ปัญหาที่ถามกันบ่อย (Frequently Asked Question)

§      การสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร มีสอบอะไรบ้าง?

การสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ การสอบภาควิชาการ และ การสอบพลศึกษา การตรวจร่างกายและสัมภาษณ์  การสอบทั้งสองภาค ดำเนินการสอบโดยโรงเรียนของแต่ละเหล่าทัพ โรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้เข้าร่วมดำเนินการสอบคัดเลือกแต่อย่างใด

§      การสอบภาควิชาการนั้นสอบอย่างไร?

การสอบภาควิชาการเข้าโรงเรียนเตรียมทหารดำเนินการสอบโดยโรงเรียนเหล่าของแต่ละเหล่าทัพ ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะกำหนดเวลาและสถานที่ โดยจะทำการสอบไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่จะสอบเหล่าละวัน โดยที่เวลาสอบไม่ตรงกันเลย  ดังนั้น นักเรียนสามารถสมัครสอบในรอบแรกนี้ได้หลายเหล่า ส่วนวิชาที่สอบนั้นได้แก่วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยและสังคมศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3)  การจะผ่านรอบแรกหรือไม่นั้น จะพิจารณาจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมดโดยนำคะแนนรวมที่ทำได้ ไปรวมกับคะแนนเพิ่มพิเศษสำหรับผู้ที่มีบิดามารดาเสียสละทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ได้เพิ่มขึ้นมาอีกร้อยละ 10 ของคะแนนเต็ม ก็คือ 70 คะแนนดิบ นำคะแนนรวมนี้มาเรียงลำดับ แล้วคัดเอาผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดไปจนถึงลำดับที่ต้องการ  โดยจะไม่คำนึงว่าในจำนวนนี้จะสอบได้คะแนนเท่าใด  บางปีผู้ที่ติดรอบแรกคนสุดท้ายอาจจะได้คะแนนสูงเกินร้อยละ 70  หรือบางปีผู้ที่ติดรอบแรกคนสุดท้ายอาจจะได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 50 ก็มี  สรุปอีกนัยหนึ่งเป็นการสอบแข่งขันเอาตามจำนวน จึงบอกไม่ได้ว่าพร้อมเท่าไรจึงจะพอ  บางคนอาจจะรู้สึกว่าตนเองพร้อม ตนเองทำข้อสอบได้ แต่อาจจะมีผู้ที่ทำได้มากกว่าเราอีกมากก็ได้  ต้องพร้อมจริงๆ ไม่เหมือนกับการเตรียมตัวสอบที่โรงเรียนของนักเรียนหรอก  ที่โรงเรียนของนักเรียนนั้นมีผู้แข่งขันที่จำกัด แต่การสอบเข้าเตรียมทหารนั้นมีผู้สอบแข่งขันจากทั่วประเทศไทยเลยทีเดียว  เพราะฉะนั้น นักเรียนต้อง มีใจรัก มุ่งมั่น ขยันทำโจทย์มากๆ ประเมินตัวเองและแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตัวเองบ่อยๆ นักเรียนจึงจะพร้อมแข่งขัน  จะได้เป็นผู้ชนะ จะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารสมใจ

§      การสอบภาควิชาการนั้นสอบอย่างไร?

