ปีที่ 2 ฉบับพิเศษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 8 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2542

พิเศษ 4 ความจริงทางวิชาการ

โดย ดร.เบญจ์ บาระกุล

อุดมธรรม-นิพพานกับขบวนการล้มพุทธ

ผังปกครองสงฆ์ใหม่

ความยุติธรรมทั้งหลายในโลก ย่อมอยู่ที่ความเป็นจริงและพฤติกรรมหลักฐาน อันผู้กระทำได้ก่อให้เกิดขึ้น เป็นที่ประจักษ์ สามารถยืนยันพิสูจน์ได้ สังคมจึงสร้างกฎ เป็นตัว กำหนดเรียกว่า กฎหมาย ในส่วนของพระสงฆ์ไทย ก็จะมีกฎมหาเถรสมาคม เป็นตัวกำหนดกรอบ ระเบียบปฏิบัติ ในการปกครองคณะสงฆ์ไทย ซึ่งประเทศไทย ใช้กฎหมายแบบ ลายลักษณ์อักษร คือตีความข้อกฎหมายไปตามตัวอักษร (เขียนไว้เช่นใด ก็พิจารณาไปตามนั้น) มิใช่กฎหมายจารีต ซึ่งจะตีความ ไปตามความเห็นของแต่ละคนได้ ดังนั้นการที่ผม ได้นำเสนอข้อกฎหมาย และการพิจารณานั้น มิได้หมายความ ว่าจะเข้าข้างใคร แต่ต้องการพิสูจน์ให้โลกได้รู้ว่า ประชาชนคนไทย ไม่ใช่เป็นพวกชนที่โง่งม ไร้ความรู้ ขาดเหตุผล ในการพิจารณา ยอมรับและปฏิบัติไปตามกระแส สื่อที่ชี้นำ ซึ่งไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ มีสมองแยกเหตุผลผิดถูก ดังนั้นข้อเขียนทุกตัวอักษร ที่ผมได้นำ เสนอ ล้วนแล้วแต่เป็นข้อแท้จริง ที่มีกฎหมายรองรับ สามารถพิสูจน์ได้ในทุกสภาวะและ สถานการณ์

1.แผนทำลายความน่าเชื่อถือเจ้าคณะจังหวัด

กฎมหาเถรข้อ11หากท่านผู้อ่านลองนึกย้อนหลังเหตุการณ์และสังเกตให้ดี ได้มีการ วางแผนการณ์ของขบวนการล้มพุทธไว้ อย่างเป็น ขั้นตอน แล้วแต่ต้น ในส่วนของ การทำลาย ความน่าเชื่อถือ ของเจ้าคณะจังหวัด (พระสุเมธาภรณ์) โดยผ่านทาง สื่อมวลชนหลายฉบับ โดยการสร้างกระแสว่า มีความรู้น้อย จะสามารถ ดำเนิน การเรื่อง วัดพระธรรมกายได้อย่างไร ทั้งนี้เพราะ ขบวนการดังกล่าว ได้รู้อยู่แล้วว่า การยื่นกล่าวโทษพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนั้น ไม่สามารถ กระทำ ได้ เพราะกฎหมายไม่เปิดช่อง เนื่องจาก นายมานพ พลไพรินทร์ เป็นถึง หัวหน้า นิติกร (ฝ่ายกฎหมาย) ของกรมการศาสนา ย่อมทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ในข้อ กฎหมาย ว่า ฆราวาสไม่อาจยื่นฟ้องนิคหกรรมพระสงฆ์ได้ (ดูกรอบกฎ มหาเถร สมาคม ขวามือ) ต้องเป็นพระสงฆ์ด้วยกันเอง ยื่นให้ดำเนินการตามนิคหกรรม เท่านั้น แต่เหตุใด จึงยื่นเรื่องให้ เจ้าคณะจังหวัดดำเนินการ ทั้งๆ ที่รู้???

