ชั้นเหนือพื้นดิน 55 ชั้น และยังมีชั้นใต้ดินอีก 88 ชั้น อาคารใหญ่ที่ว่านี้เอง คือ กองบัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ผลัดใบทางซีกเหนือของดาวเคราะห์ไฮเนสเซน รอบ ๆ อาคารนี้ยังเรียงรายไปด้วยตึกของกรมวิทยาศาสตร์การทหาร, กรมยุทธปัจจัยและลอจิสติก, ศูนย์ควบคุมการป้องกันทางอากาศ, โรงเรียนเตรียมทหาร, กองบัญชาการป้องกันนครหลวง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ รวมกันเป็นเขตทหารที่ตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองหลวง ไฮเนสเซนโพลิส ออกมาราวหนึ่งร้อยกิโลเมตร ณ ชั้นใต้ดินของตึกกองบัญชาการทหารสูงสุดนั้นเอง ตรงชั้นที่เป็นห้องโถงใหญ่ที่มีความสูงกินพื้นที่ถึงสี่ชั้นปกติ ณ ห้องโถงใหญ่นี้เอง กำลังจะมีพิธีไว้อาลัยให้แก่ดวงวิญญาณของวีรชนผู้เสียชีวิตในศึกแอสทาเท ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายของวันที่แดดจ้าสดใส สองวันหลังจากที่กองกำลังที่ส่งออกไปยันทัพจักรวรรดิที่บริเวณเขตดาวแอสทาเทแตกพ่ายศึกกลับมาอย่างยับเยินโดยมีอัตราสูญเสียกำลังไปถึงหกสิบเปอร์เซนต์นั่นเอง บนทางเบลท์เวย์ที่มุ่งหน้าตรงไปยังตัวอาคารดังกล่าว คลาคร่ำไปด้วยบรรดาผู้ที่กำลังจะไปเข้าร่วมพิธีนั้น ทั้งบรรดาญาติมิตรของผู้เสียชีวิต และยังมีบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนายทหารต่าง ๆ และคนสำคัญในคณะรัฐบาล ในบรรดาคนเหล่านี้ ก็มีหยาง เหวินหลี่รวมอยู่ด้วย หยางตอบรับคำทักทายจากคนรู้จักรอบข้างอย่างขอไปที แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามเบื้องบน ในสายตาของเขานั้น มองไม่เห็น เจ้าพวกนั้น ก็จริง แต่เขาทราบดีว่า เหนือน่านฟ้าขึ้นไปนั้น รอบดาวดวงนี้ มีดาวเทียมทางการทหารกำลังโคจรอยู่นับไม่ถ้วน ในบรรดาดาวเทียมหล่านั้น มีอยู่สิบสองดวง ที่ถูกขนานนามรวมกันว่า สร้อยคอของเทพีอาร์เตมิส ซึ่งเป็นดาวเทียมสำหรับป้องกันการโจมตีของยานอวกาศโดยเฉพาะ เจ้าเครื่องมือฆ่าคนและทำลายล้างเหล่านี้ที่ถูกกล่าวว่า ตราบใดที่ดาวเทียมพวกนี้ยังอยู่ ไฮเนสเซนจะไม่มีวันถูกตีแตก โดยผู้ที่โอ้อวดคำพูดน่าขันเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพวกท่านผู้ใหญ่ในกองทัพนั่นเอง ซึ่งทุกครั้งที่หยางได้ยินคำพูดทำนองนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวอย่างนับไม่ถ้วนของบรรดาป้อมปราการในอดีตที่เคยถูกขนานนามว่าเป็นป้อมปราการที่ไม่มีวันแตก แต่แล้วต่างก็ถูกเผาทำลายไปในไฟสงครามกันมาถ้วนหน้า แต่จะว่าไป กะอีแค่เครื่องมือทางการทหารที่มีประสิทธิภาพสูงแค่นี้ ก็สมควรจะเอามาเป็นคำโอ้อวดแล้วหรือ? หยางยกมือทั้งสองขึ้นมาตบแก้มตัวเองเบา ๆ เขารู้สึกได้เลยว่าถึงตอนนี้ ประสาททุกส่วนในร่างกายก็ยังไม่ยอมตื่นเต็มที่สักที เขาเพิ่งตื่นหลังจากนอนติดต่อกันมานานถึงสิบหกชั่วโมงก็จริง แต่ก่อนหน้านั้น เขาตื่นเพื่อทำงานมาติดต่อกันถึงหกสิบชั่วโมงเลยทีเดียว ยิ่งกว่านั้น เขายังไม่ได้รับประทานอาหารมาเสียด้วย ทั้งนี้รู้สึกว่ากระเพาะมันจะไม่ยอมทำงาน ทำให้เขากินอะไรไม่ลง ได้แต่ดื่มซุปผักที่จูเลียนทำให้เท่านั้นเอง จำได้ว่า ทันทีที่เขากลับถึงบ้านพัก ก็ล้มตัวลงสลบไสลเลยทันที พอตื่นขึ้นมาได้ชั่วโมงเดียว ก็ต้องรีบออกจากบ้านมาอีกแล้ว แทบจะไม่ได้พูดคุยกับเด็กในปกครองคนนั้นอย่างเต็มปากเต็มคำเลย เฮ้อ... ให้ตายเถอะ หมดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ปกครอง (พ่อบุญธรรม) เลยนะนี่ ตอนนั้นเอง ก็มีใครบางคนตบไหล่เขา เมื่อหันไปมองก็พบว่า รุ่นพี่ที่โรงเรียนเตรียมทหาร พลตรีอเล็กซ์ แคสเซิร์น กำลังยืนยิ้มเตร่อยู่แล้ว รู้สึกว่าจะยังไม่ตื่นเต็มตานะ ท่านวีรบุรุษแห่งแอสทาเท ใครเหรอฮะ วีรบุรุษ? ฮึ ก็คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันนี่ไงเล่า ดูท่าจะไม่มีเวลาจะอ่านหนังสือพิมพ์อิเลกทรอนิกส์เลยสิท่า รู้ตัวรึเปล่าว่าพวกนักข่าวพร้อมใจกันเขียนยกย่องนายทุกฉบับเลยนะ ผมเหรอ... แม่ทัพแพ้ศึกเนี่ยนะครับ? ก็ใช่นะสิ กองทัพสมาพันธ์แพ้ศึกกลับมาอย่างหมดรูป เพราะฉะนั้นถึงต้องมีวีรบุรุษขึ้นมาสักคนไง ถ้าหากเป็นการรบชนะละก็ ไม่ต้องการวีรบุรุษก็ได้ แต่เวลาแพ้นี่ เราต้องการใครหรืออะไรสักอย่างที่จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของบรรดาประชาชนน่ะ... เหมือนอย่างตอนเอลฟาซิลไงล่ะ สำนวนประชดประชันแบบนี้ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแคสเซิร์น เขาเป็นชายฉกรรจ์วัยสามสิบห้าที่มีรูปร่างสมส่วน สูงปานกลาง มีประสบการณ์ในด้านงานเอกสาร (เดสก์เวิร์ค) มากกว่าที่จะออกไปรบยังแนวหน้า และมีความสามารถอย่างหาตัวจับยากในด้านเกี่ยวกับการประมวลจัดการแผนการโครงการต่าง ๆ ทางทหาร รวมทั้งงานธุรการด้วย ทำให้เป็นที่มองกันว่า คนนี้แหละ คือ ว่าที่ผู้บัญชาการฝ่ายแนวหลัง (ฝ่ายสนับสนุนการรบ) ในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแต่... มาโผล่แถวนี้เอาป่านนี้นี่ ไม่เป็นไรเหรอฮะ ผมคิดว่าป่านนี้ท่านผู้ช่วยคงกำลังยุ่งกับงานจุกจิกจนแทบไม่มีเวลาพักเสียอีก โดนรุ่นน้องศอกกลับเข้าให้บ้าง แต่นายทหารจัดการฝีมือดีผู้นี้ก็เพียงแต่เหยียดยิ้มที่มุมฝีปากอย่างมีเลศนัย แล้วตอบว่า คนจัดงานนี้คือ กองพิธีการต่างหากเน้อ แล้วอีกอย่างนึง จะว่าไปไอ้งานนี้น่ะ ทั้งพวกทหารเอย หรือแม้แต่ญาติผู้ตายก็เถอะ ไม่ใช่คนสำคัญหรอกว่ะ โน่น คนที่อยากออกงานจนตัวสั่นน่ะ ท่านประธานกรรมาธิการกลาโหมต่างหากล่ะ สรุปก็คือ งานนี้มันก็จัดขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีให้ท่านประธานกรรมาธิการกลาโหมใช้หาเสียงเพื่อการเลือกตั้งสมัยหน้าเท่านั้นเอง ทั้งสองคนนึกถึงใบหน้าของประธานกรรมาธิการกลาโหม (เทียบกับตำแหน่งรัฐมนตรี) ของรัฐบาลนี้ นายย็อบ ทริวนิชท์ ขึ้นมาพร้อมกัน คนที่ว่าเป็นนักการเมืองวัยสี่สิบเอ็ด รูปร่างสูง ดวงตาและคิ้วที่คมเข้ม มีชื่อเสียงในด้านเป็นผู้ที่ชูนโยบายต่อต้านจักรวรรดิทางช้างเผือกอย่างรุนแรง บรรดาคนที่รู้จักเขานั้น เกินกว่าครึ่งล้วนชื่นชมเป็นเสียงเดียวว่า เป็นนักวาทศิลป์ฝีปากดี ขณะที่อีกที่เหลือไม่ถึงครึ่งนั้น ล้วนอธิบายถึงคนผู้นี้อย่างรังเกียจว่า เป็นนักพูดปลิ้นปล้อนตัวฉกาจ ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของรัฐบาลสมาพันธ์นั้น โดยตำแหน่งก็คือ ประธานคณะกรรมาธิการสูงสุด นายรอยัล ซันฟอร์ด หากแต่คนผู้นี้ เป็นเพียงนักการเมืองแก่ ๆ คนหนึ่งที่ประนีประนอมเก่ง และได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาลก็เพื่อทำหน้าที่ประสานงานระหว่างขั้วอำนาจต่าง ๆ นั่นเอง โดยบุคลิกแล้ว เป็นคนที่อนุรักษ์นิยม จะตัดสินอะไรก็เอาแต่อ้างแบบอย่างธรรมเนียมปฏิบัติเก่า ๆ ร่ำไป เรียกได้ว่า ไม่มีความโดดเด่นในฐานะผู้นำเลย และก็ไม่มีใครคาดว่า สมัยหน้าคนคนนี้จะได้เป็นหัวหน้ารัฐบาลอีก เฮ้อ... ต้องมาทนนั่งฟังสุนทรพจน์สั่ว ๆ ของเจ้าหมอนั่นนาน ๆ อีกแล้วหรือเนี่ย ทรมานยิ่งกว่าต้องอดนอนมานั่งทำงานทั้งคืนเลยนะเนี่ย แคสเซิร์นบ่นพึมพำ แต่ความจริงก็คือ เขาเป็นแค่คนกลุ่มน้อยในบรรดานายทหารของกองทัพสมาพันธ์เท่านั้น ทั้งนี้ ทหารส่วนใหญ่นั้น ล้วนแต่ให้ความนิยมชมชอบต่อนักการเมืองผู้นี้มาก ด้วยเพราะความสนับสนุนทางงบประมาณที่เขาจัดสรรมาให้อย่างถึงใจ และบุคลิกที่ป่าวประกาศปาว ๆ ว่าจะอยู่ร่วมจักรวาลกับพวกจักรวรรดิไม่ได้ ทำให้กอบโกยคะแนนนิยมในหมู่ทหารไปไม่น้อย ทั้งที่รู้ ๆ กันว่า เขาทำเพื่อหาเสียงก็ตามเถอะ สำหรับหยาง เขาก็เป็นนายทหารอีกคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยที่ว่า ในห้องโถงพิธี ที่นั่งของนายทหารหนุ่มทั้งสองอยู่แยกจากกัน แคสเซิร์นนั้นมีที่นั่งอยู่บนเวที ด้านหลังของประธานในพิธีซึ่งคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดซิทเลย์ ส่วนหยางนั้นมีที่นั่งอยู่ด้านล่าง ตรงแถวหน้าสุดหน้าเวที พิธีเริ่มขึ้นตามรูปแบบเดิม ๆ แล้วก็ดำเนินไปตามรูปแบบเดิม ๆ เช่นกัน หลังจากนายซันฟอร์ดยืนอ่านตามสคริปต์ที่ข้าราชการเตรียมไว้ให้ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ จนจบ และถอยตัวลงจากแท่นพิธีแล้ว คราวนี้ก็ถึงคิวของนายทริวนิชท์ล่ะ เพียงแต่เขาปรากฏกายขึ้นไปบนเวทีเท่านั้น