การสอบภาควิชาการเข้าโรงเรียนเตรียมทหารดำเนินการสอบโดยโรงเรียนเหล่าของแต่ละเหล่าทัพ ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะกำหนดเวลาและสถานที่ โดยจะทำการสอบไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่จะสอบเหล่าละวัน โดยที่เวลาสอบไม่ตรงกันเลย  ดังนั้น นักเรียนสามารถสมัครสอบในรอบแรกนี้ได้หลายเหล่า ส่วนวิชาที่สอบนั้นได้แก่วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยและสังคมศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3)  การจะผ่านรอบแรกหรือไม่นั้น จะพิจารณาจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมดโดยนำคะแนนรวมที่ทำได้ ไปรวมกับคะแนนเพิ่มพิเศษสำหรับผู้ที่มีบิดามารดาเสียสละทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ได้เพิ่มขึ้นมาอีกร้อยละ 10 ของคะแนนเต็ม ก็คือ 70 คะแนนดิบ นำคะแนนรวมนี้มาเรียงลำดับ แล้วคัดเอาผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดไปจนถึงลำดับที่ต้องการ  โดยจะไม่คำนึงว่าในจำนวนนี้จะสอบได้คะแนนเท่าใด  บางปีผู้ที่ติดรอบแรกคนสุดท้ายอาจจะได้คะแนนสูงเกินร้อยละ 70  หรือบางปีผู้ที่ติดรอบแรกคนสุดท้ายอาจจะได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 50 ก็มี  สรุปอีกนัยหนึ่งเป็นการสอบแข่งขันเอาตามจำนวน จึงบอกไม่ได้ว่าพร้อมเท่าไรจึงจะพอ  บางคนอาจจะรู้สึกว่าตนเองพร้อม ตนเองทำข้อสอบได้ แต่อาจจะมีผู้ที่ทำได้มากกว่าเราอีกมากก็ได้  ต้องพร้อมจริงๆ ไม่เหมือนกับการเตรียมตัวสอบที่โรงเรียนของนักเรียนหรอก  ที่โรงเรียนของนักเรียนนั้นมีผู้แข่งขันที่จำกัด แต่การสอบเข้าเตรียมทหารนั้นมีผู้สอบแข่งขันจากทั่วประเทศไทยเลยทีเดียว  เพราะฉะนั้น นักเรียนต้อง มีใจรัก มุ่งมั่น ขยันทำโจทย์มากๆ ประเมินตัวเองและแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตัวเองบ่อยๆ นักเรียนจึงจะพร้อมแข่งขัน  จะได้เป็นผู้ชนะ จะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารสมใจ

§      ขอบเขตของแต่ละวิชาจะสอบอะไรบ้าง มีคะแนนเท่าไร?

แต่ละวิชาที่ใช้สอบนั้นจะตามหลักสูตรชั้น ม.1-ม.3 กล่าวคือ

1.    วิชาคณิตศาสตร์  ขอบเขตตามเนื้อหารายวิชาครอบคลุมความรู้คณิตศาสตร์ระดับมัธยมต้น คิดเป็นคะแนนเต็ม (ทบ.220 คะแนน, ทร.225 คะแนน, ทอ.220 คะแนน, ตร.200 คะแนน)

2.     วิชาวิทยาศาสตร์ ขอบเขตตามเนื้อหารายวิชาครอบคลุมความรู้วิทยาศาสตร์ระดับมัธยมต้น คิดเป็นคะแนนเต็ม (ทบ.220 คะแนน, ทร.225 คะแนน, ทอ.220 คะแนน, ตร.200 คะแนน)

3.    วิชาภาษาอังกฤษ ขอบเขตตามเนื้อหารายวิชาครอบคลุมความรู้ภาษาอังกฤษระดับมัธยมต้น คิดเป็นคะแนนเต็ม (ทบ.150 คะแนน, ทร.150 คะแนน, ทอ.140 คะแนน, ตร.150 คะแนน)

4.    วิชาภาษาไทยและสังคมศึกษา  ขอบเขตตามเนื้อหารายวิชาครอบคลุมความรู้ภาษาไทยและสังคมศึกษาระดับมัธยมต้น คิดเป็นคะแนนเต็ม (ทบ.110 คะแนน, ทร.100 คะแนน, ทอ.120 คะแนน, ตร.150 คะแนน)

§      การสอบรอบสองนั้นเป็นอย่างไร?

