ปัญหาที่ถามกันบ่อย
(Frequently Asked
Question)
§ การสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร
มีสอบอะไรบ้าง?
การสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารแบ่งออกเป็น
2 ภาค คือ การสอบภาควิชาการ และ การสอบพลศึกษา การตรวจร่างกายและสัมภาษณ์
การสอบทั้งสองภาค ดำเนินการสอบโดยโรงเรียนของแต่ละเหล่าทัพ โรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้เข้าร่วมดำเนินการสอบคัดเลือกแต่อย่างใด
§ การสอบภาควิชาการนั้นสอบอย่างไร?
การสอบภาควิชาการเข้าโรงเรียนเตรียมทหารดำเนินการสอบโดยโรงเรียนเหล่าของแต่ละเหล่าทัพ
ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะกำหนดเวลาและสถานที่ โดยจะทำการสอบไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่จะสอบเหล่าละวัน
โดยที่เวลาสอบไม่ตรงกันเลย
ดังนั้น นักเรียนสามารถสมัครสอบในรอบแรกนี้ได้หลายเหล่า
ส่วนวิชาที่สอบนั้นได้แก่วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ
ภาษาไทยและสังคมศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) การจะผ่านรอบแรกหรือไม่นั้น
จะพิจารณาจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมดโดยนำคะแนนรวมที่ทำได้
ไปรวมกับคะแนนเพิ่มพิเศษสำหรับผู้ที่มีบิดามารดาเสียสละทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ได้เพิ่มขึ้นมาอีกร้อยละ 10 ของคะแนนเต็ม ก็คือ 70 คะแนนดิบ
นำคะแนนรวมนี้มาเรียงลำดับ แล้วคัดเอาผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดไปจนถึงลำดับที่ต้องการ โดยจะไม่คำนึงว่าในจำนวนนี้จะสอบได้คะแนนเท่าใด บางปีผู้ที่ติดรอบแรกคนสุดท้ายอาจจะได้คะแนนสูงเกินร้อยละ 70 หรือบางปีผู้ที่ติดรอบแรกคนสุดท้ายอาจจะได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 50 ก็มี สรุปอีกนัยหนึ่งเป็นการสอบแข่งขันเอาตามจำนวน
จึงบอกไม่ได้ว่าพร้อมเท่าไรจึงจะพอ
บางคนอาจจะรู้สึกว่าตนเองพร้อม ตนเองทำข้อสอบได้
แต่อาจจะมีผู้ที่ทำได้มากกว่าเราอีกมากก็ได้ ต้องพร้อมจริงๆ
ไม่เหมือนกับการเตรียมตัวสอบที่โรงเรียนของนักเรียนหรอก ที่โรงเรียนของนักเรียนนั้นมีผู้แข่งขันที่จำกัด
แต่การสอบเข้าเตรียมทหารนั้นมีผู้สอบแข่งขันจากทั่วประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น นักเรียนต้อง มีใจรัก มุ่งมั่น ขยันทำโจทย์มากๆ
ประเมินตัวเองและแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตัวเองบ่อยๆ นักเรียนจึงจะพร้อมแข่งขัน
จะได้เป็นผู้ชนะ จะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารสมใจ
§ การสอบภาควิชาการนั้นสอบอย่างไร?
