ปีที่ 2 ฉบับพิเศษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 6 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542
ความปรารถนาที่แท้จริงของหลวงพ่อ
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) ได้ปรารภถึงความปรารถนาที่แท้จริงของท่าน ซึ่งมีอยู่ 2 ประการ แก่สาธุชน ร่วม 20,000 คน ในสภาธรรมกายสากล ว่า
"ประการแรก อยากจะไปถึงที่สุดแห่งธรรม ซึ่งอยู่ในตัวเรา ต้องทำหยุดในหยุด หยุดในหยุดเข้าไปเรื่อย ไม่ได้เกี่ยวกับใคร ไม่ได้ไปรบรา กับใคร ขจัดกิเลสในตัว พญามารในตัว ปราบความโลภ ความโกรธ ความหลง มันอยู่ตรงไหน ไปปราบให้เตียนเลย ไปดู แหล่งกำเนิดของมัน มันอยู่ตรงไหน มีตรงไหนก็เอาตรงนั้น ไปให้สุดตรงนั้น
ประการที่สอง อยากให้ทุกคนในโลก เข้าถึงพระธรรมกาย สร้างอะไรขึ้นมา ก็เพราะเป็นห่วงพวกเรา กลัวตากแดดตากฝน แล้วก็อยาก อำนวยความสะดวก ปฏิบัติธรรมได้ สะดวกสบาย ก็ชวนกันมา มาสร้างกัน สร้างเพื่อตัวเรา เพื่อหมู่ญาติของเรา เพื่อลูกหลานเรา เพื่อชาวโลกทุกคน เขาจะได้มาอาศัย สถานที่นี้ ประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ทานรักษาศีล เจริญภาวนา มี 2 อย่างแค่นี้ อย่างอื่นไม่มี ไม่คิดตั้งลัทธิใหม่ ไม่คิดเป็นศาสดา ไม่คิดเป็นศูนย์อำนาจ ไม่เป็นพิษเป็นภัย ต่อบ้านเมือง ไม่เป็นหรอก
จริงๆ หลวงพ่อนี่นะกับหมู่คณะในวัดนี่ อยู่ในสายตาของผู้ที่ดูแลรักษา ความมั่นคงแห่งชาติตลอดเลย บวชมาได้พรรษาหนึ่ง เริ่มสร้างวัด พ.ศ. 2514 บวช พ.ศ. 2512 ได้ที่ปีเดียวกัน พ.ศ. 2513 เริ่มสร้างวัด พ.ศ. 2514 และเริ่มอบรม ธรรมทายาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 ก็เริ่มเป็นที่น่าสนใจ น่าจับตาดูว่า หลวงพ่อ คงจะคิดการณ์ใหญ่ ส้องสุมผู้คน โดยเฉพาะ มีนิสิตนักศึกษา มาอบรมธรรมปฏิบัต กันมากมาย เรียกว่า อบรมธรรมทายาท กลัวจะเป็นพิษเป็นภัย เพราะตอนนั้น นิสิตนักศึกษาอะไรต่างๆ เขาเกิดขึ้นมา มีศูนย์นิสิตเกิดขึ้น
วัดเราตอนนั้น ไม่ได้ชื่อ วัดพระธรรมกาย นะ หลวงพ่อตั้งชื่อ " ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม " นะ ทีนี้มันมีศูนย์นำหน้า เหมือนศูนย์นิสิต แต่ ศูนย์หลวงพ่อ ตั้งก่อนศูนย์นิสิตนะ น่ะ ตั้งก่อนเขา เอ๊ะ มันศูนย์เดียวกัน มันศูนย์อะไร สงสัยจะพวกเดียวกัน เพราะมาเห็น นิสิต นักศึกษา เข้ามา ในวัดนี้น่ะ เขามาปฏิบัติธรรม มาปฏิบัติธรรม เรื่องอื่นก็ไม่มีน่ะ ผู้ดูแลความมั่นคงของชาติ เขาก็เลยส่งมา ตั้งหลายหน่วย ทีเดียวนะ ทหารก็มี ตำรวจก็มี พลเรือนก็มี ก็ส่งมา ส่งมาดูแลตลอด จนกระทั่งถึงบัดนี้ ส่งมาเป็นพระก็มี เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็มี เป็นสาธุชนก็มี