ประจำวันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
ปุจฉา - วิสัชนา
แถลงการณ์ถึงชาวพุทธ
เพื่อความอยู่รอดของพระพุทธศาสนา
ในช่วง ๑ เดือนเศษที่ผ่านมา ได้มีเอกสารที่อ้างว่า เป็นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชออกมาหลายฉบับเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เรื่องพระได้รับสมบัติมาในขณะเป็นพระแล้วไม่โอนให้วัด ต้องปาราชิก เป็นต้น กระผมเฝ้าดูเรื่องราวทั้งหมดด้วยความอึดอัด และเป็นห่วงผล กระทบที่จะมีต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง จะออกมาแสดงความเห็นอะไรก่อนมหาเถรสมาคมจะตัดสิน ก็ดูจะเป็นการ ไม่เหมาะสม
ฉะนั้น เมื่อมหาเถรสมาคมได้พิจารณาตัดสินไปแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ก็ถือว่าได้ข้อยุติไปในระดับหนึ่ง กระผมจึงเห็นว่า ถึงเวลาที่ควรแสดงความเห็นเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยโดยรวม ทั้งนี้เพราะเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตนั้น ขอกราบเรียน ตามตรง ด้วยความเคารพศรัทธา ในสมเด็จพระสังฆราชว่า กระผมไม่เชื่อเลยว่า สมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้เขียนขึ้นเอง สาเหตุเป็นเพราะว่า เนื้อหา ของเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตนั้น ขัดต่อทั้งกฎหมาย ขัดต่อทั้งพระธรรมวินัย และประเด็นสำคัญ ที่ยังไม่ค่อยมีใครฉุกคิดคือ ถ้าถือตามพระลิขิต นั้นแล้ว ก็จะเป็นการทำลายคณะสงฆ์ไทย ลงอย่างเกือบจะสิ้นเชิง ไปพร้อมๆ กันเลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่ สมเด็จพระสังฆราชจะเป็นผู้เขียนขึ้น
ประเด็นที่ว่า ขัดต่อกฎหมาย
มีผู้รู้ได้ทำเอกสารวิเคราะห์พระลิขิตไว้อย่างน่าสนใจ ขออนุญาตนำมาอ้างถึงในที่นี้ ดังนี้
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๘ ได้ระบุถึงอำนาจสมเด็จพระสังฆราชไว้ว่า "สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่ง สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม"
แต่ในเอกสารอันบังอาจอ้างว่าเป็น "พระลิขิต ในบรรทัดที่ ๕ มีข้อความว่า "ต้องมอบสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระ ให้แก่วัดทันที"
ในทางกฎหมายข้อความนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ ซึ่งได้ระบุไว้ว่า
มาตรา ๔๘ "สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิ และการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมาย บัญญัติ"
นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังได้ให้การรับรองสิทธิในทรัพย์สินของพระภิกษุไว้ตาม มาตรา ๑๖๓๒ มีใจความว่า
"ทรัพย์สินของพระภิกษุ ที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัด ที่เป็น ภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้น จะได้จำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิต หรือโดยพินัยกรรม"
และไม่มีประมวลกฎหมายใดในประเทศไทย ทั้งในอดีตถึงปัจจุบันกำหนดโทษว่า พระภิกษุระหว่างอยู่ในสมณเพศ มีทรัพย์สิน ส่วนตัว ไม่ได้ ถือเป็นความผิด ต้องโอนให้วัดหมด มีแต่รับรองสิทธิ์ ในทรัพย์สินนั้น ฉะนั้น เมื่อมีข้อความอัน เป็นการบังคับให้มอบทรัพย์สิน ปรากฏใน เอกสารจึงระบุได้ชัดว่า ข้อความในเอกสาร อันบังอาจอ้างว่าเป็น "พระลิขิต" ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย โดยชัดแจ้ง หากเป็นพระลิขิตของ สมเด็จพระสังฆราชจริง เหตุใดเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขานุการ ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราโดยตรง จึงปล่อยให้ผ่านออกสู่สาธารณชน ทั้งที่ ผิดพลาด
ประเด็นที่ว่า ขัดต่อพระธรรมวินัย
เนื้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตที่ว่า "ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติ ปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด" นั้น ขัดต่อพระธรรมวินัย ซึ่งพระพุทธเจ้า ไม่เคยบัญญัติไว้เลยว่า พระภิกษุต้องยกสมบัติที่เกิดขึ้น ในขณะเป็นพระ ให้แก่วัด ใครไม่ทำต้องอาบัติปาราชิก เรื่องนี้มีเขียนอยู่ในหลักสูตร นักธรรมชั้นตรี ที่พระ บวชใหม่พรรษา ๑ ก็ต้องเรียนและรู้แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งทรงภูมิความรู้อย่างยิ่ง จะเขียนออกมาเช่นนี้ มั่นใจว่า ผู้เขียน จะต้องไม่ใช่พระ น่าจะเป็นเพียงผู้รู้พระธรรมวินัยแบบงูๆ ปลาๆ จับแพะชนแกะเขียนขึ้นมา ปลอมเป็นของสมเด็จพระสังฆราชแน่นอน พระสังฆราช จะไปบิดเบือนพระไตรปิฎก เป็นกบฎต่อพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
ประเด็นที่ว่า เป็นการทำลายคณะสงฆ์ไทย
ข้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็น "พระลิขิต" นั้น กล่าวไว้ว่า
"...ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที.... เมื่อถึงอย่างไร ก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในขณะ เป็นพระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด..."
