Logo003poet2543.gif (2019 bytes)

Tale002.gif (3475 bytes)

นิทานชาดก    นิทานนานาชาติ    นิทานเด็ก   ตำนาน

Ani004LHummbird.gif (2404 bytes)

ตำนาน
เทศกาลไหว้หลุมฝั่งศพ

                       ในปีหนึ่งๆ คนจีนมีธรรมเนียมทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจำนวน ๓ ครั้ง
                        ครั้งแรก   เซ่นไหว้หลุมศพในวันเช็งเม้ง (ปักษ์แรกของเดือน ๓ ของจีน)
                        ครั้งสอง   เซ่นไหว้ดวงวิญญาณในวันสารทจีน (กลางเดือน ๗ ของจีน)
                        ครั้งสาม   ส่งเครื่องนุ่งห่มให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในฤดูหนาว (ต้นเดือน ๑๐ ของจีน)

                        สำหรับเทศกาลทั้งสามนั้น บรรดาลูกหลานจีนที่เกิดในประเทศไทยต่างรู้จักเทศกาลเช็งเม้งมากที่สุด เพราะมีธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษที่หลุมฝั่งศพในช่วงเดือน ๓ โดยกำหนดให้ไหว้ภายในปักษ์แรกของเดือน วันไหนก็ได้ ซึ่งที่เมืองไทยนิยมไปไหว้ในวันที่ ๕ เมษายน แต่บางบ้านก็อาศัยดูวันดีและก็มีอีกหลายบ้านที่อาศัยดูวันสะดวก (มิได้เป็นการบังคับแต่อย่างใด)

                        คำว่า "เช็งเม้ง" แปลความหมายตามตัวอักษรก็คือ "แจ่มกระจ่าง" เนื่องจากการไปไหว้หลุมฝั่งศพบรรพบุรุษเป็นช่วงเวลาในฤดูใบไม้ผลิในจีน ต้นไม้ใบหญ้ามีสีเขียวสดชื่นดูแล้วสบายตา เหมาะแก่การไปชมทิวทัศน์ จนเป็นบ่อเกิดธรรมเนียมการไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานแทนการไหว้อยู่ที่บ้าน แต่ต้องไปไหว้ในช่วงเช้าอย่าให้เกินเที่ยงวัน
                        ลูกหลานที่ไปไหว้หลุมฝั่งศพจักทำพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณด้วยอาหาร จุดธูปอธิฐานขอพรจากบรรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว แต่พิธีนี้จะมีบรรรยากาศที่แตกต่างไปจากการไปไหว้หลุ่มฝังศพของชาวตะวันตกค่อนข้างมาก เพราะชาวจีนถือว่าเป็นวันแห่งความรื่นเริงของสมาชิกในครอบครัวมีการเตรียมอาหารไปอย่างครบถ้วน ไปนั่งรับประทานอยู่บริเวณหลุมฝั่งศพ หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้เวลาวันนั้นทั้งวันให้ผ่านไปอย่างมีความสุข หากเป็นคนอื่นที่มองอย่างไม่ลึกซึ้งถึงความหมายถึงประเพณีนี้ อาจเข้าใจว่าคนจีนไม่ให้ความเคารพในตัวบรรพบุรุษของเขาอย่างแท้จริง แต่กับคนที่มีความเข้าใจดีจะถือว่าความตายเกิดจากการที่ดวงวิญญาณไม่สามารถดำรงอยู่ในร่างกายได้อีก จึงต้องละทิ้งสังขารสมมติไปอย่างถาวร แต่ทว่าดวงวิญญาณก็ยังวนเวียนอยู่ในโลกนี้และเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอยู่นั้นเอง

                        ชาวจีนนับว่าเป็นชนชาติที่มีความกตัญญูอย่างสูง โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวจะต้องเคารพผู้ที่อาวุโสกว่า ด้วยเหตุนี้การเซ่นไหว้เป็นการเคารพนับถือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะส่งผลให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตประกอบธุรกิจราบรื่นและร่ำรวยยิ่งขึ้น

                        แต่อีกส่วนหนึ่งเกิดจากความหวาดกลัววิญญาณของผู้ตาย เพราะทุกวันนี้ชาวจีนก็ยังต้องต่อสู้กับอำนาจแห่งวิญญาณของผู้ตาย หากไม่ทำให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นมีความสุข   ดวงวิญญาณมากมายที่เร่ร่อนยังมีฤทธิ์อำนาจครอบงำผู้ที่ยังมีชิวิตได้ ดังนั้นผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จึงมีภาระผูกพันต่อผู้ตาย มีหน้าที่ที่จะต้องเซ่นไหว้ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่วิญญาณเรียกร้องต้องการ ไม่เช่นนั้นแล้ววิญญาณจะกลับมารังควาน การเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ความบ้าคลั่ง ความยากจน ความผิดหวัง ความล้มเหลวในชีวิตและหน้าที่การงาน รวมทั้งการประสบโชคร้ายต่างๆ สิ่งเหล่านี้เกิดจากความขุ่นเคืองของวิญญาณที่มีต่อลูกหลานและสมาชิกในครอบครัว เหตุนี้ครอบครัวชาวจีนทุกครอบครัวจึงต้องประกอบพิธีกรรมให้บรรพชนของตนอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการที่ชาวจีนปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะหวาดกลัววิญญาณของผู้ตายเท่านั้น หากแต่ว่ายังเป็นเพราะพวกเขามีความผูกพันและความเคารพนับถือคุณงามความดีในตัวผู้ตายด้วย

