![]() |
|
นิทานชาดก นิทานนานาชาติ นิทานเด็ก |
นิทานชาดก
เรื่อง
นางมณีเมขลา
แม่นาง
แม่มองดูข้าพเจ้าด้วยดวงตาอ่อนโยน
พร้อมทั้งกล่าวเชื้อเชิญให้กินอาหาร
ข้าพเจ้าขอถามหน่อยว่า
ท่านเป็นเทวดาหรือมนุษย์
ที่เมืองโมฬินี มีพรามห์คนหนึ่งชื่อสังขละ เป็นคนมีฐานะร่ำรวยมากและเป็นคนใจบุญสร้างโรงทาน ๖ แห่งไว้ในที่ ๖ สถาน คือที่ประตูเมือง ๔ ด้าน ตรงกลางเมืองและที่ประตูพระราชนิเวศน์
ชาตินั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นสังขพราหม์นั้น
สังขพราหม์บริจาคทรัพย์วันละ ๖๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เพื่อให้ซื้ออาหารมาทำเลี้ยงคนยากจนและคนเดินทางที่ผ่านไปมา จากการที่ต้องใช้จ่ายมากนี่เอง วันหนึ่งสังขพราหม์ก็คิดขึ้นมาว่า
"หากทรัพย์ของเราหมดแล้ว เราก็ไม่สามารถให้ทานต่อไปได้ ฉะนั้นขณะที่เรายังมีทรัพย์อยู่นี้เราจะต้องเอาเงินต่อเงิน"
เขาคิดดังนี้จึงคิดเอาเงินต่อเงิน ก็เห็นว่ามีอยู่ทางเดียวก็คือ ต้องเดินทางไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ
การเดินทางไปค้าขายที่สุวรรณภูมิต้องไปทางเรือ ดังนั้นเข้าจึงสั่งให้ต่อเรือสำหรับค้าขายแล้วบรรทุกสินค้าจนเต็มลำก่อนออกเรือได้เรียกลูกเมียมาสั่งเสียให้ให้ทานเหมือนอย่างที่เคยทำ ครั้นแล้วจึงพร้อมกับทาสกับกรรมกรเดินทางไปดยังท่าเรือปัฏฏนะในเวลาเที่ยงวัน
ขณะนั้นเอง พระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง นั่งเข้าสมาบัติอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัติแล้วตรวจดูผู้ที่ตนจะอนุเคราะห์ ก็เห็นสังขพราหมณ์เดินมุ่งหน้าไปยังท่าเรือปัฏฏนะท่านเห็นว่าเขาจะได้รับอันตรายขณะเดินทางอยู่ในทะเล จึงคิดช่วยเขา ท่านเห็นต่อไปว่าหากเขาได้ถวายร่มและรองเท้าแก่ท่านแล้ว ผลบุญนี้จะช่วยให้เขาได้ที่พึ่งคราวเรืออับปางในทะเล ท่านจึงได้เหาะมาลงตรงที่ใกล้ๆ เขาเดิน ท่านเดินย่ำบนทรายร้อนมุ่งหน้ามาหาเขา
สังขพราหมณ์เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วเลื่อมใส ยิ่งเห็นท่านเดินย่ำบนทรายร้อนก็ยิ่งดีใจว่าตนจะได้ทำบุญ
"เนื้อนาบุญมาถึงแล้ว เราควรจะปลูกพืชคือทานลงในเนื้อนาบุญนี้" เขาคิดพลางรีบเข้าไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้าไหว้แล้วนิมนต์ให้ท่านเข้าไปพักที่โคนต้นไม้
