ปีที่ 2 ฉบับที่ 645 ประจำวันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2542

สหัสวรรษที่ 3

เมื่อพระสันตปาปา จอห์นปอลที่ 2

ดูหมิ่นพุทธศาสนา เรื่อง "นิพพาน"

มีคำคมจากสามก๊กอยู่บทหนึ่ง "นั่งอยู่บนภู ดูเสือกัดกัน"

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยขณะนี้ กำลังเข้ายุทธศาสตร์สามก๊ก เพราะเป็นรายการฟัดฟันกันเอง หยิบดาบไล่ล่าฟัน ไล่ทำร้ายกันเอง พุทธฆ่าพุทธ อีกฝ่ายหนึ่งถือดาบ ถือปากกา รุกไล่ อีกฝ่ายหนึ่งมีแต่มือเปล่า ได้แต่ปิดป้องถอยหนีลูกเดียว

ที่น่าเศร้าใจ แม้จนถึงวันนี้ มีคนพยายามไม่ให้จบ เพราะคงมีบุคคลอยู่เบื้องหลัง ที่ไม่อยากให้จบ เพราะยังกินแดนไม่ได้ ยังทำลายพุทธ ให้เสื่อมจากเมืองไทย ไม่เสร็จสิ้น

ฝ่ายรุกไล่ก็เต็มไปด้วยความคะนองมือ ปากก็ร้องสู้สิ ทำไมไม่สู้ นิ่งอยู่ทำไม ทำไมไม่หยิบดาบมาสู้กัน แล้วก็ไปกะเกณฑ์ชาวบ้าน ร้านตลาดมาเป็นพรรคพวก ทำอย่างเป็นกองทัพจะปราบโจร

ที่น่าสังเวชใจคือ อาจจะมีใครไม่รู้ นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่บนภูเขา อยากเห็นสงครามกลางเมืองชาวพุทธ ที่เขาใช้คำว่า

"ขุดรากถอนโคน"

ครับ เพราะถ้าจะปลูกต้นไม้ใหม่บนเนื้อที่ที่มีต้ไม้เก่า มันยาก มันต้องขุดต้นเก่าออก แล้วปลูกต้นไม้ต้นใหม่ มันถึงจะเสร็จ

และผมเห็นคนอื่นเขากระเหี้ยนกระหือ จะลบล้างพุทธศาสนามาหลายร้อยปีแล้ว แต่ไม่เคยสำเร็จ ที่เจ๋งที่สุดคือ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช ที่กองทัพเรืออันยิ่งยง ของพระผรั่ง มาจ่อแม่น้ำเจ้าพระยา จะให้ท่านเปลี่ยนศาสนา พระองค์ท่านตอบได้สุดยอดว่า ถ้าเป็นพระประสงค์ ของพระเจ้า ที่จะให้พระองค์เป็นชาวคริตส์ พระเป็นเจ้า ก็คงจะทรงบันดาล ให้พระองค์ เกิดมาเป็นชาวคริสต์ไปแล้ว

แนวคิดเรื่อง "การขุดรากถอนโคน" พุทธศาสนานี้ ความจริงไม่ใช่เรื่องใหม่

เพราะแม้กระทั่งบุคคลระดับโลกที่ถือว่า เป็นผู้นำศาสนาใหญ่ที่สุดในโลก ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องจากนิตยสาร ระดับ โลก ให้เป็น "บุรุษแห่งปี" คือ พระสันตปาปา จอห์น ปอลที่ 2 ประมุขแห่งคริสต์จักร นิกายโรมันคาธอลิก ก็ยังวิพากษ์เนื้อหาสูงสุด ของพุทธศาสนา คือ นิพพาน ว่า เป็นสิ่งเลวร้ายในพุทธศาสนา

ในหนังสือขายดีของพระสันตปาปา จอห์น ปอลที่ 2 ชื่อ "CROSSING THE THRESHOLD HOPE" หรือ การเข้าประตูสู่ความหวัง ได้กล่าววิจารณ์หลักธรรมสูงสุดของพุทธศาสนา เรื่อง นิพพาน สรุปได้ดังนี้

"พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ออกจะเห็นแก่ตัว เพราะทำให้คนหมกมุ่น มองเข้าไปข้างในตัวเอง และมุ่งที่การหลุดพ้นของตนเอง เป็นหลัก โดยไม่ใส่ใจต่อคนอื่นๆ

ภาวะแห่งพระนิพพาน หรือการหลุดพ้นจากโลกชั้นสูงสุด อันพุทธศาสนิกต่างปรารถนา จะไปถึงเป็นสิ่งเลวร้าย"

