ปีที่ 2 ฉบับพิเศษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2542

พิเศษ 1 ความจริงทางวิชาการ

โดย ดร.เบญจ์ บาระกุล

พ.ร.บ.สงฆ์ใหม่

ทำลายภูมิคุ้มกันประเทศ สลายอำนาจคณะสงฆ์

จากการที่ นสพ.พิมพ์ไทย ได้เสนอบทความเกี่ยวกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับ พุทธศาสนาจาก พรบ.สงฆ์ฉบับใหม่ และเปิดเผยขบวนการล้มล้างพุทธ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ กรรมาธิการศาสนาฯ ต้องออกมาแถลงต่อสื่อมวลชนว่า ซึ่งเดิมที่ได้มีการโหมประโคมข่าวทางสื่อมวลชน โดยคณะกรรมมาธิการศาสนาฯ ว่า จะจัดให้มีการทำ ประชาพิจารณ์ ในวันที่ 30 ก.ค. 2542 ณ ห้องประชุมกรรมมาธิการ อาคาร 2 ตึกรัฐสภา แต่กลับกลายเป็นการจัดเสวนา นโยบายของพรรคการเมือง เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับใหม่ และ พระราชบัญญัติ อุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ไม่ใช่การทำประชาพิจารณ์ตามอ้างแต่อย่างใด และที่น่าสังเกตคือ ไม่มีพระเถรานุเถระที่เป็นกรรมการ มหาเถรสมาคมท่านใด มาร่วมในการประชุมด้วยเลย เหตุการณ์ในวันและเวลาดังกล่าวนี้ ได้พิสูจน์ความจริงได้หลายเรื่องหลายประการ ถึงวัตถุประสงค์แผนการ ของขบวนการนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะได้นำ เสนอให้ทราบเป็นระยะไป

1.คำสารภาพของผู้ร่วมขบวนการ

ด้วยพุทธานุภาพที่ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา พระสยามเทวาธิราช และความเป็นสมานฉันท์ แห่งดวงใจชาวพุทธ ทำให้บุคคลแกนนำในการร่าง พรบ.ออกมาสารภาพ ต่อสาธารณชน ในการดำเนินการของตน เช่น

นายประเทือง เครือหงษ์ ผู้ยกร่าง พรบ. ทั้ง 2 ฉบับ สารภาพว่า ได้ทำการยกร่างไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 และมีการแก้ไขปรับปรุงในปี 2538 เป็นต้นมา ก่อนมีการรณรงค์ให้มี รัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ยอมบรรจุ พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ แสดงให้เห็นถึง มีการวางแผนล้มล้าง ระบอบการปกครองคณะสงฆ์ไทย และพระพุทธศาสนามาหลายปีแล้ว กรณี วัดพระธรรมกาย จึงถูกสร้างขึ้นเป็นข้ออ้างที่จะตราบังคับใช้ พรบ. 2 ฉบับนี้เท่านั้น

พระศรีปริยัติโมลี ผู้เป็นแกนนำในการ ผลักดันใน พรบ. นี้เข้าสู่สภาในสมัยประชุมนี้โดยด่วน สารภาพว่า ต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบอบคณะสงฆ์ไทย สาเหตุเพราะต้องการให้ พระหนุ่มมีอำนาจในการบริหาร

จากความไม่ชอบมาพากลในพฤติกรรม และความฉ้อฉลของขบวนการนี้พิสูจน์ได้จาก พระราชกวี ซึ่งได้รับนิมนต์เป็นวิทยากรในการสัมมนานี้ ถึงกับต่อว่า นายอำนวย สุวรรณคีรี ต่อหน้าประชาชนที่มาร่วมประชุมว่า อย่าให้อาตมาโดนหลอกเหมือนกับ ที่นิมนต์ไปพูดที่พุทธมณฑลเรื่อง พรบ.การศึกษาแห่งชาติอีก ทั้งนี้ยังมีเอกสารประกอบการเสวนา ซึ่งผู้จัดนำมาแจกจ่าย ทำให้สามารถใช้เป็นพยานเอกสาร ในแผนการทำลายพุทธศาสนา ของขบวนการนี้ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะได้กล่าวถึงในโอกาสหน้า