ซึ่งพระสุเมธาภรณ์เจ้าคณะจังหวัดได้ทำการทักท้วงความ ถูกต้องมาตั้งแต่มีการเริ่มยื่นเรื่องว่า นิคหกรรมเป็นเรื่อง ระหว่าง พระสงฆ์เท่านั้น และกฎหมายใดๆ ในประเทศไทย ต้องตีความไปตามตัวอักษร ซึ่งเป็นสิ่งถูกต้องตามหลักนิติธรรม และหลักปฏิบัติของ นักกฎหมาย ทั้งประเทศ แต่กลับถูกโจมตีจากกระแสสื่อ ว่าท่านทำไม่ถูกต้อง ผมในฐานะ นักกฎหมาย ฟังแล้วงงครับ...

ยิ่งไปกว่านั้น นายจรวย หนูคง ผู้ร่างกฎดังกล่าว ยังมีหน้าออกมายืนยัน เป็นคุ้งเป็นแควว่า พิมพ์ผิด แสดงให้เห็นถึง ภูมิปัญญา ระดับบริหารว่า บทบัญญัติใดแห่งกฎหมาย เมื่อได้ตราออกมาใช้บังคับนั้น ต้องเป็นไปตามบทบัญญัตินั้น และขอบอกวัตถุประสงค์ ของ ผู้ร่างกฎนิคหกรรมดังกล่าวนั้นคือ ไม่ต้องการให้กลุ่ม หรือขบวนการนอกศาสนา อาศัย หรือ ใช้กฎดังกล่าวนี้ เป็นเครื่องมือทำลาย พระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา จึงมีการระบุให้ใช้ระหว่างพระสงฆ์ต่อพระสงฆ์ด้วยกัน แม้ว่าความผิดนั้น จะเกิดกับฆราวาส ฆราวาส ผู้นั้น ต้องให้ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา องค์ใดองค์หนึ่งเป็นโจทก์ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก พระเถรานุเถระ และกรรมการ มหาเถรสมาคมทุกท่าน ซึ่งมิได้มีความเห็นหรือหมายเหตุใดๆ ว่าพิมพ์ผิด ดังที่กล่าวอ้าง

ฉะนั้นการที่บุคคลระดับบริหารกล่าวเช่นนี้ นอกจากจะทำให้ข้าราชการในระดับเดียวกันนั้น ต้องอับอายในภูมิปัญญา ยังเกิดความ เสื่อมเสียและความเข้าใจผิด ให้เกิดขึ้นในหมู่ พุทธศาสนิกชน โดยการเสนอข่าวของสื่อมวลชนอีกด้วย

สิ่งที่พึงสังเกตุก็คือ บุคคลผู้ร่วมในขบวนการล้มพุทธล้มพุทธ โจมตีพระเถรานุเถระ มหาเถรสมาคม ไม่เว้นแม้กระทั่ง องค์สมเด็จพระสังฆราช กรณีวัดพระธรรมกาย ล้วนแล้ว แต่เป็นองค์กร และบุคคลกลุ่มเดียวกันกับ ที่ได้ยิน ฟ้องพระสงฆ์ในพุทธศาสนา โดยอาศัยกฏนิคหกรรมที่กล่าวนี้ โดยประชาชน ความสำคัญผิด ในคุณสมบัติว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญ ทาง กฏหมาย และศาสนา น่าเชื่อถือ ทำให้พุทธศาสนาได้รับความเสื่อมเสีย ต่อสายตาชาวโลก มาแล้วทั้งสิ้น ซึ้งหากว่ากัน ตามบทกฏหมายต ามลายลักษณะอักษรแล้ว กรมการศาสนา หรือผู้เกี่ยวข้อง ในขบวนการนี้ ไม่อาจดำเนินการได้เลย แต่ด้วยแรงกระแสสื่อ (ซึ่งก็เป็นสื่อเดิม) ชี้นำทั้งสิ้น จึงยากถามว่า ความผิดพลาดของท่านนั้น จะรับผิดชอบอย่างไร และทราบ หรือไม่ว่า อำนาจฟ้องร้องของท่าน ที่ผ่านมา แม้ในปัจจุบัน ก็มิชอบด้วยกฏหมาย และบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แสดงให้เห็นถึง การจัดตั้งเจตนา ให้เกิดเหตุเพื่อเป็นข้ออ้าง ออก กฏหมาย เพื่อเปลี่ยนแปลง การปกครองคณะสงฆ์ และเปิดทางให้ องค์กรต่างชาตินอกศาสนา เข้ามามีอำนาจปกครองชาวพุทธนั่นเอง