มีคนบางคน พระบางรูป ออกมาสนับสนุนบอกว่าถูกต้อง เพราะถ้าไม่ได้เป็นพระ ญาติโยมเขาจะมาถวายปัจจัยข้าวของให้หรือ เพราะฉะนั้น สมบัติที่ได้รับมาในขณะเป็นพระจึงต้องยกให้วัดหมด ใครไม่ทำต้องปาราชิก
เจตนาของผู้ร่างข้อความนี้ขึ้นมา ก็คงเพราะต้องการให้พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงว่า เป็นการบิดเบือน พระธรรมวินัย
ผลตรงจุดนี้ กระผมก็คิดว่ามันไม่เป็นธรรม แต่ก็ยังเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล กระผมจึงไม่ค่อยสนใจนัก
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเรายอมรับข้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตนี้ว่าถูกต้องแล้ว ผลที่ตามมาจะเกิดความเสียหาย อย่างใหญ่หลวง คือ
๑) พระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยเกือบทั้งหมด หรืออาจจะทั้งหมดเลยจะต้องปาราชิกกันหมด รวมทั้งพระสังฆราชด้วย เพราะพระทุกรูป ที่มีญาติโยมเอาปัจจัยไทยธรรม มาถวาย มีค่าตั้งแต่ ๓๐๐ บาทขึ้นไป แล้วเอาไปใช้ส่วนตัว ไม่ถวายวัด ต้องปาราชิกหมด
๒) ญาติโยมชาวพุทธที่เคยทำบุญถวายปัจจัยข้าวของต่างๆ ให้พระ มีมูลค่าตั้งแต่ ๓๐๐ บาทขึ้นไป ไม่ว่าจะในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งาน สวดศพ ทำบุญที่วัด ติดกัณฑ์เทศน์ ฯลฯ แล้วพระที่รับนำไปใช้ส่วนตัว ขอให้ทราบด้วยว่า ถ้าหากยอมรับว่า พระลิขิตนี้ถูกต้อง เท่ากับว่า ท่านได้ ทำให้พระทุกรูปเหล่านั้น ปาราชิกหมดแล้ว ท่านเองต้องตกนรกแน่นอน เพราะทำให้พระปาราชิกมากมาย
๓) ญาติโยมคนไทยที่เคยบวชลูกชาย บวชพี่ บวชน้อง บวชญาติ แล้วถวายปัจจัยข้าวของต่างๆ ให้พระใหม่ใช้ ถ้ารวมมีมูลค่าเกิน ๓๐๐ บาท โดยพระลิขิตนี้เท่ากับว่า ท่านได้ทำให้ญาติของท่านที่บวชปาราชิกไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งญาติที่บวช ทั้งท่านเองด้วยทุกคน ต้องตกนรกหมด
๔) ชาวไทยที่เป็นผู้ชายแล้วเคยบวช ขอให้ย้อนระลึกดูว่า ระหว่างบวชเราเคยได้รับการถวายปัจจัยข้าวของเครื่องใช้จากญาติโยม แล้วนำ ไปใช้ส่วนตัว มีมูลค่ารวมถึง ๓๐๐ บาทหรือไม่ ถ้าถึง แสดงว่าท่านได้ปาราชิกไปเรียบร้อย ตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว ที่บวชไปนอกจากไม่ได้บุญ ยังต้อง ตกนรกอีกด้วย และจากนี้ไปตลอดชาติ ท่านห้ามบวชอีกเด็ดขาด เพราะปาราชิกไปแล้ว ยิ่งเป็นเศรษฐีเจ้าสัวมาบวช โอกาสตกนรกยิ่งเยอะ เพราะ โยมถวายของมาก อย่างนี้อีกหน่อยจะมีใครมาบวช
