EVE Burst Error
ภาค โคะจิโร่
วันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 19xx

นักสืบตกยาก-อะมะกิ โคะจิโร่


“ ปิ๊งป่อง ๆ ๆ ๆ “
“เหวอ! ใครกัน มากดออดเรียก”
ผมสะดุ้งตื่นขึ้น หนอย! กำลังฝันดีอยู่แท้ ๆ เชียว
ว่าได้กินอาหารในภัตตาคารหรู ๆ เอ! ครั้งสุดท้ายที่
ได้มีโอกาสทานอาหารในภัตตาคารนี่มันเมื่อไหร่กัน
หว่า นึกไม่ออกแฮะ
“ปิ๊งป่อง”
โอ๊ะโอ่ นี่มันไม่ใช่เวลามานั่งฝันหวานแล้ว ใคร
มากดออดนะเนี่ย อาจจะเป็นลูกค้าก็ได้ ใช่แล้ว!
ลูกค้ารายแรกของผมซะด้วย ต้องรีบออกไปต้อนรับ
ซะหน่อย
ผมเดินออกจากห้อง ที่จริงมันก็ไม่เชิงเรียกว่า’เดิน
ออกจาก’หรอก เพราะที่ที่ผมอยู่ตอนนี้เป็นห้องใหญ่
ห้องเดียว ซึ่งผมดัดแปลงโกดังเก่า ๆ หลังหนึ่งในท่า
เรือนี้มาเป็นสำนักงาน… ใช่แล้วครับ สำนักงานนัก
สืบเอกชนอะมะกิ ซึ่งมีเจ้าของ-นักสืบ-พนักงานธุร
การ-คนทำความสะอาด (ตำแหน่งสุดท้ายนี่ไม่ค่อย
แน่ใจเท่าไรว่ามีรึเปล่า) รวมแล้วเป็นทั้งสิ้นหนึ่งคน
คือ กระผม-ยอดชายนาย อะมะกิ โคะจิโร่นั่นเอง ฮ่า
ๆๆๆ (ชักเศร้าแฮะ (;_;) )
“ไฮ โคะจิโร่”
เสียงดัดจริตของหญิงสาว ใส่แว่น สะพายกล้อง
ถ่ายรูป ทักผมทันทีที่ผมเดินขึ้นบันไดสำนักงาน
(โกดังนั่นเองแหละ) ไปเปิดประตูให้ เมื่อรู้ว่าคนมา
เป็นใครผมก็ร้องแหวะ แล้วหันหลังเดินลงบันได
กลับไปที่โต๊ะทำงานทันที
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ยัยสุนัขจมูกไวนี่เอง”
“บ้า! ใครเป็นหมากันยะ นี่ชั้นอุตส่าห์เอางานให้นะ
พูดกับผู้มีพระคุณอย่างนี้เองเหรอ เดี๋ยวก็ไม่ให้งาน
ซะเลย”
ผู้มาเยือนสวนกลับมาทันที เฮ้อ! มาทำไมกันยัยนี่
ชิบะตะ อะคะเนะนักข่าวอิสระสาว ซึ่งตอนนี้ดวงตก
เพราะเมื่อไม่นานมานี้ดันไปเจาะข่าวลับ ๆ ของนัก
การเมืองคนหนึ่งเข้า เลยถูกอิทธิพลมืด สั่งแบน ทำ
ให้บรรดาหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ไม่กล้าที่จะรับข้อ
เขียนจากเจ้าหล่อนเพราะกลัวโดนเล่นงานไปด้วย
เจ้าหล่อนคนนี้รู้จักและชอบมาเจ๊าะแจ๊ะจอแจกับ
ผม ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ผมสามารถคลี่คลายคดีใหญ่คดี