2.แผนนิพพานเป็น อัตตา อนัตตา

สิ่งที่ชาวพุทธจำนวนมากรับทราบจากข่าวสารในกรณีวัดพระธรรมกาาย เกิดจากการเสนอข่าว สร้างกระแสว่าบิดเบือนคำสอน ว่า นิพพาน เป็น อัตตา ซึ่งก็ได้รับผล ประชาชน พากันรุมโจมตี โหมกระหน่ำตลอดมา จวบจนปัจจุบัน จึงขอเรียนให้ทราบว่า จากพยานเอกหลักฐาน ที่ได้รับแจกจาก การประชุมเสวนา ณ อาคารรัฐสภาวันที่ 30 ก.ค. 2542 ซึ่งจัดโดย คณะกรรมมาธิการศาสนาฯนั้น สามารถยืนยันได้ว่า การใช้คำว่า นิพพาน เป็นตัวนำในการโจมตีนั้น มีวัตถุประสงค์ให้ชาวพุทธ ไขว้เขวในพระสัทธรรม คำสั่งสอนของ พระสัมมา สัมพุทธเจ้า ไม่แน่ใจว่า เป็นอย่างใดแน่ และเมื่อเกิดความสับสน ก็สามารถบิดเบือน สร้างคำจำกัดความใหม่ของคำว่า นิพพาน ของตน เข้าไปโดยใช้คำว่า อุดมธรรม (ซึ่งมิใช่คำใน พุทธศาสนา) แทนโดยระบุว่า คือสิ่งเดียวกันกับ นิพพาน ปรากฏเป็นหลักฐานแจ้งชัด และยกย่องถือเป็นสิ่งสูงสุด เท่ากับพระนิพพาน อันเป็นธรรมขั้นโลกุตร ที่พระอรหันต์ผู้หมดกิเลส แล้ว เท่านั้น จึงจะบรรลุได้ ปรากฏแจ้งชัด ในผังการปกครองสังฆมลฑล   ที่นำเสนอ โดยพระศรีปริยัติโมลี (ดูเอกสารประกอบ)

อุดมธรรม.jpgผมเองก็สงสัยมาตลอดในคำว่า อุดมธรรม คืออะไรกันแน่ และเหตุผลไฉนจึงนำไปไว้สูงสุดและให้ ความหมายว่าคือ นิพพาน ซึ่งเป็นโลกุตรธรรมขั้นสูงสุด ของพุทธศาสนา ผมพยายามค้นหา ในพระไตรปิฎกทุกฉบับ ที่มีอยู่ในโลก ผลคือไม่มีครับ แต่มีอยู่ที่เดียวในโลกคือ หนังสือ อุดมธรรม ซึ่งแจกที่รัฐสภาฯนั่นแหละ ท่านทราบหรือไม่ว่า ใครบัญญัติ และให้ความหมายคำว่า อุดมธรรม ท่านผู้นั้นคือ พระธรรมปิฎก นั่นเอง ซึ่งให้ความหมายคำๆ นี้โดยรวมว่า อุดมธรรม คือ การเอื้อเฟื้อเกื้อกูลศาสนาอื่น ในขณะที่ นิพพาน ในความ หมายของพระไตรปิฎกคือ การกิเลศ ตัณหา อาสวะทั้งปวง หลุดพ้นจากโลกิยธรรมทั้งสิ้น นี่คือการบิดเบือน พระสัทธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยชัดแจ้ง กรณีวัดพระธรรมกาย ซึ่งโดนกล่าวหาว่า สอนผิดพระไตรปิฎก แล้วกรณีประกาศให้โลกยอมรับว่า อุดมธรรม คือ นิพพาน จะดำเนินการอย่างไร?? หรือว่าเป็นคนของคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ทำได้ไม่ผิด

คำถามที่อยากจะถามไปยังผู้ที่มีความรู้ทางพุทธศาสนาว่า ในเมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้แจ้งชัดใน พระไตรปิฎก เรื่องนิพพานนี้น มิได้เกี่ยวข้องหรือมีข้อความใดๆ อันกล่าวถึง การสนับสนุนศาสนาอื่นคือ นิพพาน เช่นนี้ จัดว่าผู้ที่กล่าวหรือประกาศเช่นนั้น ได้ทำตัวเป็น ศาสดาองค์ใหม่แทนพระพุทธเจ้าได้หรือไม่??