๕) พระเถระผู้ใหญ่ทุกรูป ที่เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ฯลฯ พระเปรียญธรรม ๙ ประโยค พระราชาคณะ ตั้งแต่ชั้นสามัญ จนถึงสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีนิตยภัต (คล้ายเงินเดือนประจำตำแหน่งของพระ) แต่ละเดือน ก็ต้องปาราชิกกันไปหมดแล้ว พระพยอม และพระมหาบุญถึง ที่ออกมาสนับสนุนพระลิขิตนี้ ก็ต้องปาราชิกกันไปเรียบร้อยแล้ว เพราะรับนิตยภัตนี้ไปใช้ด้วยเหมือนกัน
โดยสรุปก็คือ ถ้าว่าตามพระลิขิต ต้องถือว่าขณะนี้ประเทศไทยไม่มีพระเหลืออยู่แม้แต่รูปเดียว เพราะพระสงฆ์ทุกรูป ก็คงเคยรับปัจจัย ข้าวของจากญาติโยมเกิน ๓๐๐ บาททั้งนั้น จึงปาราชิกไปหมดแล้ว ที่เห็นนุ่งห่มผ้าเหลืองอยู่ ล้วนแต่เป็นพระปลอมทั้งสิ้น เท่ากับว่า คณะสงฆ์ไทย ได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว ชาวพุทธไทยเลิกทำบุญใส่บาตรให้พระปลอมทั้งประเทศได้ เลิกถกเถียงโจมตีมหาเถรสมาคมอะไรกันวุ่นวายได้ เพราะ ตั้งแต่พระสังฆราช ตลอดจนกรรมการมหาเถรสมาคม ทุกรูปก็ล้วนปาราชิกกันหมดแล้ว
ฉะนั้นจึงเท่ากับว่า พระลิขิตที่อ้างว่าเป็นของพระสังฆราชนี้เพียงฉบับเดียว ก็ได้ทำลายสังฆมณฑลของประเทศไทยลง โดยสิ้นเชิง ทำให้ ชาวพุทธไทยทั้งหมด ตกนรกกันถ้วนหน้า เพราะมีแต่คนที่เคยปาราชิก (ผู้ที่เคยบวชเป็นพระ) และผู้ที่ทำให้พระปาราชิก (ผู้ที่เคยถวายปัจจัย ไทยธรรมแก่พระภิกษุ รวมแล้วมีมูลค่าเกิน ๓๐๐ บาท) ตามพระลิขิตนี้ จะต้องจับพระสึกทั้งประเทศ เพราะเป็นพระปลอมทั้งนั้น
กระผมได้ติดตามข่าว ที่มีผู้ออกมากดดันให้มหาเถรสมาคม ทำตามพระลิขิตพระสังฆราช ด้วยความอึดอัดและเห็นใจ มหาเถรสมาคม เป็นอย่างยิ่ง ไม่ทำตามเขาก็ถูกโจมตี ว่าไม่เคารพพระสังฆราช กบฎต่อพระสังฆราช ถ้ายอมรับทำตามก็เท่ากับว่า ทำผิดพระธรรมวินัย เป็น กบฎต่อพระพุทธเจ้า และส่งผลเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยทั้งหมด นึกไม่ออกเลยว่า มหาเถรสมาคมจะทำอย่างไร ภายใต้กระแสสังคม ของผู้ไม่รู้ความจริง หรือรู้แต่แกล้งไม่รู้ ที่รุมด่ารุมประนามกดดันท่าน
ที่สุด มหาเถรสมาคมก็ประชุมและมีมติ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๒ มีใจความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
"ส่วนเรื่องพระดำริของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานมาทั้งหมด มหาเถรสมาคม มีมติสนอง พระดำริโดยลำดับ ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม"
