Logo003poet2543.gif (2019 bytes)

Tale002.gif (3475 bytes)

นิทานชาดก    นิทานนานาชาติ    นิทานเด็ก   ตำนาน

Ani004LHummbird.gif (2404 bytes)

ตำนานเต่า

                เทพบดีผู้สร้างโลกและมวลมนุษย์กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้สร้างสัตว์ชนิดหนึ่งขึ้นมาด้วย โดยสร้างให้เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะไม่มีกระดูก มีแต่ลำตัวนุ่มนิ่ม ขนาดลำตัวประมาณ ๒ ฝ่ามือชนกัน

                สัตว์นุ่มนิ่มครึ่งบกครึ่งน้ำมีขาสั้น ๔ ขา และมีหัวเล็กๆสั้นๆ
                เจ้าสัตว์ชนิดนี้ก็คือ
เต่า นั้นเอง
                ตามประวัติความเป็นมาของเต่า ตั้งแต่สมัยกำเนิดมามีชีวิตเป็นสัตว์โลกนั้น เต่ายังไม่มีกระดองมีเพียงแต่เนื้อนุ่มนิ่มทั่วทั้งหัว ลำตัวและขา เพราะว่าไม่มีก้างอย่างปลา ไม่มีกระดูกอย่างสัตว์อื่นๆ
                ชีวิตในแต่ละวันนั้น บรรดาพวกเต่าทั้งหลายก็คืบคลานอยู่แถวชายหาดริมทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล บ้างก็ลงไปเล่นน้ำทะเลและก็คลานขึ้นมาอาบแดดบนชายหาด เรียกว่าแสนสบายทั้งในน้ำและบนบก ไม่เหมือนกับสัตว์อื่นอีกหลายๆ ชนิด ซึ่งสามารถจะอยู่ในน้ำได้อย่างเดียว หรือไม่ก็อยู่แต่บนบก ว่ายน้ำไม่เป็น และยังมีสัตว์อีกหลายชนิดที่ต้องอยู่แต่ในอากาศ บินไปบินมาว่ายน้ำไม่ได้ เดินไปมาบนบกก็ไม่ได้

                เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์โลกแรกๆนั้นบรรดาเต่าทั้งหลายก็รู้สึกสุขขีสบายใจกันดี แต่ครั้นนานๆ ไปก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตของเต่ามันช่างอาภัพ อับโชค อับวาสนากว่าสัตว์อื่นยิ่งนัก

                "พวกเราจะไปไหนดี ก็ต้องคืบคลานไปช้าแสนช้า เวลาจะหนีพายุ หนีสัตว์ใหญ่ๆอื่นๆ มัวแต่คลานต้วมเตี้ยม ไม่ทันเอาใจเสียเลย" เต่าตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น ในวันที่บรรดาเต่าทั้งหลายได้มาประชุมกันที่ชายทะเลใกล้เทือกเขาพระสุเมรุ ซึ่งได้กระทำกันเป็นประจำทุกครึ่งปี
                "นั้นนะซิ ดูขาพวกเราสิ สั้นเพียงแค่นี้จะให้วิ่งไปไหนๆเร็วได้อย่างไร"
                "แล้วฉันก็เจ็บด้วยเวลาคลานไปโดนถูกกรวด โดนหินใดๆเข้า มีแต่แผลเต็มตัว ทั้งปวดแสบปวดร้อน แผลเป็นเต็มตัว จนเสียโฉมไปหมดแล้ว"
                "ส่วนฉันนะ ถูกเจ้าสัตว์อื่นรัวแกอยู่เสมอ สัตว์ใหญ่ๆชอบไล่จับฉัน หนีจนแทบสุดชีวิตก็ยังไม่รอด ถูกมันจับไปโยนเล่น รังแกเล่นตามอำเภอใจ"
                "อย่าว่าแต่เธอถูกรังแกแกล้งเล่นเลย ลูกของฉันเมื่อวันก่อนก็ถูกมนุษย์จับไปย่างกินเป็นอาหาร แถมยังคุยกันเสียอีกว่า เนื้อของพวกเราเอร็ดอร่อยนัก เห็นถ้าต่อไปนี้พวกมนุษย์คงจับเอาพวกเราไปกินเป็นอาหารอย่างจริงจังเหมือนเช่นที่มักจะกินเนื้อหมูและเนื้อปลาเลยที่เดียวเชียวนะ"

