บิลล์ เกตส์ และไมโครซอฟท์ (ตอน ชีวิตที่ไมโครซอฟท์) HOME

ฤดูใบไม้ผลิปี 1977 ไมโครซอฟท์ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่ชั้นแปดของอาคารทูปาร์กเซ็นทรัลทาวเวอร์ แต่ยังคงอยู่ในอัลบูเคอร์คิวเช่นเดิม โดยมีห้องทำงานทั้งหมด 5 ห้องรวมอยู่ในห้องสูทหมายเลข 819 จากที่นี่พนักงานของไมโครซอฟท์ จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างชัดเจน เหมือนจะบอกว่า อนาคตของบริษัทจะต้องสดใส

พนักงานของบริษัท เมื่อรวมเกตส์และอัลเลนด้วยแล้ว ยังคงมี 6 คนเช่นเดิม อัลเบิร์ต ชูลาออกไปหลังจากร่วมงานกับพวกเขาได้ไม่นาน แต่พวกเขาได้บ็อบ กรีนเบิร์ก เข้ามาแทน เด็กหนุ่มทั้ง 6 คนอุทิศเวลาให้กับการทำงานอย่างไม่สามารถที่จะนับเป็นชั่วโมงการทำงานได้ พวกเขาพยายามพัฒนาภาษาเบสิกให้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่มันจะได้ไปอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง

เมื่อธุรกิจขยายตัวมากขึ้น งานทางด้านเอกสารและการตอบจดหมายเริ่มมากขึ้นทุกที ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะจ้างเลขาสักคนหนึ่งให้คอยดูแลเรื่องเหล่านี้ มิเรียม ลูโบว์ เห็นประกาศรับสมัครเลขาของพวกเขาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่ง เธอตัดสินใจยื่นใบสมัคร ตอนนั้นเธออายุ 42 ปีแล้ว เป็นคุณแม่ของลูกๆ 4 คน ไม่ได้ทำงานมาเป็นเวลานาน แต่เธออยากจะกลับมาใช้ชีวิตในการทำงานนอกบ้านอีกครั้งหนึ่ง

สตีฟ วู๊ด เป็นคนให้การต้อนรับลูโบว์ในวันที่เธอมาทำการสัมภาษณ์ ในการคุยกันทางโทรศัพท์ เขาบอกกับลูโบว์ว่า เขาเป็นผู้จัดการทั่วไปของที่นี่ แต่เมื่อได้พบตัวจริงของกันและกัน ลูโบว์เริ่มรู้สึกประหลาดใจ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าเธอไว้หนวดเครารุงรัง ผมยาว และยกขาขึ้นพาดอยู่บนโต๊ะตลอดเวลาที่พูดคุยกับเธอ วู๊ดบอกกับลูโบว์ว่าพวกเขากำลังต้องการหาใครสักคนที่สามารถทำโน่นนิดนี่หน่อยในทุกๆ เรื่อง เงินเดือนที่วู๊ดเสนอให้เธอค่อนข้างดี และงานก็ดูน่าสนใจ

เลขาคนก่อนหน้าของเกตส์เป็นหญิงสาวผมบลอนด์ รูปร่างดี ทำงานกับพวกเขามาได้เพียง 2 เดือน เมื่อลูโบว์ได้พบกับเธอ ลูโบว์คิดว่าพวกเขาคงไม่จ้างผู้หญิงที่มีอายุมากขนาดเธอ พวกเขาคงเลือกจ้างแต่ผู้หญิงที่สวยๆ และอายุน้อยๆ เธอรู้สึกว่าโอกาสของเธอที่จะได้งานทำที่นี่ดูน้อยลง

คืนนั้นลูโบว์บอกกับสามีของเธอว่า การสัมภาษณ์ของเธอที่ไมโครซอฟท์เป็นไปด้วยดี เธออธิบายว่าที่นั่นมีออฟฟิศที่น่าทำงาน งานที่พวกเขาทำอยู่คือการพัฒนาซอฟต์แวร์ (คำที่ดูลึกลับสำหรับเธอ) และพวกเขาเสนอเงินเดือนที่ดีมาก ตอนนั้นเธอยังคงคาดหมายในทางที่เลวร้ายสำหรับงานที่เธอต้องการ..แต่เธอคิดผิด