2.แผนปลดสมเด็จพระสังฆราชฯ จากพระอำนาจ

สิ่งที่ กมธ.ยืนยันเสมอว่าจะยกย่อง สมเด็จพระสังฆราชฯ เชิดชูพระพุทธศาสนานั้น มีความจริงแท้เพียงใด หากเราพิจารณาดูตาม พรบ. สงฆ์ พ.ศ.2484 และ 2505 รวมไปถึง 2535 จะเห็นได้ว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงมีอำนาจปกครองและบัญชาการคณะสงฆ์ โดยทรงบัญชาการไปยัง มหาเถรสมาคม ซึ่งจะเป็นผู้สนองพระบัญชา แต่ขบวนการดังกล่าว กลับร่าง พรบ.สงฆ์ใหม่ ให้นักการเมืองและกลุ่มบุคคล องค์กรต่างชาติต่างศาสนา มีอำนาจบัญชาการ สมเด็จพระสังฆราชฯ โดยใช้ข้ออ้างเพียงว่า สมเด็จสังฆราชฯ ควรอยู่ในฐานะ ไม่ต้องบัญชาการ ใดๆ เป็นเพียงที่เคารพเพียงอย่างเดียว ส่วนอำนาจบัญชาการ ให้คณะบุคคลที่บริหาร ทำการแทนทั้งหมด แปลให้ได้ใจความง่ายๆ ก็คือ ปลดพระอำนาจบัญชาการ ของสมเด็จพระสังฆราช ทั้งหมด (วาระการประชุม 10 มิ.ย. 42 หน้า 13 ข้อ 4.3) ตำแหน่งและพระอำนาจของ สมเด็จพระสังฆราช ได้รับพระราชทานจาก พระมหากษัตริย์ ต่อเนื่องมา แต่บรรพกาล นับแต่ไทยตั้งประเทศ ครั้งอาณาจักรสุโขทัย จวบจนปัจจุบัน นับเป็นพระบรมราชประเพณี ของพระมหากษัตริย์ ที่จะทรงโปรดเกล้า เหตุผลกลใด ขบวนการดังกล่าวนี้ จึงกล้าออกบัญญัติ ปลดสมเด็จพระสังฆราช   ออกจากพระอำนาจบัญชาการคณะสงฆ์   ซึ่งเป็นการละเมิดพระราชอำนาจของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามที่ได้บัญญัติไว้ใน กฎมณเฑียรบาล (ว่าด้วยพระราชอำนาจ) ผู้ที่ร่าง และร่วมขบวนการทราบหรือไม่ว่า โทษที่จะได้รับคืออะไร ??? เป็นการทำลายหัวใจของ พุทธบริษัทชาวไทยทั้งประเทศ อันจัดเป็น ขบวนการ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอย่างยิ่ง

3.ล้มมหาเถรสมาคม เลิกพระราชาคณะและองค์กรปกครองสงฆ์ไทย

จากที่กล่าวไปในข้อ 2นั่นคือ การทำลายองค์สมเด็จพระสังฆราชพระประมุขสงฆ์ไทย ขบวนการดังกล่าว มิได้หยุดความพยายาม ที่จะทำลายพระพุทธศาสนา ให้หมดไปจาก ประเทศไทยเพียงเท่านั้น ยังหมกเม็ด ซ่อนความฉ้อฉลกลเลว ทำลายองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทยคือ มหาเถรสมาคม ปรากฏเป็นหลักฐานชัดแจ้งใน มาตรา 4 ของ พรบ. อุปถัมภ์ฯ ซึ่งไม่ระบุคำว่า มหาเถรสมาคม ไว้เลยแม้แต่คำเดียวในการบริหาร หรือให้อำนาจจัดการคณะสงฆ์ ทั้งยังให้อยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มคณะบุคคล หรือนักการเมือง องค์กรอิสระต่างชาติ ต่างศาสนา NGO ให้มีอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอน กรรมการมหาเถระทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่พระสังฆราช อันเป็น ประธานมหาเถรสมาคมอีกด้วย ตามมาตรา 5 พรบ. คณะสงฆ์ที่ร่างขึ้นใหม่ ท่านผู้เป็นนักกฎหมาย นักประวัติศาสตร์ และพุทธศาสนิกชน อันมีใจเป็นธรรม ลองตรึกตรองนึกคิดดูซิว่า ประโยชน์ที่พระพุทธศาสนาในประเทศไทย จะพึงได้จาก พรบ.ทั้ง 2 ฉบับนี้ อยู่ตรงไหน (ความฉ้อฉลในการปลอมปน พรบ.ฉบับที่แจกในการ เสวนา กลับเป็นฉบับที่มิใช่ตัวจริงเสียอีกต่างหาก ข้อความก็แตกต่างกันมาก... นำพิสูจน์เจตนาทุจริต) และจะยอมให้ พรบ. นี้เป็นออกมาบังคับใช้เป็นเครื่องมือของทุจริตชนทำลายคณะสงฆ์ของไทยต่อไปหรือไม่