หนึ่งได้สำเร็จและบังเอิญเจอเจ้าหล่อนซึ่งติดตาม
คดีนั้นอยู่เข้า ตั้งแต่นั้นมาเจ้าหล่อนก็คอยมาวน
เวียนอยู่รอบ ๆ ผมไม่ห่าง ด้วยความหวังว่าจะได้ข้อ
มูลเด็ด ๆ เกี่ยวกับเบื้องหลังคดีต่าง ๆ ไปเป็นวัตถุ
ดิบในการเขียนข่าวของตนนั่นเอง อ้อ! ที่ผมเรียก
หล่อนว่าสุนัขจมูกไว ก็เพราะว่าวิญญาณนักข่าวที่
มีอยู่เต็มตัวของสาวเจ้านั่นเองแหละครับ มีคดีหรือ
อุบัติเหตุหรือเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่ไหนก็ตาม เจ้า
หล่อนเป็นต้องบึ่งไปเจาะลึกเหตุการณ์ถึงที่ก่อนใคร
ทุกที เอ! แต่จะว่าไป พวกนักข่าวและสื่อมวลชนก็
เป็นเหมือนกันนี่นา และที่จริงก็ใช่ว่าผมจะเกลียด
เจ้าหล่อนนักหรอก เพียงแต่ว่าไม่ชอบให้ใครมา
คอยป้วนเปี้ยนติดตามการเคลื่อนไหวของผมเท่า
นั้น และผมกับเจ้าหล่อนเจอกันทีไรก็เป็นได้ปะทะ
คารมกันทุกที ก็เท่านั้นเองแหละครับ
“เฮอะ! ไม่ได้อ้อนวอนให้เอางานมาให้สักหน่อยนี่
ไม่มีเธอ ฉันก็อยู่ได้ไม่เห็นเดือดร้อนเลย”
ผมลอยหน้าลอยตาพูด
“โฮะโฮะโฮ่ จริงรึเปล่ายะ” อะคะเนะทำตาหรี่ มอง
ผมอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วก็ปล่อยหมัดเด็ดมาต่อ
ว่า
“นี่ก็ท่าทางจะไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้วสิเนี่ย
พ่อนักสืบตกยาก สำนักงานของนายน่ะเปิดมาตั้ง
สองเดือนแล้ว ยังไม่ได้ลูกค้าสักรายเลยไม่ใช่รึไง”
ฉึก! เจ็บครับ เจ็บ คำพูดของเจ้าหล่อนแทงใจดำผม
เข้าอย่างจังเลย
“อยู่ดีไม่ว่าดีนี่นะ ไปจับเจ้านายตัวเองเข้าคุกทำมั้ย
แล้วนี่เลยต้องมาแยกทางกับคุณยะโยะอิ (ต่อไปจะ
เขียนเป็น ยะโยย) อีก ไม่สงสารคุณยะโยยบ้างเห
รอ”
อะคะเนะได้ที เลยรุกใหญ่ ซึ่งก็ถูกของหล่อน เดิม
ผมทำงานอยู่กับสำนักงานนักสืบเอกชนคะทสึระงิ
ซึ่งมีลุงคะทสึระงิ เกนซะบุโร่เป็นเจ้าของและเป็นนัก
สืบใหญ่ ผมกับลุงคะทสึระงิ และลูกสาวของลุงซึ่งก็
ชอบพอกับผมอยู่ ก็คือ คะทสึระงิ ยะโยย ที่อะ
คะเนะพูดถึง ได้ช่วยกันสามคน ผมกับลุงลุยงานใน
สนามจริง ตะลุยบุกมาแล้วทั้งดงยากูซ่า แดนค้ายา
เสพติด สลัม ดงแก๊งค์มอเตอร์ไซด์ต่าง ๆ เพื่อ