มิเรียม ลูโบว์ค้นพบซอฟต์แวร์

สัปดาห์ต่อมา วู๊ดเป็นคนโทรศัพท์ไปหาเธอ เขาบอกเธอว่าถ้าเธอยังคงสนใจในงานที่เธอสมัครเอาไว้ เธอสามารถมาเริ่มงานได้ในวันจันทร์ที่จะถึง ลูโบว์ตื่นเต้นและดีใจมาก เธอตอบรับในทันที และบอกกับตัวเองว่า ไม่ช้าก็เร็วนี่แหละ ที่เธอจะค้นพบให้ได้ว่าโลกของซอฟต์แวร์คืออะไรกันแน่

ในวันแรกของการทำงาน ลูโบว์ได้พบกับอัลเลนและคนอื่นๆ เมื่อเธอถามถึงประธานบริษัท พวกเขาพากันบอกว่า ประธานยังอยู่ระหว่างการเดินทางเพื่อพบปะกับลูกค้า และจะกลับมาในอีก 2-3 วันข้างหน้า

หลังจากเริ่มการทำงานที่ไมโครซอฟท์ได้ไม่นาน ลูโบว์เริ่มรู้สึกประหลาดใจว่า เธอกำลังทำงานอยู่กับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอะไรกันแน่ ห้องทำงานทุกห้องไม่เคยปิดประตู และมีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ทุกหนทุกแห่งของที่ทำงาน โปรแกรมเมอร์ทุกคนตั้งหน้าตั้งพิมพ์อะไรบางอย่างของพวกเขาลงบนแป้นคีย์บอร์ด คนเหล่านั้นสร้างเอกสารที่ยาวต่อเนื่องเป็นปึกๆ ในตอนบ่ายของทุกวัน เธอมีหน้าที่ไปที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ของโรงเรียนแห่งหนึ่งเพื่อรับเอกสารกลับมา เธอเริ่มเรียนรู้ว่า สิ่งที่โปรแกรมเมอร์ของไมโครซอฟท์ทุกคน พิมพ์ลงไปบนเครื่องคอมพิวเตอร์ จะถูกส่งไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนแห่งนั้น

หลังจาก 2-3 วันแรกของการทำงาน ลูโบว์กลับไปอธิบายให้สามีของเธอฟังว่า ซอฟต์แวร์ก็คือกระดาษคอมพิวเตอร์ซึ่งมีเครื่องหมายต่าง ๆ จำนวนมากอยู่บนนั้น สามีของเธอไม่มีความรู้เรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาไม่พูดอะไรที่เป็นการขัดคอเธอ

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่เธอนั่งทำงานอยู่กับเครื่องพิมพ์ดีดของเธอ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามาในออฟฟิศ เขากล่าวทักทายและยิ้มให้เธอ จากนั้นเดินต่อไปยังห้องของประธานและเริ่มต้นทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ลูโบว์ เคยได้รับคำอธิบายอย่างชัดเจนว่าคนที่ไม่ได้รับอนุญาตจะเข้าไปในห้องที่มีคอมพิวเตอร์ไม่ได้ เธอรีบวิ่งไปที่ห้องของวู๊ด และบอกกับวู๊ดอย่างหงุดหงิดว่า มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเข้าไปยุ่งที่ห้องของประธาน แต่ดูเหมือนวู๊ดจะไม่แสดงอาการแปลกใจอะไรออกมา วู๊ดบอกกับเธออย่างรวบรัดว่า

"ไม่มีเด็กที่ไหนหรอก นั่นแหละประธานของเราละ"

"อะไรนะ!?..เขาคือบิลล์ เกตส์หรือ?"

"ใช่"

ลูโบว์เดินกลับไปที่เครื่องพิมพ์ดีดของเธออย่างไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจ ห้านาทีต่อมาเธอเดินกลับไปที่ห้องของวู๊ดอีกครั้ง และถามเขาว่า "ขอโทษนะสตีฟ ตอนนี้เขาอายุเท่าไหร่?"