สังขพราหมณ์ทำบุญด้วยการสั่งให้เกลี่ยทรายลงที่โคนต้นไม้แล้วปูลาดผ้าห่มของตนลงบนทรายให้พระปัจเจกพุทธเจ้า จากนั้นจึงเอาน้ำล้างเท้า แล้วเอาน้ำมันผสมน้ำหอมทาถวาย เขาได้ถอดรองเท้าที่ตนสวมออกมาตบไล่ฝุ่นแล้วเอาน้ำมันทาจนใหม่แล้วถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าสวม พร้อมทั้งถวายร่มให้พระปัจเจกพุทธเจ้าใช้กันแดด พระปัจเจกพุทธเจ้าทำอย่างที่เขาต้องการคือสวมรองเท้าแล้วเดินกั้นร่มไปกลางแดดร้อน สังขพราหมณ์มองพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความเลื่อมใส ทันใดนั้นเองพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์ ยิ่งทำให้สังขพราหมณ์เกิดปิติโสมนัส
ครั้นเดินทางไปถึงท่าเรือปัฏฏนะแล้ว สังขพราหมณ์ได้ตรวจดูความพร้อม จากนั้นจึงได้ขึ้นเรือแล้วออกเดินทางทันทีเรือแล่นไปได้แค่ ๖ วันก็เกิดรั่วจนน้ำไหลเข้า ทาสและกรรมกรต้องช่วยกันวิดน้ำเรือ แต่เรือก็ยิ่งมีรอยรั่วมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งทาสและกรรมกรพร้อมทั้งลูกเรือไม่สามารถวิดน้ำได้
ขณะที่น้ำทะลักเข้าเรือมากขึ้นนั้น ผู้คนในเรือต่างตกใจกลัวตายรีบกราบไหว้วิงวอนเทพเจ้าที่ตนเคารพนับถือให้มาช่วยเหลือ
"เจ้าประคู้น ขอมาช่วยลูกช้างด้วยเถิด" เสียงอ้อนวอนดังเซ็งแซ่
สังขพราหมณ์พยายามช่วยแก้ไขสถานการณ์อย่างเต็มที่แต่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว จึงพร้อมด้วยคนใช้ใกล้ชิดคนหนึ่งกินน้ำตาลกรวดผงคลุกเนยใส จนอิ่มแล้วเอาน้ำมันทาตัวแล้วชวนกันขึ้นไปยืนอยู่บนเสากระโดงเรือพรางกำหนดทิศทางกลับขึ้นฝั่ง ขณะนั้นบริเวณรอบๆเรือ มีปลาฉลามร้ายมารุมกัดกินผู้คนกันชุลมุน สังขพราหมณ์พร้อมกับคนรับใช้ใกล้ชิดนั้นจึงกระโดดจากเสากระโดงเรือไปตกเสียที่ไกลๆเพื่อให้พ้นไปจากปากฉลามร้าย
ทั้งสองต่างพากันแหวกว่ายอยู่กลางทะเลมุ่งหน้ากลับท่าเรือปัฏฏนะ
สังขพราหมณ์รักษาศีลอุโบสถอยู่เป็นประจำทุกวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำเขากับอุปัฏฐากแหวกว่ายอยู่จนกระทั่งถึงวันรุ่งขึ้น ๘ ค่ำ สังขพราหมณ์ระลึกได้ว่าเป็นวันอุโบสถจึงเอาน้ำทะเลบ้วนปากแล้วอธิฐานจิตรักษาอุโบสถ
เวลานั้นท้าวจตุโลกบาลได้สั่งเทพธิดาชื่อ "มณีเมขลา" ให้ตรวจดูบริเวณท้องทะเล หากพบคนประสบภัยและสามารถช่วยได้ก็ให้ช่วยเหลือทันที นางมณีเมขลาก็ทำตามที่ได้รับมอบหมาย พอดีวันนั้น ขณะที่สังขพราหมณ์กับคนรับใช้ใกล้ชิดกำลังแหวกไหว้อยู่นั้น นางมณีเมขลาได้ตรวจเห็นและรู้ได้ทันทีว่าเป็นคนดีซึ่งเรืออับปางมาได้ ๗ วันแล้วจึงเข้าไปช่วยเหลือ นางถือถาดทองคำใบหนึ่งมีอาหารรสอร่อยเต็มจาน เหาะไปลอยอยู่ข้างหน้าบุคคลทั้งสอง
"พราหมณ์ ท่านอดอาหารมาตั้ง ๗ วันแล้ว ข้าพเจ้านำอาหารทิพย์มาให้ เชิญท่านกินเถิด" นางพูดกับสังขพราหมณ์