                ในระหว่างการประชุมนั้น บรรดาเต่าทั้งหลายก็ระบายความอัดอั้นตันใจกันมาสารพัดปัญหา บางตัวก็แนะนำขึ้นว่าให้ตั้งคณะกรรมการเต่ากลุ่มหนึ่ง แล้วเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาพระสุเมรุ เพื่อกราบทูลพระอิศวรผู้เป็นใหญ่ให้ได้ช่วยหาทางแก้ไขเรื่องความปลอดภัยและความสุขสบายของชีวิตพวกตนด้วย

                "แต่เราจะเดินทางกันไปอย่างไร ปีหนึ่งจะถึงหรือเปล่าบนยอดเขานั้น ขาพวกเราสั้นเพียงแค่นี้เอง และระหว่างการเดินทางใช่ว่าเราจะรอดปลอดภัยขึ้นไปจนถึงยอดเขาของเทพเจ้าได้ มีหวังจะถูกสัตว์อื่นๆ รังแกหรือไม่ก็จับกินเป็นอาหารกันเสียจนหมดทั้งทีมในไม่ช้าหรอกนะ"
                "นั้นนะสิ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ต้องอดทน หลบๆ ซ่อนๆ ไปก็แล้วกัน หากมีใครคิดหาทางออกได้อีก ๖ เดือนข้างหน้าเรามาประชุมกัน แล้วค่อยคิดอ่านตัดสินใจกันต่อก็แล้วกัน"
                การประชุมวันนั้น ยังหาทางออกไม่ได้ บรรดาพวกเต่าจึงได้แต่เอาตัวรอดไปตามวิธีของใครของมัน
                ซึ่งก็ปรากฏต่อมาว่าแถบชายทะเลทุกหนแห่ง จะไม่ค่อยพบเห็นเจอเต่าเล่นน้ำอาบแดดกันอยู่มากมายอีกต่อไป
                เพราะบรรดาพวกเต่านั้น มักจะไปคอยหาที่หลบๆ ซ่อนๆตามซอกโขดหินกันเป็นส่วนใหญ่ เพื่อมิให้ผู้ใดพบเห็นและกลั่นแกล้งหรือจับเอาไปฆ่าได้
                          ยังมิทันถึงการประชุมข้างหน้าในอีกครึ่งปีก็ให้บังเอิญว่าบรรดาพระอิศวรและพระแม่อุมาเทวีมเหสีเอกได้เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์พร้อมกับหมู่เทพบุตร เทพธิดาและบริวารทั้งปวง
                ในการเสด็จครั้งนี้บรรดาคณะเทพได้เสด็จลงมาทางน้ำพระอิศวรทรงมีพระยากุมภีล์หรือจระเข้ตัวใหญ่เป็นพาหนะคู่พระองค์

                เมื่อทราบว่ามีคณะเทพจากสรวงสวรรค์เสด็จลงมาทางทะเล บรรดาพวกเต่าจึงกระจายข่าวออกไป และก็ได้มารวมตัวกันตั้งขบวนรับเสด็จอยู่ที่ชายหาด โดยเรียงตัวเป็นทิวแถวเป็นแนวยาว จนเทพบุตรและเทพธิดาสังเกตุเห็น จึงได้นำความกราบทูลพระอิศวรและพระแม่อุมาเทวี

