![]() |
|
นิทานชาดก นิทานนานาชาติ นิทานเด็ก ตำนาน |
ตำนาน
ในปีหนึ่งๆ
คนจีนมีธรรมเนียมทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจำนวน
๓ ครั้ง สำหรับเทศกาลทั้งสามนั้น บรรดาลูกหลานจีนที่เกิดในประเทศไทยต่างรู้จักเทศกาลเช็งเม้งมากที่สุด เพราะมีธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษที่หลุมฝั่งศพในช่วงเดือน ๓ โดยกำหนดให้ไหว้ภายในปักษ์แรกของเดือน วันไหนก็ได้ ซึ่งที่เมืองไทยนิยมไปไหว้ในวันที่ ๕ เมษายน แต่บางบ้านก็อาศัยดูวันดีและก็มีอีกหลายบ้านที่อาศัยดูวันสะดวก (มิได้เป็นการบังคับแต่อย่างใด)
คำว่า "เช็งเม้ง"
แปลความหมายตามตัวอักษรก็คือ
"แจ่มกระจ่าง"
เนื่องจากการไปไหว้หลุมฝั่งศพบรรพบุรุษเป็นช่วงเวลาในฤดูใบไม้ผลิในจีน
ต้นไม้ใบหญ้ามีสีเขียวสดชื่นดูแล้วสบายตา
เหมาะแก่การไปชมทิวทัศน์
จนเป็นบ่อเกิดธรรมเนียมการไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานแทนการไหว้อยู่ที่บ้าน
แต่ต้องไปไหว้ในช่วงเช้าอย่าให้เกินเที่ยงวัน ชาวจีนนับว่าเป็นชนชาติที่มีความกตัญญูอย่างสูง โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวจะต้องเคารพผู้ที่อาวุโสกว่า ด้วยเหตุนี้การเซ่นไหว้เป็นการเคารพนับถือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะส่งผลให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตประกอบธุรกิจราบรื่นและร่ำรวยยิ่งขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งเกิดจากความหวาดกลัววิญญาณของผู้ตาย เพราะทุกวันนี้ชาวจีนก็ยังต้องต่อสู้กับอำนาจแห่งวิญญาณของผู้ตาย หากไม่ทำให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นมีความสุข ดวงวิญญาณมากมายที่เร่ร่อนยังมีฤทธิ์อำนาจครอบงำผู้ที่ยังมีชิวิตได้ ดังนั้นผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จึงมีภาระผูกพันต่อผู้ตาย มีหน้าที่ที่จะต้องเซ่นไหว้ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่วิญญาณเรียกร้องต้องการ ไม่เช่นนั้นแล้ววิญญาณจะกลับมารังควาน การเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ความบ้าคลั่ง ความยากจน ความผิดหวัง ความล้มเหลวในชีวิตและหน้าที่การงาน รวมทั้งการประสบโชคร้ายต่างๆ สิ่งเหล่านี้เกิดจากความขุ่นเคืองของวิญญาณที่มีต่อลูกหลานและสมาชิกในครอบครัว เหตุนี้ครอบครัวชาวจีนทุกครอบครัวจึงต้องประกอบพิธีกรรมให้บรรพชนของตนอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการที่ชาวจีนปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะหวาดกลัววิญญาณของผู้ตายเท่านั้น หากแต่ว่ายังเป็นเพราะพวกเขามีความผูกพันและความเคารพนับถือคุณงามความดีในตัวผู้ตายด้วย ในตำนานได้เล่าว่าเมื่อราว ๒,๐๐๐ ปี ก่อนสมัยชุนชิวจ้านกว๋อฉงเอ่อร์ พระราชโอรสกษัตริย์จิ้นเชี่ยนกงแห่งรัฐฉาน ได้ถูกบีบบังคับให้ออกไปอยู่ในรัฐอื่นเป็นเวลา ๑๖ ปี ทรงได้รับความทุกข์ยากลำบาก ผู้ติดตามจำนวนมากทนความลำบากไม่ไหวจึงพากันหนีไป เหลืออยู่แต่เจี้ยจื่อทุยกับอีก ๕-๖ คนเท่านั้นที่มีความจงรักภักดีไม่กลัวความลำบากคงติดสอยห้อยตามเจ้าชายไปตลอดเวลา ต่อมาด้วยการช่วยเหลือของกษัตริย์ฉินมู่กงแห่งรัฐฉิน เจ้าชายฉงเออร์ได้เป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่าจิ้นเหวินกง พระองศ์ทรงปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่ผู้ที่มีความดีความชอบรับใช้พระองค์ในยามตกทุกข์ได้ยาก ทั้งยังทรงแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นขุนนางด้วย ส่วนเจี้ยจื่อทุยได้ปรึกษากับมารดา และปักใจว่าจะไม่ขอรับลาภยศสักการะใดๆจึงพามารดาหลบไปอยู่บนเขาเหมียนซาน ต่อมากษัตริย์ทรงระลึกถึงเขา จึงทรงม้าเสด็จไปเยี่ยมทรงเที่ยวหาอยู่หลายวัน ไม่พบร่องรอยของเจี้ยจื่อทุยกับมารดา พระเจ้าจิ้นเหวินกงทรงตระหนักในพระทัยว่า เจี้ยจื่อทุยนั้นเป็นคนที่มีความกตัญญูที่สุด ทรงดำริว่า ถ้าเอาไฟเผาภูเขาเหมียนซาน เจี้ยจือทุยจะต้องพามารดาหนีไฟออกมาเป็นแน่ พระองค์สั่งให้เผาภูเขา ภูเขาไหม้ไฟอยู่ ๓ วัน ๓ คืน แม้ต้นไม้ใบหญ้าก็ถูกเผาผลาญเหี้ยนเตียนไปหมด จิ้นเหวินกงทรงรับสั่งให้คนขึ้นไปดู ปรากฏว่าเจี้ยจื่อทุยกับมารดากอดต้นหลิวแห้งให้ไฟเผาตายทั้งเป็น จิ้นเหวินกงทรงรู้สึกเสียพระทัยมาก ทรงฝั่งเจี้ยจือทุยกับมารดาไว้บนภูเขาเมียวซาน และมีพระราชบัญชาให้สร้างศาลเจ้าให้เขา ทั้งยังทรงเปลี่ยนชื่อภูเขาเหมียนซานเป็นภูเขาเจี้ยซานด้วย เพื่อระลึกถึงไมตรีจิตมิตรภาพที่เจี้ยจื่อทุยมีต่อพระองค์ตลอดมาเพื่อระลึกถึงเจี้ยจือทุย พระเจ้าเจิ้นเหวินกงรับสั่งให้ตัดต้นไม้นั้นกลับมาทำเป็นเกี๊ยะ ทุกวันเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเกี๊ยะคู่นั้นจะถอนพระทัยพลางตรัสว่า "น่าสงสารท่าน" ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายมักใช้คำว่า "ท่าน" เป็นสรรพนามของเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของตนในจดหมายที่เขียนถึงกัน เป็นการแสดงความีไมตรีจิตอันเลิศล้ำ
วันที่กษัตริย์จิ้นเหวินกงตรัสสั่งให้เผาภูเขาเหมียนซานนั้นตรงกับวันเทศกาลเชิงหมิง
ในวันนี้เพื่อแสดงความรังเกียจไฟจะไม่ใช้ไฟปรุงอาหาร
ยอมรับประทานอาหารเย็นๆที่ทำเอาไว้
นานเข้าเลยกายเป็นเทศกาล
เรียกว่า "เทศกาลข้าวเย็น"
จึงถือเอาวันนี้เป็นวันเคารพสุสานบรรพชนและระลึกถึงคนรุ่นก่อนที่จากไป
|
7Smooth.com |
7Smooth.com Group
Copy Right 1999
poet2543@hotmail.com | poet2543@7smooth.com