ปีที่ 2 ฉบับพิเศษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2542 |
โดย ดร.เบญจ์ บาระกุล
ท่านผู้อ่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนชาวไทย โปรดอ่านข้อความต่อไปนี้แล้ว หลับตาถามความรู้สึกของตัวท่านเองว่า จะรู้สึกยังไง รับได้ไหม ??? ข้อความ ที่ว่าคือ
เมืองไทยเราได้ชื่อว่า เ ป็นเมืองพุทธ มีพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลก มีวัดกว่า 30,000 วัด มีพระกว่า 300,000 รูป ต้องผลาญทรัพยากรของโลกเฉลี่ยรูปละ 50 บาทต่อวัน ก็เท่ากับ ผลาญวันละ 15 ล้านบาท (50 บาท x 300,000 รูป)
ข้อความและถ้อยคำที่ใช้กับพระภิกษุสงฆ์ บอกได้ว่า มิใช่คำพูดของชาวพุทธอย่างแน่นอน เป็นลักษณะของการดูถูกเหยียดหยาม ด่าพระสงฆ์ ในพุทธศาสนา เพราะคำว่า ผลาญ เป็นคำผรุสวาท ที่ใช้ด่ากับ คนที่เลวทรามต่ำช้าสุดๆ ซึ่งไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง ที่จะนำมาใช้กับ พระภิกษุในพระพุทธศาสนา ไม่ว่ากรณีใดๆ ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ครับว่า ข้อความนี้ ปรากฏอยู่ในเอกสารหน้าแรก ขององค์กรนอกศาสนา ซึ่งร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน ของกรรมาธิการศาสนา นายอำนวย สุวรรณคีรี ประธานที่ปรึกษา คณะกรรมาธิการ ศาสนาฯ ได้อนุญาตให้แจกเอกสารดังกล่าวนี้ แก่ผู้เข้าร่วมประชุมเสวนา ซึ่งจัดขึ้นที่รัฐสภาฯ เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 42 ที่ผ่านมา นับเป็นการท้าทายความรู้สึกของชาวพุทธ นี่คือ พยาน หลักฐาน เครื่องพิสูจน์ว่า มีการร่วมมือกับองค์กรต่างชาติต่างศาสนา ล้มล้างพระพุทธศาสนาจริงหรือไม่ และนี่น่ะหรือที่จะออกกฎหมาย มาใช้บังคับบุคลากรในพระพุทธศาสนา ???
1.ก.ม.ผีดิบ ดูดเลือดสงฆ์นิกายจีน และนิกายอื่นๆ
ชาวจีนในประเทศไทย ซึ่งเป็นสุจริตชน จัดว่าเป็นชุมชนใหญ่ทำธุรกิจเจริญก้าวหน้าเป็นผู้นำทาง การค้าและทางการเมือง เป็นแหล่งรวมของเศรษฐกิจ และส่วนใหญ่นับถือ พระพุทธศาสนา นิกายจีน ซึ่งเป็น นิกายมหายาน ต่อเนื่องกันมา แต่โบราณกาล จวบจนปัจจุบัน ความสามัคคีของชาวจีนและชาวไทย สืบประสานแน่นแฟ้น ตลอดมาแต่บรรพบุรุษ ประดุจดั่งพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ทำให้ขบวนการกลืนชาติ ไม่สามารถแทรกตัว เข้าทำลายได้ ในวิถีทางปกติ จึงอาศัยความแตกต่างของนิกายศาสนา มาเป็นเครื่องมือบังคับ ให้เกิด ความแตกแยก ทางความคิดเห็น เพื่อเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคม นำมาสู่การทำลายความมั่นคง และความสงบสุขของประชาชนในชาติ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก จึงเป็นการ ร่วมมือกัน ระหว่างผู้ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ นักการเมือง บางกลุ่ม และขบวนการทำลายพระพุทธศาสนา ร่างกฎหมายให้เกิดความแตกแยกนี้ขึ้น โดยเป้าประสงค์เดียวกัน ปรากฏเป็น หลักฐานในร่าง พรบ.อุปถัมภ์คุ้มครองฯ อยากจะเรียกว่า ร่างกฎหมายฉบับผีดิบ เสียมากกว่า
