ปีที่ 7 ฉบับที่ 673 ประจำวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
สหัสวรรษที่ 3
วัดพระธรรมกาย มีสิทธิชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ
การสร้างกระแสดังกล่าวในกรณีธรรมกาย มิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็น โดยสุจริตเกี่ยวกับศาสนา แต่กลับมี วัตถุประสงค์ในการทำลาย สถาบันทางศาสนา องค์กรปกครองคณะสงฆ์ รวมไปถึง ให้มีการเปลี่ยนแปลง ระบบการบริหาร คณะสงฆ์ไทยเลยไป ถึงการกล่าวถ้อยคำ อันไม่สมควร แต่องค์พระสังฆราชฯ อันปรากฏ เป็นพยานหลักฐาน และพยานบุคคล แก่สาธารณชนทั่วไปตลอดมา จึงมิใช่เจตนาอันสุจริต แต่อย่างใด และเป็น การกระทำ อย่างต่อเนื่อง ในลักษณะยุยง ทำลายล้าง และกำจัด โดยไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ หรือกฎหมายแผ่นดิน อันได้บัญญัติไว้อีกด้วย
ฉะนั้นการกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าว พร้อมกับผู้สนับสนุนดังกล่าวทั้งสิ้นนั้น จึงมีความผิด ตามประมวล กฎหมายอาญา
มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วย วาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำ ภายในความมุ่งหมาย แห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่ เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริต ฯลฯ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน เจ็ดปี
จากที่ได้แสดงตัวอย่างมานี้ คงจะเห็นได้ชัดว่า กลุ่มบุคคล หรือ บุคคล หรือ สื่อมวลชน หรือผู้ที่อ้างตนว่า เป็นปราชญ์ทางศาสนา ออกมาสร้างกระแสโจมตี พระเถรานุเถระ โดยมีจุดประสงค์ ที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในมหาเถรสมาคมนั้น ย่อมรอบรู้ในรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดี
และเมื่อขบวนการเหล่านี้ กระทำทั้งที่เขาเหล่านั้น รู้แสดงว่า เจตนา เมื่อเจตนาก็คือ ตั้งใจกระทำ ที่จะให้ ประชาชน ละเมิดรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายแผ่นดิน โดยมีจุดประสงค์ทำลาย พระพุทธศาสนา และมหาเถร สมาคม โดยแจ้งชัด ไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยประจักษ์พยาน พยานเอกสาร พยานบุคคล ย่อมพอที่จะนำตัวบุคคล และกลุ่มบุคคล ที่ได้กระทำการดังกล่าว มาลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
เนื่องจาก พ.ร.บ.สงฆ์มีลักษณะเป็นกฎหมาย ที่จะต้องตีความไปตามรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุด จะขัดหรือแย้งมิได้ หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ คำสั่งของมหาเถรสมาคม จะกลายเป็นโมฆะ ผลเสีย ก็จะตกกับ มหาเถรสมาคม และพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ และเป็นไปตามขบวนการดังกล่าว ที่ได้วางแผนทำลาย คณะสงฆ์ไทย ซึ่งต้องการ เข้ามามีบทบาท เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ฝ่ายฆราวาส โดยอ้างเอาความผิดพลาด และข้อด้อย ในทางกฎหมายของ กรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งปกครองด้วยคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นพระภิกษุ ชั้นผู้ใหญ่ เท่านั้น
และที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อมหาเถรสมาคม ตัดสินให้เป็นไป ตามกระแสเรียกร้อง ที่สร้างขึ้นมานั้น (ซึ่งขัดกับ รัฐธรรมนูญ) กลายเป็นว่า มหาเถรสมาคม คือ ผู้สนับสนุนให้ มีการละเมิดรัฐธรรมนูญ ทำให้มหาเถรสมาคม เสียหาย ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ปรากฏผลดีอย่างใดเลย ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมา อย่างใดก็ตาม มหาเถรสมาคม ก็เสียหาย ตามที่ ขบวนการนี้ ได้วางแผนไว้
มหาเถรสมาคมก็จะถูกบีบให้ยอมรับโดยดุษฎีภาพว่า ต้องให้มีกรรมการมหาเถรสมาคม ฝ่ายฆราวาสอยู่ดี ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลัก ในการยึดครองคณะสงฆ์ไทยอยู่แล้ว
ฉะนั้น กรณีวัดพระธรรมกาย จึงพิสูจน์ได้ว่า เป็นกรณีการสร้างกระแส เพื่อให้มหาเถรสมาคม ถูกเพ่งเล็ง จากสังคม โดยมีสื่อมวลชน ที่ไม่ประสงค์ดีต่อ พระพุทธศาสนา ซึ่งพยายามชี้นำให้สังคมว่า พระเถรานุเถระ ที่เป็น กรรมการ มหาเถรสมาคม ชราภาพ เฉื่อยชา ล่าช้า ไม่ทันต่อเหตุการณ์ ไม่ทันสมัย
เมื่อมองถึงตัวบุคคล ส่วนหนึ่งคือ คณะรัฐมนตรี ผู้ที่ร่วมในการร่างพ.ร.บ. ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 (มูลนิธิ) อีกด้วย จะพิสูจน์ทราบจุดประสงค์ได้เป็นอย่างดีว่า บุคคลเหล่านี้ มีอุดมการณ์อย่างไร? และผลที่ศาสนาพุทธ จะเป็น อันตรายอย่างไรในอนาคต
จึงควรที่พุทธบริษัทชาวไทย ควรพึงสังวรเป็นอย่างยิ่ง ต่ออุดมการณ์ของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ที่ได้ถูกอบรม สั่งสอน (ล้างสมอง) จากลัทธิคอมมิวนิสต์มาแล้วเป็นอย่างดี โปรดดูตัวอย่าง ประเทศธิเบต จะเห็นได้ชัดแจ้ง และ เดิมทีการทำลายศาสนา ซึ่งเป็นสถาบันหลัก จึงมีการขอให้ยกเลิก พระราชบัญญัติ ป้องกัน การกระทำ อันเป็น คอมมิวนิสต์ ซึ่งแท้ที่จริงคือ การนิรโทษกรรม และปกป้องผู้ที่จะทำลายศาสนา หรือทำลาย สถาบันของชาติ ต่อไป ข้างหน้า จะไม่มีความผิด และไม่ต้องรับโทษ และการเริ่มจากวัดพระธรรมกายนั้น เนื่องมาจาก ต้องการเข้า ครอบครอง และควบคุมมูลนิธิทั้งหมด ที่เป็นของสงฆ์
จะเห็นได้ว่า มีการชี้นำเรื่อง มูลนิธิ รายได้ ผลประโยชน์ และที่ดิน ทั้งสิ้น รายละเอียดนี้ ได้แสดงไว้ให้ทราบ แล้วว่า จะเกิดผลกระทบอย่างใด ต่อมูลนิธิทางศาสนา วัฒนธรรมอื่นๆ ในประเทศ อย่างไรในอนาคต ดังได้กล่าว ไปแล้ว แต่ต้น
เบ็ญจ์ บาระกุล (แทน)