ปีที่ 2 ฉบับที่ 708 ประจำวันอาทิตย์ที่ 20 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542

สหัสวรรษที่ 3

บุคคลจะก้าวขึ้นเป็นใหญ่ได้ จะใช้อำนาจรัฐต้องรู้จักหลักนิติธรรม

เมื่อวันก่อนผมเขียนต้นฉบับไปว่า นักฎหมายทุกคนต้องรู้จักหลักนิติธรรม คนเรียนนิติศาสตร์ต้องเข้าใจให้ซึ้ง เรื่องหลักนิติธรรมไว้ในใจ

ปรากฏว่า คนพิมพ์ต้นฉบับที่โรงพิมพ์คงไม่เข้าใจ เลยแก้ให้ใหม่เรียบร้อย เป็นต้องยึดหลักพิธีกรรม ผมอ่านแล้วสะดุ้งโหยง เพราะถ้า อาจารย์ที่สอนมาเห็นเข้าคงช็อคตาย เพราะ หลักพิธีกรรม ไม่มีกฎหมาย มีแต่หลักนิติธรรม หรือ Rule of Law หรือแปลไทยเป็นไทยว่า หลัก กฎหมายแห่งกฎหมาย

วันนี้ ผมจึงอยากเขียนเรื่องหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นหัวใจแห่งกฎหมายทุกฉบับทั่วโลก ถ้ากฎหมายฉบับใดขาดหลักนิติธรรม กฎหมายฉบับนั้น ก็มิใช่กฎหมาย และถ้าผู้ใช้กฎหมายคนใด ที่ไม่เข้าใจ หลักนิติธรรม ถึงแม้ว่าไม่ต้องเรียนกฎหมาย แต่เป็นหลักการพื้นฐาน ของความยุติธรรม ในแผ่นดิน ถ้าเป็นใหญ่ก็จะมีอันตราย อย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ เพราะจะทำให้ มีการใช้กฎหมาย โดยผิดหลักกฎหมาย

เหมือนคำพูดในเยอรมันยุคฮิตเลอร์ ที่พูดกันว่า ถ้าคนโง่แต่ขยัน ถ้าจะเป็นใหญ่ให้ฆ่าเสียให้หมด

หลักแห่งกฎหมายคือ หลักแห่งความยุติธรรม ที่ประเทศไทย รอดจากความเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ในสายตาสังคมโลก จะต้องยกย่องให้ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมี พระปรีชาชาญที่กว้างไกล ทรงตระหนักดีว่า ระบบกฎหมายไทย เดิมที่ใช้กฎหมายตราสามดวง ฝรั่งไม่ ยอมรับ เพราะไม่ใช่หลักกฎหมายของ นานาอารยประเทศ ฝรั่งจึงไม่ยอมขึ้นศาลไทย เพราะเห็นว่า ยังล้าหลังและอาจโดนกลั่นแกล้งได้

จึงมีสนธิสัญญาสิทธิภาพนอกอาณาเขต ยกเว้นให้ฝรั่งต้องขึ้นศาลไทย ซึ่งเป็นที่ช้ำใจของคนไทยเรา เรายังไม่ได้รับเกียรติโดยสมบูรณ์ ในสายตาฝรั่ง

สมเด็จพระปิยมหาราชของเรา ท่านจึงส่งกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ไปศึกษากฎหมายฝรั่ง และกลับมาวางรากฐานกฎหมายไทย วางระบบ ศาลและกระบวนการยุติธรรมใหม่ จนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ท่านจึงถือว่าเป็น พระบิดาแห่งวงการกฎหมายไทย ที่ทุกปีนักกฎหมาย ทุกคน จะต้องทำพิธีสักการะ ที่หน้ากระทรวงยุติธรรม ในวันที่ 7 สิงหาคม เรียกกันว่า "วันรพี" ตามชื่อเดิมของท่าน

เมื่อตอนที่เรียนหลักนิติธรรม หรืออีกชื่อหนึ่งว่า quity อาจารย์ผู้สอนคืออาจารย์บัญญัติ สุชีวะ ซึ่งต่อมา ท่านได้เป็นถึงประธานศาลฎีกา ท่านสอนเก่งไว้จนซึ้งใจ นิสิตรุ่นนั้นทุกคน แต่ผมเองก็จำได้แค่กระท่อนกระแท่น

แต่วันนี้ผมคิดถึงคำสอนของท่านเป็นที่สุด

เพราะสภาพบ้านเมืองวันนี้ สภาพภายนอกดูสวยงาม มีความเจริญทัดเทียมอารยประเทศในทุกด้าน แต่ ณ วันนี้ผู้มีอำนาจในแผ่นดินบางคน ก็กำลังกระทำสิ่งที่ผิดหลักนิติธรรม

การใช้กฎหมายในทางที่ผิด การใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้ง มิให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎร การตั้งข้อกล่าวหา โดยไม่เปิดโอกาสให้ได้รับ ความยุติธรรม ในการพิสูจน์เสียก่อน การใช้อำนาจของรัฐ เข้าข่มขู่ตั้งข้อกล่าวหา อย่างร้ายแรง ตลอดเวลาการออกข่าวว่า จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ ของรัฐ บุกเข้าตรวจค้นจับกุม ยึด อาบัติ บางหน่วยรีบออกข่าว ห้ามออกนอก ประเทศ ยกเลิกพาสปอร์ต เตรียมให้ตำรวจตรวจสอบ ทางเข้าออก ประเทศทุกจุด

