พระสุนทรโวหาร
(ภู่)

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมประทุมทอง
"พระอภัยมณี"
สุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์
ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเมีย ค.ศ.
๑๑๔๘ ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.
๒๓๒๙
ซึ่งเป็นเวลาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
หลังจากสร้างกรุงรัตน์โกสินทร์มาแล้ว
๔ ปี
บิดาของสุนทรภู่เป็นชาวบ้านกร่ำ
เมืองแกลง
ส่วนมารดาได้สามีใหม่มีบุตรหญิง
๒ คน ในวัยเด็กนี้
สุนทรภู่อาศัยอยู่กับมารดาในบริเวณพระราชวังหลัง
ซึ่งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย
และได้
ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข
เมื่อเติบโตถึงวัยศึกษาเล่าเรียน
ได้เข้าเรียนที่วัดชีปะขาว
พอเป็นหนุ่มได้เป็นเสมียนในกรมพระคลังสวน
ลอบรักใคร่กับหญิงชื่อจันในพระราชวังหลัง
และถูกลงอาญาจองจำเพราะเรื่องนี้
พ.ศ. ๒๓๕๐ พ้นโทษ
เดินทางไปหาบิดาที่เมืองแกลง
แต่งนิราศเมืองแกลง
เมื่อกลับมาแล้วได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก
ของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์
และแต่งงานกับหญิงชื่อจัน
ต่อมาโกรธเคืองกับภรรยาจึงตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปพระพุทธบาท
แต่งนิราศพระบาท
กลับมาก็มิได้อยู่ร่วมกับภรรยาและเลิกลากันไปในที่สุด
หลังจากนั้นได้เดินทางไปเพชรบุรี
และหัวเมืองต่างๆ
บางทีอาจจะไปร่วมงานกับคณะละคร
นายบุญยัง
พ.ศ. ๒๓๕๖ เดินทางกลับเข้าพระนคร
หลังจากนั้นไม่กี่ปีได้เข้ารับราชการในวังหลวง
ได้เป็นขุนสุนทรโวหาร
ระหว่างนี้มีบุตร ๒ คน
ดื่มสุราจัด
ถูกจำคุกและเริ่มแต่งพระอภัยมณี
แต่ภายหลังพ้นโทษมีเรื่องให้สมเด็จฯกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงขุ่นเคืองพระทัย
พ.ศ. ๒๓๖๔
เป็นครูสอนหนังสือสมเด็จฯเจ้าฟ้าอาภรณ์
แต่งสวัสดิรักษา สิงหไกรภพ
และคงจะแต่ง เสภาขุนช้าง-ขุนแผน
ตอนกำเนิดพลายงามด้วย
พ.ศ. ๒๓๖๗
ท่องเที่ยวไปตามหัวเมืองต่างๆ
ระยะหนึ่งแล้วกลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดราชบูรณะ
พ.ศ. ๒๓๗๑
ไปวัดภูเขาทอง
แต่งนิราศภูเขาทอง
กลับมาอยู่ที่วัดอรุณราชวราราม
พ.ศ. ๒๓๗๒
เป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรสมเด็จเจ้าฟ้ากลาง
และสมเด็จเจ้าฟ้าปิ๋ว
แต่งเพลงยาวถวายโอวาท
พ.ศ. ๒๓๗๔
ไปเพชรบุรีแต่งนิราศเมืองเพชร
พ.ศ. ๒๓๗๕ ไปวัดเจ้าฟ้าอากาศ
แต่งนิราศวัดเจ้าฟ้า
กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
พระองค์เจ้าลักขณานุคุณทรงให้ความอุปการะ
และต่อมาอาจย้ายไปอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎื์
ระหว่างนี้คงจะแต่งนิราศอิเหนา
และพระอภัยมณีต่อจากที่แต่งไว้ในรัชกาลที่
๒
พ.ศ. ๒๓๗๖
เดินทางไปยังที่วัดพระแท่นดงรัง
กับบุตรบุญธรรมชื่อสามเณรกลั่น
ต่อมาเดินทางไปสุพรรณ
แต่งนิราศสุพรรณ
พ.ศ. ๒๓๘๓ มาอยู่ที่วัดเทพธิดา
กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงอุปการะ
ขณะที่อยู่วัดนี้ได้เดินทางไปหัวเมืองอีก
แต่งพระอภัยมณีต่อ
และคงแต่งสิงหไกรภพตอนจบ
กับลักษณะวงศ์ในตอนนี้
พ.ศ. ๒๓๘๕
ตัดสินใจย้ายจากวัดเทพธิดา
แต่งรำพันพิลาป แล้วจึงลาสิขาบท
ในเวลาต่อมาเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์
แต่งนิราศพระประธม
ตอนนี้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ทรงอุปการะ
พ.ศ. ๒๓๙๔
รับราชการเป็นพระสุนทรโวหาร
เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังแต่งบทละครเรื่องอภับนุราช
เสภาพระราชพงศาวดาร
และบทเห่กล่อมอีก ๔ เรื่องคือ
บทเห่กล่อมเรื่อง จับระบำ
เรื่องกากี เรื่องพระอภัยมณี
และเรื่องโคบุตร
พ.ศ. ๒๓๙๘ ถึงแก่กรรม
ประเภทนิราศมี
๙ เรื่อง |
1.
นิราศเมืองแกลง 2350
2. นิราศพระบาท 2350
3. นิราศภูเขาทอง 2371
4. นิราศเมืองเพชร 2371-2374
5. นิราศวัดเจ้าฟ้า 2375
6. นิราศอิเหนา 2375-2378
7. นิราศสุพรรณ 2377-2380
8. รำพันพิลาป 2385
9. นิราศพระประธม 2385-2388 |
ประเภทนิทานมี
๕ เรื่อง |
1. โคบุตร
2. พระอภัยมณี
3. พระไชยสุริยา
4. ลักษณะวงศ์
5. สิงหไกรภพ |
ประเภทสุภาษิตมี
๒ เรื่อง |
1.
สวัสดิรักษา
2. เพลงยาวถวายโอวาท |
ประเภทบทละครมี
๑ เรื่อง |
1. อภัยนุราช |
ประเภทเสภามี
๒ เรื่อง |
1.
ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม
2. พระราชพงศาวดาร |
ประเภทบทเห่กล่อมมี
๔ เรื่อง |
1. จับระบำ
2. กากี
3. พระอภัยมณี
4. โคบุตร |
|