ทำงานทุกงานตามที่มีคนมาจ้างให้สืบ โดยมียะโยย
เป็นฝ่ายสนับสนุนด้านการประมวลข้อมูลจนกระทั่ง
สำนักงานนักสืบคะทสึระงิโด่งดังขึ้นมาเป็นอันดับ
หนึ่งในวงการนักสืบได้ แต่แล้วเมื่อสามเดือนก่อน
ระหว่างสืบคดีคดีหนึ่งอยู่ ผมก็ทราบโดยบังเอิญว่า
ลุงคะทสึระงิทุจริตเอาเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัวและยัง
ทำการฉ้อฉลยักยอกเงินลูกค้าอีก ผมเลยทำการสืบ
สวนและผลสุดท้ายก็เลยเรียกตำรวจมาจับลุงคะท
สึระงิเข้าคุกไป ส่วนผมนะเหรอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ก็อยู่
สำนักงานนักสืบเดิมได้ไม่นาน ผมก็รู้สึกสู้หน้ายะ
โยยไม่ได้ เลยลาออกมาตั้งสำนักงานนักสืบของตัว
เองอยู่ที่โกดังเก่าที่เขาไม่ใช้แล้ว ในท่าเรือนี่ และก็
แทบจะไม่ได้เจอหน้ายะโยยอีกเลย รู้แต่ว่าเธอสืบ
ทอดตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานนักสืบคะทสึระ
งิต่อจากพ่อ และยังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของ
บริษัทอยู่หลังจากที่เสียชื่อไปมากคราวที่เจ้าของถูก
จับกุมคราวนั้น
โอ๊ะ! ไม่ได้การ มัวนั่งเหม่อซึมคิดถึงความหลังให้อะ
คะเนะเห็นจุดอ่อนของตัวเองได้ยังไง
“นี่จะมาขุดคุ้ยความหลังคนเหรอ ยัยอะคะเนะ” ผม
ทำเสียงเขียว แหวเข้าใส่
“…. โทษที ไม่ได้ตั้งใจพูดพาดพิงไปน่ะ” อะคะเนะ
ขอโทษแต่โดยดี ถึงเจ้าหล่อนจะไม่เห็นผมอยู่ใน
สายตา มากเกินไปกว่าเป็นแหล่งที่ “อาจจะ” ให้
เกร็ดข่าวสำคัญกับหล่อนได้ก็ตาม หล่อนก็ไม่ไร้
ความสังเกตถึงขนาดจะไม่รู้เสียเลยว่าผมเองก็เสีย
ใจกับการกระทำของตัวเองที่ทำให้คนรักพบกับ
ความสูญเสีย
“แล้วตกลงว่าไง จะเอาไหมยะ งานน่ะ” หนอย!
กำลังนึกจะชมเชียวว่า ขอโทษคนเป็นด้วยเหรอ เจ้า
หล่อนกลับไปเต๊ะท่าเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่เฮ้อ ไอ้
คำว่างานเนี่ย มันเป็นจุดอ่อนของผมในตอนนี้ซะ
ด้วยสิ
“ว่ามาก่อนสิ งานอะไรล่ะ งานหาแมวหาย หาหลัก
ฐานสามีมีภรรยาน้อยอะไรเทือกนั้นนี่ไม่เอานะ”
“ชิ! ชิ! จนแล้วยังทำเป็นเลือกงานอีก” อะคะเนะ
ค้อนประหลับประเหลือก “แต่นึกเหรอว่าคนอย่าง
