![]() |
|
นิทานชาดก นิทานนานาชาติ นิทานเด็ก ตำนาน |
ตำนานเต่า
เทพบดีผู้สร้างโลกและมวลมนุษย์กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้สร้างสัตว์ชนิดหนึ่งขึ้นมาด้วย โดยสร้างให้เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะไม่มีกระดูก มีแต่ลำตัวนุ่มนิ่ม ขนาดลำตัวประมาณ ๒ ฝ่ามือชนกัน
สัตว์นุ่มนิ่มครึ่งบกครึ่งน้ำมีขาสั้น
๔ ขา และมีหัวเล็กๆสั้นๆ
เจ้าสัตว์ชนิดนี้ก็คือ
เต่า
นั้นเอง
ตามประวัติความเป็นมาของเต่า
ตั้งแต่สมัยกำเนิดมามีชีวิตเป็นสัตว์โลกนั้น
เต่ายังไม่มีกระดองมีเพียงแต่เนื้อนุ่มนิ่มทั่วทั้งหัว
ลำตัวและขา
เพราะว่าไม่มีก้างอย่างปลา
ไม่มีกระดูกอย่างสัตว์อื่นๆ
ชีวิตในแต่ละวันนั้น
บรรดาพวกเต่าทั้งหลายก็คืบคลานอยู่แถวชายหาดริมทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล
บ้างก็ลงไปเล่นน้ำทะเลและก็คลานขึ้นมาอาบแดดบนชายหาด
เรียกว่าแสนสบายทั้งในน้ำและบนบก
ไม่เหมือนกับสัตว์อื่นอีกหลายๆ
ชนิด
ซึ่งสามารถจะอยู่ในน้ำได้อย่างเดียว
หรือไม่ก็อยู่แต่บนบก
ว่ายน้ำไม่เป็น
และยังมีสัตว์อีกหลายชนิดที่ต้องอยู่แต่ในอากาศ
บินไปบินมาว่ายน้ำไม่ได้
เดินไปมาบนบกก็ไม่ได้
เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์โลกแรกๆนั้นบรรดาเต่าทั้งหลายก็รู้สึกสุขขีสบายใจกันดี แต่ครั้นนานๆ ไปก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตของเต่ามันช่างอาภัพ อับโชค อับวาสนากว่าสัตว์อื่นยิ่งนัก
"พวกเราจะไปไหนดี
ก็ต้องคืบคลานไปช้าแสนช้า
เวลาจะหนีพายุ
หนีสัตว์ใหญ่ๆอื่นๆ
มัวแต่คลานต้วมเตี้ยม
ไม่ทันเอาใจเสียเลย"
เต่าตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น
ในวันที่บรรดาเต่าทั้งหลายได้มาประชุมกันที่ชายทะเลใกล้เทือกเขาพระสุเมรุ
ซึ่งได้กระทำกันเป็นประจำทุกครึ่งปี
"นั้นนะซิ
ดูขาพวกเราสิ
สั้นเพียงแค่นี้จะให้วิ่งไปไหนๆเร็วได้อย่างไร"
"แล้วฉันก็เจ็บด้วยเวลาคลานไปโดนถูกกรวด
โดนหินใดๆเข้า มีแต่แผลเต็มตัว
ทั้งปวดแสบปวดร้อน
แผลเป็นเต็มตัว
จนเสียโฉมไปหมดแล้ว"
"ส่วนฉันนะ
ถูกเจ้าสัตว์อื่นรัวแกอยู่เสมอ
สัตว์ใหญ่ๆชอบไล่จับฉัน
หนีจนแทบสุดชีวิตก็ยังไม่รอด
ถูกมันจับไปโยนเล่น
รังแกเล่นตามอำเภอใจ"
"อย่าว่าแต่เธอถูกรังแกแกล้งเล่นเลย
ลูกของฉันเมื่อวันก่อนก็ถูกมนุษย์จับไปย่างกินเป็นอาหาร
แถมยังคุยกันเสียอีกว่า
เนื้อของพวกเราเอร็ดอร่อยนัก
เห็นถ้าต่อไปนี้พวกมนุษย์คงจับเอาพวกเราไปกินเป็นอาหารอย่างจริงจังเหมือนเช่นที่มักจะกินเนื้อหมูและเนื้อปลาเลยที่เดียวเชียวนะ"