                "หรือว่าเป็นบรรดาสัตว์ที่มีทุกข์มีร้อน ใคร่จะถวายฎีการ้องทุกข์กับพระองค์กระมังพระเจ้าค่ะ เทพพระบุตรองค์หนึ่งทูลพระอิศวร"
                "ถ้าเช่นนั้นเราก็ลองเทียบขบวนที่ชายฝังดูเถอะ ดูทีว่าสรรพสัตว์นั้นมีปัญหาอะไร"
                เมื่อขบวนของคณะเทพเข้าเทียบที่ชายหาด บรรดาพวกเต่าก็มอบหมายให้ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่ง เป็นตัวแทนเข้าเฝ้าทูลเรื่องราวต่างๆต่อหน้าพระพักตร์
                เมื่อขบวนของคณะเทพเข้าเทียบที่ชายหาด บรรดาพวกเต่าก็มอบหมายให้ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่ง เป็นตัวแทนเข้าเฝ้าทูลเรื่องราวต่างๆ ต่อหน้าพระพักตร์
                เมื่อผู้แทนของบรรดาเต่าได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถึงความยากลำบากของพวกตน นับตั้งแต่ปัญหาทางกายภาพของตนขาสั้นและลำตัวนิ่มๆ ที่จะทำให้ไปไหนมาไหนไม่สะดวกแล้วนั้น ผู้แทนเต่ายังทูลเสริมขึ้นอีกว่า
                "ขอเดชะ เรื่องการเดินทางไปไหนมาไหนลำบากนั้น ก็ยังเห็นว่าไม่เป็นไรอยู่ พวกกระหม่อมก็ไม่ได้ขอความสุขสบายอย่างสมบูรณ์แบบเทียบเทียมกับสัตว์อื่นๆ เพราะพระองค์สร้างให้เป็นมาอย่างไร ก็ใคร่จะได้เป็นอย่างนั้นต่อไป ตามแต่บุญแต่กรรมเก่าที่มี พระองค์กรุณาให้มีชีวิตเป็นสัตว์โลก ก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งนักแล้ว เพียงแต่พวกกระหม่อมใคร่จะขอความปลอดภัย เพราะบรรดาเต่าอย่างพวกกระหม่อมนั้น ไม่มีฟัน ไม่มีเขี้ยวไม่มีเล็บแถมยังไม่มีกระดูกไม่มีก้าง ใครจับไปฆ่าไปแกงเล่นหรือจับไปกินเป็นอาหาร กระทำกับพวกกระหม่อมได้ง่ายดายยิ่งนักพระเจ้าค่ะ พวกกระหม่อมปรารถนาแต่ความปลอดภัยพอสมควร ที่ยะเอาตัวรอดได้เท่านั้น"
                พระอิศวรได้สดับตรัสฟังดังนั้นแล้ว จึงหันไปปรึกษากับพระมเหสีเอกผู้เป็นที่รัก
                "จริงสินะ น้องอุมาน้องว่าอย่างไรจ๊ะ ดูตัวพวกมันซินุ่มนิ่มแม้จะน่ารัก แต่ก็คงเจ็บปวดมิน้อยเวลาเนื้อมันไปครูด ไปถูกับกรวดหิน ดินทรายหรือ ใบไม้ตอไม้ทั้งปวงคงจะเจ็บกันมิใช่น้อยฟันก็ไม่มีเล็บก็ไม่มีเออแน่ะ เดี๋ยวก็ถูกจับไปกินกันหมด จนไม่เหลือสัตว์ที่จะคอยเป็นบริวารของเทพแห่งทะเลเลยซินะ"
                พระแม่อุมาเทวีมเหสีเอกของพระอิศวรจึงได้ทูลว่า
                ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่รักของข้าและเป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ เรื่องนี้น้องคิดว่าเสด็จพี่น่าจะประทานพรให้แก่พวกเต่าเหล่านี้ให้มีอาวุธป้องกันตัวซักหนึ่งอย่าง จะได้พอมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวภัย หากมีเหตุร้ายใดๆที่จะพบได้ปกป้องตนเองได้บ้าง นะเพคะ"
                พระอิศวรฟังคำแนะนำของพระมเหสีเอกแล้วก็ไตร่ตรองสักครู่หนึ่งจึงมีรับสั่งอย่างเฉียบพลันว่า
                "เอาล่ะ ข้าจะให้พรพวกเจ้ามีกระดูกอันแข็งแรงกว่าสัตว์ใดๆ โดยที่กระดูกนั้นจะอยู่นอกเนื้อของตัวเจ้า เรียกว่ากระดอง ซึ่งจะเป็นเสมือนกระดูกอันแข็งแกร่งแผ่นใหญ่แผ่นเดียว ปกป้องเป็นเกราะคุ้มกันลำตัวของเจ้า

                กระดองหรือกระดูกของเจ้านั้น จะมีความแกร่งมากยากที่ใครจะทำร้ายได้ง่ายๆ
                ยามใดที่เจ้ามีภัย หวาดกลัวสิ่งใด ก็จะสามารถหดหัวของเจ้า และขาทั้งสี่ของเจ้า เข้าไปอยู่ภายใต้กระดองนี้อย่างมิดชิดเรียบร้อย ยากที่ใครจะทำร้ายเจ้าได้ เมื่อเจ้าหดขาและหัวเข้าไปอยู่ในกระดองแล้ว