4.ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีไทย และบัญญัติพระธรรมวินัยขึ้นใหม่

หวังผลต่อการกำจัดการเผยแพร่ และการสืบต่อพระพุทธศาสนา (ม. 41)

โดยประเพณี วัฒนธรรมไทยที่สืบเนื่องกันมา นับแต่ตั้งชาติ คือ การบวชกุลบุตรให้เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ย่อมยังความปลาบปลื้มปีติ อนุโมทนาบุญให้แก่บิดามารดา และญาติพี่น้อง ซึ่งร่วมงานอุปสมบทนั้น ในอีกทางหนึ่งคือ อบรมบ่มนิสัยชายไทย ผู้จะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว อันเป็นหน่วยย่อยที่สำคัญของ สังคมประชาชาติ ให้มีศีลธรรม มีความเ มตตา อยู่ในหลักธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังความความสงบสุข และความมั่นคง ให้เกิดแก่ประเทศชาติ และสืบต่อพระพุทธศาสนา อันนับว่า เป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ เหนืออื่นใดสำหรับชาวไทย ตลอดมาจวบจนปัจจุบัน แต่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นอดีต

เพราะหาก พรบ. อุปถัมภ์ฯ มีผลประกาศ ใช้เมื่อใดก็ตาม ชายไทยที่ต้องการอุปสมบทเป็น พระภิกษุ ในพุทธศาสนา จะต้องถูกตรวจสอบ เหมือนกับผู้ร้าย หรือ อาชญากร ต้องมีการตรวจ ลายพิมพ์นิ้วมือ ประวัติ สารพัดที่ยุ่งยากมากเรื่อง เรียกว่า หากจะบวชกันที ต้องทำเรื่องไปยัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอใบรับรองประวัติ ฯลฯ และการอนุญาตให้บวช ก็จะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์อยู่ตลอดเวลา ตามอำนาจหรือนโยบาย ที่กรรมการอุปถัมภ์ต้องการ จะให้เป็นซึ่ง บัญญัติไว้ใน มาตรา 41 ซึ่งขัดกับหลักพระธรรมวินัย อย่างเห็นได้ชัด เพราะคุณสมบัติผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุได้นั้น พระพุทธองค์ได้ทรงมีพุทธพจน์ ไว้ชัดแจ้งปรากฏใน พระไตรปิฎก ซึ่งพระคู่สวดนำมาถามนาคผู้บวช (เราเรียกว่า ขานนาค)อยู่แล้ว แต่เหตุใดจึงต้องมีการบัญญัติใหม่

แสดงว่า ขบวนการนี้ ไม่เพียงแต่เหยียบย่ำพระพุทธศาสนา ยังกระทำตนเหนือกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกต่างหาก เราจะเห็น ได้นับแต่สมัยพุทธกาลตลอดมา พระองคุลีมาล พระพุทธองค์ยังทรงสั่งสอนให้ บรรลุอรหันต์ ทั้งๆ ที่เรียกว่า มหาโจรองคุลีมาร นั่นแสดง ให้เห็นถึง พระสัทธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถขัดเกลา ความชั่วร้าย ออกมา จากจิตของบุคคล ให้กลับตนเป็นคนดี ได้ทุกระดับชั้น เป็นหลักปฏิบัติสืบมา