"ท่านนำกลับไปเถิด ข้าพเจ้ากินไม่ได้ เพราะรักษาศีลอุโบสถ" สังขพราหมณ์ปฏิเสธ
คนรับใช้ว่ายตามหลังมาได้ยินเขาพูดแต่ไม่เห็นเทวดาเข้าใจผิดคิดว่านายของตนพร่ำเพ้อจึงกล่าวเตือนว่า
"นาย ท่านได้ศึกษาธรรมะมานานแล้ว และยังได้เห็นสมณะมามากแล้วด้วย แต่ท่านกลับมาพร่ำเพ้อ แล้วใครเล่าจะช่วยท่านได้"
สังขพราหมณ์ได้บอกคนรับใช้ทราบถึงเรืองที่นางมณีเมขลานำอาหารมาให้กินและตนเองตอบปฏิเสธ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้ว่านางเป็นเทวดาหรือมนุษย์ จึงได้ร้องถามนางไปว่า
"แม่นาง แม่มองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาอ่อนโยน พร้อมทั้งเชื้อเชิญให้กินอาหาร ข้าพเจ้าขอถามหน่อยว่าท่านเป็นเทวดาหรือมนุษย์"
นางมณีเมขลาได้ฟังคำถามเช่นนั้นจึงกล่าวตอบว่า
"ท่านพราหมณ์ ข้าพเจ้าเป็นเทวดามีอานุภาพมากมีจิตคิดช่วยเหลือ ไม่เคยคิร้ายใคร วันนี้มาที่นี่ก็เพื่อช่วยเหลือท่าน"
นางมณีเมขลาเว้นระยะไว้นิดหนึ่งแล้วกล่าวอีกว่า
"ที่นี่มีข้าว น้ำ ที่นอน ที่นั่งอยู่พร้อม ข้าพเจ้าเตรียมไว้ให้ท่านหมดแล้ว ท่านปราถนาสิ่งใดจงทำและใช้สิ่งนั้นไปเถิด"
ขณะนั้น สังขพราหมณ์ก็เริ่มสงสัยว่านางมณีเมขลาเตรียมสิ่งของไว้ให้พร้อมนั้นเป็นเพราะบุญของเขาเองหรือว่าเป็นเพราะอำนาจฤทธิ์ขชองนางมณีเมขลา จึงได้ร้องถาม นางมณีเมขลาได้ตอบว่า
"ท่านได้ถวายรองเท้าให้พระรูปหนึ่ง ซึ่งเดินย้ำทรายกลางแดดจ้า ผลบุญครั้งนั้นส่งผลให้ท่านได้สิ่งที่ปราถนาในยามนี้"
สังขพราหมณ์ดีใจมากที่ได้ทราบว่าบุญที่ตนทำไว้ก่อนแล่นเรือออกทะเลนั้นส่งผลมาช่วยตน จึงขอให้นางมณีเมขลาช่วยตนให้ได้สมปราถนาอีกอย่างหนึ่งคือ ช่วยพาไปส่งถึงเมืองโมฬินี
นางมณีเมขลาได้ช่วยตามที่เขาขอร้องโดยเนรมิตรเรือแก้วขึ้นมา ๑ ลำแล้วอุ่มสังขพราหมณ์ขึ้นเรือ ฝ่ายคนรับใช้ได้อนุโมทนาส่วนบุญที่สังขพราหมณ์แบ่งให้แล้วก็ได้รับการช่วยให้ขึ้นไปบนเรือเช่นกัน แล้วนางมณีเมขลาก็พาบุคคลทั้งสองไปส่งถึงเมืองโมฬิณี
ครั้นกลับถึงเมืองโมฬิณีแล้ว สังขพราหมณ์ก็ยังคงให้ทานอยู่จนสิ้นอายุขัย ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์
ชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บุญกุศลที่เราทำไว้ด้วยจิตศรัทธานั้นย่อมส่งผลให้เป็นที่พึ่งของเราได้ในยามคับขัน เหมือนสังขพราหมณ์ได้ถวายรองเท้าแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วได้รับการช่วยเหลือเมื่อคราวเรืออับปางฉะนั้น
7Smooth.com |
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com