                แม้สัตว์จะหยิบเจ้าขึ้นไปกินก็ไม่สามารถหยิบเจ้าขึ้นไปกินได้และแม้ว่าเจ้าจะไม่มีฟัน แต่ข้าจะบรรดาลให้เหงือกเจ้านั้นมีความแข็งแกร่งอย่างกับเหล็ก หากเมื่อเจ้างับหรือกัดสิ่งใด เจ้าก็สามารถที่จะงับได้แน่นยากที่จะสะบัดหลุดได้ง่าย นอกจากข้าจะสั่ให้หยุดโดยการเตือน เจ้าต้องปล่อยสิ่งนั้นให้หลุดจากปาก สัญญาณนั้นก็คือเสียงฟ้าร้องคำรามดังลั่นสนั่นไปนั่นเอง พรที่ข้าจะประทานบันดาลให้พวกเจ้า เช่นนี้เจ้าพอใจหรือไม่"
                บรรดาพวกเต่า พอได้ฟังดังนั้นก็ถึงกับปลื้มปิติดีใจกันถ้วนหน้า ต่างรีบถวายความเคารพสักการะองค์พระอิศวรด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิการยิ่งนัก
                "พวกเกล้ากระหม่อม สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างลึกซึ้ง ล้นเกล้าล้นกระหม่อมเลยที่เดียวพระเจ้าค่ะ"
                เมื่อประทานพรเสกสรรบรรดาลให้บรรดาเต่าทั้งปวง ณ ที่นั้นมีกระดองขนาดใหญ่ปกป้องคุ้มครองพวกเต่าเสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกประการแล้ว องค์พระอิศวรและพระแม่อุมาเทวีกับคณะเทพบุตรและเทพธิดาทั้งปวงจึงได้เสด็จต่อไปยังห้วงมหรรณพ
                บรรดาพวกเต่าก็ได้มีกระดูกอยู่นอกตัว เป็นกระดูกแผ่นใหญ่ลักษณะเหมือนเกราะกำบัง เป็นกระดองอันแข็งแรงและสวยงามนับตั้งแต่วินาที่นั้น
                "ดีใจจังเลย ต่อไปนี้เราก็สามารถจะหลบเข้าไปอยู่ในกระดูกของเราเอง ไม่ต้องวิ่งไปหาที่ซ่อนให้วุ่นวาย เจ็บทั้งตัวจนมีบาดแผลเต็มตัวไปหมดอีกซินะ" เต่าตัวหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ เต่าตัวอื่นๆ   ก็ช่วยกันส่งเสริมเป็นต้องยินดีเป็นที่สุด
                "จริงด้วยซิ ต่อไปนี้ ใครก็มาจับเรากินเล่นๆอีกไม่ได้แล้วเราไม่ต้องห่วงลูกห่วงหลานและตัวเองอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ขาจะสั้นเดินทางไปไหนเชื่องช้าลำบากลำบนก็ไม่เป็นไรหรอก"
                "แล้วอีกอย่างในยามฤดูร้อน เราก็ไม่ต้องตากแดดจนผิวแห้ง ยามฤดูหนาว ก็ไม่ต้องทนสั่นหนาวเหน็บ จนเนื้อแทบหลุดอีกต่อไป เพราะเรามีกระดองคอยบังแดดบังฝนให้เราซินะ"

                นับตั้งแต่นั้นบรรดาเต่า ที่เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมีแต่เนื้อนิ่มๆ จึงมีกระดูกอันแข็งแกร่งอยู่นอกเนื้อตัวคือกระดองของเต่าและเมื่อบรรดาพวกเต่าถึงฤดูกาลผสมพันธุ์ออกลูกออกหลานบรรดาลูกหลานนั้นๆ ก็จะมีกระดองน้อยๆ สืบทอดเผ่าพันธุ์ของเต่าที่มีรูปร่างน่าตา ดังเช่นที่เห็นและเป็นไปในตราบปัจจุบันนี้นั่นเอง.
                                                       
    พ. ศรีสมิต เรียบเรียง

7Smooth.com

Ani004LHummbird.gif (2404 bytes)
7Smooth.com Group
Copy Right 1999

poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com