แต่เมื่อมี การออก พรบ.นี้อยากถามว่า จะมีใครสักคน ที่อยากจะบวชเป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา เพราะระเบียบและข้อกำหนดที่มากมาย ที่จะตามมาเป็น ความยุ่งยาก และการบวช นักศึกษา ภาคฤดูร้อน ฯลฯ ก็จะลดจำนวนลงอย่างมาก เพราะติดในเงื่อนไข ที่จะกำหนดขึ้นมาใหม่นี้ นี่คือการกำหนดในพระพุทธศาสนา มีการบวชน้อยที่สุด เท่าที่จะเป็น ไปได้ และสูญหายไป จากแผ่นดินในที่สุด (กมธ.ช่วยบอกหน่อยได้หรือไม่ว่า จะช่วยให้มีการบวชมากขึ้นได้อย่างไร)

ทำลายความสามัคคีของชนในชาติ และศาสนพิธี

นับเป็นกุศโลบายและอัจฉริยะในการปกครอง อันเยี่ยมสุดยอดของพระมหากษัตริย์ไทย ในโบราณกาล ตราบปัจจุบัน ที่ทรงใช้ศาสนพิธี เป็นศูนย์รวมความสามัคคี ของชน ในชาติ จนกลายเป็นประเพณี และวัฒนธรรม ทำให้ประเทศไทย เป็นเอกราชมั่นคง ยืนนานตลอดมา เช่น ประเพณีปิดทองฝังลูกนิมิต พิธีพุทธาภิเษกพระ พิธีกวนข้าวทิพย์ ถวายข้าวพระ เป็นต้น นั่นคือ ทำให้เกิด ความสามัคคีในชุมชน ที่รวมใจเป็นน้ำ หนึ่งใจเดียวกัน มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม แม้แต่องค์สมเด็จ พระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นบรมกษัตราธิราชเจ้า ซึ่งกู้เอกราชให้ชนชาติไทย ได้จัดตั้งหน่วยนักรบอาทมาต หรือหน่วยรบพิเศษ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางด้านสมาธิจิต คงทนต่อศาสตราวุธ ปืนผาหน้าไม้ ให้เป็นแบบ อย่างแก่นักรบไทย บัญญัติไว้ในพระธรรมนูญ ว่าด้วยคัมภีร์พิชัยสงคราม และการสร้างเครื่องลาง ในราชการสงคราม ซึ่งกองทัพไทยก็ได้ ยึดถือแบบอย่างสร้างเหรียญ และพระพุทธรูป รูปเคารพของ คณาจารย์ต่างๆ แจกจ่ายให้กับทหาร ในกรมกอง และพุทธศาสนิกชน สืบมาโดยตลอด โดยเฉพาะพิธีดื่มน้ำ พระพิพัฒน์สัตยา ก็อยู่ในคัมภีร์นี้เช่นกัน

แต่พรบ. ดังกล่าวนี้ กลับห้ามมิให้ดำเนิน การดังกล่าวได้อีกต่อไป โดยกำหนดนโยบายตาม ที่ตนเห็นสมควร ไม่เพียงเท่านั้น ยังสร้างกระแสโจมตีและชี้นำ ให้เห็นว่า พิธีกรรม ต่างๆ ดังกล่าวเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่ควรที่จะเคารพนับถืออีกต่อไป (ผู้ที่บัญญัติ พรบ.อุปถัมภ์ฯ ทราบหรือ ไม่ว่า ยอดธงชัยเฉลิมพล ประจำกองทหารทั้งสามเหล่าทัพนั้น ประดิษฐาน ไว้ด้วยพระพุทธรูป ซึ่งเรียกว่า พระยอดธง ผู้ที่กล่าวโจมตีชี้นำ ได้คำนึงถึงจิตใจของทหาร ทั้งสามเหล่าทัพบ้าง หรือไม่ว่า เขาเหล่านั้นรู้สึกอย่างใด และจะทนพฤติกรรมฉ้อฉลของท่าน ได้นานสักเท่าใด) ไม่เพียงเป็นการหยามหัวใจ ทหารหาญของชาติ ยังเป็นการจาบจ้วง หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พระมหาราชกษัตริย์ไทยอีกด้วย ซึ่งขบวนการดังกล่าว นั้นมิอาจปฏิเสธ การกระทำของตน ด้วยปรากฏชัดในมาตรา 56 ที่ร่างขึ้นมาใหม่ใน พรบ. อุปถัมภ์ฯ