บางคนอยู่กัน ตั้งหลายปี หลวงพ่อก็ไม่ถามเขา เขาก็ไม่บอกหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พูดเรื่องธรรมกายอย่างเดียว สัมมา อะระหัง กันอย่างเดียว เอาธรรมวินัยเป็นหลัก เอากฎเกณฑ์ของหมู่คณะเป็นหลัก บางคนก็ทนได้ บางคนก็ทนไม่ได้ก็เปลี่ยนไป เอาชุดใหม่มาอีก ก็วนกันอยู่อย่างนี้นะ บางคนก็เป็นนักข่าว กรองข่าวนะ หลวงพ่อดูการกรองเขานะ เหมือนกรองกะทินี่นะ บางคนได้หัวกะทิ บางคนกรองกะทิ ได้กากมะพร้าวก็มี แล้วก็เอาข้อมูลนี่ ส่งไปต้นแหล่งว่า หลวงพ่อเป็นแหล่งกำเนิด ของลัทธิโน้นลัทธินี้ แล้วก็ว่ากันไป ก็แล้วแต่ แต่หลวงพ่อไม่ได้สนใจนะ
เขาว่า เรื่องของเขา เราก็ว่าเรื่องของเรา ชวนให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา จากคนน้อยๆ ในวัด กระทั่งเต็มวัด สร้างศาลา จาตุมหาราชิกา เต็มศาลา ตอนนั้น จุได้ 500 คน ที่ล้นศาลา ก็สร้างศาลาชั่วคราว ข้างๆ ศาลาจาตุมหาราช คร่อมคันคู แล้วก็กระจาย นั่งปฏิบัติธรรม ตามโคนไม้ ตามใต้กลด กระจายกัน จนกระทั่งล้น ก็มาสร้าง สภาธรรมกายสากล หลังคาจาก ช่วยกันทำ ชักชวนพวกเราช่วยกันทำ ได้บุญเยอะแยะเลยนั่นน่ะ จนกระทั่งเต็มเลย เห็นมั้ยล้นอีกแล้ว พอล้นแล้วนี่ ก็ไปตากแดดตากฝนกัน ลำบาก ก็ต้องมาสร้างตรงนี้แหละ สร้างยังไม่ทันเสร็จ ล้นอีกแล้ว ตอนนี้ หมดแรงสร้างแล้วนะ เพราะขณะนี้ มันใหญ่ครอบสนามหลวงเลยนะ ชั้นหนึ่งก็คลุมได้ทั้งสนามหลวง ชั้นบนก็อีกสนาม ตกลง สภาของเรานี่ เอาสนามหลวง มาซ้อนได้ถึง 2 สนามทีเดียว จุคนได้ร่วม 500, 000 ซึ่งตอนนี้ ก็จะเต็มแล้ว ที่พระกับฆราวาส แทบจะชนกันแล้ว เพราะฉะนั้น ที่สร้างใหญ่ ก็เพราะว่า คนเยอะ หลวงพ่อว่า คนเยอะน่ะดี สำคัญว่า เยอะแล้ว เขามาทำอะไร ถ้าเยอะแล้ว มาทำความดี หลวงพ่อว่าดีนะ อย่างนี้ เยอะดี แล้วเยอะของคน ของพวกเรานี่นะ มาเป็นหมื่น มาเป็นแสน หลายคนเหมือนคนเดียว คือเงียบ เงียบสงบทีเดียวนี่
สื่อสร้างสรรค์
มีสาธุชน 2-3 ท่านมาบอกว่า ไปคุยกับนักข่าว สื่อมวลชน ถามว่า ทำไม ไม่เขียนให้มันตรง ไปตามความเป็นจริง บางคนก็บอกว่า ผมก็เขียนจริงๆ พอไปถึง เขาก็เขียนอีกอย่างหนึ่ง เขาถามต่ออีก แล้วทำไมคุณชอบ พาดหัวข่าว ไม่สร้างสรรค์เลย เขาบอกว่า จะมาโทษ พวกผม ฝ่ายเดียว ก็ไม่ได้ เพราะคนทั้งประเทศ ชอบอ่าน ชอบฟัง ชอบดูข่าว ที่ไม่สร้างสรรค์ ที่เบียดเบียนกัน ว่าร้ายกัน ถ้าผมไม่เขียนอย่างนี้ ไม่พูดอย่างนี้ ไม่ถ่ายอย่างนี้ ไม่ปรับปรุงอย่างนี้ เขาไม่อ่านไม่ดูกัน หนังสือผมก็ขายไม่ได้