"21 ปี"

ลูโบว์เริ่มเข้าใจแล้วว่า เธอกำลังทำงานอยู่กับบริษัทที่พิเศษจริง ๆ เย็นวันนั้น เธอเล่าเรื่องดังกล่าวให้สามีของเธอฟัง คำแนะนำที่เธอได้รับก็คือ เธอควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า บริษัทนี้จะมีเงินเดือนจ่ายให้เธอในตอนสิ้นเดือน

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เธอเรียนรู้ว่าสิ่งที่ไมโครซอฟท์ขาย คือแผ่นดิสก์เกตต์ เธอเชื่อว่าในแผ่นดิสก์เกตต์ดังกล่าวต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าแน่นอน แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจว่า พวกเขาทำอะไรกันในห้องทำงาน บรรดาโปรแกรมเมอร์เหล่านั้นนั่งพิมพ์อะไรกันทั้งวันหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง

เมื่อเธอพยายามที่จะอ่านสิ่งที่เธอไปรับมาจากศูนย์คอมพิวเตอร์ของโรงเรียน เธอก็ยิ่งรู้สึกงงมากขึ้น เธอพบแต่คำต่างๆ ที่เธอไม่เข้าใจในความหมายของมันเลย ในขณะที่อยู่ที่ทำงาน เธอก็มักจะได้ยินคำพูดแปลกๆ พวกโปรแกรมเมอร์ชอบใช้ศัพท์ทางเทคนิคพูดจากัน เช่น คำว่าเบสิก, ฟอร์ทราน หรือคำว่าแรม บางทีก็เป็นประโยคที่เธอฟังแล้วไม่รู้เรื่อง เช่น "โปรแกรมของผมแครช" เธอพยายามทำความเข้าใจกับภาษาเหล่านี้อย่างจริงจัง และบรรดาโปรแกรมเมอร์ทั้งหลายก็พยายามสอนให้เธอรู้จักกับมันให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เธอสามารถเข้ากับเกตส์ได้เป็นอย่างดี เมื่อเกตส์ขอให้เธอทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาจะอธิบายให้เธอฟังอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร ถ้าหากเธอมีคำถาม เขาจะอธิบายให้เธอฟังอย่างอดทน เขาไม่เคยบอกปัดต่อสิ่งที่เธอถาม หลายๆ ครั้งที่เธอส่งคำถามของลูกค้าที่มีจดหมายเข้ามาให้เกตส์ และคอยฟังว่าเกตส์จะให้เธอตอบคำถามนั้นแก่ลูกค้าอย่างไร ลูโบว์สังเกตเห็นว่า หลังจากนั้น 2-3 วัน ลูกค้าดังกล่าวมักจะเข้ามาที่ออฟฟิศ เพื่อเซ็นสัญญาซื้อซอฟต์แวร์กับไมโครซอฟท์

ตอนนั้นเกตส์ขับรถปอร์ช 911 สีเขียว ลูโบว์มักจะพบใบสั่งข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดส่งมาถึงเกตส์อยู่เสมอ บางครั้งเธอเคยคิดว่า สักวันหนึ่งเธอจะได้เห็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นพาดหัวข่าวตัวโตว่า "ประธานของไมโครซอฟท์ถูกจับในข้อหาขับรถเร็ว"

เหนือสิ่งอื่นใด ลูโบว์พบว่าเกตส์เป็นคนหนุ่มที่ทำงานหนักมาก เขาทำงานตลอดเจ็ดวัน บางครั้งเธอพบว่า เขาไม่ได้ออกจากออฟฟิศเลยเป็นเวลาหลาย ๆ วัน บ่อยครั้ง เมื่อเธอมาถึงที่ทำงานในตอนเช้า เธอจะพบเกตส์นอนหลับอยู่บนพื้นห้อง ด้วยความรู้สึกเหมือนแม่ที่คอยดูแลลูก ลูโบว์เริ่มรู้สึกกังวลเมื่อเกตส์ลืมเวลาอาหารกลางวัน เธอจะคอยเตือนเขาเสมอๆ เมื่อเขามีลูกค้าหรือแขกมาพบ ลูโบว์จะคอยเฝ้าดูเวลาที่ผ่านไป และโทรศัพท์เข้าไปเตือนเขาเมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เมื่อเวลาผ่านไปมากขึ้น เธอสรุปได้ว่า เมื่ออยู่เพียงลำพังคนเดียว เกตส์มักจะทำงานจนลืมเวลาอาหารกลางวัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เธอฝึกจนเป็นนิสัยที่จะเตรียมแฮมเบอร์เกอร์ให้แก่เขา

