ปีที่ 2 ฉบับพิเศษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2542

อาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ สอนวิชชาธรรมกาย

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประชาชาติสยาม นับแต่ตั้งประเทศครั้งกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา ไม่เคยมีมาก่อนที่ผู้เป็นพุทธศาสนิกชน จะจาบจ้วงล่วงเกิน พระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ เพียงเรื่องของความสับสนในข้อมูล ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะเหตุใดก็ตามแต่ ผลสรุป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อ พระพุทธศาสนา อันเป็นสถาบันหลักของชาติ และความผาสุกของสังคมอย่างแน่นอน

คำว่า ธรรมกาย ขณะนี้ดูคล้ายกับว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าระเบิด Smart Bomb ที่สหรัฐฯใช้ถล่มยูโกสลาเวียกันเสียอีก ถึงขนาดที่ว่า ใครฝักใฝ่กับธรรมกาย กลายเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ ต้องกำจัดให้สิ้นซาก เป็นมารร้ายแห่งศาสนา ผู้ที่สั่งสอนเผยแพร่ธรรมนั้น เป็นผู้บิดเบือน พระธรรมคำสั่งสอน ฉะนั้นวันนี้ ก็มาพูดกันเสียให้ไร้ข้อสงสัยในใจชาวพุทธกันเลยละว่า มีพระสุปฏิปันโนในอดีต นอกจากพระมงคลเทพมุนี หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ที่สำเร็จวิชชาธรรมกาย ตามที่เราทราบแล้ว ยังมี ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ สำเร็จวิชชาธรรมกายเช่นกัน และสอน วิชชาธรรมกาย อย่า....อย่าเพิ่งช็อก...และนี่คือความจริง อันเป็นสัจธรรมที่ว่า เส้นทางสู่พระนิพพาน ไปได้เส้นทางเดียวเท่านั้น ซึ่งปรากฏตาม ประวัติของท่านดังนี้

เมื่อท่านเริ่มปฏิบัติวิปัสสนาใหม่ๆ ในสำนัก พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ท่านบริกรรมภาวนาด้วยบท พุทโธ ประจำนิสัยที่ชอบกว่าบรรดาบทธรรมอื่น... ขณะที่จิตสงบลง ปรากฏเป็นอุคหนิมิตขึ้นมา ในลักษณะคนตายอยู่ต่อหน้า แสดงอาการพุพอง มีน้ำเน่า น้ำหนองไหลออกมา... ไม่ว่าจะนั่งภาวนา เดินจงกรม หรืออยู่ในท่าอิริยาบถใด ท่านก็ถือเอานิมิตนั้น เป็นเครื่องพิจารณา ฯลฯ ท่านพิจารณาทำนอง นี้ถึง 3 เดือน... ไม่ค่อยมีผลเป็นที่ยืนยันได้ว่า เป็นวิธีที่ถูกต้องและแน่ใจ เมื่อออกจากสมาธิวิธี นี้แล้ว ขณะกระทบอารมณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป ก็เกิด ความหวั่นไหว... ท่านจึงทำความเข้าใจเสียใหม่ โดยย้อนจิตเข้ามาอยู่ในวงแห่งกาย ไม่ส่งใจไปนอก พิจารณาอยู่เฉพาะกาย ... สถานกลาง ... ขณะจิต รวม สงบตัวลงไป ปรากฏว่า ร่างกายได้แตกเป็นสองภาค และรู้ขึ้นมาขณะนั้นว่า นี้เป็นวิธีที่ถูกต้องแน่นอนแล้วไม่ต้องสงสัย