การสอบรอบสองนั้น แต่ละเหล่าจะคัดเลือกนักเรียนที่ผ่านรอบแรกตามที่ได้ประกาศผลให้ทราบ  ในการสอบรอบสองนี้ทุกเหล่าจะสอบพร้อมกัน  สำหรับนักเรียนที่เก่งสอบได้หลายเหล่า ก็ต้องเลือกไปรายงานตัวสอบรอบสองแค่เหล่าเดียวเท่านั้น  ส่วนใหญ่จะเลือกตามที่ตัวเองชอบ  แต่บางทีต้องเลือกตามโอกาสที่จะสอบติด เพราะบางเหล่าจะมีผู้ไปสอบรอบสองเยอะมาก โอกาสจะสอบติดก็น้อยลง  บางคนสอบติดรอบแรก 4 เหล่า แต่อาจจะพลาด  บางคนสอบติดแค่เหล่าเดียวไม่มีโอกาสเลือก แต่อาจจะสอบผ่านรอบสองก็ได้  การสอบรอบนี้ จะประกอบไปด้วยการตรวจร่ายกายโดยคณะกรรมการแพทย์ ผลการตรวจถือเป็นเอกฉันท์ จะไม่ยอมรับผลจากที่อื่น  จะมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ที่เรียกกันติดปากว่าสอบพลศึกษา อีกหลายสถานี ที่สำคัญที่สุด คือว่ายน้ำ 50 เมตร กับ วิ่ง 1000 เมตร ทั้งสองสถานีนี้ต้องผ่านเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น  ถ้าไม่ผ่านจะถือว่าสอบตกพลศึกษาทั้งหมด  และยังมีการสอบสัมภาษณ์ ดูลักษณะท่วงทีวาจา ปฏิภาณไหวพริบ  การสอบไม่ผ่านรอบสองนี้มีสองลักษณะคือลักษณะแรกไม่ผ่านเพราะไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นเพราะเป็นโรคต้องห้ามหรือสอบพลศึกษาไม่ผ่านก็ตาม ในลักษณะนี้ค่อนข้างชัดเจนและเข้าใจง่าย  ลักษณะที่สองสำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์ทุกด่านทั้งหมดมีคุณลักษณะเหมาะกับการเป็นนายทหาร-ตำรวจ ในกลุ่มนี้ ก็จะนำเอาคะแนนภาควิชาการ ไปรวมกับคะแนนเพิ่มพิเศษสำหรับผู้ที่มีบิดามารดาเสียสละทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพและประเทศชาติหรือนักเรียนเองไปฝึกวิชาทหาร (รด.)มา ก็จะมีคะแนนเพิ่มขึ้นมา  แต่ละคนก็จะมีคะแนนเพิ่มไม่เท่ากัน (สำหรับเหล่าทหารบกจะคิดคะแนนสอบพลศึกษากับสอบสัมภาษณ์เป็นร้อยละ 10 คะแนนส่วนวิชาการเป็นร้อยละ 90  ส่วนเหล่าอื่นๆจะเอาผลว่าผ่านหรือไม่ผ่านเท่านั้น) เมื่อนำคะแนนเพิ่มมารวมกับคะแนนภาควิชาการแล้วก็จัดเรียงลำดับจากผู้ที่มีคะแนนสูงสุดไล่ลงไปใหม่  เนื่องจากแต่ละคนมีคะแนนเพิ่มต่างกัน บางคนมีมากบางคนไม่มีเลยจะทำให้มีการขยับลำดับที่กันใหม่  ขั้นสุดท้ายจึงตัดเอาตามจำนวนที่ต้องการ ผู้ที่ผ่านด่านมาถึงตรงนี้แต่ลำดับที่หลังจากการจัดครั้งสุดท้ายอยู่เกินจำนวน ก็จะถูกจัดเป็นสำรองส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็จะถือว่า ไม่ผ่านรอบสอง  บทสรุปตรงนี้มีว่าคะแนนภาควิชาการนั้นมีความสำคัญมากที่สุด  ถ้าอยากจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารสมใจละก็ ต้องขยันเรียน ทุ่มเทให้กับการเรียน เตรียมตัวด้านวิชาการให้พร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ

§      ต้องกวดวิชาเท่านั้น จึงจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ ใช่ไหม?

ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องกวดวิชาแล้วจึงจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้  สอบได้หรือไม่ได้ ใช้คะแนนที่ทำได้เป็นหลัก โดยจะเรียงจากผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจนถึงคะแนนต่ำสุด ประมาณ 600-700 คนแรก จะถือว่าผ่านการสอบรอบแรก จะเห็นว่าผู้ที่พร้อมและได้คะแนนสูง จะผ่าน  แต่ละปีมีผู้สอบเข้าได้จำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้กวดวิชา  เพียงแต่ในระยะหลังๆ มีสถาบันกวดวิชาเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งนักเรียนส่วนมากจะนิยมกวดวิชา จึงทำให้เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่สอบเข้าได้ มักจะผ่านการกวดวิชามาเป็นส่วนใหญ่  เรามองว่าโรงเรียนกวดวิชามีส่วนเตรียมความพร้อมให้นักเรียนได้ในระดับหนึ่ง ส่วนนักเรียนจะพร้อมมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนด้วย

§      ต้องมีเกรดสูงๆถึงจะสอบได้ใช่ไหม?

