ปีที่ 7 ฉบับที่ 671 ประจำวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2542

วิวาทะ

สังคายนาว่าด้วยอาบัติปาราชิก!

กระแสมารดังกระหึ่มเมือง หลับหูหลับตาชก ผมรู้สึกเศร้าสลดใจต่อภาพการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานี้

วัดพระธรรมกายถูกกระแสสังคมตัดสินประหารชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ที่ผมมีความรู้สึกเศร้าสลดใจ ก็เพราะพฤติกรรมของคน ในสังคม บ้านเรา จะเห็นถูกเห็นผิดก็ต่อเมื่อมีบริวารแวดล้อมส่วนใหญ่มองอย่างนั้น สื่อมวลชนว่าอย่างไร ก็เห็นดีเห็นงามตามนั้น หากเรื่องอัปยศบัดซบ ไม่เกิดแก่คนใกล้ชิด หรือผู้บังเกิดเกล้าของตน

กฎระเบียบของสังคมที่คนหมู่มากร่วมกัน กำหดไว้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จึงไม่อาจเป็นกลไก กำหนดความสงบสุข ของ สังคมได้

ผมย้ำอีกครั้ง ใครก็ตามที่เข้าไปเสนอหน้า มองปัญหาวัดพระธรรมกายด้วยความเป็นธรรม รับรองถูกด่าพ่อล่อแม่ไม่มีชิ้นดี

จะทำอย่างไรต่อพฤติกรรมทำนองนี้ ผมหลับตานึกถึงสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ตีรันฟันแทง เด็กนักเรียนช่างกล หรือสายอาชีวะ มักก่อเหตุ วิวาทกับสถาบันอื่นอย่างไร้เหตุผล เพียงเพราะว่าเขาเหล่านั้น อยู่คนละสถาบันศึกษากัน

มันก็เหมือนกับกรณีของพระธัมมชโย และวัดพระธรรมกาย ที่ถูกกล่าวหามานานกว่า 5 เดือน แม้คณะกรรมการ มหาเถรสมาคม จะมีมติ ตัดสินความวัดของวัดแห่งนี้ไปแล้ว และยืนยันว่า จะไม่นำเรื่องวัดพระธรรมกายขึ้นมาพิจารณาอีก

จู่ๆ ก็มีการนำลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระสังฆราช ออกมาตีความหมาย ไล่บี้หมายเอาเป็นเอาตายกับ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

มีการอ้างว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระลิขิตมาถึง 4 ฉบับ แต่กลับถูกไอ้โม่งเก็บลำพระลิขิต จนคุณอำนาจ บัวศิริ ผอ.พุทธมณฑล ก็ออกมายืนยันว่า การประชุมมส.เพื่อพิจารณาพระอักษรฉบับแรก สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธานร่วมประชุมด้วย

โดยส่งอักษรให้สมเด็จพุฒาจารย์ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เมื่อตรวจสอบดูพบว่า พระอักษรดังกล่าว ไม่มีตราสัญลักษณ์ ประจำ พระองค์ และไม่มีลายพระหัตถ์ยืนยันพระองค์ ส่วนฉบับ 2-3-4 กรมการศาสนา รับมาเฉพาะฉบับสำเนาจากคนขับรถ วันต่อมา จึงมีหนังสือ รับรองจาก สำนักเลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช

โดยก่อนหน้านี้ เลขานุการของสมเด็จพระสังฆราชปฏิเสธเสียงแข็งยืนยันว่า ไม่เห็นพระลิขิตแต่อย่างใด

ครับความบิดเบือนเกิดขึ้นแล้ว ในสังคมไทย แต่ใครกันเล่าคือไอ้โม่ง แก่แร้งทึ้ง บาปกรรมจริงหนอแม่เฒ่า

ถึงเวลาสังคยนาพระธรรมวินัยกันอย่างจริงๆ จังๆ แล้วครับ โดยเฉพาะมูลเหตุแห่งอาบัติรุนแรงขั้นประหารชีวิต ตัดขาดจากความเป็น พระภิกษุในบวรพุทธศาสนา ด้วย "อาบัติปาราชิก"

ตามพระวินัยบัญญัติ ปาราชิก มี 4 ช้อ

1) ภิกษุเสพเมถุน ต้องปาราชิก

2) ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ได้ราคา 5 มาสก ต้องปาราชิก

3) ภิกษุแกล้งฆ่ามนุษย์ให้ตาย ต้องปาราชิก และ

4) ภิกษุอวดอุตตริมนุสสธรรม (คือธรรมอันยิ่งของมนุษย์) ที่ไม่มีในตน ต้องปาราชิก

ที่ผมบอกว่า ต้องสังคยนาพระธรรมวินัยใหม่ ด้วยเห็นว่า ขณะนี้กระแสสังคม ได้ชักนำอาบัติปาราชิก มีมูลเหตุต้องสิ้นสภาพ จากความเป็น พระไว้มากมาย

ก็ขอนำเสนอพระมหาบุญถึง ชุตินธโร และพระพยอม กัลยาโณ ไว้เป็นแนวปฏิบัติเพื่อปาราชิก จะได้มีมากกว่า 4 ข้อดังกล่าวแล้ว

มีมูลเหตุอาบัติสมควรเพิ่มเติมเป็นข้อที่ 5 คือ มีที่ดินได้ รับบริจาค หรือทรัพย์สินในครอบครองเกิน 5 มาสก (มีการตีราคา 5 มาสก มีจำนวน ราคาปัจจุบัน 300 บาท) ก็ไม่ทราบเอาหัวอะไรมาคิด ส่วนอาบัติเพิ่มเติมอีกข้อคือ 6) สร้างวัดและถาวรวัตถุใหญ่โต จนเป็นเหตุให้ พระวัดอื่น ตามไม่ทัน ทำให้หมู่สงฆ์อิจฉาอยากขี้ตามช้าง แต่ไม่มีมูลเพียงพอที่จะเบ่งขี้ตามช้าง แต่ไม่มีมูลเพียงพอที่จะเบ่งขี้ตาม

ข้อ 7) ดูดทรัพย์จากฆราวาสเก่งกว่าวัดอื่นๆ เผยแผ่ธรรมะให้ฝรั่งตาน้ำข้าว เข้าใจจนยอมโกนผม ห่มเหลืองประกาศบวชตลอดชีวิต

8) ทำตัวโดดเด่นจนร่ำรวยแล้วไม่เบื่อสื่อมวลชน จนถูกสื่อลงนิคคหสหบาทา

อีกข้อคือเห็นพระนิพพานเป็นของสูงมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลง เป็นภาวะที่สุขยิ่ง จนอาจเรียกว่า "อัตตา" แยกพระนิพพานออกจาก ไตรลักษณ์   ไม่เห็นเป็น "อนัตตา" ภิกษุที่มีแนวคิดอย่างนี้ ต้องอาบัติปาราชิก

สรุปแล้ววัดพระธรรมกาย อาบัติตั้งแต่หัวยันหาง หลวงพี่พยอม และมหาบุญถึง "ปาราชิก" ที่ว่า มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม พระคุณเจ้า ถึงได้ ถลกสบงจีวรออกมาเด้งหน้าเด้งหลัง เหมือนนักการเมืองน้ำเน่าประไร

โซตัส