สอนวิชชาธรรมกาย

เมื่อท่านได้ธุดงค์ถึงเชียงใหม่ ท่านได้เผยแพร่วิชชาธรรมกายให้กับชาวเขา ปรากฏคำสอนว่า เป็นดวงแก้วอันประเสริฐเลิศโลก เป็นดวง ฉลาดรอบรู้ทั่วไตรโลกธาตุ ชาวเขาถามว่า เป็นดวงแก้ว ใหญ่ไหม? ท่านตอบว่า ไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอดีกับเราและกับพวกสูดีๆ นี่เอง ใครหาพบ คนนั้น ประเสริฐ มองอะไรได้ดังใจหวัง ชาวเขาถามว่า มองเห็นนรกสวรรค์ได้ไหม ตุ๊เจ้า? ท่านตอบว่า มองเห็นซิ ไม่เห็นแล้วจะว่าประเสริฐได้ อย่างไร ...ลูกเมียผัวตายมองเห็นได้ไหม ตุ๊เจ้า? ท่านก็ตอบว่า เห็นหมด ถ้าต้องการอยากเห็น ชาวเขาถามว่า สว่างมากไหม? ท่านกล่าวว่า สว่างมาก ยิ่งกว่าพระอาทิตย์ ตั้งร้อยดวงพันดวง เพราะดวงอาทิตย์ไม่สามารถ ส่องเห็นนรกสวรรค์ได้.. เป็นสมบัติอันวิเศษของพระพุทธเจ้า ...เป็นองค์แห่ง ความรู้ความสว่างไสว ไม่เป็นวัตถุ ให้นึกอยู่ภายในกายโดยเฉพาะ ไม่ให้จิตส่งออกไปนอกกาย ไม่เนิ่นนานนัก... ชาวเขาคนนั้นได้เห็น ธรรมกาย ภายในใจเพียงคนเดียวเท่านั้น เรื่องก็กระจายไปทั่วบ้านในไม่ช้า คนในบ้านต่างก็เกิดความสนใจ พากันภาวนาไปตามๆ กัน ตลอดเด็กเล็กๆ และ เกิดความนับถือในพระอาจารย์มั่นมาก...

เป็นปกติที่ผู้เข้าถึงธรรมกาย ต้องได้เฝ้าพระพุทธเจ้า

..คืนต่อๆ มา มีพระพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกจำนวนมากมา อนุโมทนาวิมุติธรรมกับท่านมิได้ขาด คืนนั้นพระพุทธเจ้าองค์นั้นกับพระสาวก บริวาร จำนวนหมื่นเสด็จมาเยี่ยม

..คืนนี้พระพุทธเจ้าองค์นี้กับพระสาวกบริวารจำนวนแสนเสด็จมาเยี่ยม

...ในพระโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายส่วนใหญ่มีว่า เราตถาคตทราบว่า เธอพ้นจากอันตรทุกข์ ในที่คุมขังแห่งเรือนจำ แห่งวัฏฏะทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา.. ฯลฯ

ท่านพระอาจารย์มั่นกราบทูลว่า ถ้าพระองค์ทราบพระตถาคต และพระสาวกแท้จริงไม่สงสัย ที่สงสัยคือ พระองค์ทั้งหลายกับพระสาวก ที่เสด็จไปด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีส่วนสมมติเหลืออยู่เลย แล้วเสด็จมาในร่างนี้ได้อย่างไร?

พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งแม้มีความบริสุทธิ์ทางใจด้วยดีแล้ว แต่ยังครองร่างเป็นส่วนสมมติอยู่ ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพาน ก็ต้อง แสดงสมมติตอบรับกัน คือต้องมาในร่างสมมติ ซึ่งเป็นเครื่อง ใช้ชั่วคราวได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นอนุปาทิเสสนิพพานด้วยกันแล้ว ไม่มีส่วนสมมติ ยังเหลืออยู่ ตถาคตก็ไม่มีสมมติอันใดมาแสดงเพื่อ อะไรอีก

ฉะนั้น การมาในร่างสมมตินี้ จึงเพื่อสมมติเท่านั้น ถ้าไม่มีสมมติเสียอย่างเดียวก็หมดปัญหา พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่องอดีต อนาคต ก็ทรงถือเอานิมิต คือสมบัติอันดั้งเดิมของเรื่องนั้น เป็นเครื่องหมายให้ทราบ เช่นทรงทราบอดีตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าเป็นอย่างไรเป็นต้น..

จากกรณีของท่านพระอาจารย์มั่น ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า และ พระธัมมชโยเฝ้าถวายข้าวพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งปกติของผู้ได้ธรรมกาย หากแต่ แตกต่างกันในด้านของตัวบุคคลว่า ใครพูดต่างหาก เมื่อพระธัมมชโยกล่าวว่า ไปถวายข้าวพระพุทธเจ้านั้น ต้องเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม เป็น ปาราชิก??? อย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใด ส่วนคำกล่าวของพระอาจารย์มั่น ฯลฯ เล่าเป็นอย่างไร (ข้อความต่างๆ เหล่านี้ ได้รับการบันทึกจาก คำ บอกเล่าโดยตรง ของท่านอาจารย์ มั่น ภูริทัตตเถระ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ในหนังสือ ศรีสัปดาห์ ต.ค.14)

ในกรณีของท่านอาจารย์มั่น ยังมีอภินิหารยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ

พระอรหันต์มาแสดงท่านิพพานให้ดู

ท่านพระอาจารย์มั่นฯ เล่าว่า ...ที่ถ้ำเชียงดาวมีพระอรหันต์มานิพพาน 3 องค์ สององค์นอนนิพพาน แต่อีกองค์หนึ่งเดินจงกรมนิพพาน และ แสดงท่านิพพานให้ท่านดู หน้าตาเฉย ทุกองค์ที่นิพพานในท่าต่างๆ ได้อธิบายเหตุผลประกอบ ให้ท่านทราบอย่างละเอียด ก่อนจะทำพิธีนิพพาน

จากข้อความในส่วนนี้เอง ที่ทำให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดรนทนไม่ได้ เขียนวิจารณ์ท่านพระอาจารย์มั่น อย่างเสียหาย ใน นสพ.สยามรัฐ วันที่ 23 มี.ค. 2515 มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า

..เรื่องที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งนั้นก็คือ ในหนังสือเล่มนี้บอกว่า เมื่อพระอาจารย์มั่นอยู่ในถ้ำ มีพระอรหันต์หลายองค์ มาสนทนากับท่าน นอกจากสนทนาธรรมแล้ว พระอรหันต์ยังแสดงท่านิพพานของแต่ละองค์ ให้พระอาจารย์มั่นดูอีกด้วย เมื่ออ่านถึงตอนนี้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจนั้น เกินไปกว่าความกังวล แต่เป็นความเดือดร้อนทีเดียว พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว มาสนทนาธรรมกับคนที่ยังไม่นิพพาน แล้วท่าแสดงนิพพาน ไม่มีในพระบาลีแน่นอนครับ

คำวิจารณ์นี้ มีคำตอบที่อธิบายได้ และเป็นเครื่องยืนยันคำกล่าวของพระอาจารย์มั่น

เมื่อพระอุปสีวมานพทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้าเรื่องพระอรหันต์นั้น อุปสีวมานพได้ทูลถามว่า ที่ว่าพระอรหันต์ดับไปแล้วนั้น ท่านดับไป โดยสิ้นเชิง หรือว่าเป็นแต่ไม่มีตัวตน หรือจักเป็นผู้ตั้งอยู่ยั่งยืนหาอันตรายมิได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตอบว่า ประมาณแห่งเบญจขันธ์ ของผู้ดับขันธ ปรินิพพานแล้ว มิได้มีกิเลส ซึ่งเป็นเหตุกล่าวนั้นว่า ไปเกิดเป็นอะไรของผู้นั้นมิได้มี เมื่อธรรมทั้งหลายอันผู้นั้น ขจัดได้หมดไปแล้ว ก็ตัดทางแห่ง ถ้อยคำที่จะพูดถึงว่า เป็นอะไร เสียทั้งหมด หมายความว่า พระอรหันต์นั้น ดับถึงขนาดที่ไม่มีเรื่องที่จะพูดถึงท่านอีกต่อไป

อ่านประวัติของพระอาจารย์มั่นจบแล้ว ก็ได้แต่ถามตนเองว่า ที่พระอาจารย์มั่นท่านต่อสู้กับความโง่หลงงมงายของมนุษย์นั้น ท่านได้ ชัยชนะหรือทำให้ใครฉลาดขึ้นหรือไม่ หรือว่าท่านตายเปล่า?

มนุษย์เราบางครั้งก็หลงตัวเองคิดว่าตนเองเป็น นักการเมืองศักดินา ปากกล้า ปัญญาเลิศ คิดว่าคงไม่มีใครฉลาดเท่าแล้วในแผ่นดิน นี่คือ ความพลาด ท่านหม่อมคึกฤทธิ์ก็เลยเจอดีจากเมธี แห่งแดนอีสานคือ หลวงตามหาบัว ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียงประวัติท่านพระอาจารย์มั่น โต้ตอบ ทันควันว่า

