ปีที่ 2 ฉบับพิเศษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2542
พิเศษ 1
คำชี้แจงจากคณะกรรมการจัดการที่ดินพระราชภาวนาวิสุทธิ์
เจริญพร กัลยาณมิตรวัดพระธรรมกายทุกท่าน
กรณีที่มีการกล่าวหาจากบุคคลภายนอกว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย หรือพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ฉ้อโกงและยักยอกที่ดินของวัด ทั้งๆ ที่ความจริงมิได้ เป็นเช่นที่กล่าวหา เนื่องจากที่ดินซึ่งอยู่ในการถือครอง ของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ประมาณ 1,700 ไร่ ในพื้นที่ 16 จังหวัดนั้น ญาติโยมมีศรัทธาถวาย ทั้งที่เป็นที่ดินของตนเองและที่ดินที่จัดซื้อ โดยเมื่อจัดซื้อแล้ว ก็มีการใส่ชื่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นเจ้าของ ตามกระบวน การ ทางนิติกรรม จึงปรากฏชื่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นผู้ซื้อ ดังได้ชี้แจงต่อสาธารณชนไปแล้ว
ครั้นเมื่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ในการยกที่ดินให้วัด ตามคำแนะนำของพระ ผู้ใหญ่ เพื่อตัดปัญหาที่จะลุกลาม บานปลาย หนังสือดังกล่าว ได้มอบแก่ นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา นำกราบเรียนเสนอมหาเถรสมาคม เมื่อวัน ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2542 แล้ว กลับมีการกล่าวหานิคหกรรม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ โดย นายมาณพ พลไพรินทร์ และ นายสมพร เทพสิทธา ยื่นฟ้องต่อ เจ้าคณะ จังหวัดปทุมธานี เป็นเหตุให้จำเป็น ต้องรอการพิจารณาของศาลสงฆ์ ให้แล้วเสร็จเสียก่อน เพราะได้มีผู้ออกมาแสดงความเห็นชี้นำ จนเกิดกระแส ในสื่อในทำนองว่า เมื่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์โอนที่ดินให้วัด ก็เท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายว่า ได้ฉ้อโกงและยักยอกที่ดินของวัดไปจริง ตามที่ ถูกกล่าวหา ซึ่งถือว่าความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว แม้โอนที่ดินให้วัด ก็ไม่อาจลบล้างความผิดนั้นได้ เพราะถ้าไม่ใช่ที่ดินของวัด เป็นที่ดินส่วนตัวของ พระราชภาวนาวิสุทธิ์แล้ว จะไปโอนให้วัดทำไม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็นับว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นอย่างยิ่ง
ต่อมากรมการศาสนาได้มีหนังสือถึงพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ให้เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับที่ดิน โดยไม่จำเป็นต้องรอการพิจารณาของ ศาลสงฆ์ เพราะเป็นคนละประเด็นกัน
เมื่อได้รับการยืนยันจากทางราชการดังกล่าวแล้ว จึงได้ประสานงานกับกรมการศาสนา เพื่อดำเนินการให้ ทุกอย่างเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ โดยไม่ต้องกังวลกับการรอให้กระบวนการนิคหกรรมของศาลสงฆ์ถึงที่สุดก่อน
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2542 เวลา 17.30 น. นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา พร้อม ด้วย ดร.อำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการ สำนักงานพุทธมณฑล ได้เดินทางไปที่วัดพระธรรมกาย เพื่อสอบถามความคืบหน้า และขอให้ดำเนินการ เพื่อโอนที่ดินบางส่วน ที่มีเอกสารพร้อม ให้วัด ภายในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2542 ด้วย ก็ได้ตอบตกลง และนัดหมายให้กรมการศาสนา ส่งคณะทำงานมาประสานงาน เตรียมการเอกสาร ที่จำเป็น
ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2542 เจ้าหน้าที่ระดับผู้ใหญ่ของกรมการศาสนา 3 ท่านได้เข้ามาช่วยดำเนิน การด้านเอกสารที่จะใช้ในการโอน ที่ดิน โดยในขั้นต้น ที่ดินที่สามารถจะยกให้วัดได้ มีจำนวน 12 แปลง เนื้อ ที่ 304 ไร่ 1 งาน 91.9 ตารางวา ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ จากกรมฯ ได้แจกแจง รายละเอียดของที่ดิน และค่าใช้จ่ายในการโอน ไว้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งได้มีการนัดหมาย และได้ส่งตัวแทนนำโฉนด และเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็น ในการโอนที่ดินให้วัดที่ได้เตรียมไว้อย่างเรียบร้อยแล้วนี้ ไปมอบอย่างเป็นทางการที่กรมการศาสนา ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2542 เวลา 16.00 น.