เนื่องจากผู้ร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ มีเจตนาที่จะแสวงหาประโยชน์และทำลายพระพุทธศาสนาในทุกรูปแบบ ไม่มีละเว้นแม้แต่พระพุทธศาสนาจีนนิกาย และอานัมนิกาย ซึ่งแต่เดิมตลอดมานั้นไม่มีการก้าวก่ายแต่อย่างใด แสดงให้เห็นถึงอิทธิพล และความไม่สุจริตของผู้ร่วมขบวนการทำลายพระพุทธศาสนา โดยอาศัยข้อกฎหมาย บทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ รวมถึงองค์กรของรัฐ เป็นเครื่องมือ ขจัดการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในทุกนิกาย ให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย
ด้วยความศรัทธาของชาวจีน และชาวต่างประเทศที่ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา จึงได้ตั้งวัด ขอวิสุงคามสีมา อันได้รับพระบรมราชานุญาต ตั้งเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เช่น
ฝ่ายจีนนิกาย | ฝ่ายอานัมนิกาย ฯลฯ |
วัดโพธิแมนคุณาราม วัดมังกรกมลาวาส วัดบำเพ็ญจีนบรรพต วัดทิพย์วารีวิหาร วัดโพธิเย็น วัดโพธิทัตตาราม |
วัดกุศลสมาคร วัดอานัมนิกาย วัดมงคลสมาคม วัดโลกานุเคราะห์ |
เนื่องจากพระพุทธศาสนาจีนนิกาย (พระจีน) และอานัมนิกาย (พระญวน) และพระพุทธศาสนานิกายอื่นๆ ซึ่งมีแนวการสั่งสอน และศาสนพิธี ที่แตกต่างกันไป เช่น พระพุทธศาสนา โพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม(กวนอิมเนี้ย) รวมไปถึงศาสนสถานใดๆ อันเกี่ยวข้อง หรืออ้างถึง พระพุทธศาสนา ก็มิได้รอดพ้น ไปจากการวางแผน อย่างแยบยล ที่จะทำลาย ของขบวนการสลายพุทธ ระบุในบทบัญญัติให้วัดในพระพุทธศาสนา ทุกนิกาย อยู่ภายใต้อำนาจของ กฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครองฯ ซึ่งอนุญาตให้องค์กรต่างชาติ ต่างศาสนา มีอำนาจออก กฎบังคับได้ อย่างไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไม่ผิดอะไรกับ พุทธศาสนานิกายเถรวาท(พระสงฆ์ไทย) เช่นเดียวกัน ในส่วนของพระพุทธศาสนานิกายอื่นๆ นั้น ได้มีบัญญัติซ่อนเงื่อนหมกเม็ดไว้ใน มาตรา 88 การอุปถัมภ์และคุ้มครองบรรพชิตจีนนิกาย และอานัมนิกายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนด ในกฎกระทรวง