..ท่านว่า ธรรมที่ไม่ได้จารึกในพระบาลีแห่งพระไตรปิฎกนั้น เทียบกับน้ำในมหาสมุทร ส่วนธรรมที่มาในพระไตรปิฎกนั้นเทียบ ได้กับน้ำ ในตุ่มในไห เท่านั้นเอง จึงน่าเสียดายที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ผู้เชี่ยวชาญ นิพพานไปแล้ว ตั้งหลายร้อยปี จึงมีผู้คิดได้ และจารึกธรรม เหล่านั้น ขึ้นสู่คัมภีร์ตามความสามารถของตน ซึ่งโดยมากการจารึก ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของผู้จัดทำอีกเช่นกัน จึงไม่แน่ใจว่า จะได้ธรรม ที่ถูกต้องแม่นยำถึงใจเสมอไป ไว้ต้อนรับ อนุชนรุ่นหลังได้อ่านได้ชมเพียงไร เฉพาะความรู้สึกของผมเองว่า ธรรมที่ออกจากพระโอษฐ์ของ พระพุทธเจ้า ซึ่งฉายออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์นั้น เป็นธรรมถึงใจสุดจะกล่าว เพราะเป็นธรรมที่ถึงเหตุถึงผล อยู่กับพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วจึงเป็นธรรมที่อัศจรรย์ และมีอานุภาพมากผิดธรรมดา ผู้รับจากพระโอษฐ์ จึงมีทางบรรลุมรรคผลได้ง่าย และมีจำนวนมากมาย เหลือจะ พรรณนา...

ส่วนพระไตรปิฎกที่พวกเราศึกษาจดจำกันมานั้น มีใครบ้างได้บรรลุมรรคผล ในขณะที่กำลังฟังกำลังศึกษาอยู่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีผล เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมทั้งสองนั้น ธรรมใดเป็นธรรมที่มีคุณค่าและน้ำหนักมากกว่ากันเล่า...? เราจึงไม่ประสงค์และส่งเสริม ให้ท่านทั้งหลายเย่อหยิ่ง ทำตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอน คอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานอยู่เปล่าๆ โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรม อันประเสริฐที่มีอยู่กับตัว แต่มัวไปยึด ศึกษามาถ่ายเดียว ซึ่งเป็นสมมติของพระพุทธเจ้า มาเป็นสมบัติของตน ด้วยความเข้าใจผิดว่า ตนเรียนรู้และฉลาดพอตัวแล้ว ทั้งที่กิเลสยังกองอยู่ เต็มหัวใจ ยิ่งกว่าภูเขาไหม้ไฟ มิได้ลดน้อยลงบ้างเลย จงพากันมีสติคอยระวังตัว อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่าๆ เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่า ...

การกล่าวทั้งนี้ ผมมิได้กล่าวเพื่อประมาทธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมย่อมเป็นธรรม ทั้งธรรมในใจ และธรรมนอกใจ คือธรรมในบาลี พระไตรปิฎก และธรรมในพระทัยพระพุทธเจ้า ทรงแสดงเอง พุทธบริษัทได้บรรลุธรรมมรรคผล ต่อพระพักตร์ของพระองค์ แต่ละครั้งจำนวนมาก ส่วนธรรมที่จารึกขึ้นสู่คัมภีร์ใบลานนั้น มีผลผิดกันอยู่มาก ดังที่ปรากฏในตำรา ฉะนั้นธรรมในพระทัยจึงเป็นธรรม ที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แต่เมื่อพระองค์ และพระสาวกซึ่งเป็นเจ้าของเสด็จ เข้าสู่นิพพานแล้ว จึงมีผู้จารึกภายหลัง ซึ่งอาจแฝงไปด้วยความรู้ความเห็นของผู้จดจารึก อันเป็นเครื่องยังธรรม นั้นๆ ให้ลดคุณภาพ และความศักดิ์สิทธิ์ลงตามส่วน ใครก็ไม่อาจทราบได้...

การที่ความรู้ความเห็นของท่านพระอาจารย์มั่น จะมีในพระบาลีหรือไม่นั้น ถ้าพระไตรปิฎกมิได้ตั้งตัวเป็นกองปราบปรามผูกขาด ผู้ปฏิบัติ ก็มีสิทธิ์จะรู้ได้ในธรรมทั้งหลาย ตามวิสัยของตน ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย ทรงรู้เห็นมาก่อนพระไตรปิฎกยังไม่อุบัติ ถ้าธรรมเหล่านี้และ ท่านเหล่านี้จะพอเป็นความจริง เป็นความถูกต้องได้ และเป็นสรณะของโลกได้ ก็เป็นมาก่อนพระบาลีแล้ว ถ้าปลอมก็ปลอมมาแล้ว อย่างไม่มี ปัญหา จึงขอให้ท่านวินิจฉัยเลือกเอาตามชอบใจว่าจะเอา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ หรืออะไรๆ ผ่านสายตาสัมผัสใจก็ สรณํ คจฺฉามิ ร่ำไปแบบ กินไม่เลือก แต่เวลาเจอก้าง