การสอบภาควิชาการเข้าโรงเรียนเตรียมทหารดำเนินการสอบโดยโรงเรียนเหล่าของแต่ละเหล่าทัพ
ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะกำหนดเวลาและสถานที่ โดยจะทำการสอบไม่ตรงกัน
ส่วนใหญ่จะสอบเหล่าละวัน โดยที่เวลาสอบไม่ตรงกันเลย ดังนั้น นักเรียนสามารถสมัครสอบในรอบแรกนี้ได้หลายเหล่า
ส่วนวิชาที่สอบนั้นได้แก่วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ
ภาษาไทยและสังคมศึกษา ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) การจะผ่านรอบแรกหรือไม่นั้น
จะพิจารณาจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมดโดยนำคะแนนรวมที่ทำได้
ไปรวมกับคะแนนเพิ่มพิเศษสำหรับผู้ที่มีบิดามารดาเสียสละทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ได้เพิ่มขึ้นมาอีกร้อยละ 10 ของคะแนนเต็ม ก็คือ 70 คะแนนดิบ
นำคะแนนรวมนี้มาเรียงลำดับ แล้วคัดเอาผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดไปจนถึงลำดับที่ต้องการ โดยจะไม่คำนึงว่าในจำนวนนี้จะสอบได้คะแนนเท่าใด บางปีผู้ที่ติดรอบแรกคนสุดท้ายอาจจะได้คะแนนสูงเกินร้อยละ 70 หรือบางปีผู้ที่ติดรอบแรกคนสุดท้ายอาจจะได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 50 ก็มี สรุปอีกนัยหนึ่งเป็นการสอบแข่งขันเอาตามจำนวน
จึงบอกไม่ได้ว่าพร้อมเท่าไรจึงจะพอ บางคนอาจจะรู้สึกว่าตนเองพร้อม
ตนเองทำข้อสอบได้ แต่อาจจะมีผู้ที่ทำได้มากกว่าเราอีกมากก็ได้ ต้องพร้อมจริงๆ ไม่เหมือนกับการเตรียมตัวสอบที่โรงเรียนของนักเรียนหรอก ที่โรงเรียนของนักเรียนนั้นมีผู้แข่งขันที่จำกัด
แต่การสอบเข้าเตรียมทหารนั้นมีผู้สอบแข่งขันจากทั่วประเทศไทยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น นักเรียนต้อง มีใจรัก มุ่งมั่น ขยันทำโจทย์มากๆ
ประเมินตัวเองและแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตัวเองบ่อยๆ นักเรียนจึงจะพร้อมแข่งขัน
จะได้เป็นผู้ชนะ จะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารสมใจ
§ ขอบเขตของแต่ละวิชาจะสอบอะไรบ้าง
มีคะแนนเท่าไร?
แต่ละวิชาที่ใช้สอบนั้นจะตามหลักสูตรชั้น
ม.1-ม.3 กล่าวคือ
1. วิชาคณิตศาสตร์ ขอบเขตตามเนื้อหารายวิชาครอบคลุมความรู้คณิตศาสตร์ระดับมัธยมต้น คิดเป็นคะแนนเต็ม (ทบ.220
คะแนน, ทร.225 คะแนน, ทอ.220 คะแนน, ตร.200 คะแนน)
2. วิชาวิทยาศาสตร์
ขอบเขตตามเนื้อหารายวิชาครอบคลุมความรู้วิทยาศาสตร์ระดับมัธยมต้น คิดเป็นคะแนนเต็ม
(ทบ.220 คะแนน,
ทร.225 คะแนน, ทอ.220 คะแนน, ตร.200 คะแนน)
3. วิชาภาษาอังกฤษ
ขอบเขตตามเนื้อหารายวิชาครอบคลุมความรู้ภาษาอังกฤษระดับมัธยมต้น คิดเป็นคะแนนเต็ม (ทบ.150
คะแนน, ทร.150 คะแนน, ทอ.140 คะแนน, ตร.150 คะแนน)
4. วิชาภาษาไทยและสังคมศึกษา
ขอบเขตตามเนื้อหารายวิชาครอบคลุมความรู้ภาษาไทยและสังคมศึกษาระดับมัธยมต้น คิดเป็นคะแนนเต็ม (ทบ.110
คะแนน, ทร.100 คะแนน, ทอ.120 คะแนน, ตร.150 คะแนน)
§ การสอบรอบสองนั้นเป็นอย่างไร?