แต่กลับปรากฏว่า ได้บังคับให้ใช้กฎกระทรวงที่อ้างถึงตาม มาตรา 88 นั้นได้เพียงปีเดียวเท่านั้น เมื่อพ้นจากหนึ่งปี หลังจากที่ประกาศใช้ พรบ.อุปถัมภ์ฯ นี้แล้ว จะไม่อาจอ้าง กฎหมายอื่น อันขัดหรือแย้งกับ พรบ.นี้ได้ (คือต้องอยู่ใต้อำนาจของ พรบ. นี้ไม่มียกเว้น) ปรากฎตามมาตรา 92 ให้นำกฎกระทรวง... มาบังคับใช้โดยอนุโลม เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับ พระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ไม่เกินหนึ่งปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ฉะนั้นจึงสรุปได้ความว่าความมีอิสระในการบริหาร การปกครอง การเผยแพร่คำสั่งสอนของพระสงฆ์จีนนิกาย อานัมนิกาย หรือนิกายอื่นใดๆ อันเป็นพระพุทธศาสนา ภายใน ประเทศไทยนี้ จะถูกบังคับด้วยกฎหมายนี้ทันที หลังจากกฎหมายนี้บังคับ ใช้หนึ่งปีไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจาก แนวทางคำสั่งสอน ของแต่ละนิกาย ย่อมแตกต่างกันออกไป ดังนั้น การที่ กฎหมายดังกล่าวนี้ จะบังคับให้มีการสั่งสอนในทางเดียวกันนั้น ย่อมเป็นไปมิได้โดยแท้ ทั้งขัดกับรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 38 นี่คือสิ่งพิสูจน์ให้เห็นถึง เจตนารมย์ของ ขบวนการผู้ร่างกฎหมายนี้ ที่ต้องการก่อให้เกิดการแตกแยก และการทำลายล้าง ในพุทธศาสนิกชน ด้วยกันเอง โดยใช้ความขัดแย้งในคำสั่งสอน ซึ่งขบวนการทำลายพุทธ ได้ทดลองใช้ปลุกระดม ทำลายวัดพระธรรมกาย ได้ผลมาแล้วในลักษณะคำสอน แม้แต่อยู่ในเถรวาทอัน เป็นนิกายเดียวกัน เสียด้วยซ้ำ ยิ่งหากเป็นลักษณะของต่างนิกาย แต่จะให้มีการ สั่งสอนอย่างเดียวกันนั้น ย่อมเป็นไปมิได้ ย่อมเกิดความขัดแย้งนำมาซึ่งการต่อต้าน ก่อให้เกิดความไม่สงบต่อ ความมั่นคงของประเทศ ในระยะเวลาไม่นาน เมื่อมีการประกาศใช้ บทบัญญัตินี้ ดังปรากฏใน
มาตรา 4 ศาสนธรรม หมายความว่า พระธรรมวินัยซึ่งเป็นคำสั่งสอนของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏตามพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา หรือสิ่งอื่นใด ใน ลักษณะเดียวกัน เพื่ออธิบาย ความพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา
ศาสนศึกษา หมายความว่า การแนะนำ ถ่ายทอด จัดให้ศาสนบุคคล แม่ชี และคฤหัสถ์เรียนรู้ ศาสนธรรมด้านปริยัติ ปฏิบัติ ตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วย กระบวนการ ศึกษาเล่าเรียน เทศนาสั่งสอน ฝึกอบรม ปฏิบัติ การสร้างองค์ความรู้ และให้หมายถึง การเผยแผ่ศาสนธรรม การจัดศาสนพิธีในพระพุทธศาสนาด้วย
ผู้ที่ร่าง พรบ.นี้มีเจตนาแจ้งชัด เพื่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ระหว่างภายในพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จึงบัญญัติไว้เช่นนี้ เพียงคำว่า พระไตรปิฎก ก็จะไม่สามารถสรุปใดๆ ได้แน่นอน เพราะจะใช้พระไตรปิฎกฉบับไหน ของมหายาน หรือเถรวาท มาเป็นหลัก นี่คือลักษณะของความจงใจ บีบบังคับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ ยังระบุให้พระสงฆ์นิกายอื่น ต้องใช้ ระบบไตรสิกขา ตาม พรบ. นี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และความเข้าใจผิดระหว่างพระสงฆ์ต่างนิกายจะเกิดขึ้น