ทุกอย่างน่าจะดำเนินไปด้วยดี ถ้าได้มีการดำเนิน การไปตามที่คณะกรรมการจัดการที่ดิน และกรมการศาสนาได้ตกลง และทำงานร่วมกัน ไว้ ไม่ต้องให้เป็นประเด็น วิพากษ์วิจารณ์กันโดยไม่ทราบข้อเท็จจริง และมีการแจ้งความกล่าวโทษอย่างไม่เป็นธรรม
คณะกรรมการจัดการที่ดินขอเรียนเปิดเผยข้อเท็จจริงที่มิได้แถลงในวันที่ 10 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันกำหนดนัด ดังนี้
วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2542 เวลาประมาณ 14.30 น. ขณะที่ตัวแทนคณะกรรมการของหลวงพ่อ กำลังจะออกเดินทางไปกรมการศาสนา ก็ได้รับโทรศัพท์จาก นายพิภพ กาญจนะ อธิบดีกรมการศาสนา แจ้งให้ทราบว่า ต้องการให้นำที่ดินในการถือครองของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ทั้งหมดมามอบให้ภายในเวลา 16.00 น. ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องมา
จากท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้สร้าง ความสับสนแก่ตัวแทนคณะกรรมการจัดการที่ดินเป็นอย่างยิ่ง แต่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไป ตามที่ได้ตั้งใจไว้ ก็ได้มอบหมายให้ตัวแทนกระทำหน้าที่ต่อไป จึงได้มีการนำเอกสารการยกที่ดินจำนวน 12 แปลง รวมเนื้อที่ 304 ไร่ ที่ได้ร่วมกัน จัดเตรียมไว้กับเจ้าหน้าที่กรมการศาสนา ไปมอบแก่อธิบดีกรมการศาสนา แต่อธิบดีฯ ไม่ยอมรับ และไม่ยอมให้เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
ตัวแทนคณะกรรมการฯ จึงต้องนำเอกสารทั้งหมดไปมอบให้ที่สารบรรณของกรมการศาสนา หลังจากนั้น ตัวแทนคณะกรรมการฯ และ อธิบดีกรมการศาสนาก็ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยที่ไม่มีการบอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2542 กรมการศาสนา ก็ได้ให้ผู้แทนไปแจ้งความกล่าวโทษพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ด้วยข้อหาแจ้งความเท็จ ยักยอก ที่ดิน ฯลฯ ที่กองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งยิ่งก่อให้เกิด ความสับสน และความไม่เข้าใจแก่ทุกฝ่ายยิ่งขึ้นไปอีก
คณะกรรมการจัดการที่ดินเห็นว่า เมื่อมีการแจ้ง ความกล่าวโทษด้วยข้อหาร้ายแรงเช่นนั้น ก็คงจะได้มีการสืบสวนสอบสวน หาข้อเท็จจริง ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป เมื่อความจริงปรากฏชัดแก่สาธารณชนทั่วไปแล้วว่า ที่ดินในการถือครองของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ล้วนได้มาด้วย ความถูกต้องชอบธรรมโดยญาติโยมถวาย แด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ด้วยความเคารพศรัทธาเป็น การเฉพาะเจาะจง มิใช่ถวายแก่วัดพระธรรมกาย หรือนำเงินบริจาคของวัด ไปซื้อ ตามที่มีผู้กล่าวหาแต่อย่างใด
คณะกรรมการจัดการที่ดินขอเรียนยืนยันอีกครั้ง ว่า เมื่อการพิสูจน์สิทธิดังกล่าวปรากฏความจริงชัดเจนแล้ว พระราชภาวนาวิสุทธิ์ จะยังคง ยินดียกที่ดินทั้งหมด ให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ตามที่ได้ตั้งใจไว้แต่เดิมแน่นอน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คณะกรรมการจัดการที่ดินจะหนักแน่น อดทน และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของทุกฝ่าย ให้บังเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณชน และเป็นผลดีต่อบวรพระพุทธศาสนา ทั้งนี้โดยยืนหยัดอยู่ในความถูกต้องชอบธรรม อันสมาชิกในสังคม พึงมีพึงได้ ภายใต้รัฐธรรมนูญ บนพื้นฐานของกฎหมาย และความเคารพอย่างยิ่งในพระธรรมวินัย
จึงเรียนมาเพื่อทราบ และขอให้ทุกท่านมั่นคงในความดีตลอดไป
คณะกรรมการจัดการที่ดินพระราชภาวนาวิสุทธิ์
13 มิถุนายน พ.ศ.2542