ครับ สะใจไหมครับ ชาวพุทธทั้งหลาย มานั่งเถียงกันเป็นวรรคเป็นเวร ว่า นิพพานเป็นอัตตา หรือ อนัตตา อีกฝ่ายจะฆ่าอีกฝ่ายหนึ่ง แทบจะขับไล่ให้หมดจากประเทศไทย อยากจะปิดวัด จับเจ้าอาวาสสึก เถียงกันดีนัก ทีโดนคนอื่นเขาด่า ไม่เห็นรู้สึก ไม่เห็นกล้าจะออกมาสู้

ผมเห็นกองบรรณาธิการ "พุทธจักร" นิตยสารรายเดือน ของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยของเรา ฉบับที่ 3 เดือนมีนาคม 2538 ได้นำ บางส่วนมาแปล และลงพิมพ์ในหนังสือบางฉบับนั้น พร้อมมีบทความสรุป โดยฝรั่งคนหนึ่งชื่อ Harold Pieris จากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 10 มกราคม 2538 มาลงไว้ด้วย

ปรากฏว่า ชาวพุทธทั่วโลก มีการเคลื่อนไหว พอสมควรในตอนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศศรีลังกา แต่ปรากฏว่า ชาวพุทธใน ประเทศ ไทย ไม่สนใจ และไม่เห็นตื่นเต้นอะไรแล้วก็ปล่อยหายไป เป็นคลื่นกระทบฝั่ง

วันก่อนผมไปเดินในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง ชื่อ โต้พระสันตปาปาฯ กรณีหมิ่นพระพุทธศาสนา โดย อรุณ เวชสุวรรณ พิมพ์เผยแพร่ เมื่อวันวิสาขบูชา 2541 นี้เอง หน้าปกเป็นรูปฝรั่งยิ้มแป้น กำลังขี่คอพระพุทธรูปไทยองค์ใหญ่

ทีอย่างนี้ ผมไม่เห็น 30 องค์กรพุทธทั้งหลาย ที่กำลังซ่าสุดขีด ลุกขึ้นปัดฝุ่น ทำท่าจะรักพุทธศาสนาสุดหัวใจ จะลุกออกมาเคลื่อนไหวอะไร แต่พอเรื่องตีกันเอง ในบ้านนี้แหละ คึกคักดีนัก

ครับ กระทืบกันเองนี่มันสนุกเท้าดี ยิ่งตีพระที่ไม่สู้ พระที่นิ่งเฉยตลอด พระที่ใช้ขันติ บารมี ชาววัดที่ถือศีล ปฏิบัติธรรม ยิ่งเป็นชาวพุทธด้วย เพราะชาวพุทธไม่มีสงครามอันศักดิ์สิทธิ์ ใครจะดูหมิ่น ใครจะจ้วงจาบ เราก็นิ่งเฉย ถ้ารุกมากๆ ก็หนี หนีจนหมดประเทศอินเดีย หนีจนหมดประเทศ อินโดนีเซีย และตอนนี้ ก็เหลือที่มั่นสุดท้าย ของพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุด แข็งแรงที่สุด คือ ประเทศไทยนี่แหละ

ตอนนี้ ผมไม่แปลกใจแล้วครับว่า ทำไมมีคนจุดไฟเอาเรื่องนิพพาน มาเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ทั้งที่ชาวพุทธทั้งหลายส่วนใหญ่ แค่ถือศีล 5 ข้อ ยังประคองกันไม่ไหว แค่อาทิตย์ละวัน ยังทำไม่ได้ บรรดาที่ออกมาเย้วๆ นั่นแหละ เอาเรื่อง "นิพพาน" มาเป็นประเด็น เข่นฆ่ากัน ถึงขนาดตั้ง ข้อหาว่า "บ่อนทำลายพุทธ เผาพระไตรปิฎก" ไปโน่น

ปล่อยตัวแสดงออกมากี่ตัวก็แป๊กหมด ต้องหาตัวแสดงใหม่ๆ ตลอด หาพล๊อตใหม่ตลอด ทั้งๆ ที่พระผู้ใหญ่ในประเทศ และพระมหาเถระ ชั้นผู้ใหญ่ ก็เบื่อเต็มทีว่า ทำไมไม่จบซักที นี่จะอาฆาตแค้นกันไปถึงไหน

ทีฝรั่งระดับโลก เขาดูหมิ่นพ่อเรา กลับกลัวเขาจนลนลาน ไม่กล้าแม้แต่จะออกมาวิจารณ์ตอบโต้ ปล่อยให้เป็นคลื่นกระทบฝั่ง บรรดา ปราชญ์เปรตหายหัวหมด ทียังงี้ล่ะก็ ฮีโธ่...

กาขาว