ครอบครัวลูโบว์ได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่ไมโครซอฟท์ และยอมรับในความตั้งใจของเด็กหนุ่มเหล่านี้ หลังจากทำงานที่นี่ได้ 6 เดือน ลูโบว์รู้ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นที่นี่ วันหนึ่งสามีของมิเรียม ลูโบว์มาที่สำนักงาน เขาได้พบกับเกตส์ สิ่งที่เขาบอกกับเกตส์ก็คือ "เมื่อไรที่คุณจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ บอกให้ผมรู้ด้วย"

ผู้บริหารของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง เดินทางมาหาเกตส์เพื่อเจรจาซื้อสิ่งที่เกตส์มี และพวกเขาต้องการ คนเหล่านั้นมักจะมาจากเมืองทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ซึ่งมีวัฒนธรรมในการแต่งกายอย่างภูมิฐาน พวกเขามักจะอยู่ในชุดสูท ขณะที่การแต่งกายของเกตส์สะท้อนให้เห็นความเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบแต่งตัวแบบสบายๆ การเป็นคนที่อยู่ในรัฐทางตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีอากาศร้อน ทำให้เกตส์มักจะอยู่ในชุดลำลองมากกว่าในชุดสูท ความแตกต่างระหว่าง 2 ฝ่ายมักจะเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อยๆ

เนื่องจากสำนักงานของไมโครซอฟท์อยู่ใกล้กับสนามบินมาก โดยใช้เวลาขับรถเพียงแค่ 2-3 นาทีจากสำนักงานเท่านั้น เกตส์จึงชอบที่จะไปรับลูกค้าด้วยตนเองที่สนามบิน เมื่อลูกค้าถามลูโบว์ทางโทรศัพท์ว่า คนที่จะไปรับเขาที่สนามบินมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ลูโบว์จะบอกคนเหล่านั้นว่า "ให้มองหาเด็กหนุ่มผมบลอนด์ อายุประมาณ 16 ปี ใส่แว่นตาหนาๆ มองดูเหมือนกับเขามาจากโลกอื่น นั่นแหละเขาละ"

เวลาที่เกตส์ต้องเดินทางไปยังเมืองอื่นทางเครื่องบิน เขาจะขับเจ้าปอร์ชคันเก่งของเขาไปที่สนามบินพร้อมกับลูโบว์ และให้เธอเป็นคนขับกลับมา ตอนนั้นเขาพัฒนานิสัยอบ่างหนึ่งของตัวเขาเองขึ้นมา นั่นคือการพยายามเสียเวลาที่สนามบินให้น้อยที่สุด ผลก็คือหลายๆ ครั้งเขาวิ่งไปขึ้นเครื่องบิน ขณะที่พนักงานประจำเครื่องกำลังจะปิดประตูเครื่องอยู่แล้ว ถ้าเครื่องบินมีกำหนดออกเวลา 10.00 น. เขาจะออกจากที่ทำงานตอน 9.55 น. ขับรถด้วยความเร็วสูง ล้อเล่นกับสัญญานไฟจราจรรวมทั้งเครื่องหมายกำหนดความเร็ว และไปถึงอย่างเฉียดฉิว

เกตส์เล่นกับมันเหมือนกับเกมๆ หนึ่งที่เขาต้องการเอาชนะตัวเอง แต่ในที่สุดลูโบว์ทนไม่ได้ เธอขอให้เขาออกจากที่ทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิมสัก 10 นาที เธอบอกกับเขาว่าสิ่งที่เกตส์ทำ ทำให้เธอตื่นเต้นมากเกินไป และเธออาจจะหัวใจวายเอาง่ายๆ

ลูโบว์ดูแลงานด้านเอกสารต่างๆ ของไมโครซอฟท์ในตอนนั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำรายการเงินเดือน การทำบัญชี การรับคำสั่งซื้อ ฯลฯ เธอคอยดูแลให้พนักงานของไมโครซอฟท์ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างสบายที่สุด โดยมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิของพวกเขาได้

