ปีที่ 2 ฉบับที่ 689 ประจำวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2542
สหัสวรรษที่ 3
กรมการศาสนาดูแลองค์กร บริหารสังฆมณฑลอย่างไร?
นับแต่เกิดกระแสบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา และคุกคามสวัสดิภาพแห่งชีวิตที่สันติของพระสงฆ์ ไม่เพียงแต่ที่เรากำลังแก้ปัญหา กันอยู่ ขณะนี้ นั่นคือวัดพระธรรมกายเท่านั้น แม้กรณีอื่นๆ ที่โด่งดัง ฉาวโฉ่เพราะกระแสที่กระทำขึ้นมา หรือเพราะเป็นเองก็ตาม ที่ปรากฏชัดก็คือ ฝ่ายพระสงฆ์ที่ถูกกล่าวหา ตกเป็นจำเลยนั้นได้ถูกพิพากษาโดยสื่อหรือม็อบที่จัดตั้งไปอย่างปราศจากการต่อสู้ทางกฎหมาย ไม่ว่า กฎมหาเถร สมาคม หรือกฎหมายบ้านเมืองอย่างมีขั้นตอน ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และขั้นตอนของกฎหมายคดีโลก
แม้คดีอุกฉกรรจ์ของโลก เขาก็ยังมี ขั้นตอน การต่อสู้ทางคดีความ กระทั่งมีนิรโทษกรรม อภัยโทษ เป็นต้น เพราะเขามีระเบียบกฎหมาย ให้จารณาจับกุม ฟ้องขึ้นศาลกัน อย่างมี ทนายว่าต่างให้ผิดถูก ให้ว่าตามกระบวนการทางศาล ไม่เพียงเท่านั้น องค์กรต่างๆ ที่เคลื่อนไหวทาง การเมือง และสิทธิมนุษยชน ที่ให้ความสนใจ ติดตามความไม่ยุติธรรม ความไม่ชอบมาพากล
แต่ตรงกันข้าม ในวงการพระพุทธศาสนาเรา ทั้งที่เป็นศาสนาประจำชาติ สสร. จะไม่ยอมให้บัญญัติไว้ในกฎหมาย รัฐธรรมนูญฉบับ ปรับปรุงใหม่ ตามคำเรียกร้องของชาวพุทธ 50 กว่าล้านคนก็ตาม และทางกรมการศาสนา ได้รับมอบหมายให้ดูแล อุปถัมภ์ ต่างพระเนตร พระกรรณ นับแต่ตั้งประเทศไทยมาแล้ว พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขของชาติก็เป็นพุทธมามกะ และองค์ศาสนูปถัมภก
แต่ปัญหาการกระทำที่ผิดกฎหมาย หรือถูกล่าวหาว่ากระทำผิดพระวินัยสงฆ์ จากกระแสสื่อก็กระพือข่าวอย่างรวดเร็ว ทำให้ดูเหมือนว่า มีการกดดันมากทีเดียว จะเป็นเพราะอย่างนี้หรือเปล่า ที่คดีความของบุคคลคนหนึ่งของสมาชิกสงฆ์ไทย ดูเหมือนไม่ได้รับ การเคารพสิทธิ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ แม้แต่กฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่องค์กร NGO ที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน สำหรับกรณีทางคดีโลก
เท่าที่ติดตามดูมารายแล้วรายเล่า ไม่ต้องพูดถึงคดีที่ มหาเถรสมาคม หรือองค์สมเด็จพระสังฆราช มิได้ลงมาเกี่ยวข้องโดยตรง เช่น กรณีวัดพระธรรมกาย สมาชิกสังฆมณฑล เราได้รับการปฏิบัติจากสังคมอย่างเย็นชา เหมือนกะว่า พระสงฆ์ไม่ใช่เป็นบุคคล ไม่เป็นสมาชิกของ ประเทศไทย เช่นกับ นาย ก. นายข. ตัวอย่างอดีตสมเด็จพระพิมลธรรม ที่ตกเป็นเหยื่อของความโหดร้ายป่าเถื่อน คราวนั้น ถ้าไม่เป็นการต่อสู้ เอาชีวิตเข้าแลกของชาวพุทธทุกระดับ เป็นเวลายาวนานแล้ว เรื่องก็คงไม่ต่างกับกรณีพระภาวนาพุทโธ ที่ถูกจับแล้วลงโทษ โดยหลักการไม่ฟ้อง แต่หาสู้ต่อผู้ใหญ่ได้ไม่ ก็ต้องนอนรับกรรมต่อไป จนกว่าจะสิ้นชีวิตไปกระนั้นหรือ เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับพระพุทธศาสนาเรา
การปลุกม็อบ โดยบุคคลชาวพุทธเราเอง กรณีวัดพระธรรมกาย จะโดยเจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะฝ่ายก่อกระแสได้อ้างทฤษฎี เรื่องคำสอนในพระไตรปิฎก มาเป็นข้ออ้าง แล้วสร้างกระแสตัดสินชี้ขาดเอาเอง โดยไม่มีกระบวนการ พิจารณากระบวนการศึกษาค้นคว้าให้เห็นข้อผิดถูก ของแต่ละฝ่าย ตามที่แต่ละฝ่ายอ้างอิงยืนยัน (ทั้งโจทก์และจำเลย) ซึ่งเป็นกระบวนการ ที่ไม่ถูกต้องตามหลักการพระธรรมวินัย และความเป็นธรรมทางกฎหมายสากลไม่เพียงแต่เท่านั้น อำนาจรัฐที่มีหน้าที่ คุ้มครองป้องกัน พระพุทธศาสนา
ในฐานะเป็นปูชนียบุคคลของชาติ กลับปล่อยให้บุคคลที่ไม่อยู่ในฐานะที่จะตัดสินความก่อการด้วยประการต่างๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม โดยเฉพาะขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาวพุทธไทย ให้หมิ่นประมาท เหยียดหยาม พระมหาเถระ ที่ทำหน้าที่โดยชอบ และกำลังแก้ไขปัญหาอยู่ จึงขอทราบ่วา กระทรวงศึกษาธิการ กรมการศาสนา ที่เป็นสังฆการี มาแต่ตั้งกระทรวง นั้น ทำอะไรอยู่หรือคอยซ้ำเติมร่วมกับฝ่ายมารพระศาสนา แต่อย่างเดียวกระนั้นหรือ การหมิ่นประมาท แม้แต่บุคคลธรรมดา ก็ยังมีความผิด มหาเถรสมาคม ที่เป็นสถาบันสูงสุดของพระศาสนา ของชาติ และเป็นศาลสูงสุดด้านจิตวิญญาณด้วยแล้ว ถูกแล้วหรือที่ ฯพณฯ ปล่อยให้เขาแห่กัน มาด่าทอ ดูหมิ่น เหยียดหยาม โดยขาดจริยธรรมของชาวพุทธอยู่เช่นนี้?
บุญถิ่น จันทร์มนตรี ป.ธ.9