                        ในตำนานได้เล่าว่าเมื่อราว ๒,๐๐๐ ปี ก่อนสมัยชุนชิวจ้านกว๋อฉงเอ่อร์ พระราชโอรสกษัตริย์จิ้นเชี่ยนกงแห่งรัฐฉาน ได้ถูกบีบบังคับให้ออกไปอยู่ในรัฐอื่นเป็นเวลา ๑๖ ปี ทรงได้รับความทุกข์ยากลำบาก ผู้ติดตามจำนวนมากทนความลำบากไม่ไหวจึงพากันหนีไป เหลืออยู่แต่เจี้ยจื่อทุยกับอีก ๕-๖ คนเท่านั้นที่มีความจงรักภักดีไม่กลัวความลำบากคงติดสอยห้อยตามเจ้าชายไปตลอดเวลา

                        ต่อมาด้วยการช่วยเหลือของกษัตริย์ฉินมู่กงแห่งรัฐฉิน เจ้าชายฉงเออร์ได้เป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าจิ้นเหวินกง พระองศ์ทรงปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่ผู้ที่มีความดีความชอบรับใช้พระองค์ในยามตกทุกข์ได้ยาก ทั้งยังทรงแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นขุนนางด้วย

                        ส่วนเจี้ยจื่อทุยได้ปรึกษากับมารดา และปักใจว่าจะไม่ขอรับลาภยศสักการะใดๆจึงพามารดาหลบไปอยู่บนเขาเหมียนซาน

                        ต่อมากษัตริย์ทรงระลึกถึงเขา จึงทรงม้าเสด็จไปเยี่ยมทรงเที่ยวหาอยู่หลายวัน ไม่พบร่องรอยของเจี้ยจื่อทุยกับมารดา พระเจ้าจิ้นเหวินกงทรงตระหนักในพระทัยว่า เจี้ยจื่อทุยนั้นเป็นคนที่มีความกตัญญูที่สุด ทรงดำริว่า ถ้าเอาไฟเผาภูเขาเหมียนซาน เจี้ยจือทุยจะต้องพามารดาหนีไฟออกมาเป็นแน่

                        พระองค์สั่งให้เผาภูเขา ภูเขาไหม้ไฟอยู่ ๓ วัน ๓ คืน แม้ต้นไม้ใบหญ้าก็ถูกเผาผลาญเหี้ยนเตียนไปหมด จิ้นเหวินกงทรงรับสั่งให้คนขึ้นไปดู ปรากฏว่าเจี้ยจื่อทุยกับมารดากอดต้นหลิวแห้งให้ไฟเผาตายทั้งเป็น

                        จิ้นเหวินกงทรงรู้สึกเสียพระทัยมาก ทรงฝั่งเจี้ยจือทุยกับมารดาไว้บนภูเขาเมียวซาน และมีพระราชบัญชาให้สร้างศาลเจ้าให้เขา ทั้งยังทรงเปลี่ยนชื่อภูเขาเหมียนซานเป็นภูเขาเจี้ยซานด้วย เพื่อระลึกถึงไมตรีจิตมิตรภาพที่เจี้ยจื่อทุยมีต่อพระองค์ตลอดมาเพื่อระลึกถึงเจี้ยจือทุย พระเจ้าเจิ้นเหวินกงรับสั่งให้ตัดต้นไม้นั้นกลับมาทำเป็นเกี๊ยะ ทุกวันเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเกี๊ยะคู่นั้นจะถอนพระทัยพลางตรัสว่า "น่าสงสารท่าน" ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายมักใช้คำว่า "ท่าน" เป็นสรรพนามของเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของตนในจดหมายที่เขียนถึงกัน เป็นการแสดงความีไมตรีจิตอันเลิศล้ำ

                       วันที่กษัตริย์จิ้นเหวินกงตรัสสั่งให้เผาภูเขาเหมียนซานนั้นตรงกับวันเทศกาลเชิงหมิง ในวันนี้เพื่อแสดงความรังเกียจไฟจะไม่ใช้ไฟปรุงอาหาร ยอมรับประทานอาหารเย็นๆที่ทำเอาไว้ นานเข้าเลยกายเป็นเทศกาล เรียกว่า "เทศกาลข้าวเย็น" จึงถือเอาวันนี้เป็นวันเคารพสุสานบรรพชนและระลึกถึงคนรุ่นก่อนที่จากไป
                                                                                            แดง   เก้าแสน   รวบรวม

7Smooth.com

Ani004LHummbird.gif (2404 bytes)
7Smooth.com Group
Copy Right 1999

poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com