การสอบรอบสองนั้น
แต่ละเหล่าจะคัดเลือกนักเรียนที่ผ่านรอบแรกตามที่ได้ประกาศผลให้ทราบ
ในการสอบรอบสองนี้ทุกเหล่าจะสอบพร้อมกัน สำหรับนักเรียนที่เก่งสอบได้หลายเหล่า
ก็ต้องเลือกไปรายงานตัวสอบรอบสองแค่เหล่าเดียวเท่านั้น
ส่วนใหญ่จะเลือกตามที่ตัวเองชอบ แต่บางทีต้องเลือกตามโอกาสที่จะสอบติด
เพราะบางเหล่าจะมีผู้ไปสอบรอบสองเยอะมาก โอกาสจะสอบติดก็น้อยลง บางคนสอบติดรอบแรก 4 เหล่า แต่อาจจะพลาด บางคนสอบติดแค่เหล่าเดียวไม่มีโอกาสเลือก
แต่อาจจะสอบผ่านรอบสองก็ได้ การสอบรอบนี้ จะประกอบไปด้วยการตรวจร่ายกายโดยคณะกรรมการแพทย์
ผลการตรวจถือเป็นเอกฉันท์ จะไม่ยอมรับผลจากที่อื่น จะมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
ที่เรียกกันติดปากว่าสอบพลศึกษา อีกหลายสถานี ที่สำคัญที่สุด คือว่ายน้ำ 50 เมตร
กับ วิ่ง 1000 เมตร ทั้งสองสถานีนี้ต้องผ่านเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น ถ้าไม่ผ่านจะถือว่าสอบตกพลศึกษาทั้งหมด และยังมีการสอบสัมภาษณ์
ดูลักษณะท่วงทีวาจา ปฏิภาณไหวพริบ
การสอบไม่ผ่านรอบสองนี้มีสองลักษณะคือลักษณะแรกไม่ผ่านเพราะไม่ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเป็นโรคต้องห้ามหรือสอบพลศึกษาไม่ผ่านก็ตาม ในลักษณะนี้ค่อนข้างชัดเจนและเข้าใจง่าย
ลักษณะที่สองสำหรับผู้ที่ผ่านเกณฑ์ทุกด่านทั้งหมดมีคุณลักษณะเหมาะกับการเป็นนายทหาร-ตำรวจ
ในกลุ่มนี้ ก็จะนำเอาคะแนนภาควิชาการ
ไปรวมกับคะแนนเพิ่มพิเศษสำหรับผู้ที่มีบิดามารดาเสียสละทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพและประเทศชาติหรือนักเรียนเองไปฝึกวิชาทหาร
(รด.)มา ก็จะมีคะแนนเพิ่มขึ้นมา แต่ละคนก็จะมีคะแนนเพิ่มไม่เท่ากัน
(สำหรับเหล่าทหารบกจะคิดคะแนนสอบพลศึกษากับสอบสัมภาษณ์เป็นร้อยละ 10
คะแนนส่วนวิชาการเป็นร้อยละ 90 ส่วนเหล่าอื่นๆจะเอาผลว่าผ่านหรือไม่ผ่านเท่านั้น)
เมื่อนำคะแนนเพิ่มมารวมกับคะแนนภาควิชาการแล้วก็จัดเรียงลำดับจากผู้ที่มีคะแนนสูงสุดไล่ลงไปใหม่ เนื่องจากแต่ละคนมีคะแนนเพิ่มต่างกัน
บางคนมีมากบางคนไม่มีเลยจะทำให้มีการขยับลำดับที่กันใหม่ ขั้นสุดท้ายจึงตัดเอาตามจำนวนที่ต้องการ
ผู้ที่ผ่านด่านมาถึงตรงนี้แต่ลำดับที่หลังจากการจัดครั้งสุดท้ายอยู่เกินจำนวน
ก็จะถูกจัดเป็นสำรองส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็จะถือว่า ไม่ผ่านรอบสอง บทสรุปตรงนี้มีว่าคะแนนภาควิชาการนั้นมีความสำคัญมากที่สุด ถ้าอยากจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารสมใจละก็ ต้องขยันเรียน
ทุ่มเทให้กับการเรียน เตรียมตัวด้านวิชาการให้พร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ
§ ต้องกวดวิชาเท่านั้น
จึงจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ ใช่ไหม?
ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องกวดวิชาแล้วจึงจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้
สอบได้หรือไม่ได้ ใช้คะแนนที่ทำได้เป็นหลัก
โดยจะเรียงจากผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจนถึงคะแนนต่ำสุด ประมาณ 600-700 คนแรก
จะถือว่าผ่านการสอบรอบแรก จะเห็นว่าผู้ที่พร้อมและได้คะแนนสูง จะผ่าน แต่ละปีมีผู้สอบเข้าได้จำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้กวดวิชา เพียงแต่ในระยะหลังๆ มีสถาบันกวดวิชาเพิ่มขึ้นมาก
อีกทั้งนักเรียนส่วนมากจะนิยมกวดวิชา จึงทำให้เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่สอบเข้าได้
มักจะผ่านการกวดวิชามาเป็นส่วนใหญ่
เรามองว่าโรงเรียนกวดวิชามีส่วนเตรียมความพร้อมให้นักเรียนได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนนักเรียนจะพร้อมมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนด้วย
§ ต้องมีเกรดสูงๆถึงจะสอบได้ใช่ไหม?
