กองโภชนาการ กรมอนามัย
 
	ปลาเป็นอาหารคู่ชีวิตของคนไทย จนเรามักพูดติดปากกันว่า "กินข้าว กินปลา"  ปลาเป็นอาหารที่หาได้ง่าย ตามแหล่งน้ำต่าง ๆ  คนไทยรู้จักจับปลาเป็นอาหาร และนำมาแปรรูปขายเป็นสินค้า โดยใช้เครื่องมือง่าย ๆ  ตลอดจนใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย  ทำให้ประเทศไทยเรามีปลาบริโภคมากมายหลายชนิด และจำหน่ายเป็นสินค้าส่งออก ที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศจนติดอันดับโลก
	ปลาเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เราจัดปลาไว้ในอาหารหลักหมู่ที่หนึ่ง ในประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นม และถั่วเหลืองแห้ง โปรตีนในเนื้อปลาจะถูกนำไปใช้ ในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ  อีกทั้งยังประกอบด้วยกรดอมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายสูง โดยเฉพาะไลซีนและทรีโอนีน  ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ไขมันที่มีอยู่ในเนื้อปลา จะเป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่าง ๆ  โดยเฉพาะเซลล์สมอง และป้องกันการจับแข็งตัวของไขมันในเส้นเลือด ไวตามินและแร่ธาตุที่มีอยู่ในเนื้อปลา จะควบคุมการทำงานของร่างกาย ให้ทำหน้าที่ได้ตามปกติ
	เนื้อเยื่อของปลามีน้ำมันหรือไขมันแตกต่างจากไขมันสัตว์ชนิดอื่น เนื่องจากอาหารของปลา คือแพลงตอน และสาหร่าย  ซึ่งหลายชนิดสามารถสังเคราะห์ไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ได้ นอกจากนี้ เมตาบอลิซึ่มของปลาเองก็มีส่วนมากในการสร้างเสริม และรักษากรดไขมัน เหล่านี้ไว้ ปลาทะเลที่มีมันมากเช่น ปลาซาดีน ปลาเฮอร์ริ่ง ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอล ปลาปลาทูน่า มีไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 สูงถึง 1-4  กรัมต่อเนื้อปลา 100 กรัม ส่วนปลาทะเลไทย ที่พบไขมันในกลุ่มโอเมก้าสูง ได้แก่ ปลาทู ซึ่งมี 2-3 กรัมต่อเนื้อปลา 100 กรัม ส่วนปลาน้ำจืดเชื้อว่ามีไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 น้อยกว่าปลาทะเล เนื่องจากแพลงตอน และสาหร่ายน้ำจืดสังเคราะห์กรดดังกล่าวได้ต่ำกว่า ไขมันที่ประกอบในเนื้อปลาจะทำให้รสชาติของปลาแตกต่างกันออกไป เมื่อทำการศึกษาถึงคุณภาพของไขมันที่อยู่ในเนื้อปลา  พบกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิค
 นอกจากกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังทำการวิเคราะห์ กรดไขมันไม่อิ่มตัว ที่มีความสำคัญต่อร่างกายได้แก่ กรดอีโคซาเพนทีโนอิคแอซิค  (Eicosapentaenoic acid)  หรือ อีพีเอ (EPA) และกรดโดโคซาเอ็กซิโนอิดแอซิค (Docosahexaenoic acid) 
หรือดีเอชเอ (DHA) ด้วย
อีพีเอ
  เป็นกรดไขมันที่มีคุณสมบัติลดการสร้างลิโปโปรตีนในตับ และลดปริมาณของ โคเลสเตอรอล ในกระแสโลหิต จึงป้องกันการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ ไม่สามารถหาได้จากไขมันในเนื้อสัตว์ชนิดอื่น  ผลของการศึกษาพบว่าปลาต่าง ๆ ทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืด มีองค์ประกอบของอีพีเอสูง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของไขมัน 0.15-10 เมื่อเปรียบเทียบการวิเคราะห์หาปริมาณของอีพีเอ ในอาหารหมู่เดียวกัน ไม่พบว่ามีในไข่ไก่ทั้งฟอง และไข่แดง แต่ในไข่ขาวพบ 0.96%  และไม่พบในน้ำนมวัวและถั่วเหลือง จากสถิติขององค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติ และมูลนิธิหัวใจแห่งอังกฤษ  (United Nations I God and Agriculture Organization and the British Heart Foundation) ได้แจ้งไว้ว่า พลเมืองญี่ปุ่น บริโภคปลามากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง สูงถึง 160 ปอนด์ ต่อคนต่อปี มีอัตราการตายด้วยโรคหัวใจเพียง 100 คน ในประชากร 100,000 คน  เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น อังกฤษบริโภคปลาประมาณ 40 ปอนด์ต่อคนต่อปี  พลเมืองตายด้วยโรคหัวใจสูงถึง 500 คนใน 100,000 คน 
สำหรับกรดไขมัน ดีเอชเอ นั้นมีส่วนพิสูจน์คำกล่าวที่ว่า "กินปลาแล้วสมองดี" สารดีเอชเอนี้ มีในผนังเซลล์ทั่วร่างกาย ทำให้เซลล์มีความไวต่อการรับสัญญาณประสาท นอกจากนั้น พบว่ามีปริมาณสูงในจอตา และที่สำคัญที่สุดคือ  เป็นไขมันที่เป็นส่วนประกอบ ของเซลล์สมอง  ซึ่งพบว่ามีถึง 65%   Dr.William Connor หัวหน้าแผนกวิจัยของ  Oregon Research Program กล่าวว่า กรดไขมันชนิดนี้ เป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้  แต่ได้จากอาหารที่บริโภคคือจากปลา สมองมนุษย์มีไขมันชนิดนี้เป็นส่วนประกอบอยู่ครึ่งหนึ่งก่อนกำเนิด  ส่วนที่เหลือจะได้มา ในช่วงปีแรกของชีวิต เพราะฉะนั้นดีเอชเอ จึงมีความสำคัญมากต่อสตรีในระยะตั้งครรภ์ และมารดาในระยะให้นมบุตร ที่ช่วยให้สมองทารกพัฒนา และเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์
นักวิจัยและนักโภชนาการแนะนำว่า วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มกรดโอเมก้า 3 ในอาหารคือ เพิ่มการรับประทานปลา แทนการรับประทานเนื้อสัตว์บก และการรับประทานปลาทะเล สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะสามารถป้องกันโรคดังกล่าวได้ คนไทยสามารถเลือกปลาจากอ่าวไทย ที่มีน้ำมันปลาสูง ได้แก่ ปลาทู ปลา ไส้ตัน ปลาซาดีน ปลาทูน่า ปลาซาบะ เป็นต้น
กองโภชนาการ กรมอนามัย
| main | ![]()  | 
               ![]()  | 
                  | 
                   | 
               ![]()  | 
                    |