กลายเป็นว่า ร่าง พรบ. ดังกล่าวนี้เกิดขึ้น จากพระสงฆ์ไทย นิกายเถรวาท กำหนดหรือระบุให้ร่างขึ้นมา เพื่อต้องการกลืนนิกายอื่น (ซึ่งความจริงแล้วมีพระไม่ถึง 10 รูปกระมัง ที่รู้เรื่องการยกร่าง พรบ. อุบาทว์นี้ขึ้นมา) จะเป็นผลเสีย และเกิดข้อขัดแย้ง อย่าง รุนแรงในกลุ่มพุทธศาสนิกชน เป็นช่องทางให้ศาสนาอื่น เข้าครอบงำ และกลืนพระพุทธศาสนาในประเทศ ได้อย่างง่ายดาย
ยังไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนของศาสนพิธีต่างๆ ของพระสงฆ์นิกายจีน และนิกายอื่นๆ นั้นแตกต่างกันไป เช่น พิธีสวดศพส่งวิญญาณ(กงเต็ก) ฯลฯ อันพระสงฆ์นิกายจีน ได้กระทำ เป็นประเพณีมาแต่โบราณ ก็มิอาจจะกระทำได้ เพราะขัดต่อบทบัญญัติในกฎหมายนี้ ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 56 เป็นช่องทางให้คณะกรรมการ หรือผู้มีอิทธิพลการเมืองท้องถิ่น ใช้เป็นทางรีดไถหากิน เพราะกฎหมายนี้ ให้อำนาจจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้
2.ห้ามสร้างศาสนสถาน และพระพุทธรูป
เมื่อเราเข้าไปในพุทธสถานอันมิใช่เถรวาท เราจะเห็นพุทธปฏิมากร อันมีลักษณะที่แตกต่างไปตาม ความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะชาวจีน แต่ตาม พรบ.อุปถัมภ์ฯ ดังกล่าวนี้ห้ามโดยเด็ดขาด การก่อสร้างศาสนสถาน ของนิกายจีน อานัมนิกาย หรือพระพุทธศาสนานิกายอื่น จะต้องได้รับอนุญาต และออกแบบโดย คณะกรรมการ กอค.พช. เท่านั้น นี่คือการวางช่องทางให้กับ ขบวนการทำลายพระพุทธศาสนา ที่จะเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ จากการก่อสร้างศาสนสถาน คือ
ถ้าหากวัดจีนนั้น ต้องการสร้าง ก็ต้องจ่ายเงินผลประโยชน์ ให้ผู้ออกแบบและอนุมัติ หากไม่จ่ายก็ไม่อนุญาตให้สร้างทั้งขึ้นทั้งล่อง (ประโยชน์ที่จะเกิดแก่พระพุทธศาสนา จะอยู่ตรงไหน) ต่อไปคงจะไม่เห็นศาสนสถานสวยๆ วิจิตรพิศดาร อย่าง วัดมังกรกมลาวาส และอีกหลายวัด ที่ผู้ออกแบบ และก่อสร้าง จินตนาการมาจาก จิตวิญญาณ ที่เต็มไปด้วย กุศลศรัทธา ออกมาเป็นพุทธศิลป์ มีความลึกซึ้ง และเป็นปริศนาธรรม ก่อให้เกิดปัญญา และข้อธรรมขึ้นในใจ แก่ผู้เข้าไปปฏิบัติธรรม เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผิดกับผู้รับจ้างทำงาน เพียงเพื่อได้ ค่าจ้างหรือผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว นี่เป็นลักษณะของการทำลาย พระพุทธศาสนาทางอ้อม