เป็นไงครับ อ่านลีลาสำนวนท่านหลวงตามหาบัวฯ เขียนถึงหม่อมคึกฤทธิ์ฯ แล้วถึงอกถึงใจไหมล่ะครับ นี่คือวาทะของพระสุปฏิปันโน พระผู้ปฏิบัติจริง รู้จริง ซึ่งท่านได้เทศนาเรื่องของนิพพานไว้ว่า ถ้านิพพานเป็นอนัตตา นิพพานก็เป็นไตรลักษณ์ซิ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็น ทางพระนิพพาน แล้วพระนิพพาน จะวิเศษวิโสได้อย่างไร คงไม่ต้องอธิบายว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตาแล้วละครับ

ที่จริงเรื่องควรจะจบ แต่ยังครับ ตัวเอกของเรา ต้องออกมาตอนท้าย ก็ใครเสียอีกล่ะครับ ก็ ม.ล.จิตติ นพวงศ์ ก็ร่วมวงถล่มหม่อมคึกฤทธิ์ฯ ด้วยเหมือนกัน ในศรีสัปดาห์ฉบับ 1075 วันที่ 31 มี.ค. 2515 มาดูกันครับว่า คารมเป็นยังไง ในกรณีพระอรหันต์ แสดงท่านิพพาน ให้ท่านอาจารย์ มั่น ภูริทัตตเถระ ชม ม.ล.จิตติ เขียน ไว้ว่า

ปัญหาที่เป็นเหตุให้ต้องมาเขียนเรื่องนี้มีอยู่ว่า เป็นไปได้หรือ ที่พระอรหันต์จะมาสนทนาธรรมกับ ท่านพระอาจารย์มั่น จนกระทั่ง แสดงท่า นิพพานให้ท่านดูต่างๆ กัน ในเมื่อไม่ปรากฏในพระบาลี ว่า พระอรหันต์นิพพานไปแล้วจะมาทำเช่นนั้น

เหตุผลเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์สูงกว่าสัตว์ ทำให้คนฉลาดแตก ต่างจากคนโง่ แต่ก็ต้องเป็นเหตุผลที่ถูกต้องตามความจริง มิใช่สักแต่ว่า เป็น เหตุที่คนทรามปัญญา คว้ามาถือ และก็ไม่ถือไว้ตามลำพัง ยังพยายามจะให้คนอื่นทั้งหลาย ถือไว้เหมือนตนด้วย ให้กลายเป็นผู้ทรามปัญญาเหมือน ตนด้วย ก็ถูกต้อง ที่ไม่มีปรากฏในพระบาลีว่า พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้ว จะมาสนทนาธรรมกับคนที่ยังไม่นิพพาน แต่ก็ไม่มีปรากฏในพระบาลี เลยว่า พระอรหันต์ที่นิพพานแล้ว จะมาทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ในกรณีนี้ เหตุผลต้องอยู่ที่ตรงนี้ อะไรที่ไม่ถูกนำมาเอ่ยถึง ไม่จำเป็นต้องไม่มี อยู่   ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่แท้จริงทั้งหลาย ท่านทราบ ในขณะที่ปราชญ์จอมปลอม ไม่อาจรู้ได้ว่า นอกจากที่ปรากฏในพระบาลี ยังมีอะไรๆ ที่อัศจรรย์วิจิตรพิศดารอีกมากนัก ผู้ที่เกิดมาไม่เคยปฏิบัติธรรม หมกมุ่นวุ่นวาย อยู่แต่กับความสกปรกโสโครก ทุกลมหายใจเข้าออก จะรู้จัก สิ่งบริสุทธิ์สูงส่ง หาใดเสมอเหมือนมิได้ได้อย่างไร

ระหว่าง พระกับมาร ใครหลงเชื่อมาร มารก็พาไปนรกเท่านั้น ท่านอาจารย์มั่นก็ตาม ท่านอาจารย์มหาบัวก็ตาม ท่านเป็นพระ หรือถ้าไม่ อยากจะเชื่อใครทั้งนั้นในเรื่องนี้ อยากเชื่อตัวเอง ก็ต้องทำตัวเองให้เหมือน ท่านอาจารย์เสียก่อน ให้เห็นเท็จจริงด้วยตัวเองเสียก่อน นั่นแหละ แล้วจึงควรอ้าปากวิจารณ์เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้น ก็จะไม่พ้นต้องเป็นคนโง่ตัวใหญ่ ที่คิดจะยกตัวให้สูงขึ้น ด้วยการพยายามปีนป่าย เหยียบย่ำกระทืบ ยอดพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ ท่ามกลางสายตาของพุทธศาสนิกชน จะพ้นสภาพย่อยยับไปไม่ได้เลย