กระผมเห็นมติที่ประชุมนี้แล้ว ถึงกับน้ำตาคลอ ซาบซึ้งในคุณธรรมและปัญญาของพระมหาเถระแห่งมหาเถรสมาคม ที่ท่านสามารถ หาทาง ออกได้อย่างบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ไม่เปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของเอกสาร อันอ้างว่าเป็นพระลิขิต เพื่อถนอมพระเกียรติของ สมเด็จ พระสังฆราช และป้องกันไม่ให้คนชั่ว ที่จัดทำพระลิขิตขึ้น ทำลายคณะสงฆ์ไทยได้ เพราะการสนองพระดำรินั้น ระบุชัดเจนว่า ต้องให้ชอบด้วย กฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ก็เท่ากับว่า ข้อความในพระลิขิตใดที่ขัดกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ก็ทำไม่ได้ ท่านเลือกที่จะยอมเจ็บ ยอมถูกโจมตี ยอมถูกเข้าใจผิด ยอมถูกกล่าวหาว่ารับส่วย อะไรต่างๆ สารพัด เพื่อปกป้องพระเกียรติพระสังฆราช และปกป้องพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เราชาวพุทธตระหนักบ้างไหมว่า เราโชคดีเพียงใด ที่มีผู้บริหารคณะสงฆ์แห่งมหาเถรสมาคม ที่มีคุณธรรมสูงยิ่ง กระแสสังคมกำลังโจมตี พระมหาเถระผู้มีคุณธรรม ผู้เสียสละอย่างไม่มีเหตุผล มันเป็นบาปมหันต์ รีบหยุดเสียเถิดครับ
ในฐานะพระนิสิตแห่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อันทรงเกียรติ กระผมรู้สึกอับอาย และสลดใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มีบุคลากร ของสถาบัน คือ พระมหาบุญถึง ออกมาโจมตีพระมหาเถระผู้ใหญ่อย่างเกรี้ยวกราด ปราศจากสมณสารูป และไร้ซึ่งความเคารพ ความกตัญญูต่อ พระมหาเถระผู้มีพระคุณต่อมหาจุฬาฯ ขอเรียนความจริงให้ทุกท่านได้ทราบว่า พระมหาบุญถึง ปกติอยู่ในมหาจุฬาฯ ก็มีนิสัยอย่างนี้อยู่แล้ว จึงได้ ฉายาว่า "เหลิมน้อย" แต่แทนที่เจ้าตัวจะละอายกลับมีความรู้สึกภูมิใจในฉายานี้ยิ่งนัก และพระมหาบุญถึง แม้จะมีตำแหน่งเป็น ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายกิจการนิสิต แต่จริงๆ แล้ว ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรในมหาวิทยาลัย ที่ได้เป็นผู้ช่วยอธิการบดี ก็เพราะอาจารย์รองอธิการบดี ท่านหนึ่งสนับสนุน ชักนำมาเท่านั้น
ความเห็นที่พระมหาบุญถึงแสดงออกมา เราชาวมหาจุฬาฯ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย พวกเราเคารพในพระมหาเถระ แห่งมหาเถรสมาคมเสมอ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ แห่งวัดสระเกศ ก็เคยเป็นเลขาธิการของมหาจุฬาฯ มาตั้งแต่เมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน และสนับสนุนมหาจุฬาฯ มาตลอด ท่านเจ้าคุณอาจารย์อธิการบดี พระราชวรมุนี (ประยูร มีฤกษ์ ป.ธ.๙) ก็เคยออกมาห้ามปรามเสมอว่า ห้ามนำสถาบันไปอ้างแต่เขาก็ดื้อไม่ฟัง เพลิดเพลินไปกับ สิ่งที่สื่อมวลชน แกล้งยกยอปอปั้นว่า เป็นพระชื่อดัง เพื่อจะเอาเป็นตัวให้ข่าว เห็นแล้วสะท้อนใจ นึกถึงคำที่ว่า "ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ลูกม้าอัสดรฆ่าแม่" จริงๆ ใคร่ขอเรียนท่านมหาบุญถึงว่า ขอให้ลาออกไปจากมหาจุฬาฯ เสียเถิด อย่าทำความเสื่อมเสีย ให้สถาบันมากไปกว่านี้เลย