ทีนี้ มีบางฉบับเขาบอกว่า พอผม พอฉบับของผม ลงแค่เป็นกลางๆ ไม่ต้องถึงกับเอียงเข้าข้างหรอก โอ้โห มาทั้งทางโทรศัพท์ มาทั้งทาง จดหมายเลย มาว่าผม ด่าว่าผม โ ขนาดผมเป็นกลางๆ นี่ เพราะฉะนั้น ผมเขียนเป็นกลางๆ เลยไม่ได้ เสนอข่าวเป็นกลางๆ ก็ไม่ได้หรอก เขาว่าผมน่ะ โทรมั่ง เขียนมั่ง แต่ไม่เห็นมี ฝ่ายอีกฝ่ายที่ผมว่า เป็นกลางๆ น่ะมาชมผมบ้างเลยนะ หรือจะเขียนมา บอกผมบ้างเลยนี่ นี่มันเป็นยังงี้นะ แต่เมื่อไหร่ ผมเขียนไม่สร้างสรรค์น่ะ อย่างเช่นคนมาแสนบอก 5,000 อะไรสมมุติยังงี้นะ โอ้โห มีโทรมาชมเลย พวกไหนก็ไม่รู้ โทรมาชมนะ เขียนมาชมด้วย โทรมาชมด้วย เยอะแยะเลย
หลวงพ่อเห็นใจสื่อมวลชนเขาเหมือนกันนะ เขาก็ต้องดูว่า กระแสชอบแบบไหน ตรงนี้อยู่ที่พวกเรา ว่าเราชอบแบบไหน เช่น เราชอบหัวข่าว ที่สร้างสรรค์ ตรงไปตามความเป็นจริง ข่าวอะไรที่มันไม่สร้างสรรค์นี่ถ้าจะมีให้หลบๆ ไว้ข้างในและเขียนเล็กๆ คอลัมน์เล็กๆ เหมือนสิงคโปร์เห็นมั้ยจ๊ะ สิงคโปร์น่ะ ข่าวอะไรไม่สร้างสรรค์นี่ ฆ่ากัน ฟันกัน เขาเอาไว้ข้างในเล็กๆ แต่ข่าวอะไร ที่เป็นประโยชน์ ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติเขา ขึ้นพาดหัวข้างหน้า ประเทศของเรา น่าจะมีสื่ออย่างนี้ แต่จะมีตรงนี้ได้ ต่อเมื่อเรา ต้องมีความเชื่อว่า ความคิดของคน สามารถเปลี่ยนได้ อย่าเพิ่งไปเชื่อว่า ผู้อ่านต้องการอ่านแต่ข่าว ที่ไม่สร้างสรรค์
เพราะฉะนั้น เราควรจะไปบอกสื่อทุกสื่อ วิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์ นิตยสารอะไรต่างๆ จะเขียนจดหมายก็ได้ จะโทรศัพท์ไปบอกก็ได้ ต้องช่วยกัน ทั่วประเทศ เขียนไปบอกเขา โทรไปบอกเขา และต้องบอกบ่อยๆ นะ เราชอบข่าวสร้างสรรค์ อย่างนี้ และให้ตรงไปตาม ความเป็นจริง อย่างนี้ หลวงพ่อคิดว่า ในที่สุด เราก็สามารถที่จะทำ ในสิ่งที่เราคาดไม่ถึง มีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ แล้วจะนำไปสู่สันติสุขของโลก วิกฤติสื่อมวลชน ก็จะได้หมดไป เหลือแต่สิ่งที่ดีงามเกิดขึ้น
ถ้าหลวงพ่อเป็นสื่อมวลชน หลวงพ่อจะแสวงบุญ อย่างที่เรานึกไม่ถึงเลย ประการแรก หลวงพ่อจะนั่งธรรมะก่อน จะพิสูจน์ดูว่า นั่งแล้ว เห็นแสงสว่าง นั่งแล้วเห็นดวง นั่งเห็นกายภายใน นั่งเห็นองค์พระ เอ๊ะ โม้รึเปล่า หลวงพ่ออยากพิสูจน์ หลวงพ่อจะต้อง นั่งพิสูจน์ก่อน พอเราทำถูกวิธี ทำอย่าง ต่อเนื่อง จริงจัง แล้วเราพิสูจน์ได้ เอ๊ะ ความสุขภายใน มีจริง แสงสว่างข้างใน มันจริง มันสว่างเย็นๆ นวลๆ และเราก็เป็นผู้สื่อข่าว สื่อจากภายใน ให้โลกภายนอกรู้เลยว่า มีจริง
เพราะสื่อมวลชนคือครู ผู้นำทางจิตวิญญาณ นำชีวิตมนุษย์ไปสู่ปลายทาง สื่อมวลชนคือแสงสว่างของโลก เราก็จะต้องสร้าง ความสว่างไสว ให้เกิดขึ้นกับโลก สื่อมวลชนคือ ผู้ปรองดอง ให้โลกเกิดความรัก ความสามัคคีกันฉันท์พี่ฉันท์น้อง
(จากพระธรรมเทศนาวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2542)