บรรยากาศในห้องประชุมนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นรุ่มร้อนในทันที เสียงปรบมือที่เขาได้รับดังกว่าเสียงปรบมือที่ให้กับท่านประธานคณะกรรมาธิการสูงสุด (นายกรัฐมนตรี-หัวหน้ารัฐบาล) เสียอีก นายทริวนิชท์เริ่มเปล่งเสียงที่ดังฟังชัดของเขา กล่าวปราศรัยกับบรรดาผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหกหมื่นคนในทันที โดยไม่ต้องอ่านโพยแต่อย่างไร ท่านพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั้งหลาย ท่านทหารผู้หาญกล้าทั้งหลาย วันนี้ ผองเรามาชุมนุมกัน ณ ผืนแผ่นดินแห่งนี้เพื่ออะไรหรือครับ? ใช่ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อร่วมไว้อาลัยและสดุดีให้แก่ดวงชีวาตมันของวีรชนทั้งหนึ่งล้านห้าแสนดวง ที่ถึงแก่สวรรคาลัยในเขตหมู่ดาวแอสทาเทนั่นเอง พวกผู้กล้าหาญอันมิอาจหาได้แล้วในอดีตอนาคตเหล่านั้น ได้ยอมเสียสละชีวิตอันเลิศล้ำของพวกเขา เพื่อแลกมาซึ่งการปกป้องเสรีภาพของมาตุภูมิอันเป็นที่รักและเพื่อสันติภาพนั่นเองครับ ฟังเพียงแค่นี้ หยางก็แทบอยากจะเอามืออุดหูด้วยความรู้สึกอับอายแทน ในขณะที่คนพูดข้างบนกลับไม่มีท่าทีอายต่อคำพูดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นี่ไอ้การที่คนพูดเอาแต่เรียบเรียงถ้อยคำสวยหรูจนคนฟังรู้สึกอายแทนนี่ มันเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ (คิริเชีย) เลยหรือนี่? ครับ เมื่อกี้กระผมได้พูดว่า ชีวิตอันเลิศล้ำ ถูกต้องแล้วครับ ชีวิตเป็นสิ่งที่ควรแก่การหวงแหนเพราะมันมีค่ายิ่ง แต่... ท่านทั้งหลายครับ พวกเขาได้ยอมถึงกับเสียสละชีวิตอันเลิศล้ำไป ก็เพื่อต้องการที่จะสอนสั่งให้พวกเราที่อยู่ด้านหลังได้ประจักษ ์ว่า เหนือจากชีวิตอันเลิศล้ำแล้ว ยังมีสิ่งที่เลิศล้ำไปยิ่งกว่านั้นอีก สิ่งนั้นคืออะไรล่ะ? ผมจะบอกให้ครับ คือ ความเป็นชาติของเรา กับ เสรีภาพนั่นเอง ความตายของพวกเขาเป็นกาลกิริยาอันเลิศล้ำ!!! เพราะพวกเขายอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ พวกเขาเป็นบิดาที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นบุตรที่ดี และเป็นคนรักที่ดีสำหรับพวกเราที่อยู่ ณ ที่นี้ และพวกเขาล้วนมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะมีชีวิตอยู่ยืนยาวต่อไปอย่างมีปกติสุข แต่พวกเขาก็ทิ้งสิทธิเหล่านั้น แล้วก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบ และในที่สุดก็พลีชีพลง... พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายครับ กระผมขอถามดัง ๆ อีกครั้งเถิดว่า พวกเขาพลีชีพเพราะอะไร!!? ฮึ เพราะแผนของกองทัพมันไม่ได้เรื่องนะสิท่าน! หยางพึมพำออกมา แต่เสียงนั้นก็ดังเกินไปอยู่ดี ทำเอานายทหารที่นั่งข้าง ๆ หลายคน