การที่นักเรียนมีเกรดสูงๆจากโรงเรียนมานั้น
เป็นเครื่องชี้วัดอย่างหนึ่งว่านักเรียนสามารถเรียนได้ดี มีความตั้งใจเรียน
แต่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งประกันว่านักเรียนจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารติด
เพราะมีนักเรียนจำนวนมากที่มีผลการเรียนดีมากๆ
บางคนเป็นถึงตัวแทนของโรงเรียนที่เตรียมตัวไปสอบแข่งขันโอลิมปิก แต่ทว่ากลับสอบไม่ติดแม้กระทั่งรอบแรกก็มีมาแล้ว คนที่พลาดหวังบางคนสอบเข้าเตรียมทหาร
เมื่อสอบเอ็นฯก็ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะแพทย์ ก็มีมากมายหลายคน ในขณะเดียวกันก็มีนักเรียนที่มีผลการเรียนปานกลางมีเกรดเฉลี่ย 2 กว่าๆ
กลับสอบเข้าเตรียมทหารได้ ที่โรงเรียนกวดวิชาฯของเราได้พิสูจน์มาแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ปีนี้มีถึงสองคนที่ผ่านเข้าไปเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้ แม้ว่าจะมีผลการเรียนแค่ 2
กว่าๆ เช่นนักเรียนเตรียมทหาร พ.พันธ์ จากจุฬาภรณราชวิทยาลัยตรัง
บรรดาอาจารย์โรงเรียนเก่าจองตัวไว้เป็นแบบอย่างให้รุ่นน้องที่มีผลการเรียนที่ไม่ดีนักว่าอย่าเพิ่งท้อ
ให้มีกำลังใจ ตั้งใจและพยายามต่อไป
ทั้งนี้การสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารนั้นมีลักษณะเฉพาะที่ไม่ยากมาก
แต่ก็ไม่ง่ายนัก
กองทัพต่างๆและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการคนเก่งที่คิดแก้ปัญหาได้ดี
ตัดสินใจได้ไวและแม่นยำถูกต้อง ดังนั้นนักเรียนจะต้องคิดให้ได้
ตัดสินใจให้ไวและไม่ผิด มีหลายต่อหลายคนที่พลาดหวังเพราะว่าคิดไม่ทัน
ทำข้อสอบไม่ทัน ให้เวลาน้อยมาก
เฉลี่ยแล้วข้อละนาทีกว่าๆเท่านั้นเอง นักเรียนต้องฝึก
ต้องหัด ต้องทำแบบทดสอบเยอะๆ
อีกประการหนึ่ง
เกรดแต่ละโรงเรียนในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย
บางคนได้เกรดเฉลี่ยเกือบ 4 แต่เวลามาเรียนกับนักเรียนจากโรงเรียนอื่น
กลับเรียนไม่ทันเพื่อน ตามไม่ทันก็มี ลองทำโจทย์ที่ให้ดูสิครับ พอจะประเมินขีดความสามารถของตัวนักเรียนเองได้
§ กวดวิชาที่ โรงเีรีียนกวดวิชา To Be
Pre-Cadet ดีกว่าที่อื่นอย่างไร?
โรงเรียนกวดวิชาฯของเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่จัดการเรียนการสอนอย่างมีมาตรฐาน
เพื่อให้นักเรียนมีความพร้อมทั้งด้านวิชาการและพลศึกษา
ครูอาจารย์ให้การดูแลอย่างทั่วถึงในทุกๆด้าน รู้จักนักเรียนทุกคนเป็นอย่างดี
สามารถจะเอาใจใส่นักเรียนได้อย่างทั่วถึง
ที่นี่มุ่งให้ความรู้ความเข้าใจในบทเรียนและฝึกทักษะในการแก้ปัญหาให้กับนักเรียน
จึงได้เตรียมอาจารย์ที่มีความรู้ดีๆ มีประสบการณ์สอนจากโรงเรียนเหล่ามานาน บางท่านจบถึงปริญญาเอก มาให้ความรู้แก่นักเรียนทุกคน
เรียกได้ว่าคุณภาพอาจารย์รับประกันได้ ถ้านักเรียนพร้อมที่จะรับเอาความรู้แล้วละก็
นักเรียนย่อมมีความพร้อมแน่นอน
เราถือเอานักเรียนเป็นศูนย์กลางของโปรแกรมทั้งหมดที่วางไว้ นักเรียนทุกคนมีสิทธิและโอกาสที่จะถามอาจารย์ในขณะสอน เมื่อไม่เข้าใจ เราจะสอนสดกันทุกชั่วโมงทุกวิชา นอกจากความพร้อมทางวิชาการแล้ว เราจะปลูกฝังความเป็นผู้นำ
ความรับผิดชอบ ตลอดจนความมีส่วนร่วมในการควบคุมคุณภาพการเรียนการสอนตลอดหลักสูตร
อันเป็นส่วนหนึ่งของการประกันคุณภาพของการศึกษาของที่นี่ มีการประเมินการเรียนการสอนทุกหลักสูตร
อีกทั้งมีการประเมินลักษณะผู้นำของนักเรียนด้วยกันเองอีกด้วย อีกประการหนึ่งเราจะเก็บค่าเล่าเรียนที่ถูกเมื่อเทียบกับสถาบันอื่น การเก็บค่าเล่าเรียนถูกนั้นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ทุกอย่างด้อยลงไป ที่อื่นมีมาตรฐานการเรียนการสอนเช่นไร
เราก็จัดให้มีการเรียนการสอนอย่างน้อยก็เท่ากับหรือมากกว่า อีกประการหนึ่ง วันสอบวิชาการนั้นเป็นวันสำคัญยิ่ง
ข้อดีที่เราตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ใกล้สถานที่สอบ นักเรียนไม่ต้องตื่นนอนกัน
ตีสองตีสามเพื่อเดินทางไปสอบ แล้วไปง่วงและหลับในห้องสอบ ไม่หลับยังทำแทบไม่ทันอยู่แล้ว
ลองคิดดูแล้วกันว่าจะทำทันไหม ถ้าเผลองีบหลับไปสักสิบ ยี่สิบนาที?