วันหนึ่งมาร์ค แมคโดนัลด์บอกว่า พวกเขาอยากได้โค้กเย็นๆ แทนกาแฟจะได้ไหม เกตส์ขอให้ลูโบว์ช่วยออกไปซื้อให้ เธอกลับมาพร้อมกับโค้กขนาด 6 ขวด-แพ็ค ภายใน 5 นาทีโค้กทั้ง 6 ขวดก็หมดลงอย่าวรวดเร็ว บรรดาโปรแกรมเมอร์บอกว่า พวกเขายังไม่หายหิวและอยากได้มันเพิ่มอีก ขณะที่ลูโบว์กำลังจะเดินออกไปซื้อโค้กมาเพิ่มตามคำขอ เกตส์ตะโกนเรียกเธอเอาไว้ และบอกเธอว่า เธอพอจะติดต่อกับทางโค้กให้จัดส่งโค้กมาให้ที่ออฟฟิศสัปดาห์ละ 2 ครั้งได้ไหม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กลายเป็นธรรมเนียมของไมโครซอฟท์ ที่จะเลี้ยงเครื่องดื่มประเภทซอฟท์ดริ๊งค์แก่พนักงาน (ต่อมามีนมสด และน้ำผลไม้มาเพิ่มเติม)

วัฒนธรรมบางอย่างของไมโครซอฟท์

บ็อบ โอเรียร์ เข้าร่วมงานกับไมโครซอฟท์เมื่อ 8 มกราคม 1978 ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ (ทุกวันนี้ เขายังคงทำงานอยู่ที่นี่) เขาพบว่าที่ไมโครซอฟท์มีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากบริษัทเดิมของเขา เกตส์และอัลเลนมักจะเข้ามาที่ทำงานในตอนบ่าย บางครั้งกว่าจะมาถึงก็ร่วม 4 โมงเย็น และทำงานไปจนกระทั่งถึงตอนกลางคืน พวกเขาทำอย่างนี้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าพวกเขามีนัดกับลูกค้าในตอนเช้า พวกเขาจะนอนกันที่บริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะอยู่ที่นั่นเมื่อถึงเวลานัด

ในระยะแรกของการเข้ามาร่วมงานกับไมโครซอฟท์ โอเรียร์ยังคงใช้เวลาทำงานเหมือนกับพนักงานทั่วไปในบริษัทอื่นๆ นั่นคือมาทำงานในตอนเช้าและเลิกงานในตอนเย็น ซึ่งดูแตกต่างจากโปรแกรมเมอร์คนอื่นๆ ของไมโครซอฟท์ วันหนึ่งเขามาถึงที่ทำงานตอนเก้าโมงเช้า เขารู้สึกแปลกใจมากที่เห็นเกตส์นอนหลับอยู่บนพื้น ปฎิกิริยาแรกของเขาก็คือตื่นตระหนก เขาร้องตะโกนออกมาว่า "ช่วยด้วย เกตส์ตายแล้ว เรียกรถพยาบาลเร็วเข้า"

อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็คุ้นเคยกับสภาพดังกล่าว และเดินข้ามคนที่นอนหลับอยู่บนพื้นทุกเช้าที่เขามาทำงาน โอเรียร์พยายามปรับตัวให้เข้ากับเวลาในการทำงานของคนอื่นๆ เขาเปลี่ยนมาเริ่มการทำงานเป็นตอนตี 3 ซึ่งเป็นเวลาที่โปรแกรมเมอร์คนอื่นๆ เลิกงานพอดี นอกจากนั้นเขาเปลี่ยนมาเดินเท้าเปล่าในสำนักงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่โปรแกรมเมอร์ทุกคนทำเหมือนๆ กัน พวกเขาบอกว่า ทุกคนอยากทำตัวให้สบายๆ ที่สุด เพื่อที่เมื่อถึงเวลาที่ต้องนั่งลงเขียนโปรแกรมต่างๆ ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาจะสามารถทุ่มเทสมาธิต่างๆ ให้กับมันได้อย่างเต็มที่