การเข้าใจความพระบาลีให้ถูกต้องนั้น อย่าคิดว่าง่าย ต่อให้ได้ชื่อว่า เป็นปราชญ์ทางโลก อ่านหนังสือหมดโลกก็ตาม ถ้าพระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ นิพพานจะต้องดับสิ้น ถึงขนาดไม่มีเรื่อง จะพูดถึงท่านได้ต่อไปจริง แล้วทุกวันนี้จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีอยู่อย่างไร ในเมื่อท่านนิพพานไปเสียแล้ว หรือทุกวันนี้ไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งสูงสุดกันนั้น หมายถึง ให้ถือลม ถือแล้งหรอกหรือ ไม่มี ความจริงกระนั้นหรือ ปฏิเสธเสียก่อนว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สรณะสูงสุดของเราไม่มีในปัจจุบัน ปฏิเสธเสียก่อนว่า พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ไม่มีในปัจจุบัน แล้วนั่นแหละจึงปฏิเสธเรื่องราวระหว่าง   พระอรหันต์ที่ท่านนิพพานแล้ว กับท่านอาจารย์มั่นได้

ฯพณฯชวน พณฯอาคมฯ กรรมาธิการการศาสนาฯ อธิบดีกรมการศาสนา พระเดชพระคุณกรรมการมหาเถรสมาคม และพุทธศาสนิกชน ได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงเข้าใจได้ดีว่า กรณีธรรมกาย ไม่ใช่เรื่องธรรมดาซะแล้ว ไม่ใครก็ใคร คงต้องเรียกหา ยาปรับประสาทกันมั่งละนะ สำหรับท่านที่เป็นแกนนำต่อต้านธรรมกายทั้งหลาย ไปตกลงกันใหม่ให้ดีหน่อย เพราะตอนนี้ตัวเอกคนเดียวกัน แต่แสดงคนละบท สงสัยจังว่า ตัวผู้กำกับเป็นใคร...???

เมื่อ พ.ศ.2515 ผมคิดว่าท่านที่อ้างตนว่าเป็นผู้ปกป้องพุทธศาสนา ที่ออกมาตบเท้าเข้าขบวนทั้งหลาย คงเกิดแล้วนะ แต่เอ.. น่าแปลกใจ ทำไมไม่มีใครออกมาทำพิธีปัพพาชนียกรรม หรือไล่สึกใครต่อใครเหมือนตอนนี้ หรือว่าตอนนั้นยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนา และโดยเฉพาะ ผู้ที่ เขียนหนังสือ กรณีธรรมกาย เมื่อขบวนการของท่านได้อ่านกันแล้ว ไม่โกรธท่านพระมหาเถรานุเถระ ที่ท่านมีมติ ออกมาเช่นนั้น ซึ่งคุณหม่อม จิตติฯ คงตอบได้ดีกว่าคนอื่นว่า ทำไม พระราชรัตนมงคล เลขานุการ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ท่านกล่าวว่า กูไม่รู้ กูไม่เห็น พระลิขิตอะไรทั้งสิ้น นักข่าวโทรศัพท์มาหากูหลายครั้ง ทั้งกลางวันกลางคืน ถามแต่เรื่องพระลิขิต กูไม่รู้ และไม่อยากพูดอีกแล้ว...

การใช้กฎนิคหกรรมแก่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ที่เกี่ยวข้องคงจะต้องทบทวนกันก่อนว่า สมเหตุสมผลแล้วหรือยัง ที่จะกล่าวโทษท่าน ว่า อวดอุตริมนุสธรรม

แล้วที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ พระอาจารย์มั่น เทพเจ้าแห่งอิสาน และพระอาจารย์มหาบัว ต่างยืนยันตรงกัน และศิษยานุศิษย์ทั้งประเทศ ต่างเคารพสักการะ ยอมรับนับถือปฏิบัติตามจนถึงทุกวันนี้ จะให้ตอบว่าอย่างไร

โดย เบ็ญจ์ บาระกุล


ข้อมูลจากหนังสือ ประวัติ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

เรียบเรียงโดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน

วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี

พิมพ์ที่ สำนักพิมพ์คนหนังสือ เลขที่ 20 ซอยเทเวศร์ 1 ถนนกรุงเกษม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 โทร 281-5881 แฟกซ์ 2815881