การที่นักเรียนมีเกรดสูงๆจากโรงเรียนมานั้น เป็นเครื่องชี้วัดอย่างหนึ่งว่านักเรียนสามารถเรียนได้ดี มีความตั้งใจเรียน แต่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งประกันว่านักเรียนจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารติด  เพราะมีนักเรียนจำนวนมากที่มีผลการเรียนดีมากๆ บางคนเป็นถึงตัวแทนของโรงเรียนที่เตรียมตัวไปสอบแข่งขันโอลิมปิก แต่ทว่ากลับสอบไม่ติดแม้กระทั่งรอบแรกก็มีมาแล้ว  คนที่พลาดหวังบางคนสอบเข้าเตรียมทหาร เมื่อสอบเอ็นฯก็ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะแพทย์ ก็มีมากมายหลายคน  ในขณะเดียวกันก็มีนักเรียนที่มีผลการเรียนปานกลางมีเกรดเฉลี่ย 2 กว่าๆ กลับสอบเข้าเตรียมทหารได้  ที่โรงเรียนกวดวิชาฯของเราได้พิสูจน์มาแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ปีนี้มีถึงสองคนที่ผ่านเข้าไปเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้ แม้ว่าจะมีผลการเรียนแค่ 2 กว่าๆ เช่นนักเรียนเตรียมทหาร พ.พันธ์ จากจุฬาภรณราชวิทยาลัยตรัง บรรดาอาจารย์โรงเรียนเก่าจองตัวไว้เป็นแบบอย่างให้รุ่นน้องที่มีผลการเรียนที่ไม่ดีนักว่าอย่าเพิ่งท้อ ให้มีกำลังใจ ตั้งใจและพยายามต่อไป  ทั้งนี้การสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารนั้นมีลักษณะเฉพาะที่ไม่ยากมาก แต่ก็ไม่ง่ายนัก  กองทัพต่างๆและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการคนเก่งที่คิดแก้ปัญหาได้ดี ตัดสินใจได้ไวและแม่นยำถูกต้อง  ดังนั้นนักเรียนจะต้องคิดให้ได้ ตัดสินใจให้ไวและไม่ผิด  มีหลายต่อหลายคนที่พลาดหวังเพราะว่าคิดไม่ทัน ทำข้อสอบไม่ทัน  ให้เวลาน้อยมาก เฉลี่ยแล้วข้อละนาทีกว่าๆเท่านั้นเอง  นักเรียนต้องฝึก ต้องหัด ต้องทำแบบทดสอบเยอะๆ

อีกประการหนึ่ง เกรดแต่ละโรงเรียนในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย  บางคนได้เกรดเฉลี่ยเกือบ 4  แต่เวลามาเรียนกับนักเรียนจากโรงเรียนอื่น กลับเรียนไม่ทันเพื่อน ตามไม่ทันก็มี  ลองทำโจทย์ที่ให้ดูสิครับ  พอจะประเมินขีดความสามารถของตัวนักเรียนเองได้

§      กวดวิชาที่ โรงเีรีียนกวดวิชา To Be Pre-Cadet ดีกว่าที่อื่นอย่างไร?

โรงเรียนกวดวิชาฯของเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่จัดการเรียนการสอนอย่างมีมาตรฐาน เพื่อให้นักเรียนมีความพร้อมทั้งด้านวิชาการและพลศึกษา  ครูอาจารย์ให้การดูแลอย่างทั่วถึงในทุกๆด้าน รู้จักนักเรียนทุกคนเป็นอย่างดี สามารถจะเอาใจใส่นักเรียนได้อย่างทั่วถึง  ที่นี่มุ่งให้ความรู้ความเข้าใจในบทเรียนและฝึกทักษะในการแก้ปัญหาให้กับนักเรียน จึงได้เตรียมอาจารย์ที่มีความรู้ดีๆ มีประสบการณ์สอนจากโรงเรียนเหล่ามานาน  บางท่านจบถึงปริญญาเอก มาให้ความรู้แก่นักเรียนทุกคน เรียกได้ว่าคุณภาพอาจารย์รับประกันได้  ถ้านักเรียนพร้อมที่จะรับเอาความรู้แล้วละก็ นักเรียนย่อมมีความพร้อมแน่นอน  เราถือเอานักเรียนเป็นศูนย์กลางของโปรแกรมทั้งหมดที่วางไว้  นักเรียนทุกคนมีสิทธิและโอกาสที่จะถามอาจารย์ในขณะสอน เมื่อไม่เข้าใจ  เราจะสอนสดกันทุกชั่วโมงทุกวิชา นอกจากความพร้อมทางวิชาการแล้ว เราจะปลูกฝังความเป็นผู้นำ ความรับผิดชอบ ตลอดจนความมีส่วนร่วมในการควบคุมคุณภาพการเรียนการสอนตลอดหลักสูตร อันเป็นส่วนหนึ่งของการประกันคุณภาพของการศึกษาของที่นี่  มีการประเมินการเรียนการสอนทุกหลักสูตร อีกทั้งมีการประเมินลักษณะผู้นำของนักเรียนด้วยกันเองอีกด้วย  อีกประการหนึ่งเราจะเก็บค่าเล่าเรียนที่ถูกเมื่อเทียบกับสถาบันอื่น  การเก็บค่าเล่าเรียนถูกนั้นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ทุกอย่างด้อยลงไป  ที่อื่นมีมาตรฐานการเรียนการสอนเช่นไร เราก็จัดให้มีการเรียนการสอนอย่างน้อยก็เท่ากับหรือมากกว่า  อีกประการหนึ่ง วันสอบวิชาการนั้นเป็นวันสำคัญยิ่ง ข้อดีที่เราตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ใกล้สถานที่สอบ  นักเรียนไม่ต้องตื่นนอนกัน ตีสองตีสามเพื่อเดินทางไปสอบ แล้วไปง่วงและหลับในห้องสอบ  ไม่หลับยังทำแทบไม่ทันอยู่แล้ว  ลองคิดดูแล้วกันว่าจะทำทันไหม ถ้าเผลองีบหลับไปสักสิบ ยี่สิบนาที?  เมื่อสถาบันของเรามีนักเรียนจำนวนน้อยย่อมใช้เวลาเตรียมตัวน้อยเป็นธรรมดา  จึงไม่ต้องปลุกกันตื่นตั้งแต่ก่อนเช้า  สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่เราต่างจากที่อื่นครับ