เอกสารดังกล่าวนี้ ได้รับอนุญาตจากนายอำนวยฯ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ให้แจกจ่าย กับผู้ร่วมประชุมได้ จึงพอพิสูจน์เจตนา อำนาจ และอิทธิพลของ ขบวนการ และองค์กรนอกศาสนา ที่ได้เป็นอย่างดี

ผมมีข้อความซึ่งคัดจากเอกสารที่อนุญาตให้แจกที่รัฐสภาฯมาให้ท่านผู้อ่านพิจารณา ข้อความมีดังนี้

"ตัวธรรมชาติทั้งหลาย เป็นกายของพระเจ้า กฏของธรรมชาติ เป็นจิตของพระเจ้า หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นั้น คือพระประสงค์และข้อเรียกร้องของพระเจ้า ส่วนผลตาม หน้าที่นั้น คือ ผลที่พระเจ้าประทานให้" ผมอยากจะถามท่านผู้อ่าน ท่านเชื่อหรือ ไม่ว่า เป็นคำเทศนาของพระพุทธทาส ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านที่เป็นลูกศิษย์ลูกหา ช่วยตอบด้วยนะครับ หรือใครมีเทปหลักฐานยืนยัน การเทศนานี้ โปรดส่งมาให้ จะเป็นพระคุณยิ่ง แต่สำหรับผมเองนั้น ไม่เชื่อครับว่า พระสงฆ์ในพุทธศาสนา จะเทศนาสั่งสอน คริสต์ ศาสนา โดยเฉพาะท่านพุทธทาส ซึ่งเป็นพระที่เคร่งในการปฏิบัติ ผมเข้าใจว่า เป็นการทำให้เสื่อมเสีย โดยท่านไม่มีสิทธิแก้ตัว เพราะท่านมรณภาพไปแล้ว เป็นการสร้างความน่า เขื่อถึอว่า พระพุทธทาส สนับสนุนคริสเตียน เพื่อให้เจือสมกับคำว่า อุดมธรรม ของพระธรรมปิฎก นั่นเอง

และนับแต่วันจันทร์ (2 ส.ค. 42) ที่ผ่านมา ผมได้รับคำถามจากหน่วยราชการ และร้านจำหน่ายหนังสือและประชาชน เกี่ยวกับหนังสือ เปิดโปงขบวนการล้มพุทธ มีความสงสัย ในข้อกฎหมายบางประการ ที่เกี่ยวข้อง ก็ขอเรียนตอบให้ทราบว่า

หนังสือดังกล่าวนั้นเป็นการแสดงความต่อเนื่องเชื่อมโยง และพฤติกรรมของกลุ่มบุคคล ที่ร่วมกันกระทำ การ อันมิใช่เจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ สร้างสถานการณ์ กรณี ธรรมกาย เพื่อเป็นสาเหตุ สร้างกระแสประชาชน   นำไปเป็นข้ออ้าง ในการออกกฎหมาย ยึดอำนาจคณะสงฆ์ไทย และใช้บังคับพุทธศาสนิกชน ทั่วประเทศ อันเป็นอันตรายต่อ ความ มั่นคงของชาติ เป็นอย่างยิ่ง

การแสดงข้อมูลแท้จริง ที่เกิดขึ้นจริง มีหลักฐานทางราชการและหลักฐานสาธารณะ สามารถพิสูจน์ได้ มิใช่เป็นความเท็จ เป็นการติชมด้วย ความเป็นธรรม นำมาเปิดเผยต่อ สาธารณชน ให้รับทราบ รับรู้ เพื่อป้องกัน เหตุ อันจะเป็นภัยต่อความสงบสุข และศีลธรรมอันดีของ ประเทศชาติ อันเป็นวิสัยของประชาชนชาวไทย ถึงกระทำ (จึงไม่ขัดต่อ ป.อาญา มาตรา 329) อีกทั้งเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตัวบทกฎหมายและหน้าที่ของพลเมืองไทย ส่วนผู้ที่ห้ามจำหน่ายจ่ายแจกหนังสือดังกล่าว ซึ่งมีประโยชน์ต่อ ประเทศชาติและประชาชน ดังกล่าวนั้น อาจจัดเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 (ฐานตัวการร่วม) คือร่วมกระทำความผิดกับ กลุ่มบุคคล ที่ดำเนินการใดๆ อันเป็น การทำลายพุทธศาสนา อันเป็นสถาบันแห่ง ความมั่นคงของชาติ อยู่ในขณะนี้ สำหรับผู้จำหน่ายจ่ายแจกคือ ผู้ที่ทำหน้าที่พลเมืองดีของไทย ในการเผยแพร่ข้อมูลป้องกันประเทศ และรักษาความมั่นคงของชาติ ในส่วนสถาบันศาสนาอีกด้วย