ฉันจะเอางานกระจอก ๆ มาให้นายทำ” อะคะเนะ
ยืดอกที่ไม่ค่อยจะมี (ผมไม่ได้ทะลึ่งนา ก็เจ้าหล่อน
ไม่ค่อยจะมีหน้าอกเอาซะเลย แล้วยังทำตัว
เหมือนทอมบอยอีก จำได้ว่าไม่เคยเห็นหล่อนสวม
กระโปรงเลย)
“งานหาของหายย่ะ” อะคะเนะเฉลยต่อ
“ไม่ทำ” ผมปฏิเสธทันที หาแมวหายยังไม่อยากทำ
เลย นี่ให้หาของหายเหรอ ใครกันหนอช่างร่ำรวย
อะไรปานนั้น ตัวเองทำของหายแล้วมาจ้างคนอื่น
ให้ช่วยหาให้
“อะไรกัน! ยังไม่ทันฟังรายละเอียดเลยก็ปฏิเสธ
แล้ว?” อะคะเนะย่นคิ้ว “ฟังกันก่อนสิ! คุณโคนี่แก
น่าสงสารจริง ๆ นะ ช่วยเขาหน่อยเหอะ”
“อ้อ! ชื่อโคเหรอ” ผมเอะใจและรู้สึกแปลก ๆ ยังไง
ชอบกล อะคะเนะทำเหมือนกับผิดหวังมากถ้าผม
ไม่ยอมช่วยงานนี้
“เออ! คนว่าจ้างคนนี้เขาชื่อโคนะ คงเป็นเชื้อสาย
จีนมั้ง แกบอกว่าแกทำงานศิลปะชิ้นหนึ่งหายไปนะ
แล้วต้องการให้หาว่า มันอยู่ที่ไหน คือไม่ต้องหามัน
ออกมาหรอก แค่หาให้เจอว่า งานนี้มันอยู่ที่ไหน
แล้วก็รายงานแกไปเท่านั้นเอง ง่ายมากเลยใช่ม้า”
“พอแล้ว! พอแล้ว! ไม่ต้องพูดต่อ งานนี้ไม่ทำละกัน”
ผมโบกมือปฏิเสธทันที ประสาทที่หกของผมบอก
ผมทันทีว่างานนี้มีอะไร “ตุ ๆ” เบื้องหลัง
“ทำไมล่ะ” อะคะเนะทำตาเป็นเครื่องหมายเควชชัน
มาร์ค
“เนี่ยนะจะบอกให้นะ ความคิดของพวกเศรษฐีที่
ชอบสะสมงานศิลปะนี่ไม่เข้าใจหรอก แต่อย่างน้อย
ๆ ที่พอจะบอกได้ก็คือ ไอ้งานศิลปะที่หายเนี่ย ถ้าไม่
ใช่ว่าเป็นของที่เขาเอาไว้ซ่อนเงินที่หนีภาษี ก็เป็น
ของที่เขาซ่อนเงินที่ยักยอกมานั่นแหละ”
“ซ่อนยังไง ทำเป็นหนังไปได้ ซ่อนเงินในรูปภาพเนี่ย
นะ”
“อ้อ! รูปภาพเหรอ เออ รูปภาพก็รูปภาพ ฉันไม่ได้
หมายความว่าซ่อนตรง ๆ แบบนั้น หมายถึงว่า
เปลี่ยนตัวเงินเป็นงานศิลปะไง เก็บเงินในรูปของ
งานศิลปะไว้ก่อน พอได้จังหวะค่อยเอาออกมาขาย
เปลี่ยนเป็นตัวเงินใหม่ แล้วบางที การเปลี่ยนเงิน
เป็นรูปของนี่ อาจจะสะดวกต่อการขนย้าย หรือการ
ซ่อนก็ได้ แล้วอีกอย่างนะ บอกว่าไม่ต้องการให้หา
ของ ต้องการแค่ให้สืบว่า ของอยู่ที่ไหนแล้วก็ราย
งานเขาใช่ไหม ตรงนี้ยิ่งน่าสงสัยใหญ่เลยจริงไหม”
“คิดเป็นตุเป็นตะอีกแล้ว เลือดนักสืบไหลพล่าน