ในส่วนของวัดในพุทธศาสนาในประเทศไทย หากมีการประกาศใช้ พรบ.นี้ จะได้รับผลกระทบอย่างมากมาย เพราะแทนที่จะสามารถสืบทอดพระศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมไทยได้ตามปกติ พิธีกรรมที่ได้กระทำเป็นบุญประเพณีเช่น สวดภาณยักษ์ หรือ เทศมหาชาติ รวมไปถึง การจัดกองผ้าป่า การกุศลใดๆ ไม่อาจกระทำได้ทั้งสิ้น นอกจากต้องรอคอยว่าเมื่อใดจะได้รับความเห็นใจช่วยเหลือจากคณะกรรมการอุปถัมภ์ฯ (ซึ่งอาจจะเป็นองค์การต่างชาติต่างศาสนาก็ได้) คงไม่ผิดอะไรกับเกษตรกรไทย ที่รอความ ช่วยเหลือจากรัฐ ในที่สุด คงต้องเดินขบวนกันกระมัง เมื่อพิจารณาแล้ว ยังไม่เห็นประโยชน์ใดๆ ในพรบ.นี้น อกจากความเสียหายต่อพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย โดยองค์รวม

5. คฤหัสถ์ลงโทษ และสึกพระภิกษุได้ทุกระดับ ไม่ยกเว้นแม้พระราชาคณะ ตามความพอใจ

สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดสำหรับพุทธศาสนา ในประเทศไทย ก็คือ การให้อำนาจแก่กรรมการ คุ้มครองฯ อย่างครอบจักรวาล เป็นช่องทางที่สามารถใช้อำนาจรีดไถ บีบคั้น หรือให้ทำการใดๆ ตามที่ตนต้องการ ได้ทุกประการ ซึ่งรวมไปถึงการ ให้สึกจากสมณเพศ โดยไม่จำเป็น ต้องผิดตามพระธรรมวินัย ซึ่งกรณีนี้นับว่าเป็นเจตนา บัญญัติ เพื่อเปิดโอกาสให้ บุคคล หรือองค์กรอิสระต่างศาสนา ใช้เป็นเครื่องมือทำลายพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนาได้ อย่างง่ายดายเพียงข้อหาว่า ศาสนธรรมต้องได้รับการคุ้มครอง ในมาตรา 38 คำว่า ศาสน ธรรม เป็นคำที่บัญญัติขึ้นใหม่ และไม่ใช่คำในพุทธศาสนา ซึ่งใช้คำว่า พระธรรมวินัย นั่นหมายถึงว่า พระภิกษุรูปนั้น ไม่จำเป็นต้องผิดวินัยสงฆ์ หรือผิดคำสั่งสอนอันบัญญัติไว้ใน พระไตรปิฎก ก็สามารถจับสึกจากภิกษุได้ (เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า พรบ. ดังกล่าวนี้ มิได้ยกร่างด้วยบุคคล ในศาสนาพุทธเท่านั้น แต่มีบุคคลนอกศาสนาร่วมร่าง พรบ.นี้ อีกด้วย ซึ่งปรากฏบทบัญญัติหลายแห่ง ซึ่งใช้คำต่างศาสนามาเป็นข้อบังคับ)

ฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่คณะสงฆ์โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกแห่ง ควรพิจารณาและวิเคราะห์ในส่วนมาตรา 38 นี้ให้รอบคอบถี่ถ้วน เนื่องจาก เป็นอันตรายแก่คณะสงฆ์ และ พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ เป็นอย่างยิ่งในอนาคต เป็นแนวทางให้เกิดการกลั่นแกล้ง หรือหากินกับพระภิกษุ โดยเฉพาะพระราชาคณะ ชั้นผู้ใหญ่ โดยอ้างตำแหน่ง หรือชื่อผู้เป็น กรรมการอุปถัมภ์ฯ ออก เดินสายรีดไถพระทั่วประเทศ อย่างเป็นขบวนการ ทั้งยังได้รับการคุ้มครอง จากรัฐธรรมนูญใน มาตรา 73 อีกต่างหาก นี่คือมหันตภัย อันจะเกิดขึ้นหาก พรบ.นี้ มีการบังคับใช้