ในเวลานั้นการทำงานในเวลากลางคืนสำหรับบรรดาโปรแกรมเมอร์เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะว่าพวกเขาต้องใช้คอมพิวเตอร์ของโรงเรียนอัลบูเคอร์คิวร่วมกับคนอื่นๆ ซึ่งในเวลากลางวันจะมีคนใช้งานค่อนข้างมาก ดังนั้น การทำงานในเวลากลางคืนซึ่งไม่มีใครมาแย่งพวกเขาใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ

สมาชิกคนใหม่

ในเดือนมีนาคม 1980 สตีฟ บอลล์เมอร์ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของเกตส์เข้ามาร่วมงานกับไมโครซอฟท์ ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ ก่อนหน้านั้นเขากำลังเรียนหลักสูตรเอ็มบีเอ อยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แต่เกตส์ชวนเขาเข้ามาร่วมงานก่อนที่เขาจะจบหลักสูตร บอลล์เมอร์ กลายมาเป็นกำลังสำคัญที่สุดคนหนึ่งของไมโครซอฟท์ในช่วงเวลาต่อมา

ในขณะที่ไมโครซอฟท์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จของโปรแกรม VisiCalc ของแอปเปิล ทำให้เกตส์และอัลเลนคิดว่า พวกเขาควรจะขยายงานของไมโครซอฟท์เข้าไปในตลาดเกี่ยวกับโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ ในเวลานั้น ยังไม่มีผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์รายใด ตัดสินใจสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิป 8086 แต่ที่ฟลอริด้า บางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับไอบีเอ็ม

โปรเจ็คท์เชส (Chess)

ข่าวคราวความสำเร็จอย่างมหาศาลของแอปเปิล มาถึงหูของผู้บริหารระดับสูงของไอบีเอ็มในปี 1980 พวกเขาเริ่มหันมาสนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับไมโครคอมพิวเตอร์ ประธานของไอบีเอ็มในขณะนั้นคือจอห์น โอเปล เขาเป็นผู้นำของบริษัทที่ไม่มีใครในโลกคอมพิวเตอร์อยากต่อกรด้วย รายได้ของไอบีเอ็มในตอนนั้นคือ 28 พันล้านเหรียญต่อปี ความเข้มแข็งและยิ่งใหญ่ของไอบีเอ็ม ทำให้บรรดาคอลัมนิสต์ต่างๆ เรียกคู่แข่งของพวกเขาว่า "คนแคระทั้งเจ็ด" (คู่แข่งของไอบีเอ็มในตอนนั้นคือ ดิจิตัล, ฮันนีย์เวลล์, คอนโทรลดาต้า, เบอร์โรจ์, ดาต้าเจนเนอรัล, แวง และสเปอร์รี่)

ไอบีเอ็มจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายชุด เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการก้าวเข้าสู่ตลาดไมโครคอมพิวเตอร์ ทีมงานทีมหนึ่งเสนอความคิดผ่านมาทางแฟรงค์ แครี่(Frank Cary) ผู้บริหารระดับสูงสุดคนหนึ่งของไอบีเอ็มให้ซื้ออตาริ ในการนำเสนอเรื่องดังกล่าว แครี่ถามคำถามที่ทำให้เรื่องดังกล่าวตกไป เขาถามว่า "อตาริเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในธุรกิจนี้หรือเปล่า?"

"ไม่ใช่ครับ"

"ใครเป็นบริษัทที่ดีที่สุด?"

"แอปเปิลครับ"

"ทำไมไอบีเอ็มถึงไม่ซื้อสิ่งที่ดีที่สุด?"

แต่แอปเปิลไม่ได้สร้างขึ้นมาสำหรับขายต่อ ดังนั้น ไอบีเอ็มจึงต้องมองหาช่องทางใหม่ๆ ต่อไป พวกเขาคิดจะสร้างสิ่งที่พวกเขาต้องการทั้งหมดขึ้นมาใหม่ โดยใช้แผนกวิจัยและพัฒนาของตัวเอง แต่บิลล์ล์ โลว์ หัวหน้าแผนกไม่เห็นด้วย เขาบอกว่าไอบีเอ็มไม่เหมาะสมที่จะทำเรื่องพวกนี้เอง เพราะไอบีเอ็มใหญ่เกินไปทำให้เคลื่อนไหวได้เชื่องช้ากว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน แครี่เห็นด้วยกับความคิดของโลว์