เชียว ชิ!ชิ!” อะคะเนะพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อมือ “แต่
ยังไงก็เหอะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่า คุณโคจะเป็นคน
อย่างนั้น แกดูท่าทางใจดี และเป็นคนดีจะตาย”
“ชิ!ชิ! เชื่อคนง่าย” ผมเลียนแบบคำพูดเจ้าหล่อน
ย้อนกลับให้บ้าง “แล้วนี่ถ้าเกิดฉันไปเจอรูปนั่นตก
อยู่ในท่อข้างถนน ก็ไม่ต้องทำอะไรอย่างนั้นเหรอ
แค่ไปบอกเขาว่า มันอยู่ในท่อ แล้วก็รับค่าแรงมา
เหนาะ ๆ เลยเหรอ มันจะง่ายไปหน่อยม้างงง”
“ยังไง ๆ ก็ลองคุยกับเขาดูก่อนเหอะน่า ไม่เสียหาย
อะไรนี่ นะนะนะ” แน่ะ มาไม้อ้อนซะแล้ว
นิ่งไปสักพัก เจ้าหล่อนก็มาไม้ใหม่
“บางที ต้องบอกซะก่อนมั้งว่างานนี้เขาให้ค่าเหนื่อย
เท่าไร รู้เปล่าเขาให้ตั้งแค่นี้เชียวน้า” ยกมือขึ้นมา
ข้างหนึ่ง แล้วชูทั้งห้านิ้วหรา
“หือ? ห้าหมื่นเหรอ ไม่เอาหรอกงานที่ต้องไปยุ่งกับ
พวกหนีภาษีพวกนี้นะ”
“บ้า! บอกว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้นไง แล้วก็ ใครว่าห้า
หมื่นย่ะ ห้าแสนจ้า ห้าแสน จะทำไม่ทำ”
ผมชักอึ้ง ห้าแสนเยนนี่มันมากพอที่จะทำให้ผมอยู่
รอดไปได้อีกสักเดือนเชียวล่ะ
“เออ! เออ! คุยก็คุย แต่ไม่รับงานนะ คุยเฉย ๆ” ผม
ชักรำคาญเลยตอบแบบขอไปที ยังไงก็ตามผมก็ยัง
ไม่ค่อยไว้ใจอยู่ดีว่างานนี้จะไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง
“ต้องอย่างนี้สิ” อะคะเนะดีใจอย่างออกนอกหน้า
“งั้นเดี๋ยวไปพบเขาเลยนะ”
“แล้วจะให้ไปพบที่ไหนล่ะ ต้องขอนัดเขาก่อนรึเปล่า
คนร่ำรวยออกอย่างนั้น”
“สำนักงานกระจอก ๆ อย่างของนายนี่ยังไง ก็ต้องมี
โทรศัพท์อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันโทรฯ นัดให้เอง”
ว่าแล้วก็หันหลังกลับเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของผม
ทันทีโดยไม่รอฟังคำอนุญาตจากเจ้าของสถานที่ซึ่ง
กำลังฉุนกึกอยู่
“ฮัลโหล! ที่นั่น (..ฟังไม่ชัด) ใช่ไหมค่ะ ดิฉันชิบะตะ
ค่ะ” หนอย พูดค่ะพูดขาเป็นด้วยเหรอ แล้วขึ้นดิฉัน
เชียว ทีเวลาพูดกับเราไม่เห็นเป็นงี้เลย
“….(ฟังชัดบ้างไม่ชัดบ้าง)… ค่ะ …. ค่ะ ……เอ๊ะ!