ในระหว่างการประชุมนั้น บรรดาเต่าทั้งหลายก็ระบายความอัดอั้นตันใจกันมาสารพัดปัญหา บางตัวก็แนะนำขึ้นว่าให้ตั้งคณะกรรมการเต่ากลุ่มหนึ่ง แล้วเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาพระสุเมรุ เพื่อกราบทูลพระอิศวรผู้เป็นใหญ่ให้ได้ช่วยหาทางแก้ไขเรื่องความปลอดภัยและความสุขสบายของชีวิตพวกตนด้วย
"แต่เราจะเดินทางกันไปอย่างไร
ปีหนึ่งจะถึงหรือเปล่าบนยอดเขานั้น
ขาพวกเราสั้นเพียงแค่นี้เอง
และระหว่างการเดินทางใช่ว่าเราจะรอดปลอดภัยขึ้นไปจนถึงยอดเขาของเทพเจ้าได้
มีหวังจะถูกสัตว์อื่นๆ
รังแกหรือไม่ก็จับกินเป็นอาหารกันเสียจนหมดทั้งทีมในไม่ช้าหรอกนะ"
"นั้นนะสิ
ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ต้องอดทน
หลบๆ ซ่อนๆ ไปก็แล้วกัน
หากมีใครคิดหาทางออกได้อีก ๖
เดือนข้างหน้าเรามาประชุมกัน
แล้วค่อยคิดอ่านตัดสินใจกันต่อก็แล้วกัน"
การประชุมวันนั้น
ยังหาทางออกไม่ได้
บรรดาพวกเต่าจึงได้แต่เอาตัวรอดไปตามวิธีของใครของมัน
ซึ่งก็ปรากฏต่อมาว่าแถบชายทะเลทุกหนแห่ง
จะไม่ค่อยพบเห็นเจอเต่าเล่นน้ำอาบแดดกันอยู่มากมายอีกต่อไป
เพราะบรรดาพวกเต่านั้น
มักจะไปคอยหาที่หลบๆ
ซ่อนๆตามซอกโขดหินกันเป็นส่วนใหญ่
เพื่อมิให้ผู้ใดพบเห็นและกลั่นแกล้งหรือจับเอาไปฆ่าได้
ยังมิทันถึงการประชุมข้างหน้าในอีกครึ่งปีก็ให้บังเอิญว่าบรรดาพระอิศวรและพระแม่อุมาเทวีมเหสีเอกได้เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์พร้อมกับหมู่เทพบุตร
เทพธิดาและบริวารทั้งปวง
ในการเสด็จครั้งนี้บรรดาคณะเทพได้เสด็จลงมาทางน้ำพระอิศวรทรงมีพระยากุมภีล์หรือจระเข้ตัวใหญ่เป็นพาหนะคู่พระองค์
เมื่อทราบว่ามีคณะเทพจากสรวงสวรรค์เสด็จลงมาทางทะเล บรรดาพวกเต่าจึงกระจายข่าวออกไป และก็ได้มารวมตัวกันตั้งขบวนรับเสด็จอยู่ที่ชายหาด โดยเรียงตัวเป็นทิวแถวเป็นแนวยาว จนเทพบุตรและเทพธิดาสังเกตุเห็น จึงได้นำความกราบทูลพระอิศวรและพระแม่อุมาเทวี
"หรือว่าเป็นบรรดาสัตว์ที่มีทุกข์มีร้อน
ใคร่จะถวายฎีการ้องทุกข์กับพระองค์กระมังพระเจ้าค่ะ
เทพพระบุตรองค์หนึ่งทูลพระอิศวร"
"ถ้าเช่นนั้นเราก็ลองเทียบขบวนที่ชายฝังดูเถอะ
ดูทีว่าสรรพสัตว์นั้นมีปัญหาอะไร"
เมื่อขบวนของคณะเทพเข้าเทียบที่ชายหาด
บรรดาพวกเต่าก็มอบหมายให้ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่ง
เป็นตัวแทนเข้าเฝ้าทูลเรื่องราวต่างๆต่อหน้าพระพักตร์
เมื่อขบวนของคณะเทพเข้าเทียบที่ชายหาด
บรรดาพวกเต่าก็มอบหมายให้ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่ง
เป็นตัวแทนเข้าเฝ้าทูลเรื่องราวต่างๆ
ต่อหน้าพระพักตร์