พากันหันมามองเขาเป็นจุดเดียวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่พอหยางหันไปสบตากับคนหนึ่งในจำนวนนั้น ฝ่ายนั้นก็รีบหันหน้ากลับไปมองทางเวทีทันที ณ เป้าสายตาของเขาคนนั้น ร่างของกรรมาธิการกลาโหมยังคงดำเนินการปาฐกถาต่อไปอย่างยืดยาว สีหน้าของนายทริวนิชท์ตอนนี้ เริ่มแดงเรื่อด้วยสีเลือดขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมีแววมึนเมาในคำพูดของตนเอง ใช่ครับ คำตอบนั้น กระผมได้กล่าวไปแล้ว ว่าพวกเขาพลีชีพไปเพราะต้องการปกป้องชาติและเสรีภาพของพวกเรานั่นเอง จะมีการตายแบบไหนที่มีค่าสูงส่งยิ่งกว่านี้อีก หาไม่ได้อีกแล้วครับ จะมีอะไรที่สอนใจพวกเราว่า การมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อตัวเองเท่านั้น และตายเพื่อตัวเองเท่านั้น เป็นการกระทำที่น่าดูถูกสิ้นดีนั้น คงไม่มีอีกแล้ว พวกเราจักต้องตระหนักให้จงดีว่า เพราะมีชาติ จึงมีตัวเราคงอยู่ได้ ทุกท่านอย่าลืมเสียนะครับ สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิต ก็คือ ความเป็นชาตินั่นเอง กระผมขอประกาศอีกครั้งอย่างชัดเจน ณ ที่นี้เลย ชาติและเสรีภาพ คือ สิ่งล้ำค่า ที่แม้จะต้องเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องไว้ ก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ การต่อสู้ของพวกเรา เป็นการต่อสู้เพื่อผดุงความถูกต้อง เจ้าพวกคนที่อวดอ้างตนเองว่าเป็นพวกใฝ่สันติที่เสนอหน้ามาเสนอแนวคิดเจรจาสันติภาพกับพวกจักรวรรดิก็ดี พวกคนที่อ้างตัวว่าเป็นนักอุดมคติ ที่เอาแต่คิดว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันกับทรราชย์ที่เผด็จการก็ดี ขอให้พวกท่านรีบตื่นจากความมัวเมาเถิด ไม่ว่าการกระทำของพวกท่านจะมีสาเหตุจูงใจอย่างไรก็ตาม แต่ผลสุดท้ายแล้ว มันเป็นการทำให้กองทัพสมาพันธ์ของเราอ่อนแอลง และส่งผลดีให้ศัตรูคือ ทัพจักรวรรดิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะไม่ยอมรับแนวคิดสันติเด็ดขาดหากอีกฝ่ายคือจักรวรรดิ
ใช่ เพราะที่นี่คือ ประเทศเสรีอย่างไรเล่า พวกท่านถึงได้มีสิทธิเสรีภาพในการวิจารณ์นโยบายหรือการดำเนินงานของรัฐบาล และพวกท่านก็กำลังหลงผิดในสิทธิเสรีภาพของตนมากไปแล้ว ไม่มีอะไรที่ง่ายไปกว่าการร่ำร้องตะโกนว่าสันติภาพ ๆ ด้วยปากอย่างเดียวโดยไม่ลงมือทำอะไรเลยอีกแล้ว! ไม่มี! ประเทศนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของบรรพบุรุษของพวกเรา พวกเราถึงได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ว่า บรรพบุรุษของพวกเราก็ได้ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประเทศเสรีแห่งนี้ ประเทศชาติที่มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา! ประเทศชาติที่เสรีของพวกเรา!