§      ที่โรงเรียนกวดวิชา To Be Pre-Cadet รับประกันว่าสอบได้ไหม?

ต้องทำความเข้าใจกันก่อน ว่าการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารนั้นมีความโปร่งใสตรงไปตรงมา ไม่มีใครรับประกันใครได้ว่าจะสอบติดหรือไม่  ถ้าหากมีใครเสนอว่ารับประกันผล 100 เปอร์เซ็นต์ว่าสอบได้นั้น บอกได้เลยว่า หลอกลวง  อย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด  ในระเบียบการทั่วไปของแต่ละเหล่าก็ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน  โรงเรียนของเราไม่สามารถประกันว่าจะสอบได้หรือไม่  ทั้งนี้ทั้งนั้นการสอบได้หรือไม่นั้น อยู่ที่นักเรียนว่าทำคะแนนได้สูงกว่าคนอื่นหรือเปล่า  นักเรียนจะทำคะแนนได้สูงกว่าคนอื่น นักเรียนผู้นั้นต้องพร้อมจริงๆ  นักเรียนจะพร้อมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนเป็นหลัก  การสอบนี้เปรียบได้กับการรับประทานอาหาร  นักเรียนต้องกินเองจึงจะอิ่ม ใครจะกินแทนไม่ได้  การสอบนี้ก็เช่นกัน นักเรียนต้องสอบเอง ใครจะสอบแทนไม่ได้  ครูอาจารย์เป็นเสมือนผู้ปรุงอาหารและชี้แนะวิธีการกินอาหารให้  แต่นักเรียนต้องกินเอง  ตรงนี้สิครับที่ยาก  ถึงแม้ว่าจะชี้แนะอย่างละเอียด หรือปรุงมาอย่างอร่อย  แต่ถ้านักเรียนไม่อยากกิน แม้จะป้อนถึงปากก็เถอะ  ถ้านักเรียนไม่พร้อมที่จะรับ ก็ไม่สามารถมุ่งหวังอะไรได้  ดังนั้นโรงเรียนของเราจึงประกันได้แต่เพียงคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเองเท่านั้น  เมื่อนักเรียนทำตามคำชี้แนะของอาจารย์ในทุกๆเรื่อง นักเรียนย่อมประสบความสำเร็จได้  มีตัวอย่างของนักเรียนเตรียมทหารวทัญญู จากพิษณุโลก มีเกรดเฉลี่ย 3.7  แต่เมื่อมาเรียนกับเราในช่วงปิดเทอมตุลาคม ถึงรู้ว่าเรียนไม่ทันเพื่อนๆ อาจารย์ได้แนะนำการเตรียมตัวที่ถูกต้องให้ ก็นำไปปฏิบัติตาม  เมื่อกลับมาเรียนอีกที หลักสูตรติวเข้มก่อนสอบ  คราวนี้จะเห็นได้ชัดว่าเขาพร้อมมากกว่าเดิม จากที่ท้ายๆก็ขึ้นมาเป็นที่ต้นๆของห้อง และก็ประสบผลสำเร็จในที่สุด