3.พุทธศาสนาคือศาสนาประจำชาติ

คำนี้มิใช่คำกล่าวอ้างขึ้นลอยๆ โดยการแอบอ้าง จากชาวพุทธไทยแต่อย่างใด ปรากฏหลักฐานโดย มีพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงมี พระราชดำรัส ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 227 มีความจำเพาะตอนหนึ่งว่า

คนไทยเป็นศาสนิกที่ดีทั่วกัน ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติ จากพระราชดำรัสนี้เป็นสิ่งยืนยันสถานะของพุทธศาสนา เฉกเช่นบรรพกษัตริย์ไทย แต่โบราณกาล (และการที่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือขบวนการในแผ่นดิน มิอาจกล่าวอ้างได้ว่า ไม่เคยปรากฏหลักฐาน ณ ที่ใดในประเทศไทยว่า ศาสนาพุทธ คือศาสนาประจำชาติ จึงไม่เป็น ความจริง แต่อย่างใด) และยิ่งไปกว่านั้นคือ ทรงมีพระราชดำรัสต่อหน้า สันตปาปา จอห์น ปอลที่ 2 ประมุขแห่ง ศาสนจักรคาทอลิค เมื่อมีพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้เข้าเฝ้า ซึ่งชาวพุทธไทยจงโปรดระลึกไว้

ฉะนั้นการที่ผมและชาวพุทธไทย อีกหลายล้านท่าน ที่ได้ออกมากล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า พุทธศาสนาคือศาสนาประจำชาติ ย่อมมีที่มามีหลักฐาน เป็นการสนองเบื้อง พระยุคลบาท เทิดทูนพระราชปณิธาน พระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันสูงสุดของชาติ ซึ่งผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้

จากการประชุมที่เกิดขึ้นในวันที่ 1 ก.ย. 37 จิตสำนึกของชาวพุทธ เกี่ยวกับพุทธศาสนา ในฐานะ เป็นศาสนาประจำชาติ วิทยากรท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ได้กล่าวต่อหน้าที่ประชุมว่า อาตมาได้รับนิมนต์ให้มาพูดเรื่อง พุทธศาสนาในฐานะเป็นศาสนาประจำชาติไทย   อาตมาจะต้องขอทำความเข้าใจ กับที่ประชุมก่อนว่า ตัวอาตมานั้น ไม่ได้มา เพื่อที่จะร่วมรณรงค์ในเรื่องนี้ และว่าที่จริงอาตมาก็ไม่ได้สนใจ เรื่อง การบัญญัติพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ เหตุผลในการที่จะ บัญญัติพุทธศาสนา เป็นศาสนา ประจำชาติ ไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็ไม่เห็นด้วย เมื่อนำเอาข้อมูล ช่วงเวลานี้ไปรวมกับคำสารภาพของ นายประเทือง เครือหงส์ ซึ่งรับสารภาพว่า เป็นผู้ยกร่าง พรบ.ทั้ง 2 ฉบับ ที่เปิดโอกาส ดำเนินการได้สำเร็จ ตามแผนงานที่วางไว้ ท่านทราบไหมครับว่า วิทยากรที่กล่าวถึงนี้คือใคร ท่านคือ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ผู้สร้างสถานการณ์ กรณีธรรมกาย ให้เป็นเรื่อง แตกแยก ในพุทธศาสนาอยู่ในขณะนี้

4.ใครคือผู้กำกับบทที่อยู่หลังฉาก ???