นอกจากกรรมการอุปถัมภ์ฯ จะมีอำนาจ และสิทธิ์ขาดจะไม่อนุญาตให้จัดทำพิธีทางพุทธศาสนา ยังสามารถสั่งให้ยุบเลิก ชมรมทางพุทธศาสนา ในมหาวิทยาลัย หรือชุมชน ใดๆ และไม่อนุญาตให้ตั้งวัด ก็ได้ทั้งนี้รวมถึงสำนักสงฆ์ และสำนักปฏิบัติธรรมทั้งปวง ที่ตั้งขึ้น ตามที่ได้บัญญัติไว้ใน มาตรา18(7) ลองหลับตานึกภาพดูสักนิดว่า หากคณะกรรมการ อุปถัมภ์ ดำเนินการ โดยองค์กรต่างศาสนา (ซึ่งไม่ระบุห้าม และยังสนับสนุนอีกด้วย) ถามว่าชมรมพุทธศาสนา สำนักสงฆ์ สถานปฏิบัติธรรม จะถูกยุบสั่งระงับ หรือไม่อนุญาต อีกกี่ร้อย กี่พันแห่ง ผลดีจะเกิดขึ้นกับใคร และศาสนาใด นี่หรือคือการกล่าวอ้างว่า เป็นการอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ชาวพุทธทั้งหลายเห็นว่า ถูกต้องสมควรแล้วหรือไม่

ดังได้กล่าวมานี้จะเห็นได้เป็นที่ประจักษ์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ เป็นการจัดตั้งขึ้น โดยขบวนการ ที่มีการวางแผนไว้ อย่างเป็นขั้นตอน เพื่อประสงค์ต่อ ผลประโยชน์และอำนาจของคน เพียงไม่กี่คน ที่พร้อมจะขายและทำลายพุทธศาสนา ทั้งนี้แม้แต่หน่วยเฉพาะกิจร่วมสามเหล่าทัพ จึงมิอาจดูดาย นิ่งเฉย ได้ติดตามพฤติกรรมของบุคคล ในขบวนการนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นความมั่นคง และความสงบสุขของประชาชาติ อันจะมีผลกระทบต่อ เอกราชของชาติในอนาคต ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพ ซึ่งคงจะได้ รับทราบ ผลการปฏิบัติการของกองทัพ ในส่วนนี้ กับขบวนการดังกล่าวเช่นใดในไม่ช้า

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดมา ล้วนแต่เป็นข่าวด้านความเสื่อมเสีย ให้เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสังฆราช และมหาเถรสมาคม อันเป็นองค์กรปกครอง คณะสงฆ์ ไทย ซึ่งเป็นการสร้างภาพชี้นำ ให้ประชาชนเข้าใจ และเชื่อไปว่า ต้องมีปรับปรุงองค์กร และกฎหมายคณะสงฆ์ อย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นการจัดตั้งสร้างภาพ ให้เจือสม ในการตรากฎหมาย รวมไปถึง กรณีวัดพระธรรมกาย อันมีพระราชาคณะเป็นเจ้าอาวาส และรองเจ้าอาวาส ที่กลายเป็นเหยื่อ เพื่อให้ขบวนการนี้ บรรลุวัตถุประสงค์ในการปลดอำนาจ สมเด็จพระสังฆราชฯ ทำลายมหาเถรสมาคม และเข้าครอบงำแสวงหาผลประโยชน์ จากพุทธศาสนสมบัติ ตามที่ต้องการเท่านั้น

พุทธบริษัทชาวไทยทุกท่าน ท่านพร้อมหรือยังที่จะพิทักษ์พระพุทธศาสนา พร้อมหรือยังที่จะเรียกตัวเองว่า เป็นชาวพุทธ พร้อมหรือยังที่จะเปิดใจรับความจริง และท่านยินยอม หรือไม่ที่จะให้พระพุทธศาสนา ถึงกาลอวสาน สลายจากแผ่นดินไทย ในช่วงชีวิตของท่าน เหมือนกับที่เขาเอาศาสนาพุทธ ออกจากรัฐธรรมนูญ เอาออก จากสำมะโนครัว และบัตร ประชาชนเช่นนั้นหรือ?