นี่อะไรกันครับ ยังไม่ทันแจ้งข้อกล่าวหา ยังไม่ทันสืบสวน สื่อมวลชนก็ประโคมกันใหญ่ ทั้งที่หลักกฎหมาย เขียนไว้ชัดเจนตามรัฐธรรมนูญ บุคคลทุกคนให้ถือว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยตัดสิน

ครับ คนทุกคนไม่ว่าจะได้รับข้อกล่าวหาอะไร ก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ยิ่งยังไม่ถึงขั้นแจ้งข้อหา ก็ยังไม่ถือว่า เข้ากระบวนการ ยุติธรรม อย่างสมบูรณ์

แต่ตอนนี้มีผู้พิพากษาทั่วประเทศเต็มไปหมด มีผู้พิพากษาทั้งในสื่อมวลชน ทั่งกระทรวงศึกษา ทั้งกรมการศาสนา ทั้งกรมตำรวจ ช่วยกัน พิพากษาตัดสินเรียบร้อย สื่อมวลชนบางฉบับ ถอดยศ ถอดตำแหน่ง เจ้าอาวาสเรียบร้อย ถอดชื่อพระราชทาน ถอดบรรดาศักดิ์เรียบร้อย โดยไม่ เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง

นี่หรือหลักนิติธรรมของเมืองไทย ที่กำลังจะลืมตาอ้าปากไปเสนอหน้าในสังคมโลกว่า เป็นอารยประเทศที่เจริญแล้ว หมดสิ้นความ ป่าเถื่อนแล้ว

แล้วผมก็เห็นสภาทนายความแห่งประเทศไทย รับว่าความให้กับผู้กล่าวหาสองคน ทั้งที่รายหนึ่งขายที่ดินให้กับวัดจำนวน 2 ไร่เศษ รับเงิน ไปแล้ว 4.5 ล้านบาท มีหลักฐานเรียบร้อย แต่อ้างว่ายากจนไม่มีเงินค่าทนาย จะขอค่ารื้อถอนอีก 4.0 ล้านบาท รวมเป็น 8.5 ล้านบาท ต่อเนื้อที่ กลางทุ่งนา 2 ไร่เศษ และแถวนั้นขายกันไร่ละล้านบาท ยังหาคนซื้อไม่ได้

อีกรายหนึ่งมาทำบุญที่วัด 2 แสนกว่า อ้างว่าตอนนี้ลำบากยากจน อุ้มลูกไปร้องไห้ต่อพระ ต่อศาล อ้างว่าทำบุญ เพราะหลงเชื่อว่า จะรวย ทั้งที่เมื่อตอนวัดมีงานใหญ่ ก็ไปแจ้งความ มาครั้งหนึ่ง จนกลายเป็นข่าวใหญ่ คนวัดเห็นแก่มนุษยธรรม เลยควักเงินช่วยเหลือไป 90,000 บาท เป็นส่วนตัว แล้วให้ไปถอนแจ้งความ ก็ยอมถอนมาครั้งหนึ่งแล้ว

แล้วสภาทนายความฯ ก็รับว่าความอาญาให้

ผมไม่เข้าใจครับ ว่าสภาฯ ซึ่งควรจะเป็นสภาผู้ทรงเกียรติของทนายความทั้งประเทศ ซึ่งทำมาหากินอยู่กับความยุติธรรม มองเรื่องนี้อย่างไร และเพราะเหตุใด จึงละทิ้งอุดมการณ์ และหันมาเล่นคดีตามกระแสสื่อ

นี่หรือคือผู้ยากจนที่เข้าเกณฑ์ที่สภาฯ ควรช่วยเหลือ

หลายปีก่อน ผมเคยดูละครโทรทัศน์ช่องหนึ่งเรื่อง "คำพิพากษา" ที่คนดีๆ ถูกตั้งข้อหาจากชาวบ้าน ทั้งที่ไม่มีความผิดแม้แต่น้อย แต่ในที่สุด คนทั้งหมู่บ้าน ก็มีคำพิพากษาให้ กลาย เป็นคนบ้าเสียสติทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

ผมกำลังคิดว่า นี่คือสภาพจริงของสังคมไทยวันนี้ครับ เรื่องเศร้าที่เป็นเรื่องจริง เรายังจะหวังพึ่งอะไรได้ไหมครับ บ้านเมืองยังมีขื่อมีแป อยู่ไหมครับ

ท่านนายกชวน เจ้าแห่งความซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ ยุติธรรม เจ้าแห่งหลักการ ท่านยืนอยู่ตรงไหนครับ และตอนนี้ ในฐานะผู้มีอำนาจอันดับหนึ่ง ในเมืองไทย ท่านจะให้ความยุติธรรม แก่พระเถระรูปหนึ่ง และคนเข้าวัดเป็นแสนได้หรือไม่อย่างไร

สิงห์ขาว