ขณะนี้กระแสของการต่อต้าน กฎหมายฆราวาสปกครองสงฆ์ และกฎหมายปลดอำนาจ สมเด็จพระสังฆราช ประมุขสงฆ์ไทย กำลังแรงขึ้นทุกขณะ แต่ขบวนการล้มพุทธ ก็พยายาม ใช้สื่อสารมวลชนในอาณัติ ของตน พยายามสร้างข่าวพระธัมมชโย จะต้องไปให้การกลบเกลื่อน โดยพยายามสร้างภาพ ให้เห็นไปเหมือน ว่า พระคืออาชญากร ยังไงยังงั้น ผมอยากจะถามเจ้าหน้าที่ตำรวจจังว่า คดีวูล์ฟกัง ราชายาเสพติดน่ะ ไม่เห็นว่า จะวางกำลังขนาดนี้

น่าสลดใจจากภาพที่ออกมาทางโทรทัศน์ ในความคิดเห็นส่วนตัวผมว่า ทำให้ข้าราชการตำรวจส่วนใหญ่เสียชื่อ เพราะมันเป็นการสนองตัณหา ของผู้ใหญ่ไม่กี่คนเท่านั้น กรณีที่ดินนี้ หากว่าถึงเรื่องการสอบสวนของ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งสำนวน อัยการก็ไม่ฟ้องแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าผู้แจ้งความกล่าวโทษนั้น ได้กล่าวโทษ ในข้อหาเกี่ยวกับ เรื่อง เจ้าพนักงานทำผิดต่อหน้าที่ ประเด็นที่จะสอบสวนก็คือ เป็นเจ้าพนักงานหรือเปล่า มีหน้าที่หรือเปล่า หากเป็นเจ้าพนักงานไม่มีหน้าที่ ก็ไม่มีความผิดแล้ว นี่ว่ากันตามตัวบท ไม่ว่า จะเป็นมาตรา 147 หรือ 157 ก็ตาม ภาษากฎหมายเขาเรียกว่า หลงประเด็น แต่จะบอกความลับให้ท่านผู้อ่านทราบเอาไว้สักนิดว่า ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสอบสวนเรื่องสิทธิ์บนที่ดินนั้น ก็เพราะนายอาคม เอ่งฉ้วน และกรรมการศาสนา ถูกฟ้องคดีแพ่ง ซึ่งศาลประทับรับคำฟ้อง และนัดไต่สวนมูลฟ้องปลายเดือนนี้ ดังนั้น การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงมุ่งประเด็น สิทธิ์บนที่ดิน ว่า ได้มาชอบหรือไม่ เพื่อจะนำไปใช้ในการต่อสู้คดี ใน ศาลแพ่งของนักการเมือง ที่ถูกฟ้องนั้น หากพนักงานสอบสวนว่า ผมพูดไม่จริง เมื่อมีการเบิกพยาน ในการไต่สวน มูลฟ้อง ที่ศาลแพ่ง อย่าอ้างข้อมูลใดๆ หรือเอาสำนวนสอบสวน เรื่องสิทธิ์ที่ดินนี้ ไปอ้างไหมล่ะ

แล้วที่ผมบอกว่า สำนวนดังกล่าวที่สอบสวนนี้ แม้จะส่งอัยการก็ไม่ส่งฟ้อง เพราะขัดต่อกฎหมาย ที่พนักงานสอบสวน เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องลับ โดยเฉพาะ ละเมิดรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยสิทธิของบุคคล ในการตรวจบัญชีส่วนตัว ในธนาคาร เป็นการได้พยานเอกสาร มาโดยทุจริต (ขัดต่อ พรบ.ธนาคารพานิชย์ ห้ามสามารถเปิดเผย ข้อมูลของลูกค้า) เจ้าพนักงานสอบสวน ก็อาจมีความผิด ฐานเปิดเผยความลับ ทางราชการ (ไม่เชื่อลองเปิดกฎหมาย ดูเถอะครับ แล้วจะต้องตกใจว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจอาศัย อำนาจ กฎหมาย ข้อไหน ออก หมายเรียก หมายจับ หมายค้น ทั้งๆ ที่ตนไม่มีกฎหมาย รองรับสักนิดเดียว แม้แต่คำว่า พนักงานสอบสวน ตามป.วิ.อาญามาตรา 2(16) ก็นำมาใช้อ้างไม่ได้ เพราะ ไม่ใช่กรมตำรวจแล้วครับ) นี่เป็นเรื่องง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ใครเป็นใคร และทำไมจึงเกิดขึ้น