ระวัง! แผนลับ ฆราวาสปกครองพระ
ขณะที่กระแสสังคมกำลังโจมตีมหาเถรสมาคม องค์กรสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์ไทย อย่างดุเดือด โดยอาศัยความไม่รู้ของประชาชน เป็นเครื่องมือ สร้างภาพว่า มหาเถรสมาคมไม่เป็นกลาง ไม่น่าไว้วางใจ ทำงานช้าอืดอาด ฯลฯ ก็มีผู้พยายามสวมรอย ผลักดันให้มีการเปลี่ยนระบบ การปกครองสงฆ์ใหม่ จะให้มีการเลือกตั้งมหาเถรสมาคม จากพระหนุ่มๆ แทนบ้าง เราลองนึกดูว่า ถ้าองค์กรสงฆ์ใช้วิธีการเลือกตั้ง ก็ต้องมีการ หาเสียง มีการโจมตีคู่ต่อสู้ อาจมีการซื้อเสียง มีการเล่นเกมสกปรก เหมือนในวงการเมือง อะไรจะเกิดขึ้น ต่อไปความเคารพ ระบบอาวุโส ในวงการ สงฆ์จะหมดไป จะมีความแตกแยกขนานใหญ่เกิดขึ้น ขอให้ดูการเลือกอธิการบดี โดยการเลือกตั้งที่ ม.รามคำแหง หรือ ม.ขอนแก่น เป็นตัวอย่าง
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามผลักดันให้มีการเอาฆราวาสมาปกครองควบคุมพระ โดยร่างพระราชบัญญัติภายใต้ชื่อสวยหรูว่า พ.ร.บ. อุปถัมภ์ พระพุทธศาสนา แต่แท้ที่จริงก็คือ การเอาฆราวาสมาควบคุมพระนั่นเอง สามารถจับพระสึกได้ ควบคุมการเงินของวัดแทนเจ้าอาวาส จะส่งผลสั่นคลอนคณะสงฆ์ไทย อย่างใหญ่หลวง
ขอพระคุณเจ้าทุกรูปอย่าได้นิ่งเฉยตายใจ ต้องรีบยับยั้งแต่ต้น ไม่อย่างนั้นจะแก้ไขไม่ทัน ส.ส.คนไหนไปผลักดันสนับสนุน ร่างพ.ร.บ.นี้ ขอให้ช่วยกันรณรงค์บอกญาติโยม ลูกศิษย์วัดให้รู้ อย่าไปเลือกส.ส. คนนั้น ตอนนี้ผู้ที่เป็นหัวหอกในการผลักดันคือ นายอำนวย สุวรรณคีรี ส.ส. จังหวัดสงขลา ผู้ที่มีเบื้องหลังคือ หวังจะโค่นนายอาคม เอ่งฉ้วน แล้วขึ้นมาเป็นรมช.ศึกษาฯ คุมกรมการศาสนาแทน พระภิกษุทั่วประเทศ จะต้อง ร่วมมือกันต่อต้าน มิให้ พ.ร.บ.นี้ออกมาบังคับใช้ได้ มิฉะนั้นฆราวาสผู้ไม่มีศีล ก็จะมาข่มขู่เรียกร้องผลประโยชน์จากพระ เอาอำนาจการควบคุม บังคับ ชั้นเชิงทางโลกที่เหนือกว่า วางกับดัก เรื่องการเงิน และอื่นๆ พอพระรู้ไม่ทัน พลาดเข้าก็จะขู่เรียกเงิน ฯลฯ ระบบการปกครองคณะสงฆ์ไทย จะสั่นคลอนอย่างรุนแรงถึงราก
ขอให้ชาวพุทธทุกคน ช่วยกันเป็นสื่อกลาง เพื่อคัดค้านแนวความคิดที่จะเอาฆราวาส มาปกครองพระทุกรูปแบบ และแสดงความเคารพใน คุณธรรม และปัญญาอันสูงยิ่งของ พระมหาเถรแห่งมหาเถรสมาคม เพื่อสนับสนุนเป็นกำลังใจ แก่การดำเนินงานของท่านต่อไปด้วย
พระนิสิตมหาจุฬา
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒
(ขอทุกท่านได้ช่วยกันทำสำเนาเผยแพร่ต่อๆ กันไปให้กว้างขวางที่สุด)