ในส่วนของศาสนวัตถุ ได้ถูกกำหนดห้ามมิให้ มีการสร้าง พุทธสถานอื่นๆ เช่นพุทธสถานโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร (กวนอิมเนี้ย) ซึ่งจัดว่ามีชาวพุทธ ที่นับถือศรัทธา จำนวน ไม่น้อย และท่านเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม นับตั้งแต่กฎหมาย อุบาทว์นี้มีผลบังคับเมื่อใดก็ตาม จะส่งผลให้สถาน พุทธศาสนาใดๆ จะสร้างรูปเคารพมิได้ แม้เพื่อ การสักการะบูชา (ซึ่งหากต้องการสร้าง เป็นกรณีพิเศษ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นรายๆ โดยคณะกรรมการฯ กอค.พช. พูดให้ถูกคือ นักการเมืองท้องถิ่น หรือผู้ต้องการแสวงหา ผล ประโยชน์ ในการสร้าง เป็นผู้อนุญาต ตาม มาตรา 51) แม้กระทั่งการสร้างพระพุทธรูป พระสังกัจจาย อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวจีน เป็นอย่างยิ่ง ก็มิอาจสร้างได้ เพราะจะถูกอ้าง ว่า ผิดพุทธลักษณะ (ใครเกิดทันสมัยพุทธกาล บ้าง?) สำหรับพุทธศาสนิกชน ที่เคารพนับถือ ในพระโพธิสัตว์กวนอิม ก็โปรดเตรียมตัวเตรียมใจ รับสถานการณ์มารศาสนา ที่จะเข้ามา รีดไถ ได้อย่างถูกกฎหมาย ในอนาคตอันใกล้นี้
3.สั่งยุบเลิกวัด หรือชมรม สถานปฏิบัติธรรมของชาวจีนได้ทุกแห่งทั่วประเทศ
กฎหมายที่ระบุใน ร่าง พรบ.อุปถัมภ์ฯ นั้นให้อำนาจครอบจักรวาลแก่กรรมการ กอค.พช.ซึ่งล้วนเป็นนักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มแสวงหาผลประโยชน์ และองค์กรนอกศาสนา ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามา มีอำนาจในการสั่งยุบเลิก ชมรม โรงเจ ศาลเจ้า สถานบำเพ็ญพรต สถานปฏิบัติธรรมจีน และทุกนิกายได้ทั้งสิ้น ตาม มาตรา 25(7) ดังนั้น สถานที่ประกอบ พิธีกรรม ของชาวจีนใดๆ ที่ตั้งขึ้นนั้น จะถูกยุบเลิกได้ในทันที ตามความต้องการของ คณะกรรมการ ดังกล่าว ลองนึกภาพดูเถิดครับ พี่น้องชาวจีนทั้งหลาย สถานปฏิบัติธรรมของท่าน จะเหลือไว้ให้กราบไหว้ สักกี่แห่ง ลูกหลานจีนในอนาคต จะรู้จักพระโพธิสัตว์กวนอิม เหมือนที่ท่านรู้จัก และเคารพศรัทธาหรือไม่ และหากไม่ยอมปิดตามคำสั่ง คณะกรรมการฯ ก็จะมี ความผิด เจ้าพนักงานของรัฐ สามารถดำเนินการจับกุม หรือใช้อำนาจรัฐ ดำเนินการปิดได้ทันที ตามกฎหมาย นี่คือแผนงานที่ได้วางไว้ อย่างรัดกุม ของขบวนการสลายพุทธ ที่แยบยล อาศัยอำนาจการเมือง ออกกฎหมายทำลาย พระพุทธศาสนา อย่างไม่มีผู้ใด สามารถต่อต้านได้ ซึ่งจะส่งผลให้พระพุทธศาสนาสิ้นสูญ ภายในชั่วอายุเรานี้ ทุกนิกายอย่างแน่นอน
4.ควบคุมผลประโยชน์รายได้ การเรี่ยไร ระบบการเงิน ของพุทธสถานนิกายจีน และนิกายอื่นๆ
นอกจากจะกำหนดห้ามการก่อสร้างศาสนสถาน หรือพระพุทธรูปไว้สักการบูชา ตามพุทธลักษณะแบบจีนกาย หรืออานัมนิกาย หรือรูปเคารพพระโพธิสัตว์แล้ว คณะกรรมการฯ ดังกล่าว ยังมีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะเข้าควบคุมผลประโยชน์ และรายได้ทั้งหมดของพุทธสถานนั้น ซึ่งพุทธสถานนั้นๆ จะต้องจ่ายเงินเดือน และค่าจ้างให้กับ บุคคล ที่คณะกรรมการ ส่งไปดำเนินงานนั้นด้วย (จ่ายค่าจ้างเลี้ยงโจร) และทรัพย์สินทั้งสิ้นนั้น จะถูกรวบเข้าเป็นพุทธศาสนสมบัติ (บริหารโดยองค์กรมหาชน ควบคุมโดยขบวนการ สลายพุทธ)
