งอยู่ในสวนข้างล่างยังได้ยินบางคำ คนที่หูไวอย่างคุณทิพย์วัลย์คงได้ยินได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อสิปนนท์เคยแสดงละครเวทีมาก่อน เขาย่อมจะพูดเสียงชัดเจนและก้องกังวานอยู่แล้วตามแบบที่ได้ฝึกฝนมา เธอได้ยินว่าเขารู้ตัวฆาตกร และตอนท้ายเขาบอกว่าจะไปนอนพักในห้องจะได้หลับให้เต็มที่เสียที เป็นอันว่าโอกาสที่จะกำจัดสิปนนท์มีอยู่เฉพาะในช่วงบ่ายนั่นเอง เพราะว่านินนะกับปรเมศออกไปเดินเล่น คุณดารณีก็นอนกลางวัน แถมขี้เซาขนาดหนัก ทางด้านบ้านของคุณทิพย์วัลย์ย่อมจะปลอดคน ไม่มีใครเห็นว่าเธอไปไหนหรือว่าทำอะไร ส่วนบ้านของคุณฉัตรก็ไม่มีใครเดินยุ่มย่ามเช่นเดียวกัน เพราะพวกเราทั้งหมดออกไปนั่งเล่นกันที่ชายหาด คุณหนิงเก็บตัวอยู่ในห้องชั้นบน ป้าสวาดคงจะอยู่ในครัว ห้องของคุณหนิงและห้องครัวหันไปทางท้องทะเลหลังบ้าน ส่วนห้องของสิปนนท์อยู่ชั้นล่าง เปิดหน้าต่างหันไปทางหน้าบ้าน แล้วขอบหน้าต่างก็ต่ำพอจะปีนเข้าไปได้ง่าย คุณทิพย์วัลย์เปลี่ยนเสื้อเป็นสีน้ำเงินเข้ม แล้วหยิบมีดปลายแหลมที่ใช้ทำครัวมาเล่มหนึ่ง วิธีการก็ไม่ยาก เธอออกไปทางหน้าบ้าน ดูทางหน้าบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใคร แล้วปีนหน้าต่างเข้าไปจัดการกับสิปนนท์เสีย หลังจากนั้นก็นำมีดกลับมาล้างให้สะอาด เช็ดเก็บไว้ที่เดิม แล้วซักเสื้อที่น้ำเงินเข้มที่อาจจะมีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ ผึ่งไว้ให้แห้ง เท่านี้ก็เรียบร้อย" "แล้วทำไมแกถึงได้รู้ว่ารายต่อไปจะเป็นนินนะล่ะ?" ธราดลถามบ้าง "เป็นสังหรณ์เท่านั้นแหละ รู้สึกว่าฆาตกรไม่น่าจะหยุดเพียงเหยื่อรายที่สอง ดูจากการฆาตกรรมสิปนนท์แล้ว ตำรวจตั้งข้อสงสัยไปที่คุณปรเมศเป็นคนแรก แต่ว่าไม่อาจตั้งข้อหาได้เพราะนินนะเป็นพยานสำคัญให้กับเขา ยืนยันว่าเวลาที่เกิดเหตุนั้น เขายังอยู่บนหน้าผา ฉันเลยสงสัยว่าถ้านินนะถูกกำจัดให้พ้นทางไปได้ ปรเมศคงจะเป็นแพะรับบาปได้ง่ายขึ้น ดังนั้นคุณทิพย์วัลย์เลยวางแผนละลายยานอนหลับในกาแฟ ถ้านินนะกินลงไป ตอนเช้าพวกเราก็จะพบศพของนินนะที่มีสภาพเหมือนฆ่าตัวตาย เพราะตำรวจไปพบกระดาษที่เขียนด้วยลายมือที่เหมือนกับลายมือของนินนะในห้องของคุณทิพย์วัลย์ว่า "พี่เมศ ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว" บางทีสุดท้ายตำรวจก็อาจจะสรุปว่านินนะฆ่าตัวตายเพราะรู้สึกกดดันในใจที่รู้ว่าปรเมศเป็นฆาตกรแล้วต้องไปเป็นพยานเท็จให้เขา" "แต่ในที่สุด แผนของคุณทิพย์วัลย์ก็ต้องล้มเหลว หมดเรื่องกันเสียที" ธราดลถอนหายใจอย่างโล่งอก ***** "พี่ฉัตรบอกว่าบ้านหลังนี้ใหญ่เกินไป และไม่ขัดข้องถ้าเรายังคิดจะอยู่ต่อไป นอกเสียจากว่าพี่เมศจะไม่อยากอยู่" ชายหนุ่มถอนใจยาวอย่างหนักใจ "ฉันโตที่นี่ ทำไมจะไม่อยากอยู่ แต่มันจะเป็นการรบกวนเขา" "ไม่หรอกครับ ถ้าเราจะยังอยู่ในส่วนฟากนี้เหมือนเดิม ไม่ไปรบกวนอะไรเขา" "ถ้าอย่างนั้นก็ดี แต่พวกเราคงจะลำบากเรื่องเงิน เพราะงานวาดรูปนั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะได้เงินสักก้อน" "ผมพอมีเงินส่วนตัวอยู่บ้าง" ปรเมศขมวดคิ้ว "จากที่ไหน?" "ลุงกมลท่านยกเงินให้ผมจำนวนหนึ่งก่อนท่านจะตาย ผมจะได้รับตอนอายุยี่สิบ ก็เป็นจำนวนมากพอดู ท่านสั่งไว้ว่าอย่าบอกใคร ผมก็เลยไม่ได้บอกให้ใครรู้" "แม้แต่ฉันนี่นะ?" "ก็ช่วงนั้นเห็นพี่เมศวุ่น ๆ อยู่" เปลือกตาของเด็กหนุ่มหลุบต่ำลง ปรเมศทบทวนก็นึกขึ้นมาได้ว่า นับตั้งแต่คุณลุงของเขาป่วยนั้น เขาก็วุ่นวายกับเรื่องของเภตราจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ญาติผู้น้องที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก "ฉันขอโทษ และฉันก็ไม่รู้ว่าจะต้องขอโทษนายอีกกี่หนกันนับต่อจากนี้ เพราะเวลาที่ฉันทำงาน ฉันจะลืมหมดทุกอย่าง และมักจะมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น" ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรั้งร่างเล็ก ๆ ของนินนะเข้ามากอดไว้ "ผมจะอยู่ใกล้ ๆ พี่ จนกว่าพี่เมศจะเห็นผม" "แต่ฉันเป็นคนที่อารมณ์ร้ายมาก ๆ ด้วย" "ผมทนกับอารมณ์ของพี่มาได้ตั้งแต่เด็กแล้ว ทำไมเราจะอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้ล่ะ?" ***** "กลับบ้านกันได้เสียที" ชนินทร์เอ่ยขึ้นลอย ๆ ก่อนจะหันไปถามเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจัง "ในที่สุดแกก็ยังไม่ได้บอกเขา?" "เออว่ะ ก็อย่างที่แกแนะนำนั่นแหละ ปล่อยให้เวลามันผ่านไปอีกสักหน่อย ฉันอยากจะให้ตัวเองแน่ใจมากกว่านี้" "นานแค่ไหนวะ?" ธราดลอมยิ้มอย่างกระหยิ่มใจ "ไม่นานหรอก เพราะคุณฉัตรจะขึ้นกรุงเทพฯในอีกสองวันข้างหน้านี้ เขาจะไปดูลู่ทางทำธุรกิจให้มรดกที่ได้จากลุงมันงอกเงยขึ้นมา แล้วฉันก็แนะนำให้เขาไปปรึกษาแก นี่ก็ให้ฉันมาทาบทามแกไว้ก่อน เผื่อแกจะไม่มีเวลา นี่แกต้องรับปากเขานะว้อย ฉันจะได้อาศัยใบบุญแกเบิกทางด้วย" ชนินทร์ไม่สนใจฟังคำสนทนาของเพื่อน เพราะสายตาของเขาตอนนี้ไปจับอยู่ที่ชายหนุ่มร่างผอมบางแทน แล้วชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ระบายยิ้มบนใบหน้า คล้ายกับหัวเราะให้กับตนเอง ทำไมคนที่เขาคิดว่าเมื่อเจอกันครั้งแรกแล้ว ชาตินี้จะไม่มีทางได้เจอกันอีก กลับต้องโคจรมาพบกันเรื่อย ๆ แบบนี้ อีกทั้งความรู้สึกที่ได้พบเจอแต่ละครั้งกลับไม่เหมือนกันสักครั้งเดียว เขายังคาดเดาไม่ถูกว่าเมื่อพบกันในครั้งหน้า เขาและอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรต่อไป จบ จากคนเขียน : เค้าโครงหลักของเรื่องมาจาก
"ธรู เดอะ วอลล์" ของ แพทริเซีย เวนท์เวิร์ธ *****
|