แน่นอนที่สุดการทำลายพุทธศาสนาให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย โดยใช้ผลประโยชน์ อำนวจ และอิทธิพลเป็นเครื่องล่อใจ ให้ใครต่อใคร กระทำลงไป โดยไม่กลัวบาปกรรม ที่จะตามมาถึงตัว โดยเร็ววันนั้น ย่อมมีตัวการ มีผู้ร่วมขบวนการ หากท่านอ่านข่าวสาร จากสื่อมวลชนขณะนี้จะเห็นว่า มีการออกมาปฏิเสธจาก พระธรรมปิฎกว่า ไม่เคยรู้เห็นเกี่ยวกับ การร่างพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับ แต่อย่างใด แต่จากเอกสารบันทึกการประชุมวันที่ 10 มิ.ย. 42 เรื่อง การปรับปรุงกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ที่กรมการศาสนา หน้า 21 ปรากฏ ข้อความดังนี้

นายวรเดช อมรวรพิทักษ์ นักวิชาการประจำกรรมมาธิการศาสนาและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เสนอสรุปได้ว่า

1.เจ้าคุณพระธรรมปิฎก อาพาธ จะมีหนังสื่อขอลาออก จากการเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการชุดนี้ อย่างเป็นทางการ อีกครั้งหนึ่ง แต่ปรารภว่า ยินดีที่จะให้คำปรึกษา หรือวิจารณ์ เป็นลายลักษณ์อักษร มาเป็นเรื่องๆ ไป

ผมก็อยากจะฝากให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันเองก็แล้วกันว่า เกี่ยวข้องหรือไม่ แล้วที่สำคัญก็คือว่า นายวรเดชฯ เกี่ยวข้อง หรือได้รับมอบอำนาจ หรือเกี่ยวข้อสถานใดกับ พระธรรมปิฎก จึงมีสิทธิมาแจ้งต่อที่ประชุมแทนได้ ช่วยตอบให้ทราบด้วยนะครับ

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกที่มีความ เป็นอมตะ เป็นอกาลิโก มีความทันสมัยต่อทุกยุค ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันได้ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นพระพุทธวัจนะ แม้พระอรหันต์ผู้เป็นพระสุปฏิปันโน ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์เคารพและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด มิอาจบิดเบือน   ด้วยพระพุทธวัจนะได้บัญญัติแจ่มชัดว่า

ดูก่อนอานนท์ ธรรมวินัยอันเราบัญญัติไว้ดีแล้ว จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนตถาคตสืบไป อันธรรมวินัยของพุทธศาสนายอดยิ่งกว่าศาสนาใด

เนื่องจากมีวิถีทางปฏิบัติให้หลุดพ้น จากความทุกข์ทั้งปวง สิ้นจากกิเลศ ตัณหา อาสวะ ได้โดยการปฏิบัติให้ถึง นิพพาน ซึ่งมีบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกว่า ต้องใช้การบำเพ็ญ เพียร หลายภพหลายชาติ สะสมบุญบารมีจึงจะบรรลุอรหันต์ มีพระนิพพานเป็นที่สุดนั้นคือ ความหมายและหลักธรรม ในพุทธศาสนา หมายของคำว่า นิพพาน อันธรรมสูงสุด

แต่บัดนี้พระสัทธรรมพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ถูกเหยียบย่ำ ลดคุณค่าของ พระนิพพาน ให้หมดความหมาย หลายเป็นอักษรตัวเล็กๆ ที่อธิบาย ความหมายของ อุดมธรรม ดังได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งขบวนการล้มพุทธ ได้จัดให้เป็นสิ่งสูงสุด ในพุทธศาสนา ซึ่งพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ต้องปฏิบัติตาม จึงออกจะถามว่านับตั้งแต่ กฎหมายนี้ ประกาศใช้ พระสงฆ์และชาวพุทธทั่วไป จะต้องเคารพนับถือกราบไหว้ผู้ที่บัญญัติคำว่า อุดมธรรม ในฐานะเป็นศาสดาแทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่หรือไม่