จริงเหรอคะ ค่า จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ แค่นี้นะคะ
สวัสดีค่ะ”
พูดอยู่เกือบห้านาที เจ้าหล่อนถึงได้ยอมวางหู
โทรศัพท์ เฮ้อ! เกรงใจเจ้าของบ้างสิ (แน่นอน! คำ
พูดนี้พูดต่อหน้าเจ้าหล่อนไม่ได้หรอก)
“ว่าไง? เขาจะให้รีบไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอ?” ผมถาม
ขึ้น
“เอ๊ะ! อะไรเหรอ?” อะคะเนะทำหน้างงอยู่พักหนึ่ง
แล้วก็ทำตาโตอย่างนึกขึ้นได้ “อ๋อ! เรื่องคุณโคนะเห
รอ เดี๋ยวฉันจะโทรฯ ให้นะแต่ต้องรีบหน่อย เพราะ
ฉันต้องรีบไป” ว่าแล้วก็หันไปโทรศัพท์ใหม่
‘อ้าว’ แล้วเมื่อกี้โทรฯ หาใครล่ะ ผมชักตะหงิด ๆ ขึ้น
มา หนอยหลอกใช้โทรศัพท์ชาวบ้านโทรฯ ธุระส่วน
ตัวนี่นายัยนี่
“ฮัลโหล คุณโคเหรอคะ … ค่ะ … ค่ะ …… เขายินดี
รับทำเต็มที่เลยค่ะ ..(เฮ้ ๆ ผมยังไม่ได้รับปากนะว่า
จะทำ ยัยอะคะเนะ มามั่วอย่างนี้ได้ไง) …ค่ะ … ให้
เขาไปพบคุณโคเดี๋ยวนี้เลยนะคะ … แฟกซ์เหรอคะ
.. ค่ะ เบอร์…(หยิบสมุดโน้ตของตัวเองขึ้นมาดู แล้ว
ก็บอกเบอร์ออกไป ซึ่งก็คือ หมายเลขโทรศัพท์-
แฟกซ์ของผมไป) ค่ะ! แค่นี้นะคะ รับประกันฝีมือค่ะ
คนนี้เขาช่วยคุณโคได้แน่ (อ้อ! พูดดีก็เป็นนิ ยัยนี่)
สวัสดีค่ะ”
วางหูโทรศัพท์แล้วก็หันมาพูดกับผม “เดี๋ยวเขา
แฟกซ์แผนที่บ้านเขามาให้นะ ให้ไปพบเขาที่บ้าน
เลย รีบไปเลยนะ อย่าไปเลทเขาล่ะ” ว่าแล้วก็ทำท่า
จะออกไป แล้วก็ชะงักกึกหันมาทางผมอีก “อ้อ! ค่า
นายหน้าฉันขอแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็พอ โอเคนะ”
“น้อย ๆ หน่อยแม่คุณ แค่นี้จะขอรับตั้งแสนนึงเชียว
เหรอ”
“ฉันอุตส่าห์เอางานมาให้นะ”
“ฉันก็ยังไม่ตกลงสักหน่อยว่าจะรับงาน เราน่ะเที่ยว
ไปรับปากกับเขาอย่างนั้นได้ไง”
“เอาเหอะ เอาเหอะ เอาเป็นว่าสิบเปอร์เซ็นต์ละกัน
ตกลงนะ ฉันต้องรีบไปแล้วล่ะ”
ว่าแล้วก็ทำท่าจะเดินขึ้นบันไดไป
“เอ้า! เอาก็เอา” ผมยอมจนได้ เพราะก็รู้อยู่เหมือน
กันว่าเจ้าหล่อนก็ใช่ว่าจะอยู่อย่างสบายนัก “มีข่าว
ใหญ่ที่ไหนอีกสิท่า คราวนี้อะไรเหรอ บ้านเมียเก็บ
นักการเมืองคนไหนถูกเปิดเผยรึไง” ผมพูดประชด ๆ
ส่งท้ายเพราะรู้ได้ทันทีว่า เจ้าหล่อนท่าทางจะรีบไป
อย่างนี้ต้องไม่แคล้วเรื่องข่าวใหญ่แน่
“เขาจะแถลงข่าวเรื่องไฟไหม้เรือนจำน่ะ นักโทษ
ตายไปเยอะแยะเลย ….” เสียงอะคะเนะตอบมา
แล้วเจ้าหล่อนก็เผ่นพรวดออกนอกสำนักงานของ
ผมไป แต่ผมในตอนนั้นยังไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบของ
เจ้าหล่อนนักเพราะเสียงโทรศัพท์ในสำนักงานดัง
ขึ้นพอดี ขยับตัวจะไปรับแต่ก็นึกได้ว่าสงสัยเป็นคน
ที่ชื่อโคอะไรนั่นส่งแผนที่มาให้ ภายหลังผมถึงได้รู้
ว่า ข่าวที่อะคะเนะวิ่งออกไปตามอยู่นั้น มีส่วนมา
เกี่ยวกับผมเข้าให้ด้วยนะสิ
…
back index next