เมื่อผู้แทนของบรรดาเต่าได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถึงความยากลำบากของพวกตน
นับตั้งแต่ปัญหาทางกายภาพของตนขาสั้นและลำตัวนิ่มๆ
ที่จะทำให้ไปไหนมาไหนไม่สะดวกแล้วนั้น
ผู้แทนเต่ายังทูลเสริมขึ้นอีกว่า
"ขอเดชะ
เรื่องการเดินทางไปไหนมาไหนลำบากนั้น
ก็ยังเห็นว่าไม่เป็นไรอยู่
พวกกระหม่อมก็ไม่ได้ขอความสุขสบายอย่างสมบูรณ์แบบเทียบเทียมกับสัตว์อื่นๆ
เพราะพระองค์สร้างให้เป็นมาอย่างไร
ก็ใคร่จะได้เป็นอย่างนั้นต่อไป
ตามแต่บุญแต่กรรมเก่าที่มี
พระองค์กรุณาให้มีชีวิตเป็นสัตว์โลก
ก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งนักแล้ว
เพียงแต่พวกกระหม่อมใคร่จะขอความปลอดภัย
เพราะบรรดาเต่าอย่างพวกกระหม่อมนั้น
ไม่มีฟัน
ไม่มีเขี้ยวไม่มีเล็บแถมยังไม่มีกระดูกไม่มีก้าง
ใครจับไปฆ่าไปแกงเล่นหรือจับไปกินเป็นอาหาร
กระทำกับพวกกระหม่อมได้ง่ายดายยิ่งนักพระเจ้าค่ะ
พวกกระหม่อมปรารถนาแต่ความปลอดภัยพอสมควร
ที่ยะเอาตัวรอดได้เท่านั้น"
พระอิศวรได้สดับตรัสฟังดังนั้นแล้ว
จึงหันไปปรึกษากับพระมเหสีเอกผู้เป็นที่รัก
"จริงสินะ
น้องอุมาน้องว่าอย่างไรจ๊ะ
ดูตัวพวกมันซินุ่มนิ่มแม้จะน่ารัก
แต่ก็คงเจ็บปวดมิน้อยเวลาเนื้อมันไปครูด
ไปถูกับกรวดหิน ดินทรายหรือ
ใบไม้ตอไม้ทั้งปวงคงจะเจ็บกันมิใช่น้อยฟันก็ไม่มีเล็บก็ไม่มีเออแน่ะ
เดี๋ยวก็ถูกจับไปกินกันหมด
จนไม่เหลือสัตว์ที่จะคอยเป็นบริวารของเทพแห่งทะเลเลยซินะ"
พระแม่อุมาเทวีมเหสีเอกของพระอิศวรจึงได้ทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่รักของข้าและเป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์
เรื่องนี้น้องคิดว่าเสด็จพี่น่าจะประทานพรให้แก่พวกเต่าเหล่านี้ให้มีอาวุธป้องกันตัวซักหนึ่งอย่าง
จะได้พอมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายไม่ต้องคอยหลบๆ
ซ่อนๆ เพราะกลัวภัย
หากมีเหตุร้ายใดๆที่จะพบได้ปกป้องตนเองได้บ้าง
นะเพคะ"
พระอิศวรฟังคำแนะนำของพระมเหสีเอกแล้วก็ไตร่ตรองสักครู่หนึ่งจึงมีรับสั่งอย่างเฉียบพลันว่า
"เอาล่ะ
ข้าจะให้พรพวกเจ้ามีกระดูกอันแข็งแรงกว่าสัตว์ใดๆ
โดยที่กระดูกนั้นจะอยู่นอกเนื้อของตัวเจ้า
เรียกว่ากระดอง
ซึ่งจะเป็นเสมือนกระดูกอันแข็งแกร่งแผ่นใหญ่แผ่นเดียว
ปกป้องเป็นเกราะคุ้มกันลำตัวของเจ้า
กระดองหรือกระดูกของเจ้านั้น
จะมีความแกร่งมากยากที่ใครจะทำร้ายได้ง่ายๆ
ยามใดที่เจ้ามีภัย
หวาดกลัวสิ่งใด
ก็จะสามารถหดหัวของเจ้า
และขาทั้งสี่ของเจ้า
เข้าไปอยู่ภายใต้กระดองนี้อย่างมิดชิดเรียบร้อย
ยากที่ใครจะทำร้ายเจ้าได้