ครับ พวกเราควรจะต้องร่วมใจกัน สู้ต่อไปไม่ใช่หรือครับ สู้เพื่อประเทศชาติของเรา! พวกเราต้องสู้! สมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรีจงเจริญ! ระบอบประชาธิปไตยจงเจริญ! จักรวรรดิทางช้างเผือกจงล่มจมไป! แต่อย่างไรก็ตาม กระผมเชื่อว่า... พลเมืองที่แท้จริง มีจิตใจที่ดีงามสูงส่งอย่างแท้จริงของเราแล้วละก็ จะต้องเข้าใจอย่างแน่นอนว่า เสรีภาพที่แท้จริงก็คือ การยอมเสียสละสิทธิประโยชน์ส่วนตัว แล้วสมานใจสามัคคดีกัน เพื่อปกป้องเสรีภาพส่วนรวม และเพื่อมุ่งหมายสู่เป้าหมายของส่วนรวม
พวกท่านทั้งหลาย...
![]()
แล้วปักธงตระการแห่งเสรี ไว้บนผืนธรณีของดวงดาวที่ได้รับการปลดแอก พวกเราจักสู้ในปัจจุบันนี้ เพื่ออนาคตอันสดใส พวกเราจักสู้ในวันนี้ เพื่อวันใหม่ที่ดีกว่า สหายเอย จงร่วมร้องเพลงแห่งดวงวิญญาณเสรีเถิด สหายเอย จงร่วมแสดงให้บังเกิดซึ่งดวงวิญญาณแห่งเสรีโดยพร้อมเพียง ผู้ร่วมพิธีต่างพากันเริ่มร้องเพลงประสานเสียงกัน คราวนี้เป็นการประสานเสียงที่พร้อมเพียง ไม่เหมือนกับการตะโกนร้องไชโยดั่งเมื่อครู่ก่อน พวกเราจักประสานนำรุ่งอรุณแห่งเสรีไปสู่ที่นั่นด้วยมือของเราเอง หยางและเจสสิก้าหันหลังให้กับเวที แล้วเดินมุ่งหน้าสู่ประตูทางออก ไปตามทางเดินกลางที่เจสสิก้าใช้เดินเมื่อครู่นี้ ยามที่ทั้งสองเดินผ่าน คนที่ยืนอยู่ที่นั่งติดทางเดิน พากันหันมามองแวบหนึ่ง แล้วต่างก็หันหน้ากลับไปมองตรงยังบนเวทีอีกครั้ง เบื้องหน้าของทั้งสอง ประตูทางออกเปิดออกจากกันอย่างไร้เสียง (ประตูอัตโนมัติ) และขณะที่มันปิดลงหลังจากทั้งสองเดินลอดออกไปแล้ว ท่อนสุดท้ายของเพลงชาติยังดังลอดออกมาให้ทั้งสองได้ยินว่า พวกเราจะไม่มีวันยอมศิโรราบต่อเผด็จการ ชั่วนิรันดร์ (อ่านตอนต่อไป) หมายเหตุตอนนี้เอง คือ ปิ๊งแรก ที่ผู้แปลชอบเรื่องนี้อย่างจริงจังอย่าลืมนะครับว่า ทะนะกะ โยะชิกิแต่งเรื่องนี้ตั้งแต่ 20 กว่าปีก่อน แต่นึกไม่ถึงเลยว่า แม้ในปัจจุบัน คนอย่างทริวนิชท์ ก็ยังมีอยู่ในโลกนี้ ช่างน่าเศร้าเสียจริง... นวนิยายเรื่องนี้ ที่จริงแล้วหาใช่นวนิยายแฟนตาซีอันงดงามไม่ หากแต่มันคือ นิยายที่แฉความเน่าเฟะของสังคมมนุษย์ ความเลวร้ายเท่าที่มนุษย์ผู้สวมหน้ากากจะพึงทำกับมนุษย์ด้วยกันได้ต่างหาก..... เลิกติดตามเรื่องนี้ตอนนี้ก็ยังไม่สายนะครับ ๕๕๕ |