เมื่อสถาบันของเรามีนักเรียนจำนวนน้อยย่อมใช้เวลาเตรียมตัวน้อยเป็นธรรมดา จึงไม่ต้องปลุกกันตื่นตั้งแต่ก่อนเช้า
สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่เราต่างจากที่อื่นครับ
§ ที่โรงเรียนกวดวิชา
To
Be Pre-Cadet รับประกันว่าสอบได้ไหม?
ต้องทำความเข้าใจกันก่อน
ว่าการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารนั้นมีความโปร่งใสตรงไปตรงมา
ไม่มีใครรับประกันใครได้ว่าจะสอบติดหรือไม่ ถ้าหากมีใครเสนอว่ารับประกันผล
100 เปอร์เซ็นต์ว่าสอบได้นั้น บอกได้เลยว่า หลอกลวง อย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด
ในระเบียบการทั่วไปของแต่ละเหล่าก็ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน โรงเรียนของเราไม่สามารถประกันว่าจะสอบได้หรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นการสอบได้หรือไม่นั้น
อยู่ที่นักเรียนว่าทำคะแนนได้สูงกว่าคนอื่นหรือเปล่า
นักเรียนจะทำคะแนนได้สูงกว่าคนอื่น นักเรียนผู้นั้นต้องพร้อมจริงๆ นักเรียนจะพร้อมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนเป็นหลัก การสอบนี้เปรียบได้กับการรับประทานอาหาร นักเรียนต้องกินเองจึงจะอิ่ม
ใครจะกินแทนไม่ได้ การสอบนี้ก็เช่นกัน
นักเรียนต้องสอบเอง ใครจะสอบแทนไม่ได้
ครูอาจารย์เป็นเสมือนผู้ปรุงอาหารและชี้แนะวิธีการกินอาหารให้ แต่นักเรียนต้องกินเอง ตรงนี้สิครับที่ยาก
ถึงแม้ว่าจะชี้แนะอย่างละเอียด หรือปรุงมาอย่างอร่อย แต่ถ้านักเรียนไม่อยากกิน แม้จะป้อนถึงปากก็เถอะ ถ้านักเรียนไม่พร้อมที่จะรับ ก็ไม่สามารถมุ่งหวังอะไรได้
ดังนั้นโรงเรียนของเราจึงประกันได้แต่เพียงคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเองเท่านั้น เมื่อนักเรียนทำตามคำชี้แนะของอาจารย์ในทุกๆเรื่อง
นักเรียนย่อมประสบความสำเร็จได้
มีตัวอย่างของนักเรียนเตรียมทหารวทัญญู จากพิษณุโลก มีเกรดเฉลี่ย 3.7 แต่เมื่อมาเรียนกับเราในช่วงปิดเทอมตุลาคม ถึงรู้ว่าเรียนไม่ทันเพื่อนๆ
อาจารย์ได้แนะนำการเตรียมตัวที่ถูกต้องให้ ก็นำไปปฏิบัติตาม เมื่อกลับมาเรียนอีกที หลักสูตรติวเข้มก่อนสอบ
คราวนี้จะเห็นได้ชัดว่าเขาพร้อมมากกว่าเดิม
จากที่ท้ายๆก็ขึ้นมาเป็นที่ต้นๆของห้อง และก็ประสบผลสำเร็จในที่สุด