เมื่อเจ้าหดขาและหัวเข้าไปอยู่ในกระดองแล้ว
แม้สัตว์จะหยิบเจ้าขึ้นไปกินก็ไม่สามารถหยิบเจ้าขึ้นไปกินได้และแม้ว่าเจ้าจะไม่มีฟัน
แต่ข้าจะบรรดาลให้เหงือกเจ้านั้นมีความแข็งแกร่งอย่างกับเหล็ก
หากเมื่อเจ้างับหรือกัดสิ่งใด
เจ้าก็สามารถที่จะงับได้แน่นยากที่จะสะบัดหลุดได้ง่าย
นอกจากข้าจะสั่ให้หยุดโดยการเตือน
เจ้าต้องปล่อยสิ่งนั้นให้หลุดจากปาก
สัญญาณนั้นก็คือเสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่นสนั่นไปนั่นเอง
พรที่ข้าจะประทานบันดาลให้พวกเจ้า
เช่นนี้เจ้าพอใจหรือไม่"
บรรดาพวกเต่า
พอได้ฟังดังนั้นก็ถึงกับปลื้มปิติดีใจกันถ้วนหน้า
ต่างรีบถวายความเคารพสักการะองค์พระอิศวรด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิการยิ่งนัก
"พวกเกล้ากระหม่อม
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างลึกซึ้ง
ล้นเกล้าล้นกระหม่อมเลยที่เดียวพระเจ้าค่ะ"
เมื่อประทานพรเสกสรรบรรดาลให้บรรดาเต่าทั้งปวง
ณ
ที่นั้นมีกระดองขนาดใหญ่ปกป้องคุ้มครองพวกเต่าเสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกประการแล้ว
องค์พระอิศวรและพระแม่อุมาเทวีกับคณะเทพบุตรและเทพธิดาทั้งปวงจึงได้เสด็จต่อไปยังห้วงมหรรณพ
บรรดาพวกเต่าก็ได้มีกระดูกอยู่นอกตัว
เป็นกระดูกแผ่นใหญ่ลักษณะเหมือนเกราะกำบัง
เป็นกระดองอันแข็งแรงและสวยงามนับตั้งแต่วินาที่นั้น
"ดีใจจังเลย
ต่อไปนี้เราก็สามารถจะหลบเข้าไปอยู่ในกระดูกของเราเอง
ไม่ต้องวิ่งไปหาที่ซ่อนให้วุ่นวาย
เจ็บทั้งตัวจนมีบาดแผลเต็มตัวไปหมดอีกซินะ"
เต่าตัวหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
เต่าตัวอื่นๆ
ก็ช่วยกันส่งเสริมเป็นต้องยินดีเป็นที่สุด
"จริงด้วยซิ
ต่อไปนี้
ใครก็มาจับเรากินเล่นๆอีกไม่ได้แล้วเราไม่ต้องห่วงลูกห่วงหลานและตัวเองอีกต่อไปแล้ว
ถึงแม้ขาจะสั้นเดินทางไปไหนเชื่องช้าลำบากลำบนก็ไม่เป็นไรหรอก"
"แล้วอีกอย่างในยามฤดูร้อน
เราก็ไม่ต้องตากแดดจนผิวแห้ง
ยามฤดูหนาว
ก็ไม่ต้องทนสั่นหนาวเหน็บ
จนเนื้อแทบหลุดอีกต่อไป
เพราะเรามีกระดองคอยบังแดดบังฝนให้เราซินะ"
นับตั้งแต่นั้นบรรดาเต่า
ที่เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมีแต่เนื้อนิ่มๆ
จึงมีกระดูกอันแข็งแกร่งอยู่นอกเนื้อตัวคือกระดองของเต่าและเมื่อบรรดาพวกเต่าถึงฤดูกาลผสมพันธุ์ออกลูกออกหลานบรรดาลูกหลานนั้นๆ
ก็จะมีกระดองน้อยๆ
สืบทอดเผ่าพันธุ์ของเต่าที่มีรูปร่างน่าตา
ดังเช่นที่เห็นและเป็นไปในตราบปัจจุบันนี้นั่นเอง.
พ. ศรีสมิต
เรียบเรียง
7Smooth.com |
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com