การเรี่ยไร ตั้งตู้รับบริจาค ค่าน้ำค่าไฟ ค่าก่อสร้าง ก็ไม่สามารถทำได้โดยปกติ รวมไปถึงการพิมพ์ หนังสือหลักธรรมคำสอนต่างๆ จะต้องได้รับการพิจารณาอนุญาต เสียก่อน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนี้ ไม่เคยปรากฏขึ้น บนผืนแผ่นดินไทย อันมีแต่ความสงบสุขและสามัคคีของชนในชาติ
การตรวจสอบบัญชีรายรับ รายจ่ายทุกชนิดจะต้องถูกควบคุม แม้กระทั่งรายได้ใดๆ รวมไปถึงรายได้จากการให้เช่าที่ดิน ที่จอดรถ (วัดที่อยู่ในย่านเยาวราช โดนรีดไถเป็น ลำดับแรก) สำหรับบุคคลที่เข้าอยู่อาศัยใน สถานปฏิบัติธรรมหรือวัด เพื่อถือศีลกินเจและภาวนา จะต้องถูกไล่ออกไป และจะอยู่ได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ ความเห็นชอบของคณะกรรมการ กอค.พช. ประเทศคงถึงขั้นมิคสัญญีกันคราวนี้เป็นแน่
ทดลองใช้อำนาจก่อนได้ใช้จริง
จากภาพที่ปรากฏทางข่าวสารมวลชน กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำกำลังบุกเข้าไปในวัดพระธรรมกาย โดยข้ออ้างว่า จะเข้าไปสอบสวนปากคำพระภิกษุ ตามหมายเรียกที่ตนออก นั้น โดยความเป็นจริงแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจอันทำหน้าที่สอบสวน ได้รับหนังสืออย่าง เป็นทางการจาก พระปลัดสุธรรม ว่า ติดศาสนกิจ อันเป็นกิจของสงฆ์ จะต้องปฏิบัติตาม พระธรรม วินัย ของ พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระสงฆ์จะต้องปฏิบัติตาม โดยเคร่งครัด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็มิได้ให้ความสำคัญต่อ พิธีกรรมหรือศาสนพิธี คงถือว่า ตนเองมีหน้าที่ โดยคำสั่งที่ตนต้องทำ แม้ว่าพระภิกษุ ซึ่งครองผ้ากาสาวพัสตร์ทรงศีล 227 ได้บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า พระปลัดสุธรรม ไม่อยู่ไปปฏิบัติ ศาสนกิจ ก็ไม่ได้รับความเชื่อถือ เจ้าหน้าที่กลับ แสดงอาการคล้ายกับว่า พระโกหก โดยพฤติกรรมแสดงออก ทางวาจาปรากฏแก่สาธารณชนเป็นข่าวไปทั่วประเทศว่า ขอเข้าไปดูที่กุฎิ เพื่อพิสูจน์ความจริง และเมื่อเจ้าหน้าที่ได้เข้าไป ยังกุฏิของ พระปลัดสุธรรม ก็ปรากฏว่า ท่านไปปฏิบัติศาสนกิจไม่อยู่จริง
พุทธศาสนิกชนโปรดพิจารณาเองว่า พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ทรงศีลจริยาวัตร 227 ยังได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ในขณะที่ พรบ.อุปถัมภ์ฯ ยังไม่ออกมาบังคับใช้ หากพรบ.นี้ มีผลบังคับใช้จริง ลองนึกภาพดูซิว่า นักการเมืองท้องถิ่น องค์กรต่างชาติต่างศาสนา ที่ได้รับการแต่งตั้ง มาเป็นคณะกรรมการฯ กอค.พช. จะมีอำนาจขนาดไหน พระสงฆ์องค์เจ้า คงต้อง ต้อนรับ อบจ.อบต.