ในที่สุดไอบีเอ็มตัดสินใจตั้งทีมงานขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อดำเนินงานโปรเจ็คท์ "เชส" โลว์เป็นผู้คัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาร่วมในทีมนี้ เขาพยายามสรรหาคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีลักษณะพิเศษ และไม่หลงอยู่แต่ในความสำเร็จของโลกของเมนเฟรม ทีมที่ทำโปรเจ็คท์ "เชส" มารวมตัวกันอยู่ที่โบคาเรตอน ฟลอริด้า ศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งหนึ่งของไอบีเอ็ม หัวหน้าทีมของพวกเขาชื่อแจ็ค แซมส์

แซมส์และเพื่อนร่วมทีมของเขาศึกษาถึงความสำเร็จของแอปเปิล สิ่งที่พวกเขาค้นพบมี 2 อย่าง 1. แอปเปิลให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และ 2. สถาปัตยกรรมของพวกเขาเป็นสถาปัตยกรรมเป็นแบบเปิด ทำให้เกิดการพัฒนาที่ต่อเนื่องติดตามมาเป็นจำนวนมากจากบริษัทต่างๆ เช่น บริษัทผู้พัฒนาการ์ดสำหรับเครื่องแอปเปิล ทีมงานเริ่มวางแผนเพื่อการปฎิบัติการ โดยเลียนแบบความสำเร็จของแอปเปิล เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พวกเขาพร้อมแล้วที่จะเข้าไปอธิบายแผนการต่างๆ ให้ผู้บริหารระดับสูง และดูเหมือนจะไม่มีใครคัดค้านพวกเขาเลย

ไอบีเอ็มติดต่อมาหาไมโครซอฟท์

ในระหว่างการศึกษาเรื่องราวต่างๆ ของแอปเปิลและผู้ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์รายอื่นๆ พวกเขาพบชื่อของไมโครซอฟท์ในเอกสารหลายชิ้น ทีม "เชส" สังเกตพบว่าดูเหมือนไมโครซอฟท์จะเป็นบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ที่รู้เรื่องของไมโครคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี โปรแกรมเบสิกของไมโครซอฟท์ได้รับการยอมรับว่าเป็นมาตรฐาน ยิ่งไปกว่านั้น รายได้ของไมโครซอฟท์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกปี นี่เป็นเรื่องที่ประทับใจทีมงานของไอบีเอ็มมาก

แจ็ค แซมส์ โทรติดต่อไปหาเกตส์ เขาบอกกับเกตส์ว่าเขาอยากพบกับเกตส์เพื่อพูดคุยในเรื่องการพัฒนาโครงการๆ หนึ่งซึ่งมีความสำคัญมาก เกตส์พอมีเวลาบ้างไหมถ้าพวกเขาจะมาพบในในช่วงเวลาอีก 2-3 วันข้างหน้า เกตส์รู้สึกประหลาดใจมากที่ได้รับการติดต่อจากบริษัทชั้นนำอย่างไอบีเอ็ม แน่นอนเขาต้องพบกับแซมส์ให้ได้ สิ่งหนึ่งที่เขาคิดคือ ไอบีเอ็มคงสนใจในเบสิกของไมโครซอฟท์แน่ๆ

ในเดือนกรกฎาคม 1980 แซมส์พร้อมกับทีมงานหลายคนเดินทางมาที่สำนักงานของไมโครซอฟท์ เกตส์ อัลเลน และบอลล์เมอร์แต่งตัวด้วยสูทเต็มยศ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก คนจากไอบีเอ็มตั้งคำถามพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไปของไมโครคอมพิวเตอร์ พวกเขาบอกกับไมโครซอฟท์อย่างเป็นทางการว่า นี่เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ทางการตลาดเท่านั้น แซมส์และเพื่อนๆ ของเขาถามเกตส์ว่า ทำไมไมโครซอฟท์ถึงสามารถพัฒนาโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาลากลับไปพร้อมกับบอกกับเกตส์ว่า "อย่าโทรไป เราจะโทรมาหาคุณเอง"