สท. หรือเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงบุคคลที่กล่าวอ้างนามว่า ทำการกับกรรมการเหล่านั้น แม้จะอ้างศาสนกิจใดๆ ก็คงไม่ได้รับการยอมรับ หรือให้ความเคารพใดๆ พอสรุป พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ได้เป็นอย่างดีว่า นี่เป็นการทดสอบการใช้อำนาจ การแสดงอำนาจใดๆ ต่อพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะใช้อำนาจจริงอันได้ระบุไว้ใน พรบ.ผีดิบ กับพระ ภิกษุสงฆ์ในนิกายอื่น หรือพุทธศาสนิกชน ที่นับถือพุทธทั่วไป เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวนั้น ยังมีระเบียบ กฎต่างๆ อันสามารถนำมาใช้ ในวิถีทางที่สวยงาม และไม่ให้เกิด ความเสื่อมเสีย แก่พระพุทธศาสนา มิใช่การแสดงทีท่าหรือพฤติกรรม คล้ายกับว่า วัดเป็นซ่องโจร และพระเป็นอาชญากร เชื่อถือไม่ได้ อย่างเช่นปรากฏแก่สื่อมวลชน เช่นนั้น จึงมิใช่ สาเหตุอื่น อันอาจนำมากล่าวอ้างได้ว่า ได้กระทำตามระเบียบหรือกฎหมายอย่างใด
แผ่นดินไทยอยู่รอดปลอดภัย เป็นเอกราชยั่งยืนนาน มาจนถึงยุคของเราในปัจจุบันนั้น ก็เพราะความสามัคคีของชนในชาติ ทุกหมู่เหล่า เมื่อมีขบวน การทำลายพระพุทธศาสนา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายบัญญัติกฎหมาย เพื่อให้เกิดความแตกแยกทางความคิด แบ่งเป็นพรรค เป็นนิกาย หวังให้เกิดความเข้าใจผิดว่าพระราชบัญญัติ ดังกล่าวนี้เกิดขึ้น จากพระภิกษุสงฆ์ เถรวาท เป็นตัวตั้งตัวตี เห็นร่าง พรบ.ดังกล่าว โดยสร้างภาพจาก จัดตัวบุคลากร วิทยากร อันเป็นพระสงฆ์เถรวาท ออกนำหน้า แต่เมื่อ พรบ.มีผลบังคับใช้ กลับบังคับต่อพระสงฆ์จีน นิกาย อานัมนิกาย และพุทธศาสนานิกายอื่นๆ ด้วย อันเป็นช่องทาง ให้เกิดแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ทำลายล้างระหว่างชาวพุทธ ด้วยกันเอง
จึงควรที่พุทธศาสนิกชนทุกนิกาย ควรที่จะรีบทำ ความเข้าใจ ในรายละเอียดของร่างพรบ.ดังกล่าวนั้น พร้อมกับช่วยกัน เปิดเผยพฤติกรรม ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การกระทำดังกล่าวนี้ ต่อสาธารณชน ก่อนจะสายเกินไป ที่ชาวพุทธไทย จะต้อง ถูกเสี้ยมให้ฆ่ากันเอง หากเราไม่สามารถที่จะระงับการตราพระราชบัญญัตินี้ ปล่อยให้มีผลบังคับใช้ต่อ พระพุทธศาสนา ทั่วประเทศได้ ก็ขอให้ชาวพุทธทุกเชื้อชาติ ในแผ่นดินไทย เตรียมตัวเตรียมใจ รับสถานการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในทันที ที่กฎหมายนี้มีผล คงไม่ผิดกับ ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน เพียงแต่ ต่างกันตรง ชาวพุทธจะถูกหลอก ให้ฆ่าพุทธด้วยกันเอง ตามที่ขบวนการสลายพุทธวางแผนไว้
แต่จนถึงบัดนี้ ยังไม่ปรากฏปฏิกิริยาใดๆ จากฝ่ายบ้านเมือง หรือ ฝ่ายสงฆ์ออกมารณรงค์ เพื่อให้ยกเลิกแนวความคิดนี้แต่อย่างใด กลับปล่อยให้มีการสัมมนา หาแนวร่วม เพื่อจะให้ประชาชนเข้าใจผิด เห็นด้วยกับร่าง พรบ.นี้ ซึ่งจะมีผลทำลายพระพุทธศาสนา ให้สาบสูญ ในชั่วอายุเรานี้ จึงเป็นคำถามคาใจสำหรับชาวพุทธไทยว่า ฤาแผ่นดินจะสิ้นพุทธ?