เกตส์และอัลเลนยังคงไม่เฉลียวใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเพียงแต่รู้สึกแปลกๆ กับท่าทีของไอบีเอ็ม ถ้าหากพวกเขาสามารถรู้เรื่องราวต่างๆ ล่วงหน้า พวกเขาคงนอนไม่หลับไปหลายคืน

การพบกันครั้งที่สอง

เดือนสิงหาคม 1980 แซมส์โทรกลับไปหาเกตส์อีกครั้ง เขาบอกกับเกตส์ว่าเป็นไปได้ไหมที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอีกครั้งหนึ่ง เกตส์ตอบไปว่า "สักสัปดาห์หน้าเป็นไง?" แต่สิ่งที่แซมส์ตอบกลับมาทำให้เกตส์ตกใจ แซมส์ตอบว่า "พวกเราจะขึ้นเครื่องบินไปที่นั่นในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า"

เกตส์รีบบอกยกเลิกนัดทั้งหมดของวันนั้นในทันที รวมทั้งการนัดกับเรย์ คาสซาร์ ประธานของอตาริ แม้ว่าอตาริจะยิ่งใหญ่ในโลกของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แต่ไอบีเอ็มเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก

เกตส์ อัลเลน และบอลล์เมอร์เข้าร่วมการพบปะกับคนของไอบีเอ็ม ก่อนการพูดคุยใดๆ จะเริ่มขึ้น แซมส์ขอให้คนทั้งสามเซ็นชื่อในข้อตกลงที่จะไม่มีการเปิดเผยเรื่องราวใดๆ ที่มีขึ้นระหว่างการประชุมร่วมกันในวันนี้ ในข้อตกลง ยังมีข้อความระบุไม่ให้ไมโครซอฟท์ฟ้องร้องในเรื่องใดๆ เกี่ยวกับการประชุมในอนาคต เด็กหนุ่มทั้ง 3 คนเซ็นชื่อในข้อตกลงดังกล่าวอย่างไม่ลังเล หัวหน้าฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทของไอบีเอ็มบอกว่านี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติมากที่บริษัทเคยทำ ขณะที่เกตส์บอกว่า นี่เป็นเรื่องที่แปลกที่สุดที่ไมโครซอฟท์เคยทำมา

จากนั้น ทีมงานของไอบีเอ็มเริ่มอธิบายถึงโปรเจ็คท์ "เชส" พวกเขาอยากจะรู้ว่าไมโดรซอฟท์จะสามารถพัฒนาโปรแกรมต่างๆ สำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้เร็วแค่ไหน พกวเขายังบอกกับเกตส์ด้วยว่าทีมงานของพวกเขาเป็นทีมงานที่เป็นอิสระ ไม่เกี่ยวข้องกับงานประจำวันใดๆ ซึ่งจะทำให้งานต่างๆ สามารถเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว คำถามที่สำคัญที่สุดในวันนั้นก็คือ ถ้าไอบีเอ็มมอบสเปกของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์แบบ 8 บิตให้แก่ไมโครซอฟท์ พวกเขาจะสามารถเขียนเบสิกสำหรับรอมได้ไหม? ถ้าได้ พวกเขาจะสามารถทำมันให้เสร็จภายในเดือนเมษายน 1981 ได้หรือไม่?

เกตส์ตอบยืนยันความเห็นของเขาไปว่า สำหรับเขา เขาชอบใช้ไมโครโพรเซสเซอร์แบบ 16 บิตมากกว่า เช่น ชิปแบบ 8086 ของอินเทล เพราะมันมีคุณสมบัติหลายที่ดีกว่าชิปรุ่น 8080 ที่เป็นแบบ 8 บิต ชิปแบบ 8086 มีความจุ 1 เมกะไบต์ ขณะที่ 8080 มีความจุแค่ 64 กิโลไบต์ และในเมื่อไอบีเอ็ม คิดจะบุกเข้าไปในตลาดธุรกิจชิปแบบ 8086 จะมีความเหมาะสมมากกว่า และเขาคิดว่า ฮาร์ดแวร์ที่ดีและจะประสบความสำเร็จควรที่จะใช้ชิปแบบ 8086


Source: AR/IP Network